คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ความยุติธรรม
เทพโอสถแบมือออกปรากฏเป็นทรายกำหนึ่งแต่ที่แตกต่างคือสีของมันสีที่ดำคล้ำจนเกือบจะเรียกได้ว่าดำสนิท ฮุ่ยซิงนึกออกเพียงอย่างเดียวทรายบนมือของเทพโอสถต้องแฝงพิษไว้เป็นแน่แท้
“วิชาที่ข้าจะสอนแม้ไม่มีชื่อเรียกแต่ก็นับเป็นกระบวนท่าอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆคงเป็นวิชาอาวุธลับแขนงหนึ่ง” เทพโอสถแบมือออกมาทรายที่อยู่บนมือก็หายไป ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปเหี่ยวเฉาลงในพริบตา
“เจ้ามีอะไรหรือเปล่า” เทพโอสถจับสีหน้าที่ดูแปลกไปของฮุ่ยซิงได้จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าพเจ้าไม่ต้องการใช้พิษ” จบคำสีหน้าของเทพโอสถแปรเปลี่ยน หางคิ้วกระตุกรูปหน้าบิดเบี้ยว จ้องไปที่หน้าของฮุ่ยซิงอย่างมีความหมาย
“ขี้ขลาดงั้นหรือ” คำพูดนี้ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำตอบของฮุ่ยซิงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอย่างไร แต่เทพโอสถรู้ดีถึงความคิดในใจของเขา
“เจ้าเอาอะไรมาตัดสินว่าการใช้พิษขี้ขลาดกัน” เทพโอสถกึงถามกึงตะคอกร่างกายสั่นเทิ้มและแววตาที่ดูมุ่งร้ายนั้น ท่าทางฮุ่ยซิงจะไปกระตุ้นบ้างอย่างที่ไม่สมควรเข้าให้แล้ว
“เฮอะ ในเมื่อเจ้าคิดว่าการใช้พิษขี้ขลาดงั้นพวกที่ใช้ กระบี่ ดาบ นั้นนับเป็นเช่นไรกัน หากเราใช้พิษแต่มิได้ใช้ดาบ กระบี่เช่นนั้นพวกที่ใช้อาวุธมิใช่เอาเปรียบเราดอกหรือ” เมื่อฮุ่ยซิงไม่ตอบคำเทพโอสถก็ไม่สนใจที่จะรีรอ
“นั้นมัน” ตรรกะนี้ของเทพโอสถฮุ่ยซิงไม่อาจเข้าใจได้โดยง่ายด้วยความคิดที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เยาว์เช่นไรก็เป็นเช่นนั้น
“ฮา ๆ หากการใช้พิษนั้นขี้ขลาดแล้ว เจ้าลองคิดภาพงูที่ไปสู้กับราชสีห์ ทั้งขนาดร่างกายความแข็งแรงและคมเขี้ยวนั้น เจ้ามิคิดว่าราชสีห์เป็นผู้เอาเปรียบหรอกหรือ” ถ้าหากคิดตามหลักความจริงการที่จะเอางูไปสู้กับราชสีห์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
“แต่นั้นเป็นสัตว์”
“แล้วมนุษย์มิใช่สัตว์หรอกหรือ” คำพูดนี้ของเทพโอสถเล่นเอาฮุ่ยซิงถึงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ แม้จะขัดกับสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดแต่ทุกคำพูดของเทพโอสถล้วนมีเหตุผลที่พอเพียงรองรับ
“การต่อสู้หรือแม้แต่การประลองมิใช่ว่าเจ้าต้องใช้ทุกสิ่งที่เจ้ามีเพื่อต่อสู้หรอกหรือ ยิ่งเดิมพันด้วยชีวิตยิ่งแล้วใหญ่เจ้าคิดว่าข้าควรงอมืองอเท้าฟังเสียงส่วนมากของพวกขี้แพ้ที่ไม่อาจต่อกรกับพิษได้และปล่อยให้มันฆ่าข้างั้นหรือ”
