คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ดินแดนต่างมิติ
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเจ้าแล้วเด็กน้อย จักมีสักครา เหราผู้นี้จักได้ตอบแทน................................................”
“อุ๊บ! .นั่นเสียงใครกัน แล้วนี่เราอยู่ที่ไหน
อา จริงสิ เมื่อคืนเราพลัดหลงกับกานต์นี่นา แล้วนี่เรา...............”
“เสียงปริศนาของใครซักคนทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมเริ่มมองไปรอบๆตัว รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาเหลือเกิน ต้นไม้ใบหญ้ามันมีลักษณะแปลกๆ บางชนิดผมแทบไม่เคยเห็นเลยทีเดียว รูปร่างหน้าตามันแบบ........อธิบายไม่ถูกแฮะ บางต้นมันบิดไปบิดมายึกยือๆ ดูแล้วก็พิลึกดีไม่เบา เมื่อคืนคงจะมืดแล้วก็ตกใจ ผมเลยไม่ทันได้สังเกตกระมัง”
“อึก! คอแห้งจังแฮะ ผมรู้สึกกระหายน้ำ เลยปีนลงจากต้นไม้แล้วเดินไปที่ลำธาร ถึงบ้านผมจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ยอมรับว่าไม่เคยดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองเลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะถูกสอนมาว่ามันไม่สะอาด แต่คราวนี้คงต้องขอสักครั้ง เพราะไอ้ครั้นจะไปหาน้ำดื่มที่สะอาดๆ แถวนี้มันคงจะยากพิลึก
ทันทีที่ผมดื่มน้ำก็ต้องประหลาดใจ นอกจากความใสบริสุทธิ์แล้ว มันยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้คล้ายๆกับดอกมะลิ แถมยังเย็นชื่นใจราวกับใส่น้ำแข็งลงไปเลยเชียว
ผมเริ่มสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากดื่มน้ำแล้วก็ล้างหน้าล้างตา ความเหนื่อยล้าก็เบาบางลง ผมกลับมาคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอีกครั้ง ยังรู้สึกงงๆว่ามันเป็นความจริงหรือว่าความฝันกันแน่ จำได้ว่ามาทัศนศึกษากับทางโรงเรียน แล้วก็ออกมาถ่ายรูปแมลงกับพี่ชาย หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อเหลือเกิน ผมเจอวารีกุญชร แถมยังโดนสัตว์ประหลาดไล่ตาม นี่มันละเมอชัดๆถ้าใครได้ฟังเข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ผมไม่ค่อยจะแตกตื่นเสียเท่าไร แม้จะอยู่ในที่ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน ขอเพียงมีกลิ่นอะไรที่ผมคุ้นเคย ผมสามารถหาทางกลับบ้านได้เสมอๆ ตอนสมัยเมื่อยังเป็นเด็ก ผมเคยหลงเข้าไปในป่าตอนไปตกปลากับพ่อ ยืนร้องไห้อยู่ตั้งนานเพราะจำทางกลับออกไปไม่ได้ ไม่นาน ผมได้กลิ่นบุหรี่ที่พ่อสูบ เลยเดินตามกลิ่นไป ก็เจอกับพ่อที่กำลังสาละวนตามหาผมอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นโดนตวาดซะยกใหญ่เลยล่ะ”
“คราวนี้ ผมพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อหากลิ่นที่ผมคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่กานต์ชอบใช้ หรืออะไรก็ได้ที่ผมรู้จักมันดี แต่แปลกแฮะ ที่นี่มีแต่กลิ่นที่ผมไม่คุ้นเคยเอาซะเลย
