ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #43 : สำนักประกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.61K
      57
      30 เม.ย. 56

                    สำนักประกันเกราะทองคำมิใช่สำนักประกันธรรมดาเพราะมันเป็นถึงสำนักประกันอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ของที่ฝากไว้กับมันแทบไม่เกิดการสูญเสียแม้แต่น้อยหรือหากเกิดความสูญเสียทางสำนักยินดีจ่ายคืนมากกว่าค่าของทีเสียหายเสียอีก

     

                สำนักประกันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมมีผู้คนมากหลายต้องการเข้าร่วม เช่นนี้การคัดเลือกผู้คุ้มกันของสำนักจึงนับว่าเข้มงวดยิ่ง ผู้ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันล้วนต้องได้รับการทดสอบมากมาย

                ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องมีการตรวจสอบประวัติความเป็นมาอย่างถี่ถ้วน ทั้งยังต้องมีผู้ค้ำประกันตัวตนเพราะงานประกันภัยนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นความไว้เนื้อเชื้อใจ

     ที่สำคัญสำนักประกันแห่งนี้เปิดรับสมัครเพียงปีละครั้งเท่านั้นหากผู้ใดมาผิดเวลาไม่ว่าเป็นผู้ใดล้วนไม่สามารถเข้าทำงานในที่แห่งนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ความไว้เนื้อเชื่อใจย่อมต้องเป็นความตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบ

    แม้จะดูเข็มงวดและยากลำบากยิ่งแต่ก็ยังมีคนมากมายต้องการเข้าทำงานกับสำนักประกันเกราะทองคำ ด้วยเพราะพวกมันล้วนเข้าใจความเข็มงวดเช่นนี้นี่เองที่ทำให้สำนักประกันแห่งนี้ยึดครองความเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดกาล

                “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถ” เสียงเด็ดขาดที่ดังขึ้นแสดงถึงการตัดสินใจเด็ดขาด

                “แต่ท่านพ่อ”

                เสียงทัดทานยังไม่ทันกล่าวจบเสียงที่ไร้ไมตรีก็ตัดกลับออกมา“ข้าไม่เปลี่ยนคำพูดเป็นแน่ แล้วอีกอย่างเวลานี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าเจ้าสำนัก”

                “อย่างน้อยก็ให้เขาได้ลองรับการทดสอบก่อนนะขอรับ” ที่แท้ชายผู้นี้คือเสี่ยวเปาแท้จริงแล้วฐานะของเสี่ยวเปากลับไม่ธรรมดาเป็นถึงบุตรชายของเจ้าสำนักคุ้มภัย

                “ไม่ว่าข้าพูดเช่นไรเจ้าก็ยืนยันคำเดิม”

                “ท่านก็เช่นกัน” สองพ่อลูกนี้ดูไปกลับมีนิสัยที่คล้ายกันยิ่งนัก นับว่าเสี่ยวเปาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นผลหนึ่งจริง ๆ

                “เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้ทดสอบเอง”ราชสีห์ทองคำเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย การถูกทดสอบโดยเจ้าสำนักโดยตรงไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าต้องยากเย็นกว่าการทดสอบทั่วไปมากมาย

                ทว่าเสี่ยวเปากลับนิ่งยิ่งนักทั้งยังกล่าวขอบคุณมันนี้กลับทำให้มันแปลกใจ แปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา“เจ้าคิดว่าคนของเจ้าสามารถผ่านการทดสอบของข้าได้”

                “เมื่อท่านได้พบเขาท่านจะเข้าใจ” มันพูดเพียงเท่านั้นก็สะบัดกายจากไปพร้อมกับยิ้มอย่างยินดี

                “สำเร็จแล้วเจ้าสำนักบอกว่าจะให้พี่ฮุ่ยซิงลองเข้าทดสอบดู” ฮุ่ยซิงตระหนักคำว่าท่านแม้ดูดีแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินขึ้นมันจึงให้ทุกคนเรียกหามันว่าพี่เนื่องด้วยวัยวุฒิของมันนับว่าเหนือกว่าทุกคน