“การต่อสู้ที่ยุติธรรมนั้นเป็นเพียงข้ออ้างของพวกขลาดเขลา เมื่อเจ้าใช้อาวุธของเจ้าเข้าโรมรันกับข้าเหตุใดข้าจะใช้อาวุธของข้าบ้างไม่ได้เล่า” คำพูดนี้ของเทพโอสถนับว่าเปิดกะลาให้ฮุ่ยซิงได้ลืมตาออกมามองโลกกว้าง มิใช่มองจากมุมมองของคนส่วนใหญ่ที่กำหนดไว้ ใช่หากคิดแบบเทพโอสถนั้นทุกคนล้วนมีอาวุธของตนแล้วชาวยุทธมีสิทธิอะไรไปบอกให้คนอื่นห้ามใช้อาวุธของพวกเขาบ้างเล่า
ฮุ่ยซิงคุกเขาลงกับพื้นกระแทกศีรษะนี้นับเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายมิอาจกระทำได้โดยง่าย แต่เพียงแค่คำพูดไม่อาจจะบอกกล่าวกับเทพโอสถถึงความรู้สึกของตนในเวลานี้ ทั้งรู้สึกผิดไม่ใช่เพียงแค่ต่อเทพโอสถทั้งยังรู้สึกผิดต่อตนเองที่ด้อยปัญญาถูกกระแสของสังคมมาบดบังความคิดของตนเอง ทั้งยังรู้สึกขอบคุณที่เทพโอสถช่วยเปิดนัยน์ตาที่ปิดอยู่ของเขาให้เปิดออก
การกระทำครั้งนี้ของฮุ่ยซิงนับว่าเหนือความคาดหมายของเทพโอสถมากนัก น้อยคนนักที่จะยอมรับเรื่องเล่านี้ได้และน้อยยิ่งกว่าที่จะเข้าใจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งการกระทำของฮุ่ยซิงคนที่กล้าทำเช่นนี้นั้น สำหรับเทพโอสถนี้เป็นครั้งแรกถ้าให้ถามว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าทำเช่นนี้เทพโอสถตอบได้เลยว่าใช้นิ้วนับยังถือว่ามากเกินไป
เทพโอสถเห็นความเป็นไปได้ในตัวของหนุ่มน้อยตรงหน้า ความฉลาดและรู้จักปรับตัวของฮุ่ยซิงนับว่าหากได้ยากยิ่งในยุทธภพ เหมือนเทพโอสถจะตัดสินใจอะไรบ้างอย่างได้เขามองฮุ่ยซิงด้วยสายตาหลากหลายความหมายก่อนจะยิ้มขึ้นคราหนึ่ง
เมื่อฮุ่ยซิงเงยหน้ากลับมาก็พบว่าร่างของเทพโอสถได้หายไปแล้ว
บางทีเทพโอสถอาจจะโกธรเขาอยู่ก็เป็นได้ ฮุ่ยซิงฝึกวิชาไล่ความคิดค่อย ๆ ก้าวเท้าวกไปวนมาสติที่มีเริ่มเลื่อนลางจดจออยู่กับการก้าวเท้าเพียงเท่านั้น สำหรับฮุ่ยซิงที่จดจ่ออยู่กับการก้าวเท้าของตนเองนั้นคงไม่สังเกตเห็น แต่หากมีผู้ใดได้จ้องมองอยู่ละก็คงจะต้องหยุดหายใจเป็นแน่แท้ร่างของฮุ่ยซิงราวกับถูกแยกออกเป็นหกร่าง ทุกร่างล้วนแสดงท่าทางไม่เหมือนกัน
เพียงต้องการลบเลือนเรื่องราวจากจิตใจแต่กลับทำให้สำเร็จท่าเท้ามังกรท่องหล้าอย่างแท้จริง ท่าเท้ามังกรท่องหล้านั้นจุดเด่นมิได้อยู่ที่ความเร็วแต่กลับเป็นความพลิกแพลงใช้ช้าสยบเร็ว มองเห็นคู่ต่อสู้แม้ไม่เร็วเท่าแต่มังกรท่องหล้ากลับใช้การเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุดแต่เกิดประโยชน์สูงสุด จึงทำให้เหมือนกับเร็วกว่าไปนั้นเอง