จริงสิ มีกลิ่นหอมประหลาดกลิ่นหนึ่งที่ล่องลอยมาแตะจมูกผม นี่มันกลิ่นอะไรกันแน่ น้ำหอม ดอกไม้? ผมก็ไม่มั่นใจ รู้แต่ว่ามันหอมมากมายเหลือเกิน ”
“ขณะเดินตามกลิ่นหอมไปเรื่อยๆนั้น ฝนก็เริ่มตกลงมาเบาๆ ผมอดที่จะคิดมากไม่ได้ว่า ตอนนี้กานต์จะปลอดภัยดีรึเปล่า เพราะเขาหายไปเลย ผมตะโกนเรียกเท่าไรก็ไร้ซึ่งเสียงขานตอบ แต่เอาน่ะ ผมตามกลิ่นไปจนถึงจุดหมาย คงจะเจอใครซักที่สามารถช่วยผมได้แน่นอน”
“นาฬิกาที่ข้อมือของผมบอกเวลาว่าตอนนี้ 08:13:51 แม้จะอยู่ในช่วงสายๆของวันแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าอากาศยังเย็นอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะว่าบริเวณนี้เป็นป่า อุณหภูมิเลยต่ำกว่าปกติก็เป็นได้ ไอ้ที่น่ารำคาญกว่านั้นคือ ผมต้องมาเดินฝ่าดงหญ้าที่สูงท่วมหัวผมนี่แหละ กลัวเหลือเกินว่าจะโดนงูกัด แทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะต้องเอาไปส่งโรงพยาบาลไหน เพราะคงจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปก่อนแน่เลยทีเดียว”
“หลังจากเดินมาได้สักพัก ผมก็หลุดออกมาจากดงหญ้า ผมกวาดสายตาไปมาเพราะอดระแวงไม่ได้ว่าไอ้ตัวเมื่อคืนมันจะอยู่แถวนี้รึเปล่า ถึงผมจะไม่ได้กลิ่นของมันแต่ก็อดจิตตกไม่ได้สักที”
“ผมเข้าใกล้กลิ่นหอมนั้นเข้าไปทุกทีๆแล้ว แต่ใครจะคิดว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ จะทำให้ผมต้องไปเจอกับอะไรที่เลวร้ายกว่าเหตุการณ์เมื่อคืนอีกครั้ง...............................................................”
หลังจากเดินฝ่าดงหญ้าที่รกชัฏขนาดสูงท่วมหัวมาได้ไม่นาน อิฐก็มาโผล่ที่ป่าขนาดใหญ่ ต้นไม้แต่ละต้นคะเนอายุแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 100 ปี เพราะขนาดลำต้นนั้น คนกว่าสิบคนมาโอบยังไม่มิด ซ้ำแสงอาทิตย์ยังมิอาจสาดส่องเข้ามาบนพื้นดินได้เลยทีเดียว
อิฐลังเลที่จะเข้าไปข้างใน เขานึกหาเหตุผลมาอ้างอิงไม่ได้ว่า มนุษย์คนไหนจะมาอาศัยอยู่ในป่าที่น่าขนลุกนี้ เพียงแค่มองเข้าไปก็รู้สึกขนพองแล้ว ทั้งความมืดมิดของมันกอปรกับบรรยากาศชวนวังเวงทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าก้าวขาเข้าไปเลยทีเดียว
“กลิ่นมันอยู่ข้างหน้านี่เองนะ” อิฐรำพันขึ้นมา เขาพยายามรวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปข้างใน คิดถึงความหวังที่จะได้กลับบ้านแล้วจะได้พาคนช่วยกันออกตามหาพี่ชาย
เขากลั้นใจเดินต่อไปข้างหน้า ทันทีที่ย่างเข้ามาในป่า เขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ลมหายใจเขาติดขัดราวกับจิตใต้สำนึกของเขามันกำลังต่อต้านไม่ให้เข้ามาข้างในนี้
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เขาสบถขึ้นมาพลันเอามือทั้งสองข้างตบหน้าตัวเองแรงๆให้ตื่นตัว ทุบขาทั้งสองข้างของตัวเองให้หายสั่น เขาค่อยๆเดินตามกลิ่นหอมนั้นไป ค่อยๆเดิน ค่อยๆเดิน...................
