ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #36 : รูปปั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.79K
      75
      27 มี.ค. 56

                    รูปปั่นนั้นรูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่ก็สูงกว่าฮุ่ยซิงถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ใบหน้าถูกแกะสลักอย่างงดงามดูจากรูปลักษณ์แล้วชายหนุ่มที่เป็นต้นแบบต้องเป็นชายงามระดับเมืองเลยทีเดียว เสื้อผ้าคลุมอยู่แม้ฮุ่ยซิงไม่ได้สัมผัสแต่ก็รู้ได้ว่าเป็นผ้าชั้นยอดแน่นอน กระบี่ในมือดูเล่อค่าควรเมืองทั้งด้ามจับและปลอกกระบี่ล้วนทำจากหยกสีขาวสะอาดทั้งยังประดับอัญมณีที่สีสั้นตัดกันอย่างสวยงาม แต่ที่สะดุดตาที่สุดกับเป็นนัยน์ตาคู่นั้นที่เชิดขึ้นหยิ่งยโสราวกับโลกทั้งใบไม่อยู่ในสายตาของมัน

     

                สัมผัสแรกที่ฮุ่ยซิงรู้สึกคือความนุ่มนวลของเนื้อผ้าที่คล้ายลื่นไหลผ่านได้แม้กระทั้งน้ำราวกับปลาน้ำลึก พริบตานั้นฮุ่ยซิงรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ควรมีในร่างที่ไร้ชีวิตนี้ความอบอุ่นนั้น สมองมันกู่ก้องคำรามถึงอันตรายทันใดร่างของฮุ่ยซิงทะยานออกด้านข้างอย่างรวดเร็ว

                แต่ยังนับว่าสายเกินไปสายเส้นกระบี่พาดผ่านร่างมันอย่างรวดเร็ว บาดแผลแม้ไม่อาจคราชีวิตฮุ่ยซิงแต่มันก็ฝากรอยแผลลึกแทบตัดกระดูกไว้ ทั้งยังความร้อนราวกับถูกเหล็กล้นไฟทาบร่างที่แล่นจากบาดแผลนั้นแทบไม่อาจทนทานได้

                “บัดซบ” ฮุ่ยซิงคำรามก้องเวลานี้มันไม่มีเวลาสำหรับความอ่อนแอ ตั้งท่าร่างเตรียมรับการโจมตีที่จะติดตามมา เพียงแต่รูปปั่นไม่ขยับมันกลับไปยังท่าเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

                แต่ฮุ่ยซิงรู้ดีว่ามันเกิดขึ้นจริงบาดแผลที่พาดอยู่บนอกของมันยังเด่นชัด ความรู้สึกเผาไหม้ที่อยู่บนบาดแผลยังคงทรมานมันแทบตาย “นั่งลงพักซะ รูปปั่นนั้นจะไม่ขยับติดตามเจ้ามันเพียงแค่โจมตีเมื่อมีสิ่งมาสัมผัสมันเท่านั้น”

                วาจาของเทียนป้าอ๋องทำให้ฮุ่ยซิงคับแค้นใจแทบตาย แต่มันก็นั่งลงแล้วหยิบยาสมานแผลขึ้นทาพร้อมกับโคจรลมปราณไปที่บาดแผลอย่างไม่หยุดยั้ง ความเจ็บปวดแม้เบาบางลงแต่ยังสามารถกัดกินผู้คนได้อยู่

                “ทำไมไม่บอกก่อน” ฮุ่ยซิงกัดฟันถามอย่างเจ็บปวดก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบที่บาดแผล ทันทีที่ฝ่ามือของมันสัมผัสบาดแผดเลือดก็หยุดไหลพร้อม ๆ กับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดของฮุ่ยซิง มันใช้ความร้อนสมานแผลซ้ำอีกครั้งนั้นเองทั้งยังบังคับลมปราณในร่างให้ต้านปราณร้อนที่แทรกเข้ามา

                “ที่ไม่คุ้นเคยย่อมมีกับดักมากมายเจ้าผิดเองที่ไม่ระวังตัว ถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพงแล้วกัน” วาจานี้ของเทียนป้าอ๋องนับว่าไม่แปลกปลอม แต่คิดแล้วยังไงมันก็อดเจ็บใจไม่ได้ยิ่งบาดแผลมันยังคงปวดแสบปวดร้อนเช่นนี้มันยิ่งไม่อาจยอมรับได้จริง ๆ

