ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #39 : ผสาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      72
      16 เม.ย. 56

                    “ของท่าน” ฮุ่ยซิงทวนคำขึ้นอย่างไม่เชื่อถือรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในวาจาของเทียนป้าอ๋อง

     

                “กินมันลงไปซะแล้วซึมซับพลังของมัน” นี้เป็นเรื่องที่ฮุ่ยซิงเคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่าเราสามารถดูดซึมพลังวัตรของผู้อื่นมาเป็นของตนเพียงแต่มันดูสะดวกสบายเกินไปจึงทำให้ฮุ่ยซิงไม่อาจเชื่อถือได้เท่าใดนัก

                ทว่าพลังของเทียนป้าอ๋องที่ครั้งหนึ่งเคยสั่นสะท้านยุทธภพ เขย่าขวัญนักสู้ทั่วแผ่นดินเพียงคิดเท่านี้ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ฮุ่ยซิงล้วนไม่อาจต้านทานไหว พลังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชนวนเหตุแห่งการฆ่าฟัน พลังที่ทั่วทั้งยุทธภพต่างกลัวเกรงบัดนี้อยู่ตรงหน้ามันแล้ว

                “ไม่ถูกต้อง” ฮุ่ยซิงเมื่อคิดถึงตรงนี้กลับพบความผิดแปลกยิ่งกว่าเดิม สมองของมันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เรื่องนี้ประหลาดเกินไปเหลือเชื่อเกินไป

                “ท่านตายในการต่อสู้กับหวางกงชี่” ฮุ่ยซิงไม่รู้คิดอันใดกลับเอ่ยคำถามที่มันรู้ดีแก่ใจขึ้นมา

                “ใช่”

                “เช่นนั้นพลังนี้จะมาจากท่านได้อย่างไร” ใช่แล้วนี้คือสิ่งที่มันรู้สึกว่าผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง หากเทียนป้าอ๋องตายระหว่างการต่อสู้กับหวางกงชี่เช่นนั้นมันจะเอาพลังกลับมาเก็บไว้ได้อย่างไร เพราะเท่าที่มันรู้มาชาวยุทธต่างตามล่าสำนักสุริยันจนไม่มีแม้แต่แผ่นดินให้อยู่

                “ข้าใส่ไว้ก่อนที่จะไป” คำตอบของเทียนป้าอ๋องยิ่งมายิ่งทำให้มันงุนงงยิ่งขึ้นอีก หากเทียนป้าอ๋องถ่ายโอนพลังวัตรไว้เช่นนั้นมันจะไปต่อสู้กับผู้อื่นได้อย่างไร

                แต่เป็นเทียนป้าอ๋องที่คล้ายรู้ว่าฮุ่ยซิงประหลาดใจเพียงใดมันจึงกล่าวต่อ “ห้าส่วนลูกแก้วนี้เก็บพลังวัตรของข้าไว้ห้าส่วน”

                เรื่องนี้คล้ายมีเหตุผลแต่กลับยิ่งทำให้ฮุ่ยซิงตกตะลึง “เช่นนั้นท่านไปสู้กับหวางกงชี่ด้วยพลังเพียงห้าส่วนแล้ว”

                “ใช่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วภูตอเวจีเมื่อฝึกต้องใช้วิญญาณของผู้อื่นมาร่วมฝึกปัญหาเรื่องการแย่งร่างนั้นข้าเองก็พบเจอเช่นกัน”

                “เช่นนี้ที่ข้าทำไปทั้งหมดล้วนต้องการหาที่ตาย แต่หากตายอย่างเงียบเหงาเกินไปใยมิใช่จืดชืดไร้รสชาติยิ่งนัก” คำตอบนี้ของมันคล้ายคลายความสงสัยให้ฮุ่ยซิงได้หลายส่วน

                “แต่ท่านสู้กับหวางกงชี่อย่างสูสี”

                “แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้”

                “ท่านใช้พลังเพียงห้าส่วนสู้กับหวางกงชี่” นี้นับเป็นเรื่องที่ตื่นตระหนกที่สุดตั้งแต่มันเคยได้ยินมาเลยทีเดียว ยิ่งคำตอบของเทียนป้าอ๋องยิ่งคล้ายต้องการกระชากสติของมันให้หลุดลอย

