ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #23 : ย่างก้าวสู่ต้าตู

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.5K
      38
      27 ธ.ค. 55

              ฮุ่ยซิงถึงกับเบิกตาคาที่แท้นี่นับเป็นเรื่องเช่นใดกัน ตี๋หลานที่เคยเป็นเหมือนสัตว์ป่าเวลานี้หนวดเคราบนใบหน้าล้วนถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา ผมเผ้าได้ถูกตัดใหม่ดูเรียบร้อยสะอาดตา จากตอนแรกที่ฮุ่ยซิงคาดคำนวณว่าตี๋หลานคงเป็นชายวัยกลางคน แต่ความจริงแล้วมันนับว่าอายุมากกว่าฮุ่ยซิงเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ฝีมือการแปลงโฉมของหลัวหลัวถึงกับเปลี่ยนจากสัตว์ป่าให้กลายเป็นหนุ่มรูปงาม แม้จะมีบาดแผลบนใบหน้าแต่กลับผลักดันให้มันยิ่งดูคมเข้มขึ้นมากกว่าจะเป็นริ้วรอยสกปรก

     

    เป็นคำสั่งของฮุ่ยซิง ทีแรกตี๋หลานมิได้ต้องการเช่นนี้ แต่ฮุ่ยซิงไม่ต้องการฟังคำตอบเช่นอื่นนอกจาก ”ขอรับ นายท่าน” เท่านั้น จนตี๋หลานอับจนปัญญาได้แต่ยอมให้หลัวหลัวจัดการแต่โดยดี หลัวหลัวเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าพี่ใหญ่ของตนจะดูดีถึงเพียงนี้ ขนาดที่นางถึงกับลอบส่งสายตายั่วยวนแกล้งตี๋หลาน ตี๋หลานแม้ไม่เข้าใจแต่ร่างกายของมันพลันถอยห่างจากหลัวหลัวทันใด พลางลูบแขนตัวเองไปมาเพื่อสงบขนที่ชูชั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    “เอาละพวกเจ้าจงฟัง” คำพูดนี้ของฮุ่ยซิงใช้ดึงความสนใจทั้งหมดจากเหล่าทรชน การเรียกครั้งนี้แม้ไม่ได้ตั้งใจกระไร แต่กลับช่วยชีวิตน้อย ๆ ของตี๋หลานไว้ จนมันได้แต่ขอบคุณอยู่ในใจและเลื่อมใสในตัวฮุ่ยซิงยิ่งนัก เมื่อทั้งหมดมารวมตัวกันดวงตาของฮุ่ยซิงแววโรจน์เป็นประกาย มองไปที่ใบหน้าของพวกมันเหล่าทรชน

    “หลีหน้าเต๋อ เจ้านับว่ารู้เรื่องในยุทธภพดี จงไปจัดตั้งกองโจรสมัครพรรคพวกให้มาก ปล้นคนที่คิดว่าปล้นได้แต่อย่าไปเหยียบตาปลา สะสมเงินทองและกองกำลังและฝึกกองกำลังโจรของเจ้าให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า งานที่ข้ามอบหมายคงนับว่าไม่หนักมือเกินไป” ฮุ่ยซิงมอบหมายหน้าที่ให้หลีหน้าเต๋อ ทั้งยังฝากความมั่นใจไว้กับมันถึงหลายส่วน คำสั่งนี้ของฮุ่ยซิงจุดประกายไฟในจิตใจของหลีหน้าเต๋อได้ดียิ่งนัก มันก้มหน้ารับคำอย่างยินดี ความจริงหลีหน้าเต๋อมีกองกำลังมากมายหลายพัน แต่แยกกำลังไว้ในแต่ละเมือง เคลื่อนไหวไปมาคนเดียววางกำลังไว้แต่ละเมืองไม่เท่ากันตามความสำคัญของเมืองนั้น ๆ การเคลื่อนไหวไปมาคนเดียวนี่เองที่ทำให้ไม่มีใครสามารถหาร่องรอยของหลีหน้าเต๋อได้ นับว่าเป็นโชคดีของฮุ่ยซิงที่เจอหลีหน้าเต๋อในเมืองนอกด่านเช่นนี้ หากเป็นเมืองภายในละก็ เขาคงถูกรุมจากสมุนของหลีหน้าเต๋อนับร้อยต่อให้มีสิบชีวิตยังไม่แน่ว่าจะพอหรือไม่

    “หลัวหลัวความจริงข้ามิต้องการให้เจ้าห่างกายข้าเลย แต่แผนการใหญ่ครั้งนี้หน้าที่นี้หากมิใช่เจ้าคงมิอาจสำเร็จ” คำพูดนี้ของฮุ่ยซิงแฝงไว้ทั้งความอาลัยและอาวรณ์ สร้างความสำคัญของหลัวหลัวต่อตนด้วยวาจา อิสตรีทั่วหล้าล้วนชมชอบฟังว่าจาเช่นนี้ ยิ่งเอ่ยออกจากปากของผู้ที่ตนหลงใหลยิ่งพาให้เคลิบเคลิ้ม

