ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #27 : ธิดาหิมะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.83K
      60
      9 ม.ค. 56

              เสียงตบฝ่าเท้าดังสนั่นขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ทันทีที่หวางหลินเสวี่ยปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง เหล่าชาวยุทธมากมายล้วนทะยานร่างขึ้นสู่เวทีประลองอย่างพร้อมเพรียงกันถึงสี่ชีวิต

     

    ชายทั้งสี่ที่ขึ่นประลองนั้นฮุ่ยซิงสามารถสัมผัสพลังวัตรที่แผ่ออกมาได้ชัดเจนผิดกับการประลองทุกคู่ที่ผ่านมาบ่งบอกถึงระดับพลังฝีมือของทั้งสี่ได้เป็นอย่างดี มันลอบแสยะยิ้มในใจเหตุการณ์เช่นนี้รั้งแต่จะช่วยเหลือมันเพียงเท่านั้น

    “ข้าเค่อหลงขอท้าประลองกับแม่นางหวางหลินเสวี่ย”

    “ข้าเสี่ยวหัวขอท้าประลองกับแม่นางหวางหลินเสวี่ย”

    “ข้าเฮอฉานขอท้าประลองกับแม่นางหวางหลินเสวี่ย”

    “ข้าเตาคงขอท้าประลองกับแม่นางหวางหลินเสวี่ย”

    สี่เสียงประสานดังขึ้นพร้อมกันก่อนที่ทั้งสี่จะแผ่รังสีอำมหิตเข้าใส่กัน เกิดเป็นเสียงตวาดใส่กันว่าตนเองเป็นผู้ถึงก่อน จากที่ขอท้าประลองกลายเป็นเข้าห่ำหั่นกันเอง ทั้งสี่ทะยานร่างเข้าโรมรันกันอย่างรุนแรง เสียงปะทะของดาบกระบี่ดังลั่นเสียดแทงโสตประสาทของผู้ได้ยิน

    ธิดาน้ำแข็งเย็นชาสมชื่อนางเพียงแค่จ้องมองทั้งสี่เข้าโรมรันกันอย่างเย็นชา ทุกท่วงท่าการโจมตีของทั้งสี่นั้นล้วนกระแทกรุนแรงราวกับมีความแค้นต่อกันมาเนิ่นนาน เมื่อปะทะกันไม่เห็นผลทั้งสี่มิเพียงหยุดมือกลับเร่งเร้าพลังลมปราณยิ่งขึ้นไปอีกนับว่าน่าตื่นตาตื่นใจต่อผู้ชมดูมากนัก แต่มิใช่กลับฮุ่ยซิงตัวบัดซบทั้งสี่มิได้ทำประโยชน์ให้มันเลยแม้แต่น้อยกลับกำลังทำตัวไร้ค่าอีกต่างหากนับว่าน่าชวนหงุดหงิดใจยิ่งนัก

    “พวกท่านไม่ประลองกับแม่นางหวางพร้อม ๆ กันละเมื่อเสร็จแล้วค่อยมาตัดสินว่าผู้ใดเหนือชั้นที่สุดก็ยังไม่สาย” เสียงนี้แฝงไปด้วยลมปราณจึงทำให้แจ่มชัดยิ่งนัก แต่กลับมิได้กังวานก้องคล้ายกับถูกเปล่งออกโดยนักบู้ชั้นกลางทั้งยังแหบแห้งราวกับมีโรคร้ายแรงจดมิอาจกล่าววาจาได้เต็มเสียง

    ทั้งสี่เมื่อได้ฟังก็หยุดมือลงพร้อมกันเหมือนถูกเตือนสติ กำลังฝีมือของพวกตนยังมิแน่ว่าจะเอาชนะแม่นางหวางได้ แต่หากพวกตนกลุ่มรุมพร้อมกันโอกาสย่อมมากขึ้นเป็นเท่าทวีถึงเวลานั้นค่อยตัดสินกันอีกคราก็นับว่ายังไม่สายไป ทั้งสี่ตั้งท่าพร้อมโจมตีไปยังหวางหลิวเสวี่ยแม้จะดูสกปรกยิ่งนักแต่เมื่อนางมิกล่าวกระไรก็นับว่าไม่มีปัญหา ฮุ่ยซิงเมื่อเห็นดั่งนั้นก็ลอบยิ้มอย่างยินดีมันเชื่อว่าต่อให้คนทั้งสี่กลุ่มรุมธิดาน้ำแข็งผู้นี้ก็มิอาจเอาชัยได้ แต่อย่างน้อยน่าจะให้นางต้องแสดงฝีมือออกมาไม่มากก็น้อย