                “ข้ากับหวางกงชี่ความจริงคล้ายสหายและศัตรูพวกเราทั้งสองต่างมีแนวคิดเป็นของตนเองต้องการใฝ่หาความเก่งกาจโดยไม่ต้องตกอยู่ในกรอบของผู้อื่น”

                “ข้าเลือกสุดขั้วหยางมันเลือกสุดขั้วหยิน แต่นั้นนับเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงของมัน ต่อให้มันฝึกปริอตลอดชีวิตอย่างไรก็ไม่สามารถต่อกรกับข้าได้”

                “เพศชายกำเนิดมาด้วยธาตุหยางเช่นนี้จึงมีพลังธาตุหยางมากกว่าเพศหญิงและกลับกันในอีกด้านหนึ่ง เช่นนี้หวางกงชี่ที่ฝึกปรือพลังหยินต่อให้สิ้นชีวิตมันก็ไม่มีวันสำเร็จอย่างแท้จริง” วาจานี้ของเทียนป้าอ๋องนับว่าเป็นเหตุผลอย่างแท้จริง

              แม้เป็นความจริงแต่จะมีสักที่คนที่เข้าใจ บุคคลเมื่อบังเกิดอคติในใจแล้วย่อมไม่สามารถมองเช่นเทียนป้าอ๋องได้ หวางกงชี่ก็เปรียบเหมือนอคติในใจผู้คน เป็นเพราะมันเก่งกาจจนเกินไปทุกผู้คนจึงย่ำเกรงเมื่อผู้คนยำเกรงย่อมไม่อาจคิดเป็นอื่น

                ฮุ่ยซิงก็เป็นเช่นผู้อื่นมันก็มีอคติอยู่ในใจเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียนป้าอ๋องให้มุมมองที่แตกต่างมันจึงสามารถมองผ่านอคติในใจมัน ยิ่งรับรู้สมองของมันยิ่งทำงานช้าลงปลายนิ้วทั้งสองจึงคีบเอาวิญญาณภูตเข้าปากไป

                วิญญาณภูตกลับคล้ายเป็นยาวิเศษขนานหนึ่งเมื่อกลืนลงคอก็เริ่มทำงานของมัน ทั่วร่างของฮุ่ยซิงคล้ายพองลม เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาแทบจะปริผ่านผิวหนังออกมาการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสร้างความปวดร้าวแก่ฮุ่ยซิงทั้งยังแสบร้อนเป็นอย่างยิ่ง

                ยิ่งมายิ่งรุนแรงนี้นับว่าเป็นวาจาที่สามารถเอ่ยบอกถึงสภาพที่ฮุ่ยซิงประสบได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเส้นเลือดที่โป่งพองแม้แต่เลือดในกายมันยังซูบฉีดอย่างรุนแรง รุนแรงคล้ายน้ำป่าสายหนึ่ง

                เสียงของเลือดที่ไหลไปทั่วร่างฮุ่ยซิงได้ยินชัดราวกับเอาหูไปแนบตามผิวหนังของมัน เสียงหัวใจที่เต้นเร้าราวกับต้องการกระโดดออกมาจากร่างของมัน

                ฮุ่ยซิงความจริงเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแรงผู้หนึ่ง ลูกผู้ชายล้วนต้องเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจถึงสามารถเรียกเป็นลูกผู้ชาย ฮุ่ยซิงที่เป็นลูกผู้ชายอันแข็งแรงยิ่งต้องทนทานกว่าลูกผู้ชายทั่วไป

                ทว่ายามนี้ฮุ่ยซิงแผดร้องแล้ว แผดร้องอย่างสุดเสียงเสียงคำรามของมันคล้ายต้องการชำแรกผ่านแผ่นดินลงไปยังดินแดนเบื้องล่าง คล้ายต้องการแหวกแผ่นฟ้าขึ้นไปยังสรวงสรรค์ เสียงแผดร้องของมันคล้ายต้องการให้ทุกผู้คนได้ยิน