ท่ามกลางกลางความมืดมิดราวกับราตรีกาล เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า เขาถูกจ้องมองจากเหล่าอสุรกายร้ายผู้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ พวกมันรอคอย รอคอยเหยื่ออันโอชะของมันที่จะหลุดเข้ามายังนรกแห่งนี้
พวกมันแฝงตัวอยู่ตามโพรงไม้ใหญ่ ขณะนี้ มันค่อยๆคลืบคลานออกมาอย่างช้าๆ เสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยงก็เริ่มดังขึ้นมา พวกมันสูดดมกลิ่นของอาหาร อาหารที่พวกมันกำลังจะได้ลิ้มรส
ไม่นาน กลิ่นสาปของพวกมันก็อบอวลไปทั่วบริเวณ จากกลิ่นหอมที่ตามมา ในบัดดล กลิ่นสาปสางก็กลบกลิ่นหอมนั้นเสียสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มขวัญเสีย ทั้งกลิ่นและเสียงที่ได้ยินนั้นทำให้เขาหัวใจแทบวายอีกครั้ง
“นะโมตสสะ ภควะโต.....” อิฐสวดมนต์ขึ้นมาทันที เขาคิดว่าสิ่งที่กำลังเผชิญนั้น คือเหล่าผีสางที่ออกมาหลอกหลอนเขา
“ผีเหรอ ผมเชื่อนะ ถึงแม้จะไม่เคยพบเจอก็เถอะ แต่กานต์สิ หมอนั่นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าเชื่อ พี่เขาเคยเจอตอนเด็กๆหลายครั้งเลยเชียวล่ะ”
ดูเหมือนว่า การสวดมนต์จะไม่ได้ช่วยอะไรอิฐเลย พวกมันไม่ใช่สัมภเวสีที่มาขอส่วนบุญ แต่พวกมันคืออสุรกาย ทุกตนต่างพากันส่งเสียงหัวเราะดังสนั่นและสนุกกับการทำให้เหยื่อของมันตกใจเล่น
“ข้าขอแขนนะ....” “ข้าจองขา คิก คิก” “ไอ้พวกโง่ มันต้องหัวสิ อร่อยที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า” พวกมันเริ่มส่งเสียงอย่างสนุกสนาน เสียงของพวกมันฟังแล้วน่าขยะแขยง บ้างแหบต่ำ บ้างแหลมสูง ใครได้ยินเข้าจะรู้ได้เลยว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์แน่
อิฐขาสั่น เขากลัวขึ้นมาจับจิต น้ำตาเริ่มคลอเบ้าตา เพราะเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เขากำลังเผชิญนั้นมันคืออะไรกันแน่ เขาพยายามสวดมนต์ แม้จะสวดผิดสวดถูกเพราะความกลัวก็ตาม ยังไงๆพวกมันก็ไม่หนีไปสักที เขาหลับตาปี๋ พยายามที่จะไม่มองพวกมัน
เหล่าอมนุษย์เผยร่างออกมาทีละน้อย ร่างกายของพวกมันใหญ่โต ประมาณความสูงแล้วคงสัก 2 วา ร่างกายสีเขียวเข้มออกไปทางสีดำ ผมหยิกฟู ดางตาสีแดง เขี้ยวของพวกมันเรียงกันราวกับฟันของปลาฉลาม เนื้อตัวสกปรกมอมแมม กลิ่นนั้นเหม็นราวกับซากศพก็ไม่ปาน พวกมัน.........
น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มไหลออกมา ความกลัวมันเอ่อล้นขึ้นมาครอบคลุมไปทั้งร่างกายและจิตใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ สติเขาเริ่มกระเจิง เขาเริ่มประคองตัวเองไม่ได้เหมือนมันเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาพยายามลืมตาขึ้นมาทีละน้อย อนิจจา เบื้องหน้าของเขา เป็นหน้าของอสุรกายร้าย มันแสยะยิ้ม ปากกว้างถึงรูหู
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!” อิฐตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนที่สัมปชัญญะเขาจะขาดไป สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นและได้กลิ่นคือ ผู้หญิง ปีกนก แล้วก็กลิ่นหอมที่เขาตามมานั่นเอง.................
“ เวลาล่วงเลยผ่านไปนับสิบปี ใยตัวข้ายังคงนึกถึงวันนั้นมิเสื่อมคลาย...........”
