ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #10 : สงคราม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.93K
      32
      12 ธ.ค. 55

    “วันนั้นสำนักสุริยันได้ทำให้ชาวยุทธทั้งยุทธภพได้เห็นภาพของสิ่งที่เรียกว่านรกบนดินผืนดินแตกระแหงต้นหญ้ากลายเป็นเพียงเศษธุลี ทุกอย่างก้าวของภูตอเวจีล้วนเต็มไปความวอดวายซากศพที่ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือเค้าร่างเดิมจำนวนมากนอนทอดร่างภายใต้สนามรบ

    นี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นการรบควรเรียกว่าการเข่นฆ่าเพียงฝ่ายเดียวมากกว่า แสงอาทิตย์สีส้มยามตะวันลาลับฟ้าไม่อาจหาความสวยงามได้อีกภาพของชาวยุทธนับพันนอนทอดกายเป็นซากศพที่ไม่สมบูรณ์นับว่าเป็นภาพของนรกอย่างแท้จริง

    ราชันทั้งห้าไม่อาจทนรอตามแผนการได้อีกเหล่าศิษย์ของตนทั้งหลายที่นอนทอดร่างอยู่บนสนามรบนั้นได้สั่งให้พวกเขาทะยานร่างเข้าสู้รบกับเหล่าภูตอเวจีแม้ภูตอเวจีจะเป็นเหมือนปีศาจเยี่ยงไร้ แต่ยังคงพื้นฐานของมนุษย์ ยังรู้จักเหนื่อยการต่อสู้ที่ผ่านมาทำเพื่อตัดกำลังของเหล่าภูตอเวจี แม้จะเป็นการสูญเสียแต่ราชันทั้งห้าจะไม่ยอมให้การตายของพวกพ้องต้องเสียเปล่า การต่อสู้ของห้าราชันเริ่มเพียงไม่นานเหล่าภูตอเวจีก็ตายตกไปถึงแปดตน เพราะความเร่งรีบของราชันทั้งห้าจึงทำให้ราชันดาบและราชันหมัดบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจต่อสู้ได้ต่อแต่การกระทำของทั้งห้านั้นได้ช่วยชีวิตชาวยุทธไว้ได้มากมาย” เทพโอสถหยุดพักหายใจเล็กน้อย

     

     

    “อย่างนั้นห้าราชันก็เก่งมากเลยสิแล้วสงครามก็จบลงเพราะห้าราชันเลยหรอ” ฮุ่ยซิงตื่นเต้นกับการต่อสู้แม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แต่กลับจิตนการถึงความลำเลิศและนำถือในความกล้าหาญและเสียสละของราชันทั้งห้าไปแล้ว

     

    “ใช่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีก่อนจะมีคนสองคนโผล่ออกมา” เทพโอสถถอนหายใจเสียงดัง

     

    “ทั้งสองคนนั้นก็เป็นภูตอเวจีเหมือนกันหรือ”
     

    “ใช่ทั้งสองคนคือองค์รักษ์ ซ้าย ขวาของเทียนป้าอ๋องแต่ทั้งสองคนไม่ใช่ภูตอเวจีธรรมดาหรอกนะทั้งสองสวมเสื้อผ้าเหมือนปกติตอนนั้นราชันทั้งห้าไม่คิดว่านอกจากภูตอเวจีแล้วจะมีอะไรที่น่ากลัวไปกว่านั้นเมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามออกมาเพียงสองคนฝ่ายราชันทั้งห้าก็ก้าวเท้าออกไปเพียงแค่สองคนเช่นกันคือ ราชันหมื่นพิษและราชันกระบี่ไร้พ่าย” พูดถึงจุดนี้เทพโอสถเหมือนจมลึกลงไปในห้วงความทรงจำในอดีต

     

    “ข้าราชันหมื่นพิษ หวงโต๋ ขอท้าประลอง” ราชันหมื่นพิษก้าวออกมากลางสมรภูมิ

     

    “ข้าราชันกระบี่ไร้พ่ายหวู่เหล่าเทียน ขอท้าประลอง” เป็นราชันกระบี่ที่ก้าวออกมายืนเคียงข้างราชันหมื่นพิษ

     

    “ข้าองค์รักษ์ขวา เหวินจางจะเป็นคู่มือให้ท่านเองราชันหมื่นพิษ”

     

    “ข้าองค์รักษ์ซ้าย เหวินจิงอยากลองฉายานามของราชันกระบี่ไร้พ่ายมานานแล้วว่าจะไร้พ่ายสมชื่อดังฉายาหรือไม่” องค์รักษ์ซ้ายตอบอย่างไม่กลัวเกรงฉายานามของราชันกระบี่ทั้งยังยิ้มกริ้มท้าทาย