                “เป็นไปได้หรอ มันไม่เหมือนเจ้าสำนักปกติเลยนะ” หลินเยี่ยหลานเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ เพราะว่ากันตามจริงอย่างไรราชสีห์ทองคำไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่าย ๆ อยู่แล้วยิ่งขัดกับกฎที่มันบัญญัติไว้ยิ่งเป็นไปได้ยากยิ่ง

                “ใช่มีข้อแม้นั้นคือเจ้าสำนักจะเป็นผู้ทดสอบพี่ฮุ่ยซิงด้วยตนเอง”

                “แย่แล้ว” ทันทีที่จบคำหลินเยี่ยหลานอุทานขึ้นอย่างตื่นตระหนกเพราะนางรู้ถึงความเข็มงวดของเจ้าสำนักเป็นอย่างดี  ความเข็มงวดที่เป็นรากฐานและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สำนักประกัน

                “ขอบใจมากทุกคน” ไม่เพียงเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณแต่ยังแฝงไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่ว่าเป็นการทดสอบใดฮุ่ยซิงก็มั่นใจอย่างเปี่ยมล้น เรื่องราวใดที่กระทำหากมีความมั่นใจย่อมสำเร็จไปแล้วห้าส่วน

                ไม่เพียงแค่หลินเยี่ยหลานที่ประหลาดใจราชสีห์ทองคำก็ประหลาดใจ ความจริงมันคิดว่าบุตรชายมันอย่างไรก็ต้องหวาดกลัวเมื่อได้ยินข้อเสนอของมัน ไม่หวาดกลัวอย่างน้อยก็ต้องกังวลใจแต่มันกลับไม่เห็นความกังวลใจในตัวของบุตรมันแม้แต่น้อย

                เช่นนี้มันจึงเตรียมการตระเตรียมสิ่งพิเศษสำหรับฮุ่ยซิง หากเห็นแววตาของมันยามนี้ไม่แน่ว่าเสี่ยวเปาคงต้องหวั่นใจ

                ฮุ่ยซิงเดินตามเสี่ยวเปาเข้าไปในสำนักประกันภัยความจริงชื่อว่าสำนักประกันย่อมมีผู้เข้าออกมาหลาย ไม่ว่าจะมาติดต่อสินค้าหรือทำสัญญาเช่นนี้เมื่อมีผู้มาเยือนส่วนมากพวกมันจึงไม่ใส่ใจ

                แต่มิใช่กับฮุ่ยซิงสีผมอันโดดเด่นนั้นเรียกร้องสายตาผู้คนได้ดียิ่ง ยิ่งมันร่วมทางกับเสี่ยวเปาและหลีเสี่ยวหลงยิ่งน่าสนใจ

                ยามนี้ฮุ่ยซิงพบกับราชสีห์ทองคำแล้ว มันก็พบเห็นฮุยซิงล้วเช่นกัน สองพยัคฆ์จ้องมองกันก่อนจะเป็นราชสีห์ทองคำที่เอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าสองคนออกไปก่อนข้าจะคุยกับเจ้าหนุ่มนี้เอง”

                ราชสีห์ทองคำหรือหวางเหลาจี่นั้นมีอายุไม่น้อยมากถึงห้าสิบขวบปี เช่นนี้จึงนับได้ว่ามันเป็นชายชราผู้หนึ่ง ชายชราความจริงพบเห็นได้ดาษดื่นทั่วไปแต่ไม่ใช่ในยุทธภพ สถานที่แห่งนี้เคี่ยวกรำผู้คนยิ่งนัก

                เช่นนี้ชายที่สามารถผ่านพ้นการเคี่ยวกรำในสถานที่แห่งนี้และยังมีชีวิตจนชรานับว่ามีไม่มากยิ่งสามารถประสบความสำเร็จได้ยิ่งน้อยยิ่งกว่า หวางเหลาจี่สามารถผ่านพ้นมาได้เช่นนี้ย่อมมิใช่ผู้คนธรรมดา

                ผู้คนที่มิใช่ผู้คนธรรมดาอย่างน้อยต้องมีความพิเศษอย่างหนึ่ง หวางเหลาจี่ก็มีความพิเศษอันหนึ่งเช่นกัน สำนักประกันไม่เพียงต้องมีความสามารถในการปกป้องสินค้าและผู้คนยังต้องมีความสามารถในการดูสินค้าและผู้คนเช่นกัน