    ทั้งสี่เปล่งเสียงตวาดคำราวกับเป็นสัญญาณทะยานร่างพุ่งเข้าหาหวางหลินเสวี่ยอย่างพร้อมเพรียง สองดาบสองกระบี่ถูกฟาดฟันและทิ่มแทงให้ทิศทางที่แตกต่างราวกับต้องการจะปิดทางหนีให้ไม่มีเหลือ กระบี่ของหวางหลินเสวี่ยออกจากฝักตั้งแต่เมื่อไรล้วนมิมีผู้ใดทราบ มันต้องกับแสงอาทิตย์ราวกับกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว พริบตาร่างของหวางหลินเสวี่ยขยับอย่างดงามเกิดเป็นแสงวูบวาบแล่นผ่านไปยังคนทั้งสี่ ก่อนจะยืนนิ่งสงบเฉยเมยมิแย่แสต่อมันทั้งสี่อีกต่อไป

    ในตาของคนทั้งสี่ล้วนเห็นเพียงว่าอาวุธของตนพุ่งผ่านร่างของหวางหลินเสวี่ยไป พลันเกิดอาการเย็นวาบที่ลำคอพวกมันลูบดูพบเป็นเลือกหยดเล็ก ๆ ไหลอยู่ไปทางสายหนึ่ง กระบี่ของหวางหลินเสวี่ยนับว่าพรากชีวิตของพวกมันไปแล้วคนละหนึ่งชีวิต การฝึกฝนที่ยาวนานมิได้ช่วยกระไรพวกมันเลยความต่างชั้นของฝีมือนับว่าชัดเจนยิ่งนัก มือกระบี่ผู้หนึ่งเหมือนมิอาจยอมรับความจริงสะบัดกระบี่คราหนึ่งฟันเข้าที่ต้นคอของตนเองราวกับต้องการตอกย้ำรอยแผลที่ได้มา เกิดเป็นน้ำพุโลหิตขึ้นในชั่วพริบตา ส่วนชายอีกคนโยนดาบของตนทิ้งก่อนจะหัวเราะราวกับคนสิ้นสติวิ่งออกไปจากลานประลอง อีกสองคนที่เหลือเมื่อเห็นดั่งนั้นก็ตบเท้าขึ้นคราหนึ่งก่อนจะหายร่างไปจากลานประลองกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ในจิตใจ

    แม้พวกมันมิอาจเห็นสิ่งที่หวางหลินเสวี่ยกระทำ แต่มิใช่สำหรับฮุ่ยซิงมันมองเห็นกระบวนท่านั้นชัดเจน ทั้งลื่นไหลและรวดเร็วอย่างที่มันมิอาจพบเจอได้จากกระบี่ใด ทั้งความเยือกเย็นของมือกระบี่ที่ส่งออกทำให้มันหนาวเหน็บไปถึงจิตใจ ที่กระบี่ของนางเร็วจนคนทั้งสี่มิอาจสัมผัสแท้จริงคือปราณเย็นที่ปล่อยออกจากร่างของนางต่างหาก มันทำให้ทั้งสี่หยุดนิ่งไปเพียงอึดใจแต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับหวางหลินเสวี่ยที่จะแต่งแต้มสีโลหิตบนลำคอของมันทั้งสี่

    ภาพการประลองของหวางหลินเสวี่ยทำให้คนที่กำลังจะขึ้นไปยังเวทีชะงักค้าง ฝีมือที่พวกตนฝึกฝนมาแรมปีล้วนมิอาจเทียบเท่ากับสตรีตรงนั้น ความต่างชั้นของฝีมือมิได้ลดลงเลยแต่กลับห่างไกลมากขึ้น บุรุษทุกผู้คนล้วนอยากได้สตรีที่สวยงามและแข็งแกร่งเป็นคู่ครอง แต่กับหวางหลินเสวี่ยนั้นต่างออกไปคนในวัยเดียวกับนางนั้นในยุทธภพที่ผ่านมาล้วนมิอาจเทียบเท่าได้

    “ยังมีผู้ใดต้องการประลองกับแม่นางหวางหลินเสวี่ยอีกบ้าง” ฮุ่ยซิงนั่งขบเขี้ยวอยู่ในใจพวกสวะสี่ตัวนั้นแทบไม่ให้ข้อมูลอะไรของหวางหลินเสวี่ยแก่มันเลย กลับทำให้หนทางการหาข้อมูลของมันดับตันไปเสียอีก หากเป็นเช่นนี้ความหวังที่มันจะได้สืบรู้ข้อมูลของตำหนักเหมันต์ล้วนมิอาจเป็นจริงเสียแล้ว


    ..............................................................................................................