                ความเจ็บปวดที่ทำให้มันต้องแผดร้องออกมาเช่นนี้ย่อมเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายเป็นวาจา ยิ่งมาเสียงของมันกลับแผ่วเบาลงจนกระทั้งเป็นเสียงไอหนัก ๆ ต่อเนื่องกัน ความเจ็บปวดยังไม่สิ้นสุดแต่ยามนี้มันไม่มีเสียงให้แผดร้องอีกแล้ว

                สองมือของฮุ่ยซิงจิกเข้าไปในลำแขนของมัน ลำแขนที่ผ่านการฝึกฝนนับร้อยพันจนแทบทนทานยิ่งกว่าเหล็กกล้า บัดนี้เหล็กกล้านั้นถูกทำให้เสียหายแล้วด้วยสองมือที่ฝึกฝนมากไม่แพ้กับร่างกายย่อมสามารถสร้างบาดแผลให้ร่างกายมัน

                ฮุ่ยซิงความจริงคิดย้ายความเจ็บปวดไปยังบาดแผล แต่เสียดายที่บาดแผลกับไม่เจ็บปวดเท่าใดหรือไม่แน่เพราะมันไม่อาจรับความเจ็บปวดได้มากกว่านี้แล้ว บาดแผลที่ท่อนแขนจึงด้านชาราวกับไร้ความรู้สึก

                ความเจ็บปวดที่มันเผชิญสามารถทำให้ผู้คนตายตกจริง ๆ เลือดอาบชโลมกายของมันทั่วร่างฝากไว้ด้วยรอยช้ำมากมายบางรอยถึงกับฉีกเป็นแผลลึกลงไปก็มี ตามร่างกายเปราะเปื้อนไปด้วยฝุ่นจากพื้นที่มันคลุกกลิ้งไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด

                ทว่ายามนี้ฮุ่ยซิงกลับไม่เจ็บปวดแล้วความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่มัน ความรู้สึกที่ยากอธิบายแต่เป็นความรู้สึกที่มันชื่นชอบเหลือเกิน ฮุ่ยซิงลุกขึ้นบัดฝุ่นตามร่างกายวิญญาณภูตไม่เพียงให้พลังแก่มันแต่ยังมอบความสามารถบางประการแก่มัน

                ขณะที่มันปัดฝุ่นทุกครั้งที่มือของมันเลื่อนผ่านบาดแผลก็กลายเป็นแห้งสนิทแม้จะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมหายดีแต่ก็นับว่าดีไม่น้อย ฮุ่ยซิงลองกำหมัดขึ้นกลับรู้สึกว่าหมัดของมันทรงพลังยิ่งท่อนแขนที่เคยซูบผอมบัดนี้กลับหนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

                พลังทั่วร่างเปี่ยมล้นจนไม่อาจควบคุมฮุ่ยซิงกู่ร้องยาวนานก่อนจะกระทืบพื้นดินคราหนึ่ง ฝ่าเท้าที่ฮุ่ยซิงกระแทกลงรุนแรงกระทั้งแผ่นดินยังสั่นสะเทือน พื้นที่ด้านบนไม่อาจรับแรงกระแทกนี้ไว้จึงได้แต่พังตัวลงมา

                หากมีผู้คนมาเห็นสำนักสุริยันยามนี้คงต้องอุทานออกมา ทั่วทุกแห่งกลับพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่การกวาดล้างครั้งโน้นยังไม่ร้ายแรงเท่านี้ ยามนี้แม้แต่คำว่าเศษซากไม่อาจนิยามความพินาศของที่แห่งนี้

                ฮุ่ยซิงคล้ายยังเหลือพลังอยู่เปี่ยมล้นตวาดเรียกเงาดัง ๆ ก่อนจะทะยานออกไป มันวิ่งอย่าไม่หยุดพักจนกระทั้งเห็นชานเมืองหนึ่ง ยามที่มันเดินมายังสังเกตเห็นเงาที่ยามนี้มีเหงื่อโทรมกายทั้งยังหอบหายใจอย่างไม่หยุดยั้ง

                ฮุ่ยซิงเดินผ่านกำแพงเมืองอย่างไร้ปัญหาอาจเพราะเป็นเมืองนอกด่านการตรวจตราจึงไม่เข็มงวดรัดกุมเท่าใด หรือไม่แน่เพราะสภาพที่เลอะเท่อของฮุ่ยซิงจึงไม่มีคนใคร่สนใจ