                พ่อค้าวานิชต้องมีสายตาที่ดีในการดูสินค้าเพราะหากดูผิดครั้งหนึ่งย่อมหมายถึงขาดทุน สำนักประกันก็เช่นกันแต่มันมิเพียงคัดเลือกสินค้ายังต้องคัดเลือกผู้คน

                สินค้าปลอมคนร้ายสองสิ่งนี้มักพบเจอได้ในสำนักประกัน สำนักประกันเกราะทองคำก็เช่นกันสองสิ่งนี้วนเวียนเข้ามาจนไม่สามารถนับครั้งได้ ความสำเร็จในการหลอกหลวงสำนักประกันแห่งนี้ก็ไม่สามารถนับครั้งได้เช่นกัน

                ทั้งนี้เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่สำเร็จเมื่อไม่มีครั้งใดสำเร็จย่อมไม่สามารถนับครั้งได้แล้ว เช่นนี้หวางเหลาจี่จึงมีนัยน์ตาที่ไม่ธรรมดาเพราะนัยน์ตาของมันจึงนำพาความรุ่งเรือนสู่สำนักประกัน

                ยามนี้นัยน์ตาคู่นั้นกำลังจ้องมองฮุ่ยซิง ดวงตาทั้งสองของมันไม่ธรรมดาและดวงตาคู่นี้บ่งบอกมันบุคคลคนตรงหน้ามิใช่บุคคลธรรมดาถึงกับพิเศษเหนือผู้ใดที่มันเคยพบผ่าน พิเศษจนดวงตาของมันคู่นี้ไม่สามารถอ่านออกได้

                “ทำไมเจ้าถึงต้องการเข้าสำนักประกันแห่งนี้” เมื่อไม่สามารถมองทะลุเข้ามาในตัวของฮุ่ยซิงก็ให้มันเปิดเผยตัวตนออกมาเอง คำถามปลายเปิดเช่นนี้นับว่าสามารถบ่งบอกตัวตนของคนได้ไม่น้อยจริง ๆ

                “สตรีมักชื่นชอบเครื่องประดับแต่งหน้าประทินโฉมแม้จะมีราคาสูงล้ำบางครั้งถึงกับต้องลำบากตรากตรำเพื่อได้มาแต่พวกนางก็ยอมกระทำ ทั้งนี้เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมพวกนางให้มีหน้าตาที่ดี” ฮุ่ยซิงไม่เพียงไม่ตอบคำถามกลับเล่าถึงเรื่องราวอันไม่เกี่ยวข้อง นัยน์ตาของราชสีห์เฒ่าท้อประกายมันยังคงจับจ้องรอคอยคำตอบของฮุ่ยซิง

                “บุรุษก็เช่นเดียวกันชายชาตรีหากคิดจะยืนยัดอย่างสง่างามก็ต้องการเครื่องประดับเช่นกัน ไม่แน่ว่าเครื่องประดับของบุรุษยังสูงค่ากว่าสตรี”

                “เครื่องประดับของบุรุษ” หวางเหลาจี่อดไม่ได้ที่จะทวนคำบุรุษหากเป็นชาวยุทธจวบจนปัจจุบันมันยังไม่เคยเห็นผู้ใดส่วมใส่เครื่องประดับ เพราะทั้งนี้เครื่องประดับล้วนเป็นสิ่งของที่สตรีใช้เช่นนี้บุรุษจึงไม่ยึดถือต่อเครื่องประดับ

                “ข้าพเจ้าก็ตามหาเครื่องประดับชนิดนี้เช่นกัน เครื่องประดับที่เรียกว่าความสำเร็จ” วาจานี้ของฮุ่ยซิงนับว่าไม่แปลกปลอม ทั้งยังเป็นจริงอย่างยิ่ง

                ยามนี้หวางเหลาจี่นัยน์ตาเบิกค้างมันถึงกับตื่นตะลึง ความจริงเรื่องนี้หากท่านผ่านช่วงเวลาอันยาวนานย่อมสามารถเข้าใจ หวางเหลาจี่ก็เข้าใจเช่นกันแต่มันไม่คาดคิดว่าบุรุษวัยเช่นฮุ่ยซิงจะสามารถเข้าใจ ทั้งยังสามารถบอกกล่าวได้อย่างดียิ่ง

