ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #34 : วิญญาณ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.05K
      42
      26 มี.ค. 56

              “ที่สุดของภูตอเวจี” แน่นอนฮุ่ยซิงไม่เข้าใจเรื่องนี้มากนักเพราะสำหรับเขาภูตอเวจีเป็นเพียงปราณร้อนที่แผดเผาทุกสิ่งที่สัมผัสเท่านั้น นี้นับเป็นสิ่งที่ฮุ่ยซิงคิดไว้อย่างจริงจัง

     

                “อย่างที่เจ้าทำหน่ะ แค่ภูตอเวจีขั้นแรกเท่านั้นเจ้าคิดหรือว่าลมปราณที่ต้องถูกลบออกจากยุทธภพจะทำได้เพียงแผดเผาสิ่งที่สัมผัสถ้าหากเจ้าถูกปราณอัดกระแทกใยมิใช่หมดท่ากัน” คำพูดนี้ของมันทำให้ฮุ่ยซิงได้คิดที่ผ่านมามันเพียงพบเจอแต่คนชนชั้นใดมันทราบดี คนพวกนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้นไม่เว้นแม้แต่หวางหลินเสวี่ยนางก็ดั่งนกน้อยที่ออกจากรังพกพาความมั่นใจเต็มเปี่ยมในวิชาของตน เมื่อพบเจอกับฮุ่ยซิงที่มีแนวทางแปลกใหม่ย่อมประหลาดใจเป็นธรรมดา แต่หากชนชั้นยอดฝีมือที่มากประสบการณ์เหตุการณ์ย่อมแตกต่างแน่นอน

                เหมือนวาจายังไม่จบมันเร่งกล่าววาจาต่อ “ภูตอเวจีคือเวทย์มนต์ มันไม่เหมือนลมปราณทั่วไปชาวยุทธทั่วล้าล้วนยึดถือในความสมดุลของโลกสมดุลของหยินหยาง แต่ภูตอเวจีไม่ใช่เราคือเวทย์มนต์ไม่ยึดถือในสิ่งที่ผู้ใดยึดมั่น เราคือเราไม่จำเป็นต้องเชื่อถือผู้ใด สิ่งที่พวกนั้นยึดถือล้วนแต่มีคนเคยกำหนดขึ้นทั้งนั้น เจตจำนงของฟ้างั้นหรือ หลอมรวมกับธรรมชาติงั้นหรือ ล้วนแต่เป็นพวกมันที่อุปโลกน์ขึ้นมา คิดว่าแนวทางของตนยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่ไม่ใช่กับข้า ข้าจึงสร้างภูตอเวจีซึ่งเป็นสุดยอดวิชาสายหยางที่ใช้หยางกลบหยินใช้พลังทำลายสมดุล”

    วาจานี้ของมันยิ่งใหญ่เทียมฟ้าทั้งยังถือดีในตนเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ฮุ่ยซิงพอจะรู้แล้วว่าวิญญาณตนนี้คือใคร เพียงแค่คิดก็ร่างกายสั่นสะท้านมันผู้นั้นที่เคยเป็นที่กล่าวขวัญอย่างเกรงกลัวบัดนี้กำลังกล่าววาจากับมันอยู่ แต่บางทีนี้อาจนับเป็นวาสนาของมันก็เป็นได้

    “แต่เสียดายความคิดของข้าไม่อาจเป็นจริงได้ดั่งคาด ไม่ว่าผู้ใดหากได้เดินลมปราณหยางจนขีดสุดกระทั้งสามารถกดลมปราณหยินไว้ได้กลับไม่อาจครองสติไว้ได้ล้วนแต่ต้องกลายเถ้าถ่านไป” เสียนี้กลับดูแผ่วเบายิ่งนักคล้ายเมื่อดั่งกล่าวถึงความหลังที่ไม่ต้องการนึกถึง

