คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : เภทภัยสำนักประกัน
“ว่ายังไงนะ ขบวนสินค้าของซินหยูถูกปล้น” หวางเหลาจี่ทวนคำรายงานของผู้คุ้มกันคนหนึ่งอย่างไม่อยากเชื่อถือ มันย่อมไม่อยากเชื่อถือแน่นอนเพราะซินหยูนับเป็นผู้คุ้มกันที่เก่งกาจของมันคนหนึ่ง ผู้คุ้มกันที่เก่งกาจสินค้าที่คุ้มกันย่อมมีมูลค่าไม่น้อย
“ขอรับ” สองคำสั้น ๆ แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้หวางเหลาจี่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ซินหยูอยู่ไหนเรียกมันเข้ามาคุยกับข้าก่อน อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าใครเป็นกลุ่มที่มาปล้นเรา” หวางเหลาจี่ทำงานสายนี้มานานมันย่อมต้องรู้จักกลุ่มโจรใหญ่ ๆ ไม่มากก็น้อย เพียงแต่ระหว่างพวกมันคล้ายมีข้อตกลงอันลี้ลับประการหนึ่งเช่นนี้มันจึงมั่นใจว่าสินค้าของมันไม่สมควรถูกปล้นไป
ทว่ามันกลับไม่ได้คิดเรื่องราวประการหนึ่งว่ากลุ่มโจรไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงก็สามารถปล้นได้เช่นกันทั้งยังทำได้ดีกว่า เพราะหากมีชื่อเสียงย่อมสามารถสืบหาเรื่องราวได้เช่นนี้หากพูดว่ากลุ่มโจรที่ไม่มีชื่อเสียงนั้นยากต่อแยกว่ามากก็ไม่ยากนัก
เสียดายที่หวางเหลาจี่ไม่สามารถสืบหาเรื่องราวได้อีกต่อไป ทั้งนี้กลุ่มโจรที่ไม่ต้องการมีชื่อเสียงย่อมไม่ปลดปล่อยให้ผู้คนเอ่ยถึงชื่อเสียงของมัน “ซินหยูรอท่านอยู่ด้านนอกเสียดายเพียงมันไม่อาจตอบคำท่านอีกแล้ว”
การปล้นครั้งนี้มิเพียงปล้นสินค้าพวกมันยังปล้นเอาชีวิตผู้คนติดตามไป เช่นนี้หวางเหลาจี่ยังมีคำใดจะกล่าว สินค้าหายไปยังทดแทนได้ทว่าชีวิตผู้คนไม่สามารถทดแทนได้จริง ๆ มันเพียงนั่งลงอย่างใจเย็นเท่านั้น
ฮุ่ยซิงกลับมาก็ได้รับข่าวอันน่าตกใจ การตายของซินหยูมีผลกระทบต่อคนในสำนักไม่น้อยซินหยูนับเป็นผู้คุ้มกันรุ่นแรก ๆ ของสำนักเช่นนี้จึงไม่แปลกที่มันจะคบหาสหายไม่น้อย คลื่นความแค้นแผ่ออกจากผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
โดยพวกมันไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะเป็นจุดชักนำความหายนะอันไร้สิ้นสุดมาสู่พวกมัน ในสำนักแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คาดคิดอาจงดไว้เพียงคนผู้หนึ่ง ฮุ่ยซิงยิ้มขึ้นมาแม้จะเป็นรอยยิ้มที่ประหลาดพิกลทว่ากลับดูยินดียิ่ง
กลหมากของฮุ่ยซิงนับว่าเคลื่อนที่ไปส่วนหนึ่งแล้ว