                “ท่านยังต้องการถามคำถามใดอีก” ความจริงฮุ่ยซิงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม ทว่ามันต้องการตอกย้ำหวางเหลาจี่ลงไป เมื่อตอกตะปูลงมันต้องตอกให้สุดนี้นับเป็นคติของฮุ่ยซิง

              “คุณธรรมสำหรับเจ้าคืออะไร”

                “คุณธรรมคือสิ่งที่คนส่วนมากเห็นว่าถูกต้อง สิ่งที่ทำให้ผู้คนส่วนมากพอใจ” ใช่แล้วสำหรับฮุ่ยซิงมันมองว่าคุณธรรมเป็นเพียงวาจาหนึ่งที่คนส่วนใหญ่กำหนดไว้เพื่อที่จะให้คนที่เหลือทำในสิ่งที่มันต้องการ

                “เจ้ามีนามว่าอะไร” เวลานี้ไม่ว่าคำถามใดล้วนไม่จำเป็นอีกต่อไปฮุ่ยซิงแสดงจุดยืนที่ไม่มีผู้ใดเคยสร้างในสายตาหวางเหลาจี่สำเร็จแล้ว ทั้งยังรวบรัดยิ่งจนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคาดคิด

                “ฮุ่ยซิง” หากมีใครสักคนบอกว่าหวางเหลาจี่สามารถทำให้ผู้คนเชื่อถือได้ในวาจาไม่กี่ประโยคไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าคัดค้าน ทว่าหากมีผู้ใดบอกว่ามีผู้ที่สามารถทำให้หวางเหลาจี่เชื่อถือได้ในวาจาไม่กี่ประโยคไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่เชื่อถือ

                ที่จริงหวางเหลาจี่มิได้เชื่อถือฮุ่ยซิงถึงเพียงนั้น หากแต่มันเชื่อถือในแนวคิดของตนเอง แนวคิดของมันบุรุษย่อมต้องคู่กับความสำเร็จหากบุรุษใดไม่สามารถหาความสำเร็จมันผู้นั้นย่อมมิใช่บุรุษ เช่นนี้การเชื่อถือวาจาฮุ่ยซิงใยมิใช่เชื่อถือตนเอง

                หวางเหลาจี่เชื่อถือในตนเองเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้มันจึงต้องเชื่อถือในวาจาของฮุ่ยซิง เวลาผ่านพ้นยังไม่ถึงช่วงเวลาน้ำเดือดทว่าฮุ่ยซิงกลับเดินออกมาจากห้องพร้อมกับหวางเหลาจี่ ถึงกับทำให้หลีเสี่ยวหลงกับเสี่ยวเปาถึงกับตื่นตะลึง

                พวกมันไม่คาดคิดว่าฮุ่ยซิงจะถูกปฏิเสธ ความจริงพวกมันยังไม่ได้ฟังคำกล่าวอันใดทว่าช่วงเวลาที่รวดเร็วถึงเพียงนี้ หวางเหลาจี่ย่อมไม่ยอบรับผู้คนเมื่อมันคิดเช่นนี้จึงไม่แปลกที่มันจะคิดว่าฮุ่ยซิงถูกปฏิเสธ

                “หลีเสี่ยวหลงเจ้าตามข้ามาที่ลานฝึกยุทธ” เหมือนพวกมันยังไม่เข้าใจสองขายังไม่ก้าวเดินเพียงแค่ยืนมองดูอย่างมึนงง “ข้าบอกให้ตามข้ามาที่ลานฝึกยุทธ”

                เสียงที่กระแทกจนแทบเป็นตะโกนได้ปลุกสติของพวกมันขึ้นมา “แล้วการทดสอบแรกละขอรับ”

                “เสร็จแล้ว” วาจานี้ยิ่งตอกย้ำพวกมันใบหน้าของทั้งสองด้านชาราวกับถูกฝ่ามือไร้สภาพกระแทกอย่างรุนแรง เสร็จการทดสอบแรกหากต้องรับการทดสอบต่อไปย่อมหมายถึงผ่านการทดสอบแรกแล้ว