    ก่อนที่หวางหลินเสวี่ยจะก้าวลงจากเวทีประลองกลับมีชายผู้หนึ่งทะยานร่างขึ้นมาอย่างไม่กลัวเกรง ผู้ชมที่กำลังจะกลับเนื่องจากคิดว่าการประลองจะจบลงแล้วก็หันหลังกลับมา ชายผู้นั้นมิกล่าวกระไรคล้ายกับไร้วาจาเพียงยืนตั้งท่าพร้อมต่อสู้ขึ้นมาเพียงเท่านั้น บางทีชายผู้นี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับหวางหลินเสวี่ยที่สุดก็เป็นได้

    เปลืองตัวยิ่งนักที่แท้คนผู้นี้คือฮุ่ยซิงเมื่อมิมีผู้ใดยินยอมหยิบยืนมือเข้าช่วยเหลือมันสุดท้ายตนย่อมเป็นที่พึงแห่งตนเพียงเท่านั้น ฮุ่ยซิงยืนนิ่งราวกับเป็นใบ้ใช้ท่าทางแสดงเจตจำนงของตนเอง หากสายตาของมันยังไม่พร่าเลือนคล้ายมันเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของธิดาน้ำแข็งอยู่วูบหนึ่ง

    เมื่อฮุ่ยซิงยืนนิ่งมิจัดการอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หวางหลินเสวี่ยกลับทำสิ่งที่ผู้คนมิอาจคาดคิดนางสะบัดกระบี่ราวกับสายฝนทิ่มแทงฮุ่ยซิงราวกับน้ำตก ท่ากระบี่นี้แม้จะพลิกแพลงและมีจำนวนมากขึ้น แต่กลับใช้วิถีเดียวกับที่เล่นงานคนทั้งสี่ก่อนหน้าฮุ่ยซิง กระบี่นี้เมื่อมันเคยเห็นแล้วย่อมมิอาจสัมผัสกายมันได้ ร่างหลบซ้ายขวาราวกับเงาวิญญาณเดินผ่านห่าฝนกระบี่เข้ากระแทกที่ข้อมือของหวางหลินเสวี่ยเป็นการสลายท่าโจมตี

    “ท่าก้าวมังกรท่องหล้า” เป็นเฒ่าพนันที่ทีแรกมันกำลังจะเดินไปขึ้นเงินก่อนที่เจ้ามือจะหลบหนีพ้น ในระหว่างนั้นเองที่มันเห็นฮุ่ยซิงทะยานร่างขึ้นสู่เวทีประลอง แม้การแต่งกายจะเปลี่ยนไปทั้งยังท่าทาง แต่กลับมิอาจรอดพ้นสายตาของมันที่จดจำฮุ่ยซิงไว้อย่างแม่นยำ ร่างที่เคยเดินออกห่างจากลานประลองกลับปรากฏขึ้นมาในตำแหน่งหน้าที่สามารถชมการประลองของทั้งสองได้อย่างชัดเจนที่สุด

    บุคคลนี้เกี่ยวพันอันใดกับเฒ่าหมื่นพิษกันหากมิใช่เฒ่าชราหัวหงอกเช่นมันย่อมมิอาจทรายความนัยของท่าก้าวที่ฮุ่ยซิงใช้ออก ท่าก้าวของราชันหมื่นพิษแม้ดูดาษดื่น แต่กลับแฝงไว้ด้วยปัจเจกแห่งการเปลี่ยนแปลงมากมายนับเป็นหนึ่งในสุดยอดท่าก้าวที่มันเคยพบเห็น เรื่องราวความเป็นมายิ่งมายิ่งซับซ้อนจนมันมิอาจคาดเดา

    เป็นผู้ใดกันความร้ายกาจของฮุ่ยซิงหากมิใช่ผู้ที่เคยสัมผัสย่อมมิอาจเข้าใจได้ กระบวนท่าที่หวางหลินเสวี่ยใช้ออกนั้นทั้งรวดเร็วและต่อเนื่องจนมิอาจป้องกันหนทางเดียวที่จะรอดพ้นย่อมต้องหลบหนีเท่านั้น แต่บัดนี้บุคคลตรงหน้านางกลับสร้างทางออกขึ้นอีกสายด้วยท่าร่างที่นางมิเคยพบเจอ แม้มิรวดเร็วดุจดั่งพายุหรือไหลลื่นราวกับน้ำป่าแต่กลับพลิกแพลงเสียจนนางมิอาจหาคำใดมาเปรียบเทียบ

    แววตาของหวางหลินเสวี่ยพลันเปลี่ยนไปแสงสีฟ้าอ่อนท่อประกายจากนัยน์ตาคู่นั้น อากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือกราวกับเหมันต์ฤดู ผู้ชมที่ยืนอยู่หน้าลานประลองพากันถอยร่างออกเพื่อหลบหนีจากความหนาวเหน็บ

    “ตำหนักเหมันต์” ชาวยุทธมากมายล้วนอุทานขึ้นอย่างมิอาจปิดบัง ที่แท้วิชานี้เป็นวิชาที่สร้างชื่อให้ตำหนักเหมันต์และเป็นชื่อของสำนักเช่นกัน แต่มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาว่าหวางหลินเสวี่ยจะสามารถสำเร็จวิชาที่ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว

    บัดซบขนาดผู้ที่ยืนชมอยู่ห่างยังมิอาจทนทานได้นับประสาอะไรกับฮุ่ยซิงที่ยืนติดขอบกับหวางหลินเสวี่ย ชับพลันกระบี่ของหวางหลินเสวี่ยก็ร่ายออก หากเป็นยามปกติฮุ่ยซิงย่อมหลบกระบี่นี้พ้นแต่มิใช่ในยามนี้ ยามที่ร่างกายราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งแม้จะพยายามสั่งการเพียงใดแต่ก็ยังช้าเกินไปในเสี้ยววินาที เสื้อของฮุ่ยซิงขาดออกเห็นเป็นรอยแผลบางเส้นหนึ่งแต่กลับไม่มีเลือดไหลออกราวกับถูกแช่แข็งไว้

    ฮุ่ยซิงแม้ตื่นตะลึงแต่มิใช่กับหวางหลินเสวี่ยนางทะยานร่างเข้าใส่ฮุ่ยซิงที่ยังมิอาจปรับตัวได้ กระบี่ตวัดไปมาอย่างงดงาม แม้ฮุ่ยซิงจะสามารถหลบได้แต่กลับมิอาจหลบได้ทั้งหมดทั่วร่างเริ่มปรากฏริ้วรอยของบาดแผลมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ต้องทำอะไรสักอย่างแม้จะขยับเขยื้อนร่างกายได้ลำบากยิ่งนักแต่ฮุ่ยซิงกลับสามารถคาดเดาเพลงกระบี่ของธิดาน้ำแข็งผู้นี้ออก รอจังหวะที่นางพลาดพลั้งลงมือสวนกลับไป ฮุ่ยซิงต้านรับกระบี่อีกหลายกระบวนท่าอย่างไม่ย่อท้อยิ่งสู้ยิ่งเข้าใจยิ่งสู้ยิ่งล้ำลึก

    “เก่งกาจเกินไปแล้ว”คำพูดนี้หลุดออกจากปากนักพนันเฒ่า ชาวยุทธทั้งหลายต่างเข้ามิต้องให้มันมาตอกย้ำถึงความเก่งกาจของหวางหลินเสวี่ย แต่มิใช่กับเฒ่าชราผู้นี้บุคคลที่มันกริ่นเกรงกลับมิใช่หวางหลินเสวี่ยแต่เป็นฮุ่ยซิงต่างหาก

    หากคนผู้นี้คิดเดินตามรอยเทียนป้าอ๋องคงมิอาจมีผู้ใดต้านทานได้อีกแล้วแม้ฮุ่ยซิงจะถูกรุกไล่แต่มันเชื่อว่าฮุ่ยซิงมิอาจเรียนเพียงท่าก้าวจากราชันหมื่นพิษเท่านั้น อีกทั้งสิ่งที่อยู่ภายในฮุ่ยซิงที่ยังไม่ใช้ออกกลับยังมิเพรียงพล้ำต่อหวางหลินเสวี่ยที่ใช้ออกด้วยตำหนักเหมันต์ นับว่าคนผู้นี้เป็นอัจฉริยะโดยแท้ หากรออีกสิบปีเมื่อหวางกงชี่ไม่อาจยืนหยัดอยู่ในยุทธภพและฝีมือของฮุ่ยซิงก้าวล้ำขึ้นไปอีก เวลานั้นหากฮุ่ยซิงคิดจะเป็นปีศาจร้ายยุทธภพคงกลายเป็นนรกเพลิงอย่างแท้จริง

    เสร็จข้าละกระบี่ของหวางหลินเสวี่ยที่ทิ่มแทงมายังตำแหน่งหัวใจของฮุ่ยซิง นับว่าเป็นกระบวนท่าที่ฮุ่ยซิงรอคอยมาเนิ่นนานมันพลิกตัวสืบเท้าเข้าหาหวางหลินเสวี่ยในจังหวะที่ไม่อาจชักกระบี่กลับเพื่อลงมือจัดการชั้นเด็ดขาด ก่อนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง รอยยิ้มที่ทำให้มันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือของหวางหลินเสวี่ยเรืองรองเป็นแสงสีขาวนวลราวกับไข่มุกมือข้างที่จับกระบี่พลางปล่อยออก หากฮุ่ยซิงรอจังหวะนี้อยู่นางก็รออยู่เช่นกันสองมือของนางพลันพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของฮุ่ยซิง


    .................................................................

    สอบถามครับตัวหนังสือติดกันเกินไปไหมอ่านแล้วตาลายไหมครับ อยากให้ผมเว้นบรรทัดในแต่ละย่อหน้าไหมครับ

    ขอบคุณทุกการติดตามครับผม ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×