หวางเหลาจี่กำลังพูดคุยอยู่กับซินหยูแต่มิใช่การส่งเสียงผ่านวาจาทว่าเป็นการพูดคุยผ่านร่างกาย คนเราพูดจาไม่จำเป็นต้องพูดผ่านวาจาบางครั้งร่างกายก็สามารถกล่าวคำ ดวงตาของซินหยูยังคงตื่นตระหนกราวกับมันไม่เชื่อถือในความตายของตนเอง
ทั่วร่างของซินหยูเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ทุกบาดแผลนั้นไม่มีจุดใดทำให้ถึงตายเพียงแค่เป็นรอยบาดเฉียด ๆ เท่านั้น แผลพวกนี้ไม่อาจคราชีวิตคน บ่งบอกถึงระดับฝีมือที่ต่างชั้นระหว่างตัวมันกับศัตรูได้เป็นอย่างดี
ซินหยูต้องถูกรอยล้อมไว้ด้วยโจรอย่างน้อยสิบคนแต่ละคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาอย่างโรมรัน ทุกคนที่พุ่งผ่านมาล้วนฝากบาดแผลบาง ๆ ไว้บนร่างของซินหยูสายหนึ่ง แต่สิ่งแลกเปลี่ยนสำหรับบาดแผลที่มันกระทำคือชีวิตพวกมัน
โจรปลายแถวเช่นนั้นไม่มีความสามารถฆ่าซินหยูที่มากประสบการณ์ได้แน่นอน เพียงแต่มีบาดแผลที่ด้านหลังแห่งหนึ่งผิดไป บาดแผลเรียบสนิทไม่มีแม้รอยถากของอาวุธยามชักออก บ่งบอกว่าผู้กระทำลงมือรวดเร็วเพียงใดหมดจดเพียงใด
บาดแผลอยู่ระหว่างชายโครงหากไม่สังเกตให้ดีย่อมมองไม่เห็นแน่แท้ หวางเหลาจี่เอานิ้วจิ้มดูที่บาดแผลอันสวยงามนั้น ลิ้มเลือดที่แข็งตัวเล็ดลอดผ่านบาดแผลออกมาอย่างชัดเจน นี้เป็นบาดแผลที่พรากเอาชีวิตของซินหยูไป
ซินหยูยืนประจันหน้ากับโจรนับสิบทว่าบนใบหน้าของมันไม่ปรากฏเค้าความกลัวให้เห็นแม้เพียงสักนิดก็ไม่มี ไม่เพียงไม่หวาดกลัวมันยังท้าทายศัตรู บุรุษเช่นซินหยูมีกำลังขวัญเหลือคณา
เหล่าโจรที่บุกเข้ามาล้วนตายตกในดาบมัน ดาบแล้วดาบเล่าโลหิตของศัตรูยิ่งมายิ่งชโลมทั่วร่างของมัน โลหิตของศัตรูเจือปนโลหิตของตนยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้ซินหยู ยิ่งมามันยิ่งบ้าคลั่งร่างกายที่ทอดลงทั่วร่างมันยิ่งมายิ่งมากมาย
ยิ่งศัตรูลดลงซินหยิ่งลำพองใจการฆ่าฟันเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่มันชื่นชอบยิ่งนัก ศัตรูอีกผู้หนึ่งถลำร่างเข้าหามันอย่างสุดแรงซินหยุเพียงโยกร่างหลบเล็กน้อยยอมรับบาดแผลเบาบางเส้นหนึ่งแลกกับการลงดาบปลิดชีวิตศัตรู
ดาบของซินหยูยังคงหมดจดยิ่งนัก ร่างของศัตรูทอดลงทว่าคราวนี้กลับปรากฏความรู้สึกประหลาดขึ้นที่ร่างกายมัน ที่แผ่นหลังกลับปรากฏความเยือกเย็นที่ไม่สมควรมี ความรู้สึกนี้เพียงผ่านมาเพียงครู่เดียวคล้ายสัมผัสของสายลม
ซินหยูม่มีเวลาสนใจกับสัมผัสเล็กน้อยเช่นนั้นเพราะมีอีกผู้หนึ่งทะยานร่างเข้ามา แลกเปลี่ยนชีวิตกลับมัน ท่าร่างของซินหยูยังคงหมดจดบาดแผลที่มันได้รับยังคงบางเบา ดาบของมันเงื้อขึ้นก่อนจะพาดฟันไปที่ร่างของศัตรู