                “เจ้าใช้อย่าต่อต้านมันจงหลอมรวมมันเข้าเป็นอีกส่วนของตัวตน” คำพูดนี้ของเทียนป้าอ๋องนับว่าไม่แปลกปลอม ลมปราณที่ชำแรกเข้าสู่ร่างฮุ่ยซิงกลับเป็นลมปราณร้อนเช่นเดียวกัน แทนที่จะต่อต้านหากสามารถหลอมรวมได้ใยมิใช่ง่ายดายกว่า

                บาดแผลสมานตัวพร้อม ๆ กับความร้อนที่จางหายไปการหลอมรวมลมปราณกลับไม่ยากเย็นอย่างที่คิดไว้ แต่ฮุ่ยซิงไม่รู้เนื่องด้วยลมปราณที่ส่งผ่านมาเป็นลมปราณร้อนเช่นเดียวกันทั้งยังเป็นชนิดเดียวกัน หากผู้ที่ถูกฟันนั้นไม่ใช่ฮุ่ยซิงแต่เป็นผู้อื่นยามนี้คงถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไป

                “แล้วประตูกลอยู่ตรงไหนกัน” คราแรกฮุ่ยซิงคิดว่าประตูกลต้องมีกลไกซ่อนอยู่ที่รูปปั่นนั้น แต่กลับกลายเป็นกับดักสายหนึ่ง เช่นนี้รูปปั่นคงเป็นเพียงตัวล่อที่เอาไว้สังหารผู้ที่เข้ามาอย่าไงม่ต้องสงสัย

                “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” เทียนป้าอ๋องรับคำฮุ่ยซิงเมื่อได้ยินดังนั้นแม้เทียนป้าอ๋องไม่บอก แต่มันก็เริ่มลงมือหาเส้นทางต่อไปโดยรักษาระยะห่างจากรูปปั่นไว้ “ที่เจ้าเข้าใจถูกคือรูปปั่นนั้นแหละคือกลไก”

                วาจานี้ของเทียนป้าอ๋องทำเอามันเบิกตาค้างหากรูปปั่นคือกลไกนั้นใยมิใช่กลไกสู่ความตาย พอมาเช่นนี้ฮุ่ยซิงจึงนึกขึ้นได้หากรูปปั่นเป็นกลไกเช่นนั้นคงต้องมีจุดที่เป็นตัวกลไกแน่แท้

                “หากเจ้าต้องการช่วงชิงสิ่งของที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของคนผู้หนึ่งเจ้าต้องทำเช่นไร” ฮุ่ยซิงเมื่อได้ฟังก็เข้าใจในบัดดลใบหน้าของมันเริ่มปรากฏเค้าสีพร้อมสั่นกระตุก หากต้องการช่วงชิงสิ่งของที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของผู้คนย่อมต้องสังหารมัน ความหมายในวาจาของเทียนป้าอ๋องคือทำลายรูปปั่น

                ฮุ่ยซิงสูดลมหายใจอย่างยาวนานข้อมีเปรียบของมันคือรูปปั่นนี้จะไม่โจมตีมันก่อนที่มันจะสัมผัสเช่นนั้นมันจึงมีเวลารวบรวมลมปราณอย่างยาวนานยิ่ง หมัดของฮุ่ยซิงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วหมัดนี้ที่ฮุ่ยซิงรวบรวมพลังสามารถป่นได้กระทั้งศิลา

                เสียงหนัก ๆ ดังขึ้นเมื่อหมัดของฮุ่ยซิงกระทบกับรูปปั่นหมัดที่ป่นได้กระทั้งศิลา เพียงแต่รูปปั่นนั้นกลับมิได้ทำด้วยศิลาเช่นนี้มันจึงมิได้ถูกป่นทำลายไป เมื่อฮุ่ยซิงโจมตีย่อมหมายความถึงการโต้ตอบของรูปปั่นนั้นเมื่อลงมือไม่สำเร็จย่อมถอยออกฮุ่ยซิงกระโดดออกพ้นจากระยะฟันของกระบี่ในทันใด