     

    “งั้นเจ้าจงพิสูจน์ด้วยตนเองเถอะ” ราชันกระบี่พูดจบก็ทะยานร่างเข้าหาเหวินจิงทันที กระบี่แรกที่แทงไปเหมือนยั้งเชิงเหวินจิงหลบได้อย่างสบายๆแต่กลับเป็นราชันกระบี่แทงกระบี่ตามมาอย่างไม่หยุดยั้งดุดัน รวดเร็ว ทั้งยังแม่นยำทุกกระบี่แผงไปด้วยลมปราณแม้ทุกกระบี่จะอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่มีเสียงแหวกอากาศให้เหวินจิงได้ยิน ราวกับอากาศได้ทุกตัดขาดโดยสมบูรณ์

     

    นี้บรรลุถึงขั้นไร้เสียงเชียวหรือเหวินจิงถึงกับลอบหนาวเหน็บขึ้นมา แต่เหวินจิงก็เก่งกาจไม่แพ้กันไม่ว่าราชันกระบี่จะตวัดแทงไปกี่กระบวนท่าล้วนไม่อาจสัมผัสผิวกายของเหวินจิงกระบี่แล่นผ่านตัวเหวินจิงแม้ตัวกระบี่ไม่อาจสัมผัสผิวกายแต่สายลมที่ตัดผ่านนั้นคมกริบราวกลับคมมีดฝากรอยแผลไว้ตามร่างกายของเหวินจิงไม่น้อย

     

    “ร้ายกาจราชันกระบี่ไร้พ่ายนับว่าไม่ได้ดีเพียงแค่นาม”เหวินจิงตีลังกาถอยหลังไปก่อนจะรวบรวมลมปราณ มือสองข้างแดงฉาน อากาศรอบมือเหวินจิงเริ่มสั่นไหวจากเพียงเล็กน้อยจนมองไม่เห็นมือของเหวินจิงค่อยๆกลายเป็นภาพเบลอที่เห็นเพียงแค่แสงสีแดงที่สั่นไหวไปมาเท่านั้น

     

    “รับมือ” เหวินจิงประกาศก้องก่อนจะทะยานร่างเข้าหาราชันกระบี่ทุกหมัดที่พุ่งมาล้วนดุดันเน้นรุกไม่มีรับ ราชันกระบี่ได้เพียงหลบไม่อาจต้านรับเพียงแค่เห็นอากาศโดยรอบสั่นไหวถึงเพียงนั้นเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามือคู่นั้นไม่อาจเอากระบี่รับไว้ได้

    แม้ไม่สัมผัสถูกหมัดแต่ความร้อนที่ส่งผ่านมือทั้งสองของเหวินจิงนั้นไม่ธรรมดาราชันกระบี่ถูกรุกไล่จนต้องถอยไปอยู่พักใหญ่แม้มีกระบวนท่ามากมายแต่ไม่อาจใช้ออก ราชันกระบี่ไม่อยากเสี่ยงให้กระบี่ของตนเสียหายแม้จะเป็นกระบี่วิเศษแต่ไม่มีอะไรรับรองได้ว่ามันสามารถทนทานความร้อนของมือคู่นั้นได้

     

    ราชันกระบี่หลบหลีกหมัดของเหวินจิงอยู่หลายร้อยกระบวนท่าคอยหาช่องว่างเพื่อรุกกลับบ้างแต่ยังไม่พบ หากเหวินจิงมีกระบวนท่าที่ร้ายกาจกว่านี้ราชันกระบี่คงได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องโทษว่าเทียนป้าอ๋องเร่งศึกนี้เร็วเกินไปและโทษภูตอเวจีที่ฝึกยากเกินไปกว่าจะก้าวมาถึงขั้นหลอมรวมดั่งเหวินจิงได้ก็กินเวลาเนินนานยิ่งนักจนไม่อาจศึกษาและฝึกเพลงหมัดของสำนักได้อย่างชำชอง

     

    เหมือนเหวินจิงจะเริ่มรำคาญที่ไม่อาจจบศึกได้เสียทีหมัดทั้งสองหยุดนิ่งก่อนจะรวบรวมลมปราณหวังจบศึกในคราเดียว แต่นั้นนับเป็นความผิดพลาดที่สุดราชันกระบี่รอคอยโอกาสนี้มาเนิ่นนานไม่ยอมปะทะเพียงแต่หลบหลีกเพื่อหวังให้กระบี่ของตนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด

    ร่างของราชันกระบี่พลางหายไปจากสายตาของเหวินจิงก่อนจะปรากฏเป็นสายอัสนีมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามคำคืนทะยานเข้าหาร่างของเหวินจิง นี้นับเป็นกระบวนท่าไม้ตายของราชันกระบี่”ดาวเดือนดับ”นับว่าสมชื่อยิ่งนักความเร็วที่มากเสียจนราวกับราชันกระบี่เป็นดวงเดือนที่หายลับไปจากขอบฟ้าย่ามคำคืนก่อนจะขับส่งหมู่ดาวมากมายออกมาแต่งเติมท้องฟ้าให้สว่างไสวดูสวยงามยิ่งนัก

     

    “ร้ายกาจ” เหวินจิงกระอักเลือดออกมาคำโตก่อนทั่วร่างจะค่อยๆมีสีเลือดพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกจากทั่วร่างก่อนจะสิ้นลมหายใจไปทั้งที่ร่างยังยืนหยัดราวกับขุนศึกที่ประกาศว่าตนยังไม่ยอมจำนน ราชันกระบี่ทรุดกายลงอย่างเหนื่อยอ่อนกระบวนท่าเมื่อกี้นับเป็นการลงมือสุดตัวไม่มีรั้งกลับพลังจากทั่วร่างล้วนมุ่งตรงไปเพื่อโจมตีเหม่อมองกระบี่ในมือของตนแม้เหวินจิงจะยังไม่อาจลงมือได้เต็มกำลังแต่กระบี่ในมือของราชันกระบี่ตอนนี้เหลือเพียงด้ามแม้ไม่รู้ว่าเป็นวิชาใดแต่ราชันกระบี่มั่นใจหากเขาปล่อยให้เหวินจิงได้ลงมืออย่างเต็มกำลังผลคงไม่ออกมาเช่นนี้

     

     

     

     

     .................................................................................
     

    “ฮา ฮา ฮา ฮา” เหวินจางหัวเราะเสียงดังกังวานสะท้อนก้องจนราชันทั้งห้าถึงกับสั่นสะท้านเสียงหัวเราะกู่ร้องยาวนานราวกับต้องการเย้ยหยันความพ่ายแพ้ของเหวินจิง อากาศรอบตัวของเหวินจางเริ่มสั่นภาพร่างของเหวินจางค่อย ๆ พลางมัวจนแทบจะมองไม่ออกว่านั้นคือใครเสื้อผ้าทั่วร่างสลายกลายเป็นฝุ่นควันก่อนที่เรือนผมบนศีรษะและเส้นผมตามร่างกายของเหวินจางจะค่อยๆถูกเผาไหม้กลิ่นเหม็นจากการเผาไหม้คละคลุ้งไปทั่วอากาศรอบตัวของเหวินจางสั่นไหวราวกับถูกฉีกกระชากความร้อนที่กระจายออกมาแม้ราชันหมื่นพิษที่อยู่ห่างหลายสิบเมตรยังสัมผัสได้

     

    “มาเรามาเริ่มกัน” เหวินจางแท้จริงแล้วเป็นพี่ชายของเหวินจิงความเจ็บปวดในฐานะของพี่ชายแทบจะทำให้เขาอยากกระโดดเข้าไปฉีกกระชากร่างของราชันกระบี่ให้ย่อยยับ แต่ศักดิ์ศรีของนักบู้และสำนักสุริยันคอยประคองสติของเขาเอาไว้ ไม่มีการออมมือใดๆไม่มีการหยอกเหย้าแหย่ให้เห็น

     

    “รับมือ” เหวินจางทะยานร่างใส่ราชันหมื่นพิษดูเหมือนดังสายวิชชุสีแดงสายหนึ่ง ทุกหมัดที่ต่อยออกล้วนไม่มีรั้งกลับราชันหมื่นพิษรู้ตัวดีว่าไม่อาจต้านรับได้ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาบัดเดียวซ้ายบัดเดียวขวาหลบหลีกเป็นพัลวัน

     

    “สมกับเป็นราชันหมื่นพิษแม้ร่างอเวจีเจ้ายังสามารถแพร่พิษได้” เหวินจางโคจรลมปราณเพียงรอบหนึ่งก็ขจัดพิษของราชันหมื่นพิษจนมลายสิ้นที่แท้ระหว่างที่หลบหลีกการโจมตีของเหวินจางราชันหมื่นพิษกลับสามารถแพร่พิษใส่อย่างแนบเนียน ราชันหมื่นพิษกลับตีสีหน้านิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายที่ตนเองใช้พิษที่ถนัดไม่ได้ความจริงนั้นพิษของราชันหมื่นพิษหากบอกว่าตนเป็นสองย่อมไม่มีใครกล้าออกมาว่าตนเป็นหนึ่ง