ทว่าดาบนี้ของมันกลับไม่อาจพรากเอาชีวิตของศัตรู ทั่วร่างของซินหยูกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงมันเพียงกระตุกแรง ๆ คราหนึ่งก่อนจะสำรอกเอาลิ้มเลือดออกมา จนบัดนี้มันยังไม่เข้าใจว่ามันตายตกแล้ว ตายตกอย่างไรใช่เป็นสายลมที่สังหารมันหรือไม่
หวางเหลาจี่เพียงสำรวจบาดแผลก็เข้าใจการลงมือครั้งนี้มิใช่การปล้นธรรมดา ไม่แน่ว่ายังเกี่ยวพันกับตัวซินหยูเอง การลงมือเช่นนี้หมดจดเกินไปทั้งยังเจาะจงเกินไป คนผู้นี้ไม่แน่ว่าอาจมีความบาดหมางอันใดกับซินหยูก็เป็นได้
แต่เหตุการณ์เกินขึ้นแล้วอย่างไรก็สมควรรับมือเตรียมตัวไว้ หวางเหลาจี่เรียกระดมผู้คุ้มกันทั้งหมด สิ่งที่มันต้องการยามนี้คือฝีมือที่ต้องมากขึ้นของทุกคนเพราะฝีมือมากขึ้นหนึ่งส่วนย่อมหมายถึงความปลอดภัยต่อสินค้าของมันที่มากขึ้นตามไป
คนเราไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องพบผ่านความยากลำบาก หวางเหลาจี่ก็เช่นกันมันกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ย่อมต้องเคยพบเจอความยากลำบากมาไม่น้อย เช่นนี้มันจึงรู้จักวิธีรับมือความยากลำบากเช่นนี้ดีกว่าผู้ใด
ทว่ามันยังไม่เข้าใจความยากลำบากที่มันต้องพบเจอยามนี้จะหนักหนาสาหัสเพียงใด ไม่แน่ว่ายังเป็นความยากลำบากที่สุดในชีวิตที่มันจะสามารถพบผ่านก็เป็นได้ ความยากลำบากแทบตาย
“ข้าหมดแรงแล้วให้ยืนตอนนี้ยังลำบากเลย” เสียงดังขึ้นจากมือกระบี่ที่บัดนี้ทอดร่างอยู่บนเก้าอี้ไม้อย่างหมดสภาพ สภาพของมันยามนี้แทบสามารถร่วงหล่นจากเก้าอี้ได้อยู่ทุกชั่วขณะ สายตาของมันที่จ้องมองมายังฮุ่ยซิงคล้ายกับจ้องมองตัวประหลาดตัวหนึ่ง
ฮุ่ยซิงยังคงนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์คล้ายบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ นี้ความจริงควรเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปทว่ามิควรเกิดขึ้นกับผู้ที่ร่วมฝึกกับตัวมันเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่แล้ว
การฝึกผู้คุ้มกันยิ่งมายิ่งหนักหนาขึ้นงานคุ้มกันของฮุ่ยซิงก็เช่นกันยิ่งมายิ่งมากขึ้นทุกขณะ เนื่องด้วยแม้การฝึกฝีมือที่มากขึ้นจะสามารถพัฒนาฝีมือของผู้คุ้มกันขึ้นมากก็จริง ทว่าการปล้นสะดมสินค้ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากจะบอกว่ายามนี้เป็นจุดที่ความยากลำบากที่สุดได้มาถึงสำนักคุ้มภัยแห่งนี้ก็คงไม่ผิดนัก แม้สินค้าจะถูกปล้นอย่างต่อเนื่องแต่ลูกค้าของสำนักคุ้มภัยยิ่งมากลับยิ่งมากขึ้น ทั้งนี้เพราะค่าค้ำประกันสินค้าของสถานที่แห่งนี้สูงยิ่งสูงยิ่งกว่าราคาของสินค้าเสียอีก