“ข้าคือเนติ ราชบรรณารักษ์........
สงครามในครานั้น พรากชีวิตผู้คนที่ข้ารัก ข้าสมเพชในความอ่อนแอของตัวเอง ข้ามิอาจปกป้องชีวิตของพวกเขาไว้ได้ แม้กระทั่ง...ราชาของข้า
ข้าจมอยู่กับอดีต มันคอยตามหลอกหลอนข้า แม้ยามหลับ ยามตื่น ข้ามิเคยเป็นสุขสักครา ภาพแห่งอดีตมันยังชัดเจน ข้าเจ็บปวดแสนสาหัส
ทำไมล่ะ สวรรค์ถึงไม่เอาชีวิตข้าไปอยู่กับพวกเขาด้วย ทำไมยังปราณีให้ข้ามีชีวิตอยู่ หรือต้องการให้ข้าต้องทนทุกข์อยู่กับบาปที่ข้าทำ
หน้าที่ของข้า คือบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความจริง รับรู้ถึงความกล้าหาญของวีรบุรุษที่เฝ้าคอยปกป้องผืนแผ่นดินนี้จากเหล่าผู้รุกราน ข้าร้อยเรียงประวัติศาสตร์ผ่านหนังสือที่ข้าเขียน
ข้ามิเคยลืมคำพูดสุดท้ายของราชา จงปกป้องดินแดนและประชาชนอันเป็นที่รัก เพราะมันยังมีชีวิตอยู่ สักวันมันจะกลับมา…..”
“ราชาสามานย์ กาฬวาต”
สายลมอุ่นๆพัดผ่านจากทิศตะวันออกมุ่งสู่ทิศตะวันตก นกฝูงใหญ่ร่อนถลารับลมกันอย่างสนุกสนาน ต้นไม้น้อยใหญ่ไหวเอนไปตามสายลม เสียดสีกันออกมาเป็นเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมอันไพเราะ
“อา ที่นี่ที่ไหน เรา.....ตายไปแล้วเหรอ?” อิฐรำพันออกมาเบาๆ เขาค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ
“อ้าว รู้สึกตัวแล้วเหรอพ่อหนุ่ม?” เสียงชายคนหนึ่งทักขึ้นมา
อิฐหันไปมองตามเสียง ชายหนุ่มอายุราว 30 ปีเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ เขาเป็นคนตัวใหญ่ ผิวสีแทน ผมสีดำค่อนข้างยาว เขาเอามือแตะที่ตัวอิฐเบาๆแล้วก็พูดขึ้นมา “เจ้าเป็นคนที่เท่าไรนะ ที่หลงเข้ามาที่แห่งนี้ นับว่าเจ้าโชคดีที่รอดชีวิตมาได้” “ข้าชื่อเกษม” ชายหนุ่มแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม
“ผมชื่ออิฐครับ น้าเป็นคนช่วยผมออกมาใช่รึเปล่าครับ?”