                แต่เรื่องราวกับไม่เป็นอย่างที่ฮุ่ยซิงคิดเสื้อผ้าที่เลอะเท่อของมันกลับดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากไม่น้อย เสียงกระซิบกระซาบที่มาพร้อมกับสายตาผู้คนทุกครั้งที่มันผ่านไปมา เพียงชายซอมซ่อเดินทางผู้เดียวย่อมไม่ดึงดูดความสนใจผู้คนแต่ที่น่าสนใจไม่แน่อาจเป็นเพราะเงาที่ตามหลังมัน

                ฮุ่ยซิงยังไม่ต้องการให้ผู้ใดสนใจมันยามนี้มันกวักมือไปมาเป็นสัญญาณให้เงาเว้นระยะห่างจากมัน แต่กลับไม่สามารถล้มเลิกความสนใจของผู้คน ยิ่งมายิ่งมากขึ้นถึงกับมีไม่น้อยที่ใช้นิ้วชี้มาตรง ๆ

                ฮุ่ยซิงจากใส่ใจเปลี่ยนเป็นไม่ใส่ใจเดินตรงไปยังร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มันจะสามารถมองเห็น ทันทีที่ฮุ่ยซิงเพียงคิดจะก้าวเข้าไปก็พบกับร่าง ๆ หนึ่งที่พุ่งเข้ามาขวางมันทันควัน ร่างนี้ที่แท้เป็นเสี่ยวเอ๋อที่ประจำอยู่ในร้านแน่นอน

                เพราะหากไม่ใช่เสี่ยวเอ๋อย่อมไม่ขัดขวางมันและหากเป็นเถ้าแก่ย่อมไม่ลดตัวลงมาขัดขวางคนซอมซ่อเช่นมัน แต่ฮุ่ยซิงกลับยิ้มอย่างประหลาดนักพลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อมันรู้วิธีจัดการกับคนพวกนี้ดียิ่งนัก

                เสียดายที่มันรู้แต่กลับไม่สามารถจัดการอกเสื้อของมันว่างเปล่าแล้ว ที่แท้เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของมันไม่อาจกักเก็บแท่งเงินอันใดเช่นนี้แท่งเงินจึงได้หล่นหายไปแล้ว ฮุ่ยซิงเมื่อไม่มีเงินย่อมไม่สามารถจัดการทาสแห่งเงินผู้หนึ่ง

                “เฮ้ ให้น้องชายผู้นั้นเข้ามา” เหมือนโชคของฮุ่ยซิงยังไม่เลวร้ายเกินไปนัก  เสี่ยวเอ๋อเมื่อเห็นเงินในมือมันก็รีบแล่นไปคำนับอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่วายส่งสายตาหยามเหยียดมาทางฮุ่ยซิงอีกครั้งหนึ่ง

                ฮุ่ยซิงเดินผ่านผู้คนมากหลายไปยังโต๊ะที่เรียกหามัน ลูกค้าหลายโต๊ะจับจ้องมายังมันไม่แน่ว่าขอทานยังสามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้มากกว่าเศรษฐีใหญ่ผู้หนึ่งหากเป็นสถานที่แห่งนี้ แต่ฮุ่ยซิงหาได้สนใจไม่

                ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีของคนในโต๊ะหรือฮุ่ยซิงกันแน่ เพราะถึงเสื้อผ้าจะขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีแต่ฮุ่ยซิงยังรู้จักอาบน้ำทั้งยังรักษาความสะอาดร่างกายเข่นนี้ก่อนเข้าเมืองมันจึงแวะที่ลำธารสายหนึ่งเพื่อชำระร่างกาย

                ฮุ่ยซิงมานั่งยังโต๊ะที่ประกอบไปด้วยสองบุรุษสามสตรี นอกจากบุรุษที่เรียกหาฮุ่ยซิงแล้วที่เหลือหากไม่แสดงความรังเกียจก็ต้องมองดูมันด้วยสายตาหยามเหยียด หากดูจากการแต่งตัวของพวกมันฮุ่ยซิงก็พอเข้าใจอยู่บ้าง