                แต่เสียดายที่รูปปั่นคล้ายมีความคิดกระบี่นี้ของมันมิได้ฟาดฟันออกกลับกลายเป็นทิ่มแทง ฮุ่ยซิงแม้ตื่นตะหนกแต่ยังครองสติไว้ได้บิดตัวหลบออกอย่างทันท่วงที แม้กระบี่ไม่สัมผัสกลายแต่สัมผัสของลมที่ตัดผ่านมาถึงกับทำให้ขนกายของมันลุกขึ้นตั้งชัน

                ฮุ่ยซิงลงมือต่ออย่างไม่ลดละด้วยเชื่อว่าต่อให้ไม่สามารถทำลายได้ในหมัดเดียว แต่หากหลายหมัดกระแทกเขาต้องมีสักคราที่มันถูกทำลาย เช่นนี้มันจึงโรมรันเข้าโจมีรูปปั่นอย่างไม่ลดละเสียงกระแทกหมัดแน่น ๆ ดังขึ้นอย่างไม่มีหยุด

                “เจ้าฝึกปรือแบบไร้กระบวนท่า” จู่ ๆ เทียนป้าอ๋องกลับถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกันขึ้นมา ฮุ่ยซิงแม้สงสัยแต่ก็เพียงรับคำกลับไป

                “ไร้กระบวนท่าจึงเป็นสุดยอดของกระบวนท่าเจ้าเข้าใจเช่นนี้” ความหมายนี้กลับไม่ผิดแปลกนัก หากไร้กระบวนท่าย่อมสามารถพลิกแผลงได้มากหลาย ทั้งยังไม่มีแบบแผนย่อมยากแก่การรับมือ ฮุ่ยซิงเพียงรับคำอีกคราหนึ่ง

                ยามนี้ฮุ่ยซิงนั่งลงเพื่อพักผ่อนไม่ทราบว่ามันต่อยออกไปแล้วกี่หมัด เวลาผ่านมาแล้วเนิ่นนานเพียงใดเทียนป้าอ๋องจึงกล่าวต่อ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่สุดยอดของไร้กระบวนท่าคืออะไร”

                คำถามนี้ของเทียนป้าอ๋องถึงกับสร้างความงงงันให้กับฮุ่ยซิงมันเพียงเคยได้ยินสุดยอดของกระบวนท่าคือไร้กระบวนท่าเท่านั้นมิเคยได้ยินว่ามีสุดยอดของไร้กระบวนท่า นับว่าแปลกปลอมดีแท้

                “สุดยอดของไร้กระบวนท่าคือกระบวนท่า” คำตอบของเทียนป้าอ๋องยิ่งสร้างความมึนงงแก่มันเป็นเท่าทวี หากกล่าวเช่นนี้ใยมิใช่จุดสุดท้ายกับจุดเริ่มต้นเป็นจุดร่วมเดียวกัน

                “เจ้ารู้จักวิธีส่งแรงออกให้ได้มากที่สุด แต่เจ้ากลับไม่รู้จักวิธีบังคับแรง” การบังคับแรงใยมิใช่การส่งแรงออกไปกระแทกเป้าหมายกัน ฮุ่ยซิงตอนนี้คล้ายตัวประหลาดที่ไม่อาจเข้าใจภาษาที่เทียนป้าอ๋องบอกกล่าวแล้ว

                “หากนั้นเป็นวิธีการบังคับแรงของเจ้าแล้ว คงน่าหัวร่อยิ่งนัก” เทียนป้าอ๋องไม่เอ่ยเปล่า มันกลับหัวร่อขึ้นจริง ๆ

                “รูปปั่นนั้นแฝงไว้ด้วยเคล็ดวิชาสลายพลัง” แม้ชื่อวิชาจะตรงตัวแต่ก็สร้างความงุนงงให้กับฮุ่ยซิงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว “เคล็ดวิชาสลายพลังคือเคล็ดวิชาที่ใช้ชักนำพลังลงสู่พื้นดิน”

                เทียนป้าอ๋องอธิบายแล้วทั้งยังกระชับยิ่งแต่ความหมายของมันกลับทำให้ผู้คนตื่นตระหนกยิ่งนัก ถ้ามีเคล็ดวิชาเช่นนั้นจริงใยมิใช่โหดร้ายต่อผู้คนมากเกินไป ฮุ่ยซิงเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก เช่นนั้นใยมิใช่กำลังทั้งหมดที่มันลงแรงไปนั้นเสียไปนั้นเสียเปล่า