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่ใช่ข้าหรอก น้องสาวของข้าต่างหากที่เป็นคนช่วยเจ้า” เกษมตอบ
“อ่อๆ ครับ” อิฐพยักหน้าพลันนึกถึงผู้หญิงที่เขาเห็นก่อนที่จะหมดสติไป
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ที่ช่วยผมออกมา”
“บอกแล้วว่าไม่ใช่ข้า ไว้น้องข้ากลับมา เจ้าจงบอกกับเจ้าตัวเองก็แล้วกัน” เกษมพูดพลางเอามือตบไหล่อิฐเบาๆ
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าคงหิว ลุกมากินอะไรสักหน่อยดีกว่า”
อิฐค่อยๆลุกขึ้น เขารู้สึกประหลาดใจ ที่นอนที่เขานอนมันไม่ใช่เตียงแบบที่เคยเห็น แต่มันคือใบไม้กองรวมๆกัน สภาพห้องก็มีลักษณะคล้ายกับดิน ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น ดูแล้วราวกับที่อยู่ของพวกคนป่าเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องตามเกษมออกไปข้างนอก เข้าต้องประหลาดใจอีกครั้ง ที่ที่เขายืนอยู่มีลักษณะคล้ายบ้านคน แต่ดูโดยละเอียดแล้ว มันคือการเอาดินมาปั้นเป็นบ้านมากกว่า รูปทรงโค้งคล้ายกับบ้านของพวกเอสกิโม ขนาดไม่ใหญ่นัก คะเนแล้วกว้างซัก 2 วา ยาว 3 วา อิฐมองไปรอบๆก็พบว่า มีบ้านลักษณะนี้อยู่เต็มไปหมด
“นี่มันหมู่บ้านนี่นา” เขารำพันในใจ พลันก็นึกสงสัยว่า ยังมีสถานที่แบบนี้อยู่ในประเทศไทยอีกงั้นเหรอ
“เอ้ากินซะ ร่างกายของเจ้ามันร้องใหญ่แล้ว” เกษมยื่นปลาย่างมาให้
“ขอบคุณมากครับ” อิฐรับปลามา ในใจมีแต่เรื่องสงสัยเต็มไปหมด แต่ความหิวเข้าครอบงำจนเขาอดใจที่กินอาหารก่อนไม่ได้
“ลักษณะของมันคล้ายๆกับปลากะพง ที่น่าแปลกใจคือหลังจากที่ย่างแล้ว เนื้อของมันกลับมีสีเหลืองทอง ความยาวจากหางจรดหัวก็สัก 30 เซนติเมตร น้าเกษมบอกข้าว่า เกล็ดของมันสามารถกินได้ด้วย กลิ่นของมันไม่ใช่กลิ่นของปลา มันเป็นกลิ่นของพวกกุ้งมากกว่า เนื้อของมันนิ่มราวกับเนื้อปู มีรสหวาน ปกติผมไม่ชอบกินปลาสักเท่าไร เพราะมันเหม็นคาว แต่ครั้งนี้ มันเกินที่จะมองข้ามไปจริงๆ”
หลังจากอิ่มแล้ว อิฐก็เริ่มถามในสิ่งที่เขาสงสัย
“เอ่อ น้าครับ ขอบคุณสำหรับปลาตัวนี้นะครับ ว่าแต่ ผมขอถามอะไรหน่อยได้รึเปล่า ที่นี่ที่ไหนครับเนี่ย?”
เกษมยิ้ม “ที่นี่เหรอ จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ พวกข้าเรียกว่ามหานครพฤกษา ส่วนพวกมนุษย์อย่างเจ้าเรียกที่นี่ว่ายังไงน๊า เอ.........
อ่อๆ...ใช่แล้ว พวกเจ้าเรียกที่นี่ว่า ดินแดนหิมพานต์ ยังไงล่ะ”
อิฐสะดุ้งขึ้นมาทันที “อะไรนะครับ หิมพานต์!!?”