                คนเราหากเกิดมาในชาติตระกูลที่สูงส่งเกินไปมีไม่น้อยที่มักจะตัดสินใจคนจากรูปลักษณ์ภายนอกจึงมักจะรังเกียจคนที่ฐานะต่ำกว่าตน แต่ก็มีบางพวกที่กลับสนใจในตัวคนแบบนั้นนักเนื่องจากมันไม่เคยพบเจอชายที่เปิดทางให้ฮุ่ยซิงเข้ามาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน

                “เชิญนั่ง ๆ “ เป็นชายหนุ่มที่เรียกหามันบัดนี้ที่โต๊ะกลับเพิ่มเก้าอี้อีกตัวหนึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้นับว่าว่องไวยิ่ง เงินหนึ่งแท่งในมือของชายผู้นั้นนับว่าเสกสรรสิ่งของได้ราวกับเล่นกล

                ฮุ่ยซิงไม่คิดจะแสดงท่าทางเกรงใจมันเพียงนั่งลงตามที่ชายผู้นั้นบอกโดยไม่กล่าวคำ แน่นอนบริเวณที่มันนั่งกลับถูกคนที่เหลือเว้นที่ว่างไว้ให้อย่างล้นลาม นี้มองได้เป็นทั้งการให้เกียรติหรือรังเกียจทั้งนั้นแต่ฮุ่ยซิงกลับมั่นใจว่าคงเป็นอย่างหลังแน่นอน

                ฮุ่ยซิงยังไม่ยอมเอ่ยปากออกมาสร้างบรรยากาศที่อึดอัดยิ่งนัก มันเพียงจ้องมองไปยังอาหารบนโต๊ะฮุ่ยซิงเลือกใช้การกระทำแทนคำพูดสุดท้ายก็เป็นชายผู้เดิมที่เชื้อเชิญให้มันลงมือ

                ฮุ่ยซิงจัดการอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วแต่ยังคงไว้ด้วยความงดงาม กริยาท่าทางของมันใช้บอกฐานะของตนแทนวาจา การกินของฮุ่ยซิงนับว่าเป็นการลิ้มชิมรสอย่างแท้จริงทั้งยังละเมียดละไมยิ่งนัก

                สายตาทุกคู่บนโต๊ะที่มองมันล้วนเปลี่ยนไปบุคคลที่มีกิริยาท่าทางเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ขอทาน สายตาที่เคยดูถูกเหยียดหยามมันบัดนี้ได้หายไปจากใบหน้าของพวกนั้น ฮุ่ยซิงเมื่อกินเสร็จก็ไม่เอ่ยวาจาอันใดเพียงแต่ไอออกมาหลายครา

                การเปลี่ยนแปลงนี้หากมิใช่ชนชั้นโง่งมย่อมดูออก แน่นอนบุคคลบนโต๊ะย่อมมิใช่ชนชั้นโง่งมพวกมันจึงสั่งสุรา ทั้งสุราที่สั่งมายังเป็นสุราชั้นดีการกระทำของฮุ่ยซิงเมื่อครู่นับว่าสร้างภาพพจน์ใหม่ในตัวมันขึ้นมาอย่างแท้จริง

                ฮุ่ยซิงเมื่อได้รับสิ่งใดมาย่อมรู้จักตอบแทน ดังนั้นเมื่อสุราหมดลงมันจึงเอ่ยคำ “ตัวข้าตอนนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนน้ำใจของพวกท่าน”

                “ไม่จำเป็น ๆ นี้ล้วนเป็นเราเชื้อเชิญท่านมา” เป็นชายผู้เดิมที่เอ่ยปากออกมา

                “อย่างน้อยให้ข้าได้ตอบแทนบ้างเถอะ พวกท่านมีผู้ใดสนใจทำนายดวงชะตาหรือไม่ ข้าพเจ้าพอจะรู้วิชาฝีมือด้านนี้เล็กน้อย” ฮุ่ยซิงเอ่ยคำขึ้นมาทั้งโต๊ะถึงกับส่อแววประหลาดใจอย่างปิดไม่มิดยิ่งชายที่เชิญมันเข้ามายิ่งประหลาดใจยิ่ง

                ที่แท้มันถึงกับเชิญหมอดูผู้หนึ่งมา

               

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×