พ่อค้าที่มายังสถานที่แห่งนี้ไม่แน่ว่ายังต้องการให้สินค้าของพวกตนถูกปล้นไป เพราะเมื่อสินค้าของพวกมันถูกปล้นมันย่อมสามารถรับเบี้ยเงินค้ำประกันที่มากล้น เช่นนี้งานของสำนักประกันยิ่งมาจึงยิ่งมากขึ้น
ทว่าลูกค้าที่มากขึ้นกลับหมายถึงความเสียหายที่มากขึ้นของสำนักประกันทว่าหวางเหลาจี่กลับไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะสำนักประกันอยู่ได้อย่างไรต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจหากเมื่อใดที่มันปฏิเสธงานเมื่อนั้นอาจเป็นจุดจบของสำนักประกันแห่งนี้ก็เป็นได้
เพราะมันล่วงรู้ความจริงข้อนี้มันจึงต้องยอมเชือดเชือนเนื้อของตัวเอง ความจริงข้อนี้ทำร้ายมันแทบตาย ภาพประดับ เครื่องประดับมากมายถูกถ่ายเท่ออกจากสำนักประกัน ไม่เพียงแค่สิ่งของแม้แต่ผู้คนก็ทยอยออกจากสำนักประกันไปอย่างไม่ขาดสาย
แม้สำนักประกันจะมีชื่อเสียงที่ย่ำแย่ลงทว่าสิ่งนี้กลับตรงกันข้ามกับฮุ่ยซิง งานที่มันได้รับทั้งมากขึ้นและยิ่งใหญ่ขึ้น ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจไม่รู้จักมันเนื่องด้วยทุกการขนส่งของมันล้วนราบเรียบปลอดภัย
หากเพียงราบเรียบปลอดภัยคงไม่อาจนำพาชื่อเสียงให้ฮุ่ยซิงได้มากมายถึงเพียงนี้ ที่จริงแล้วชื่อเสียงของมันมาจากการกระทำ ฮุ่ยซิงยามนี้มีอีกชื่อเรียกที่ผู้คนล้วนเรียกหา อสูรแดง
ฉายานามเช่นนี้ย่อมมิได้รับมาจากเรื่องดีข้อนี้ย่อมต้องเป็นความจริง สมญาของฮุ่ยซิงได้มาจากการฆ่าคน ทุกขบวนสินค้าที่มันคุ้มกันหากมีผู้ใดขัดขวางล้วนต้องสิ้นชีวิตไป การขนส่งหลายสิบครั้งล้วนเป็นเช่นนี้
เพียงแต่การฆ่าคนของฮุ่ยซิงกลับอยู่ด้านเดียวกับคนส่วนมากเช่นนี้ผู้คนจึงชื่นชมมัน เมื่อสมญาของฮุ่ยซิงโด่งดังถึงเพียงนี้มีผู้คุ้มกันไม่น้อยที่ลองนำเลือดสัตว์หรือสีเทียนมาย้อมผมของตนเองให้เป็นสีแดงจัดเช่นฮุ่ยซิง
การกระทำเช่นนี้ช่วยเหลือพวกมันได้ไม่น้อยทีเดียว ชื่อเสียงของฮุ่ยซิงไม่เพียงโด่งดังในหมู่ผู้คุ้มกันแม้แต่กลุ่มโจรยังต้องจดจำมัน ต่อให้ไม่อาจจดจำหน้าตาอย่างน้อยต้องจดจำผมสีแดงของมันได้
“เมื่อใดที่เห็นผมสีแดงให้รีบหลบหนีไป” วาจานี้กล่าวกันในหมู่โจรอย่างไม่ขาดปากราวกับเกรงกลัวว่าจะมีวันใดที่พวกมันหลงลืมและสิ้นชีวิตไป ไม่แน่ว่าข้อความนี้พวกมันยังจดจำได้ดีกว่านามของตนเอง