    “หากมันร้ายแรงจนไม่อาจครองสติได้ด้วยตนเอง ใยมิลองให้ผู้อื่นทดลองดูเล่า” คำถามนี้กลับสร้างความประหลาดใจให้กับฮุ่ยซิงมากนักสติย่อมมีผู้ถือครองเพียงหนึ่งเหตุใดจึงสามารถให้ผู้อื่นช่วยเหลือได้ยิ่งคิดมันยิ่งไม่อาจเข้าใจ

    “ยามนั้นสำนักของข้ามีผู้อาวุโสอยู่สองคนล้วนแต่เก่งกล้าเรื่องดวงชะตาและคำพยากรณ์ สองศาสตร์นี้ล้วนยึดติดกับสิ่งหนึ่งอย่างแยกไม่ออก นั้นคือเวทย์มนต์เช่นนั้นข้าจึงได้ทดลองให้พวกมันทั้งสองจัดหาผู้ที่จะมีช่วยดูแลสติยามเมื่อเร่งเร้าถึงขีดสุด”

    วาจานี้ทำให้ฮุ่ยซิงเบิกตาค้างเช่นนั้นมันก็ประจวบเหมาะกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับมันยามนี้พอดี “วิญญาณ”

    คำพูดนี้เมื่อหลุดออกจากฮุ่ยซิงคล้ายไปกระตุ้นให้เส้นเสียงของมันทำงานต่อได้ “ใช่วิญญาณนั้นเองพวกเราคิดนำเอาวิญญาณของผู้อื่นจากปรโลกเพื่อนำมาชักนำมิให้สติขาดไป วิธีการเจ้าคงรับรู้ด้วยร่างกายมาแล้ว นำพาตนเองให้เข้าถึงความตายมากที่สุดนั้นจะเป็นตอนที่ประตูแห่งความตายได้เปิดออกมา”

    ฮุ่ยซิงกลับเชื่อถือเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแม้จะไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยมันก็เคยผ่านมาด้วยตนเองแล้วคราหนึ่ง “ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดพลาดนั้นก็คือวิญญาณที่นำพามานั้นเอง”

    ฮุ่ยซิงเพียงได้ยินเท่านี้ก็พอเดาเหตุการณ์ได้แล้ว หากสิ่งที่นำพามาคือวิญญาณที่สามารถช่วยครองสติได้ เช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลังจากนั้นมากกว่า “การแย่งชิงร่างสินะ”

    “ถูกต้อง แม้วิธีนี้จะช่วยให้สามารถสำเร็จวิชาภูตอเวจีได้จริงแต่ภายหลังการมีจิตวิญญาณของผู้มาจากปรโลกอยู่ร่วมยิ่งทำให้นับว่าผู้ที่ฝึกฝนเกิดอาการสติฟั่นเฟือน บางเริ่มพร่ำเพ้อถึงสิ่งที่พวกเราไม่เคยรู้จัก การรับวิญญาณของผู้อื่นเข้ามาในร่างเพื่อให้ฝึกวิชาสำเร็จนับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์จริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าเอง”

    ถึงตรงนี้เหมือนฮุ่ยซิงจะนึกอะไรออกมันจึงกล่าวคำแทรกว่า “ท่านบอกว่าต้องใช้เวทย์มนต์ในการชักนำวิญญาณเข้ามาพร้อม ๆ กับการนำตัวเองเข้าสู่ประตูแห่งปรโลกเช่นนั้นทำไมท่านถึงมาหาข้าได้กัน” เพราะหากฮุ่ยซิงคาดไม่ผิดวิญญาณตนนี้ย่อมต้องติดมากับตนในตอนที่ฝึกลมปราณภูตอเวจีเป็นแน่แท้ เพราะหากจะมีเวลาไหนที่ตนเข้าใกล้ปรโลกที่สุดย่อมเป็นเวลานั้นแน่นอน แต่มันกลับบอกว่าต้องใช้เวทย์มนต์อันใดช่วยเหลือมิใช่หรือไง