              “แต่ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม” วาจานี้ของเทียนป้าอ๋องกลับไม่แปลกปลอม สิ่งที่สมบูรณ์พร้อมในโลกหล้าล้วนไม่อาจมีได้ทุกสิ่งล้วนมีจุดบกพร่องไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป “รอยร้าวของวิชาสลายพลังคือควบคุมพลัง”

                “กระบวนท่าแท้จริงคือหลักการใช้พลังนั้นเอง เหมือนการบังคับให้พลังเจ้าปล่อยออกไปยังตำแหน่งที่ต้องการ” ฮุ่ยซิงเคยได้ฟังมาเหมือนกันว่ามีผู้คนบางคนที่สามารถปล่อยหมัดที่แยบคายตรงเข้าทำลายอวัยวะภายใน เพียงแต่มันไม่อาจเชื่อถือได้เท่านั้น

                “การควบคุมพลัง” ฮุ่ยซิงทวนคำอย่างไม่อาจเชื่อถือนัก “แน่นอนเพียงวาจาคงไม่อาจบอกเล่าได้ดีเท่าการกระทำ หลับตาและทำจิตให้นิ่ง” ฮุ่ยซิงแม้สงสัยแต่ก็หลับตาลงความมืดเริ่มเข้าเกาะกินในจิตใจของมัน

                หากให้คนสักผู้หนึ่งหลับตาสิ่งที่จะเข้ามาในศีรษะมันอย่างแรกคงไม่พ้นเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตฮุ่ยซิงก็เช่นกันต่อให้บอกให้มันทำจิตให้นิ่ง แต่สิ่งต่าง ๆ กลับวิ่งวนอยู่ในหัวของมันราวกับภาพถ่ายมากมายที่สะท้อนเรื่องราวที่มันต้องการและบางเรื่องมันก็ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึง

                ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดในที่สุดฮุ่ยซิงก็พบเจอกับความว่างเปล่าอย่างแท้จริง แสงสว่างส่องมาจากจุดหนึ่งมันไม่แน่ในว่าเป็นแสงใหญ่หรือเล็ก ใกล้หรือไกล แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกให้มันเดิมตามไป

                ปลายทางของมันกลับเป็นบุรุษผู้หนึ่ง หน้าตางดงามราวกับเทพจากฟากฟ้า รูปร่างสูงกว่ามันหนึ่งช่วงศีรษะ มันเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันตกใจแทบตาย กระบี่ของบุรุษผู้นี้เป็นเล่มเดียวกับที่รูปปั่นนั้นถืออยู่

              เมื่อมันพินิจใบหน้าและเสื้อผ้าที่บุรุษผู้นี้ส่วมใส่ยิ่งชัดเจน มันแน่ในแล้วว่าบุรุษผู้นี้เองที่เป็นต้นแบบของรูปปั่นนั้นแน่นอน ยามนี้ฮุ่ยซิงถึงกับหน้าถอดสี กลับเป็นสีหน้าของมันที่สร้างความพอใจให้แก่บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง

                เสียงหัวร่อของบุรุษนั้นก้องกังวานกลับเป็นเสียงหัวร่อที่มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก “เจ้าเพิ่งเคยพบข้าในร่างนี้สินะ” ทั้งน้ำเสียงและวาจาคล้ายทำให้มันนึกถึงคนผู้หนึ่ง

                “เทียนป้าอ๋อง” ฮุ่ยซิงถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจก่อนจะลูบมือตัวเองแรง ๆ บุรุษนั้นยิ้มขึ้นพร้อมกับลูบปลายคางของมันเบา ๆ แทนที่จะตอบคำของมัน

               

               

    .............................................................
    ขอบคุณนักอ่านทุกท่านและขอบคุณทุกคอมเม้นที่เป็นกำลังใจให้อย่างยิ่งครับ
    ดีใจมากครับที่เรื่องที่ผมเขียนขึ้นมีคนอ่านและสนใจ(แอบหลงตัวเองพร้อมกับหัวเราะ) :D
    ขอบคุณทุกการติดตามและหวังว่าจะอยู่กับผมจนเรื่องจบไม่หนีหายไปก่อนนะครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×