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่มิใช่กับโจรทุกกลุ่มไป มีโจรไม่น้อยที่ไม่เกรงกลัวต่อผมสีแดงของมันเช่นนี้สินค้าทุกรายการจึงไม่อาจป้องกันได้ด้วยการย้อมผมเช่นเดียวกับมัน
แม้ขบวนสินค้าของฮุ่ยซิงจะขนส่งได้อย่างราบเรียบก็จริง ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจช่วยเหลือสำนักประกันไว้ได้เพราะถ้าเทียบกันงานที่ล้มเหลวยังมากกว่าถึงสามเท่าตัว
ไฟในห้องของหวางเหลาจี่สว่างไสวมาสามทิวาแล้ว จวบจนวันที่สี่ประตูห้องของมันจึงเปิดออก นัยน์ตาดำคล่ำทั้งยังหลบลึก ร่างกายซูบผอมคล้ายคนอดอาหารมาหลายวัน ประกายในดวงตาม่นหมองลงไปจนแทบไม่อาจจดจำได้ว่าเป็นคนผู้เดิม
ในมือของมันถือสมุดไว้เล่มหนึ่งสีเหลืองเก่าบ่งบอกอายุของหนังสือได้เป็นอย่างดี ทว่าตัวหนังสือกลับไม่มีรอยขาดแหว่งแม้แต่รอยย่นก็ไม่สามารถพบเห็นย่อมบอกถึงความสำคัญของสมุดเล่มนี้ได้ดียิ่งกว่า
“รับไปไปตามรายชื่อนี้บอกว่าหวางเหลาจี่เป็นหนี้สินมัน” หวางเหลาจี่กล่าวเพียงเท่านี้ก่อนจะยืนสมุดให้ฮุ่ยซิง คนเช่นหวางเหลาจี่ยินยอมเป็นหนี้สินผู้คนเกรงว่าไม่ง่ายดายหนัก การที่มันทำเช่นนี้ย่อมบ่งบอกถึงความหนักหนาสาหัสของสภาพมันได้เป็นอย่างดี
ความจริงงานที่หวางเหลาจี่มอบให้ฮุ่ยซิงเป็นงานที่ต้องการความเชื่อใจมาก อย่างน้อยต้องทำงานในสำนักประกันสิบปี ผู้คุ้มกันที่ทำงานไม่ถึงปีดีเช่นฮุ่ยซิงต้องไม่สามารถรับงานเช่นนี้ไว้ได้
ทว่าตอนนี้สิ่งที่หวางเหลาจี่ต้องการมากที่สุดคือความสำเร็จ ต่อให้คนที่ไว้ใจได้มากกว่านี้มีอยู่มากมายมันยังคงต้องเลือกฮุ่ยซิง เพราะยามนี้ฮุ่ยซิงเป็นเพียงทางเลือกที่มันสามารถมั่นใจได้มากที่สุดว่างานจะสำเร็จลงได้
ด้านในกลับเป็นรายชื่อขุนนางมากหลายบ่งบอกรายละเอียดทั้งรูปร่างหน้าตาและที่พักอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นทุกรายชื่อยังมีข้อความมากมายต่อท้ายแม้จะแตกต่างกันไป ทว่าทุกข้อความกลับเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้ทั้งสิ้น หวางเหลาจี่ถึงกับมีสมุดเช่นนี้
ฮุ่ยซิงเมื่อรับมาก็ไม่กล่าวมากความเพียงน้อมรับและหันกายจากไป แก้มของมันสั่นกระตุกเพียงเล็กน้อยปรากฏรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเห็น รอยยิ้มสำหรับมันเพียงผู้เดียว
..............................................................................................................
หายไปนานมากขออภัยนักอ่านทุกท่านด้วยครับ (พอดีอารมณ์แต่งมันติดขัดเพราะชีวิตมันงง ๆ ) -*-
ขอบคุณทุกการติดตามของนักอ่านทุกท่านนะครับผม
ความคิดเห็น