    “สำหรับวิญญาณทั่วไปอาจใช่แต่มิใช่กับข้า ข้าสัมผัสได้ทันทีเมื่อประตูถูกแง่มออกแถมเจ้ายังเป็นคนที่เปิดประตูได้กว้างมากทีเดียวมากกว่าผู้ใดที่ข้าเคยพบเจอ ข้าเลยมีเวลามากพอที่จะผ่านเข้ามา” ถ้าวาจาของมันเป็นจริงเช่นนั้นนี้ย่อมอธิบายเหตุผลที่ทำให้ไม่มีผู้อื่นนอกจากมันสามารถสำเร็จอวิชานี้ เพราะหากเป็นบุคคลสามัญธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจมีแรงใจที่กล้าแข็งเท่ามัน

    “อย่าได้ผยองไป หากมิใช่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้อย่างน้อยตอนนี้เจ้าต้องตายไปแล้วสามครั้ง” ฮุ่ยซิงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ล่าสุดที่มันมีสติมันกำลังทำอะไรอยู่ เพียงคิดได้เท่านี้นัยน์ตาทั้งสองของมันก็เบิกโผล่ขึ้น

    “แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี้ได้” แทนที่จะได้คำตอบฮุ่ยซิงกลับได้เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายมาแทน ความจริงเรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องแรกที่ฮุ่ยซิงได้คิดตอนตื่นขึ้น ทว่ากลับมีวิญญาณตนหนึ่งคอยังควาญมันอยู่จึงได้ลืมเลื่อนไป

    “เด็กน้อยเจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจนักหรือ” พูดถึงตรงนี้มันกลับส่งเสียงคล้ายพ่นลมออกจากจมูกสายหนึ่ง

    “น้ำหน้าอย่างเจ้าอย่าว่าแต่กงเยี่ยลัวเลย แม้แต่หวางหลินเสวี่ยเจ้าก็ไม่อาจนำตนไปเปรียบกับนาง เด็กน้อยที่ไม่รู้แม้แต่วิธีใช้พลังต่อให้ไม่มีไอ้ยาเม็ดนั้นเจ้าก็เป็นได้แค่เด็กอมมืออยู่ดี”

    ฮุ่ยซิงฟังคำนี้กลับคล้ายไม่อาจยอมรับมันกลับกล่าวคำแทรกว่า “แต่ข้าชนะหวางหลินเสวี่ยท่านนำสิ่งใดมาพูดกัน”

    คำพูดนี้ของฮุ่ยซิงกลับคล้ายกระตุ้นต่อมโทสะของอีกฝ่ายมันกลับส่งเสียงที่ดังขึ้นจนฮุ่ยซิงแทบไม่อาจทนทานรับไหวออกมา “ฮา ๆ ตัวเจ้างั้นหรือ ข้าอยากหัวเราะให้ตายอีกสักครั้งจริง ๆ ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้ามีหรือจะรอดชีวิตมาอวดอ้างตนเองเช่นนี้”

    ฮุ่ยซิงกลับไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้มันจึงโต้คำ “หากข้าใช้พิษต่อให้ท่านไม่ช่วยนางก็ไม่ใช่คู่มือข้าอยู่ดี”

    “เด็กน้อยการต่อสู้เอาชีวิตนั้นไม่มีคำว่าถ้าหาก ต่อให้เจ้าหลับตาลงสองข้างไม่ขยับตัวแม้สักนิดเดียวหากแพ้ไปก็เท่ากับสิ้นชีวิตไม่มีสิทธิจะเรียกร้องสิ่งใดหรอก” กฎเหล็กข้อนี้มิใช่ฮุ่ยซิงไม่รู้แต่มันไม่อาจยอมรับได้เท่านั้นเอง ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองมากอย่างไรย่อมไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้นับเป็นเรื่องธรรมดา

    ทว่ามิใช่ในสายตาของมันผู้นี้ แต่ก่อนที่ฮุ่ยซิงจะโดนด่ามากไปกว่านี้ก็มีเสียงเคาะประตูหนัก ๆ ดังขึ้น ที่แท้เป็นตี๋หลานที่อยู่ภายนอกห้องหลังจากที่ฮุ่ยซิงกลับมาก็หมดสติลงอย่างน่าเป็นห่วง แถมตอนนี้มันยังได้ยินเสียงฮุ่ยซิงพูดอยู่คนเดียวเป็นพัก ๆ จนกระทั้งเสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ สุดที่ตี๋หลานจะทนทานไหวมันจึงได้เคาะประตูเรียกหาดู