ฮุ่ยซิงหยิบทรายขึ้นมากำหนึ่งเขายังไม่อาจเข้าใจว่าเมื่อใดกันที่เทพโอสถลงมือ คนเราไม่ว่าเร็วแค่ไหนแต่เมื่อลงมือต้องขยับมากน้อยแล้วแต่บุคคลไป ต่อให้เป็นเทพโอสถฮุ่ยซิงก็ไม่คิดว่าจะสามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะหยุดนิ่ง หากเป็นเพียงเศษหินเล็ก ๆ อาจจะบอกได้ว่าใช้นิ้วดีดจึงมองไม่เห็น แต่นี้เป็นทรายทั้งกำมือหากจะปาออกนั้นล้วนต้องขยับมากกว่านิ้วมือแน่นอน
ภาพของเทพโอสถค่อย ๆ แล่นเข้ามาในหัวของฮุ่ยซิงทุกจังหวะและท่วงท่าล้วนค่อย ๆ ต่อกันมา เทพโอสถกำมืออย่างแช่มช้าก่อนจะแบมือออกอีกครั้ง แต่เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ขัดกลางระหว่างนั้น มืออีกข้างของเทพโอสถแม้จะเหมือนการกระทำทั่วไป มือข้างนั้นยกผ่านมือข้างที่มีทรายก่อนจะลูบใบหน้าของเทพโอสถ
ใช่แล้วเทพโอสถได้เปลี่ยนมือข้างที่ใช้ จังหวะที่ฮุ่ยซิงกำลังสนใจมือข้างที่กำไว้เทพโอสถกลับย้ายทรายไปไว้อีกข้างหนึ่งเมื่อแบออกจึงไม่มีทรายพิษหลงเหลืออยู่ ที่แท้เทพโอสถใช้มืออีกข้างปาออกนั้นเอง แม้จะดูธรรมดาสามัญแต่กลับได้ผลยิ่งนัก หากไม่มีเวลาได้คิดแล้วละก็ไม่ว่าใครล้วนมิอาจคาดเดา
ฮุ่ยซิงลองทำตามบ้างแม้จะมั่นใจว่าต้องเป็นจุดนี้แน่ ๆ แต่กลับทุลักทุเลยิ่งนัก เสียงหัวเราะที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังมองไปเห็นเป็นเทพโอสถที่กำลังกุมหน้าท้องของตนพร้อมกับร่างที่สั่นไปมาเป็นจังหวะ
“เจ้านี้ตลกจริง ๆ” แม้จะถูกหัวเราะเยาะ ทีแรกเทพโอสถว่าจะมาเรียกฮุ่ยซิงกลับไปกินข้าวเย็น แต่ภาพของฮุ่ยซิงที่พยายามจะโยนทรายนั้นทำเอาเขาไม่อาจทนทานไหวจริง ๆ ฮุ่ยซิงแม้ถูกหัวเราะเยาะแต่กลับยินดียิ่งนัก รอยยิ้มของเทพโอสถเหมือนจะบอกว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรฮุ่ยซิงอีกแล้ว
“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจอีกหรือเปล่า” เทพโอสถเอ่ยขึ้น เขาคิดจะสอนฮุ่ยซิงแล้วแต่ไม่อยากให้มีอะไรค้างคา เพราะหากสอนไปแล้วสะดุดอีกมันคงน่ารำคาญไปน้อย
“ท่านใช้พิษเป็นอาวุธหรือ”
“นี้เจ้าตาบอดหรือไงกัน” เทพโอสถถึงกับอุทานขึ้นมาก็เห็นอยู่ว่าเขาใช้พิษ เจ้าหนูนี้ยังจะถามขึ้นมาอีก
“แล้วถ้าเทียบกับราชันหมื่นพิษ พิษของท่านนับเป็นอย่างไร” คำถามนี้นับว่าค้างคาอยู่ในใจของฮุ่ยซิง เพราะขนาดพิษของเทพโอสถยังรุนแรงเช่นนี้แล้วราชันหมื่นพิษที่ถือเป็นจุดสูงสุดของสายพิษจะเป็นเช่นไร
เทพโอสถหัวเราะลั่นแทนตอบคำ คำถามนี้ของฮุ่ยซิงนับว่าเรียกเสียงหัวเราะจากเทพโอสถได้มากมายจริง ๆ
.....................................................................สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน
เออ... จะพูดไรดีนึกไม่ออกแหะ เอาเป็นว่า "รักนักอ่านทุกคนขอรับ"
แล้วนักอ่านรักคนเขียนบ้างไหมเอ่ย
ความคิดเห็น