    “หาเป็นไรไม่ ท่านจะอยู่ภายในจิตใจของหลัวหลัวตลอด แม้มิอาจอยู่ข้างกายรับใช้ แต่หากได้รับใช้ท่านเพื่อบรรลุเป้าหมายของเพียงนายท่านเอ่ยมาหลัวหลัวจะกระทำอย่างเต็มความสามารถ” ฮุ่ยซิงอาจจะไม่รู้ตัวแต่ทุกวาจาที่กล่าวและการกระทำของมัน ได้แทรกซึมพิษที่ร้ายกาจที่สุดที่แม้แต่หวงโต๋ยังมิอาจสร้างขึ้นได้ พิษร้ายที่ชื่อว่า”ความรัก”

    “งานนี้นับว่าสุ่มเสี่ยงไม่น้อยข้าต้องการให้เจ้าจัดหาสาวงามทั่วหล้า ตั้งขึ้นเป็นหอโคมแดงทั่วแผ่นดิน จงผูกมิตรกับเหล่าเศรษฐีร่วมทั้งเหล่าขุนนางให้ดี เผื่อที่จะต้องใช้พวกเขาในภายภาคหน้า” หลัวหลัวนับเป็นหญิงที่ทรงเสน่ห์ที่สุดนับตั้งแต่ฮุ่ยซิงเคยพบเจอ งานที่มันมอบหมายครานี้นับว่าเปลืองตัวยิ่งนัก ทั้งยังมีความเสี่ยงสูงและยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง หลัวหลัวมิตอบกระไรกับโค้งให้มันคราหนึ่งก่อนจะถอยหลังไป

    “ส่วนอีสิง เจ้าจะต้องเดินทางไปที่สำนักปราชญ์ต่าง ๆ เสาะหายอดคนที่มีความรู้ ทั้งการศึก กลหมาก หรือจะด้านใดก็ตามจงสะสมมาให้ได้มากที่สุด แต่ถึงจะอยู่ในสำนักปราชญ์ก็จงฝึกปรือฝีมือของตนเองอย่าให้ขาดตกไป” คำสั่งนี้ของฮุ่ยซิงกลับเป็นความต้องการที่แท้จริงชั่วชีวิตของอีสิง ตัวมันนั้นสนใจในหลักปรัชญาหรือวิถีแห่งปราชญ์มาเนิ่นนานติดแต่ที่ต้องคอยดูแลพี่น้อง จนมันมิอาจปลีกตัวออกจากที่แห่งนี้ได้นานนัก อีสิงก้มหน้าลงคราหนึ่งแม้มิกล่าวกระไร แต่ก็มากพอที่จะให้ฮุ่ยซิงเข้าใจว่ามันตอบรับแล้ว

    “ส่วนต้าหนิวเจ้าจงไปสมัครเป็นผู้คุ้มกันสินค้าของสำนักเกราะทองคำ” สำหรับต้าหนิวแล้ว ฮุ่ยซิงเลือกคำสั่งที่ง่ายได้ใจความ ด้วยฝีมือของมันฮุ่ยซิงมั่นใจคงใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเป็นใหญ่ภายในสำนักได้ เขาเหลือบมองมาที่หลิวซิง

    “หลิวซิงงานที่เจ้าต้องกระทำคือเข้าไปเป็นพ่อครัวหลวงในตำหนักของราชวงศ์ตง” หลิวซิงเลิกติ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ งานนี้ที่ฮุ่ยซิงมอบหมายในบรรดาพี่น้องมันนับว่าง่ายที่สุดและถูกใจมันที่สุด แต่ทุกการกระทำของฮุ่ยซิงที่ผ่านมาล้วนทำให้มันรู้ว่างานที่มันทำต้องมีเหตุผลอยู่แน่แท้ สิ่งที่หลิวซิงต้องกระทำนั้นเสี่ยงที่สุดและสำคัญที่สุดในหมู่พี่น้องในเวลาเดียวกัน ฮุ่ยซิงเลือกที่จะไม่บอกข้อมูลอะไรกับหลิวซิง เพียงแค่บอกว่าต้องไปเป็นพ่อครัวหลวงเท่านั้น เพราะหากหลิวซิงรู้เรื่องมากเกินไปอาจจะเผยพิรุธได้ ทั้งหลิวซิงยังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้อีกด้วยว่าเขาต้องการอะไรจากมัน