     

    ราชันหมื่นพิษลอบยิ้มในใจมิใช่ว่าเพราะได้ชัยแต่กลับเป็นเพราะตื่นเต้นร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างยินดี

     

    “ยอดเยี่ยมหากเป็นเจ้าข้าคงสามารถเติมเต็มความฝันได้”ราชันหมื่นพิษกลับดูคล้ายคนสติวิปลาสจ้องมองลึกไปในดวงตาของเหวินจาง เหวินจางถึงกับหนาวเหน็บขึ้นถึงขั้วหัวใจสติที่รุ่มร้อนดั่งเปลวเพลิงในตอนแรกเริ่มเย็นลงยอมรับคนตรงหน้าว่ามีฝีมือทัดเทียม หากพูดถึงราชันหมื่นพิษนั้นฝีมือต่อสู้ก็ไม่ได้โดดเด่น วิชาตัวเบาก็ไม่ได้ลำเลิศเพียงแค่มีพิษที่ร้ายกาจมากกว่าคนอื่นหน่อยเท่านั้นนั้นคือความคิดของชาวยุทธทั่วไปแม้ไม่ได้เอ่ยออกมาแต่นับว่ารู้กันทั่วยุทธภพว่าเป็นเช่นนั้น
     

    ความจริงนั้นกลับไม่เคยมีใครสามารถทำให้ราชันหมื่นพิษใช้ความสามารถที่แท้จริงของราชันหมื่นพิษ พิษของราชันหมื่นพิษไม่เพียงแต่ทำลายเท่านั้นมันเหมือนเหรียญสองด้านสามารถกระตุ้นความสามารถของตัวเองอย่างไม่อาจบรรยายได้เลยทีเดียวแต่ก็มีผลเสียที่ไม่อาจคาดคำนวณได้เช่นกัน แต่นับตั้งแต่ท่องยุทธภพมาเกือบยี่สิบปีไม่เคยมีใครทำให้ราชันหมื่นพิษจนตรอกถึงขนาดจำเป็นต้องใช้

     

    ราชันหมื่นพิษสะบัดมือคราหนึ่งรอบกายก็เต็มไปด้วยหมอกควันสีม่วงเหวินจางกระโดดถอยหลังออกมาแม้จะมั่นใจในร่างของตัวเองแต่ก็ไม่โง่ถึงขนาดเสี่ยงกับพิษจากราชันหมื่นพิษ แต่นั้นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในหมอกควันนั้นราชันหมื่นพิษหยิบยาสีทองคำโยนเข้าปากก่อนจะโยนระเบิดพิษเพิ่มขึ้นอีก ภาพต่อจากนั้นนับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนักควันสีม่วงโดยรอบถูกสูดเข้าไปในร่างของราชันหมื่นพิษผิวกายเปลี่ยนเป็นสีคล้ำทั้งร่างดวงตาทอแสงลึกลับ

     

    เหวินจางรำร้องว่าผิดท่าแล้วกระโจนเข้าใส่หมายจะสังหารราชันหมื่นพิษในคราเดียวราชันหมื่นพิษไม่เพียงไม่หลบทั้งยังต้านรับการโจมตีทั้งสองปะทะกันเสียงดังราวกับอัสนีบาตฟาดลงจากฝากฟ้า ฝุ่นควันพุ่งกระจายภายในนั้นชาวยุทธไม่อาจทราบผลของการต่อสู้ได้เลย

     

    เมื่อฝุ่นควันเริ่มจางลงเริ่มมองเห็นแสงสีม่วงสะท้อนอยู่ภายในนั้นก่อนจะเห็นเพียงราชันหมื่นพิษเหยียบร่างของเหวินจางไว้นาทีนั้นคำนินทาครหาที่เคยมีต่อราชันผู้นี้ได้หายไปบังเกิดเป็นความกริ่งเกรงที่มีต่อราชันผู้นี้อย่างสุดหัวใจ


     



    ปล. เพิ่งเขียนฉากการต่อสู้ครั้งแรกอยากทราบว่าผู้อ่านรู้สึกยังไงบ้างติดขัดหรือเปล่าหรือผู้เขียนพลาดตรงไหนก็บอกได้เลยนะครับ
    ขอบคุณครับผมที่ติดตามกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×