                “ข้าไม่ได้ฝันไปสินะ” เป็นเสี่ยวเปาที่คล้ายยังไม่อาจยอมรับความจริงมันยิ่งคิดว่าตนเองกำลังฝันไป ก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าของหลีเสี่ยวหลงอย่างแรง

                “เจ้าทำอะไร” หากเป็นยามปกติฝ่ามือนี้ของเสี่ยวเปาย่อมไม่อาจสัมผัสถูกมัน ทว่ามันก็เป็นเช่นเดียวกับเสี่ยวเปาสมองยังไม่อาจใช้งานได้ดีนัก

                “หลีเสี่ยวหลงตามมาได้แล้ว ส่วนเจ้าข้าพาไปเอง” หวางเหลาจี่พูดจบก็คว้าเอาเสี่ยวเปาขึ้นบ่าไว้ก่อนจะเดินนำออกไป

                “เจ้าต้องสู้กับฮุ่ยซิง” สิ้นวาจาหลีเสี่ยวหลงสับสนเล็กน้อยก่อนจะคารวะหวางเหลาจี่เดินขึ้นลานประลองไป ทว่าฮุ่ยซิงกลับไม่ติดตามไปมิเพียงไม่ติดตามไปแม้สักก้าวยังไม่ก้าวออก

                “เจ้าต้องขึ้นไปสู้กับมันเพื่อให้ข้าวัดฝีมือ” หวางเหลาจี่คล้ายเห็นฮุ่ยซิงไม่เข้าใจมันจึงบอกอีกครั้ง

                “ข้าพเจ้าไม่สามารถ”

                “เจ้าไม่จำเป็นต้องชนะ ข้าเพียงต้องการวัดฝีมือของเจ้าเท่านั้น”

                “ไม่สามารถ” ยามนี้หวางเหลาจี่ดวงตาวาวโรจน์ ต่อให้มันใจฮุ่ยซิงเพียงใดก็ไม่ยอมรับคนที่ขัดคำสั่งมัน

                “พี่ฮุ่ยซิงขึ้นไปเถอะไม่เป็นไรหรอก” เสี่ยวเปาเห็นท่าไม่ดีรีบร่ำร้องบอกฮุ่ยซิง

                “เพราะเหตุใด” น้ำเสียงที่เคยเป็นมิตรของหวางเหลาจี่บัดนี้กลับเรียบเฉยจนน่าตระหนก คำตอบนี้ของฮุ่ยซิงอาจทำให้มันสูญเสียงานประกันไปก็เป็นได้

                “ข้าพเจ้าไม่อาจขึ้นไปเพราะหลีเสี่ยวหลงเป็นสหายของข้าพเจ้า” คำตอบนี้ของฮุ่ยซิงกลับทำให้ผู้คนมึนงง แม้แต่หวางเหลาจี่ที่กำลังร้อนระอุบัดนี้ยังคล้ายด้านชาไป

                “เจ้าสู้กับสหายมีอันใดไม่สมควร” เป็นหวางเหลาจี่ก็ถามขึ้นในยุทธภพสหายแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยการประลองนับว่ามีไม่น้อย มันยังมิสามารถเข้าใจความคิดของฮุ่ยซิงในเวลานี้

                “ข้าพเจ้าไม่รู้จักวิธ๊ต่อสู้” วาจานี้ของฮุ่ยซิงทำให้เสี่ยวเปากับหลีเสี่ยวหลงมึนงงยิ่งนัก เพราะมิใช่ฮุ่ยซิงหรอกหรอที่ช่วยเหลือพวกมันแล้วใยฮุ่ยซิงจึงสามารถไม่รู้จักวิธีต่อสู้

                “ข้าพเจ้ารู้จักเพียงวิธีฆ่าคน ข้าพเจ้าไม่ต้องการฆ่าสหายเช่นนี้จึงไม่สามารถ”




    .................................................................................................

    ขออภัยที่ลงช้านะครับนักอ่านที่รักทุกคน พอดีเกิดอุบัติเหตุน้ำมันลวกมือเลยไม่ได้พิมคอมไปหลายวัน TnT
    ขอบคุณทุกครั้งสำหรับทุกการติดตามนะครับผม :D

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×