    “ส่วนตี๋หลานงานของเจ้าคือติดตามข้า” งานของตี๋หลานนั้นอาจเรียกได้ว่าง่ายที่สุดหรือยากที่สุดในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่พี่น้องล้วนเห็นตรงกันคือมันเป็นงานที่น่าตื่นเต้นที่สุด  ความจริงฮุ่ยซิงต้องการที่จะเดินทางคนเดียวแบบไม่เปิดเผยตัวมากกว่า หลังจากเหตุการณ์ของเหล่าทรชน ทำให้มันได้รู้ว่าต่อให้มันไม่ต้องการหาปัญหา แต่ปัญหาสามารถวิ่งเข้าหามันได้เสมอ หน้าที่ของตี๋หลานจึงเปรียบเสมือนไม้กันหมา ที่จะคอยป้องกันปัญหาที่จะเข้ามาหามัน

     “รักษาตัวด้วยทุกคน” ฮุ่ยซิงเอ่ยวาจากับทุกคน แต่สายตากลับมองไปที่หลัวหลัวเป็นพิเศษ ก่อนจะเอาริมฝีปากของตนสัมผัสกับริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา แล้วผละตัวออกมาพร้อม ๆ กับนัยน์ตาลึกลับ แผนการของฮุ่ยซิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    ต้าตูนับเป็นเมืองหลวงที่ใหญ่โตที่สุดเมืองหนึ่ง กิจการมากมายหลายอย่างล้วนผุดขึ้นในเมืองราวกับดอกเห็ด เมื่อคนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเช่นนี้ ย่อมมีกิจการโรงเตี๋ยมติดตามกันมาราวกับเงาตามตัวและโรงเตี๋ยมที่ใหญ่ที่สุดในต้าตูคงหนีไม่พ้นโรงเตี๋ยมม่านเมฆ ซึ่งเดือนนี้เถ้าแก่ของที่นี้ถึงกับยิ้มไม่หุบเนื่องจากมีงานชุมนุมชาวยุทธแม้มันจะไม่ทราบว่าเกี่ยวกับสิ่งใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันทราบดีคืองานนี้เกี่ยวพันกับกระเป๋าเงินของมันโดยแท้

    “เชิญขอรับ เชิญขอรับ” เถ้าแก่ยืนรออยู่หน้าร้านต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนเพราะทุกคนที่เข้าร้านมันล้วนจ่ายเงินให้มัน ต่อให้เป็นคนบัดซบเช่นไรมันล้วนยินดี ยิ่งร้านมันทำประกันไว้กับสำนักเกราะทองคำ ต่อให้ชาวยุทธมีเรื่องกันจนโรงเตี๋ยมพินาศมันยังคงยินดี แม้จะเสียค่าคุ้มครองไปไม่น้อย แต่ถ้าหากเกิดเหตุพิพาททางสำนักประกันยินดีจ่ายซ่อมแซมโรงเตี๋ยมให้เต็มที่ แล้วมันยังมีสิ่งใดให้กังวล

    “สองท่านหรือขอรับ” มันโค้งให้ลูกค้าอย่างยินดี บุรุษตรงหน้าหนึ่งดุดันราวกับราชสีห์ อีกหนึ่งดูฉลาดลึกล้ำราวกับไม่มีสิ้นสุด แต่ที่สำคัญมันดูจากการแต่งกายของทั้งสองแล้ว กลิ่นเงินที่คุ้นเคยได้โชยเข้าเตะจมูกมัน พร้อมกับเสียงเงินที่กระทบกันดังกังวานเป็นบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสำหรับมัน

    ที่แท้บุรุษทั้งสองคือฮุ่ยซิงกับตี๋หลานนั้นเอง พวกมันเดินนานนับเดือนก่อนจะมาถึงต้าตู่ โดยเฉพาะฮุ่ยซิงที่ตอนนี้หิวไส้แทบขาดแล้ว แต่ยังคงรักษาหน้าตาได้นิ่งสนิทยิ่งนัก ทั้งยังเอ่ยปากบอกตี๋หลานว่ามันคงหิวแล้วจึงหยุดแวะพักผ่อนก่อน

    “เอาเหล้านารีแดงและอาหารขึ้นชื่อของที่นี้มาสักสิบอย่าง” ฮุ่ยซิงพูดจบพร้อมกับยืนเงินให้เถ้าแก่ถึงสิบตำลึงทอง เถ้าแก่ถึงกับตาลุกวาวนับว่าสัญชาตญาณของมันนับว่ายังใช้งานได้ดีไม่น้อย มันรีบจัดที่นั่งที่ดีที่สุดในร้านที่ยังหลงเหลืออยู่ให้กับแขกพิเศษทั้งสองด้วยตัวเองทันที

    ทำเลที่เถ้าแก่จัดให้นั้นนับว่าไม่เลวที่เดียว มุมติดหน้าต่างมองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา แม้ปกติฮุ่ยซิงจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แต่เวลาเช่นนี้มันกลับต้องจับจ้องไปทั่วเพื่อคลายความหิวลง ก่อนสายตาจะไปหยุดลงที่โต๊ะหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากมันนัก

    “ตี๋หลานเจ้าว่าแม่นางผู้นั้นเป็นเช่นไร” ฮุ่ยซิงส่งสายตาเป็นเครื่องชี้นำทาง ให้ตี๋หลานได้มองไปในทางทิศเดียวกับตน

    “สวยงามแต่มีเจ้าของแล้ว” ตี๋หลานมองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่กลับมิใช่กับฮุ่ยซิง สายตาที่ลึกล้ำนั้นจ้องมองทะลุไปจนเห็นความจริง มันจับจ้องไปที่โต๊ะนั้นเพียงไม่นาน ก่อนจะหันกลับมาหาตี๋หลาน

    “พวกนั้นมิมีผู้ใดเป็นคู่ครองของนาง ล้วนแต่เป็นแมลงวี่แมลวงวันทั้งนั้น” แม้ตี๋หลานจะไม่เอ่ยคำแต่ฮุ่ยซิงมองเห็นความสงสัยในสายตาของมันได้เป็นอย่างดี

    “แม้หน้าของนางจะไม่แสดงสิ่งใด แต่ร่างกายของนางกลับบอกคำตอบให้ข้าอย่างชัดเจน เจ้ามองดูเท้าของนางไหมทิศทางที่ชี้ไปนั้นเป็นประตูทางออกของร้าน ทั้งยังนั่งห่างจากโต๊ะพอสมควร ไม่พอร่างกายยังโยกออกมาจากชายทั้งสามอีก หากเป็นคนไม่สนิทหรือไม่รู้จักกันมักจะเกิดอาการเช่นนี้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่นี้กลับเกิดขึ้นถึงสาม บ่งบอกได้ถึงความรำคาญที่นางมอบให้แก่ทั้งสามได้ดียิ่งนัก” สิ้นวาจาเป็นตี๋หลานที่ตกตะลึง มันจ้องมองไปที่ร่างกายของแม่นางผู้นั้นพร้อมกับเห็นในสิ่งเดียวกับที่ฮุ่ยซิงบอก ตลอดชีวิตมันไม่เคยได้ยินวาจาเหล่านี้มาก่อน เจ้านายคนใหม่ของมันผู้นี้นับวันยิ่งน่ากลัวเข้าไปทุกที

    หากชายทั้งสามได้ฟังถ่อยคำของฮุ่ยซิงคงต้องตื่นตระหนกยิ่งกว่าตี๋หลานเป็นแน่แท้ เพราะพวกตนเปิดศึกชิงนางผู้นี้มาเนิ่นนาน คิดว่าแต่ละคนล้วนเป็นคู่แข่งของตน หากรู้เข้าว่าตนทั้งสามล้วนไม่มีโอกาสละก็มันคงสิ้นใจตายแน่แท้

    “ข้าบอกว่าต้องการที่นั่งริมระเบียง เจ้ากลับบอกว่าไม่มีงั้นหรือ” เป็นเสียงของสตรีที่ฟังแล้วระคายเคืองหูของฮุ่ยซิงอยู่ไม่น้อย เสียงนี้ดังขึ้นอยู่ไม่นานก็มีเสียงกระแทกหนักขึ้นบันไดตามมา

    “เจ้าสองตัวบัดซบนั้นจงไสหัวให้แก่เรา” ทีแรกฮุ่ยซิงสงสัยเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่นิ้วมือของนางที่ชี้มายังตนและตี๋หลาน ท่าทางที่นั่งริมระเบียงที่นางต้องการจะเป็นที่ ๆ พวกตนนั่งอยู่เสียแล้ว

    ฮุ่ยซิงกำลังจะลุกให้เพราะอย่างไรเขาก็มิสนใจที่นั่งเหล่านี้อยู่แล้ว ดีเสียอีกจะได้ใช้ข้ออ้างที่ว่าตนโดนแย่งที่เร่งอาหารจากเถ้าแก่ทั้งเรียกร้องเหล้าอีกสักหลายไหมาดื่มกิน แต่ดูเหมือนตี๋หลานจะไม่คิดเฉกเช่นเดียวกับฮุ่ยซิง มันทะยานร่างเข้าหาแม่นางผู้นั้นด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนกยิ่งนัก

    .................................................
    เรื่องการใช้ภาษาให้เข้ากับยุคผู้เขียนจะพยายามปรับปรุงนะครับ
    ทุกคำแนะนำเป็นเครื่องมือที่จะทำให้งานเขียนดียิ่งขึ้น ไม่ต้องเกรงใจครับ เต็มที่เลย

    ปล. อยากได้แบนเนอร์แต่ทำไม่เป็นมีใคพอสงเคราะห์กระผมได้บ้างไหมขอรับ T^T

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×