    เมื่อคืนฮุ่ยซิงเปรียบดั่งเทพอสูร ทำลายทุกอย่างได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือถึงแม้มันจะสลบไป ตี๋หลานเชื่อว่าฮุ่ยซิงคงเพียงใช้ลมปราณมากเกินไปจนสลบ เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นกับพวกชาวยุทธหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักประมาณตน แต่เรื่องนี้กลับไม่อาจสั่นคลอนความนับถือในใจของตี๋หลานลงได้แม้เพียงเศษเสี้ยว

    แต่บัดนี้มันเริ่มกังวลแล้วว่านายของมันอาจได้รับความประทบกระเทือนด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ความกังวลนี้เริ่มก่อตัวมากขึ้นจนมันถึงกับคิดว่าฮุ่ยซิงถูกธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว

    ประตูได้ถูกเปิดออกแล้วพร้อมกับใบหน้าของฮุ่ยซิงที่ไม่ค่อยรับแขกนัก ตี๋หลานเมื่อเห็นดังนั้นจึงก้มหัวลง “ขออภัยที่รบกวน เพียงแต่ด้านในมีเสียงดังขึ้นข้าน้อยเป็นห่วงจึง”

    ตี๋หลานพูดได้เพียงแค่นั้นก่อนฮุ่ยซิงจะบอกตัดประโยคพร้อมกับสีหน้าที่หงุดหงิดกว่าเดิม “ถ้าไม่มีอะไรสำคัญไม่ต้องเรียกหาข้า ไว้ข้าพร้อมแล้วจะออกไปเอง”

    ฮุ่ยซิงพูดเพียงเท่านี้ก่อนจะปิดประตูลง ที่แท้ขณะที่มันเปิดประตูออกเสียงของวิญญาณในหัวยังคงด่ามันอย่าไม่หยุดยั้งทั้งยังสรรหาคำว่ากล่าวได้มากมายราวกับไม่หมดสิ้น นับว่าวิญญาณตนนี้ฝึกปรือวิชาด่าผู้คนได้ถึงขั้นไร้ขอบเขตแล้วจริง ๆ

    “อ่อนด้อย กระจอก นี้เจ้าเอาอะไรมาวัดกัน” ฮุ่ยซิงเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้นทุกที เพราะเสียงด่าที่วนเวียนอยู่รอบหัวของมันฟังดูขัดใจยิ่งนัก

    “ตัวเจ้าเองไง ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมยังไม่อาจสัมผัส เจ้าลองเอ่ยคำว่าเงาเรียกหาดู” แน่นอนคำท้าทายนี้ฮุ่ยซิงมีหรือไม่กล้ารับหากให้เพียงเอ่ยคำเดียวคำเดียวมันยังไม่กล้านี้นับเป็นตัวอะไรกัน

    “เงา” ฮุ่ยซิงตะโกนขึ้นแม้จะฟังดูตลกไปบ้างแต่ยามนี้มันไม่สนใจอันใดแล้ว ทว่ากลับมีเรื่องที่น่าตระหนกยิ่งกว่าพริบตาเพียงแค่มันกล่าวคำจบร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นราวกับผีพรายตนหนึ่ง ที่แท้คนผู้นี้เฝ้ารอมันอยู่ในห้องมาเนิ่นนานโดยที่มันไม่รู้ตัว

    ต่อให้มีเรื่องราวมากมายเพียงใดหากมีคนอยู่ใกล้เพียงเท่านี้แล้วมันไม่รู้สึกตัวย่อมไม่อาจมีชีวิตยืนยาวแน่แท้ ยิ่งสังเกตเห็นลักษณะของผู้มาเยือนเหงื่อกาฬของฮุ่ยซิงยิ่งหลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง มันตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่

     

     

     

     

     

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×