“ใช่แล้ว คงจะตกใจล่ะสิ” เกษมอมยิ้ม
“เรื่องจริงเหรอคับ น้าไม่ได้อำผมเล่นนะ !?” อิฐทำหน้าเหรอหรา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นหรอกน่าเด็กน้อย ที่นี่คือหิมพานต์จริงๆ มนุษย์อย่างเจ้าคงทำใจที่จะเชื่อยากล่ะสิ”
ครึ่งนึงของเด็กหนุ่มก็ดีใจที่หิมพานต์มีจริง อีกครึ่งนึงก็ทำใจยอมรับได้ไม่เต็มที่นัก
“เอ่อ แล้วดินแดนแห่งนี้ มันอยู่ที่ไหนล่ะครับน้า?” อิฐสงสัย
“ที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่บนโลกที่เจ้าอาศัยอยู่หรอก เราอยู่กันคนละมิติ การที่เจ้าหลงเข้ามาที่นี่ก็ดี หรือคนจากฝั่งข้าหลงไปยังฝั่งเจ้าก็ดี ล้วนเกิดจากความผิดปกติของประตูกั้นมิตินั่นเอง”
อิฐดีใจจนเนื้อเต้น แต่ก็อดอึดอัดใจไม่ได้อยู่ดี “น้าครับ แล้วผมจะกลับบ้านผมได้ยังไงกันล่ะครับ?” เด็กหนุ่มสงสัย
“ผมหลงเข้ามาที่นี่กับพี่ชาย ตอนนี้เขาจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ผมอยากตามหาเขา”
“เจ้าหลงเข้ามาแถวไหนจำได้รึเปล่า” เกษมถาม
“เอ่อ จำไม่ได้ครับ ที่จำได้เลาๆคือมันเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ สูงท่วมหัว แล้วก็ต้นไม้แถวๆนั้นลักษณะจะบิดงอไปมา ดูแล้วแปลกไม่คุ้นตาเลยครับ” อิฐตอบด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจ
“เขต กุณาละ”
“เจ้าหนูนี่รอดมาได้ยังไง นั่นมันเขตของเจ้าตัวอันตรายนั่นนี่นา” เกษมคิดในใจ
“ผมกับพี่ชายกำลังถ่ายรูปแมลงกันอยู่ จู่ๆก็ได้กลิ่นน้ำอบลอยมา จากนั้น ผมก็ได้เห็นวารีกุญชร ขณะที่เดินตามวารีกุญชรเข้าไปเพื่อถ่ายรูปนั้น ผมก็เจอกับเสือหรือสิงโตเข้าก็ไม่แน่ใจ ตัวมันใหญ่มาก มันไล่ตามผมกับพี่ แล้วเราทั้งสองก็พลัดหลงกัน” อิฐเล่าคร่าวๆ
“เสือเหรอ?”
“ผมก็ไม่แน่ใจครับ ตัวมันสีเหลืองๆ มีขนคล้ายไปทางสิงโตมากกว่า”
“ไม่ผิดแน่ บัณฑุราชสีห์” เกษมทำเสียงขึงขัง
“ใช่ ใช่ ชื่อนั้นแหละ ผมได้ยินเสียงคนเรียกชื่อมัน” อิฐสำทับขึ้นทันที
“แล้วเจ้ารอดมาได้ยังไง” เกษมทำเสียงสงสัย
“ผมนึกแล้วก็ยังตกใจไม่หาย ขณะที่มันจะเข้ามาทำร้าย ก็มีเสียงตวาดดังขึ้นมา เจ้าสิงโตนั่นกลัวจนตัวสั่นเลยทีเดียว จากนั้นมันก็วิ่งหนีเข้าป่าไปครับ” อิฐตอบด้วยสีหน้างงๆ
“น่าแปลก บัณฑุราชสีห์เป็นถึง 1 ใน 4 มหาราชสีห์ ใครกันนะที่มีอำนาจขนาดที่มันยังต้องกลัว”
“เอาล่ะ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาพี่ชาย แล้วก็จะพาพวกเจ้ากลับบ้านก็แล้วกันนะ” เกษมรับคำ
“ขอบคุณน้ามากเลยครับ”
“เฮ่อ ถ้าผมกลับบ้านได้นะ จะมีใครเชื่อผมบ้างมั๊ยเนี่ย ว่าผมเจออะไรมา” เด็กหนุ่มถอนหายใจปนยิ้มที่มุมปาก
ตะวันล่องลอยอยู่กลางศีรษะ ส่องแสงร้อนระอุลงมายังเบื้องล่าง นกประหลาดร่างกายสีฟ้าอมเขียวกำลังหยอกล้อกันอยู่ พลันก็มีเสียงฝีเท้าเดินผ่านพวกมันไป
“พี่คะ ข้าเก็บผลไม้มาให้แล้ว” เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้นมาแต่ไกล
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ขอบใจเจ้ามาก เกสรน้องข้า” เกษมยิ้มพลันหันไปทางเสียงนั้น
“เบื้องหน้าของผมมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ดูๆแล้วคงจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ผิวของเธอสีคล้ายกับเปลือกไข่ ดวงตาของเธอกลมโต ผมสั้นสีฟ้า ปากของเธอเรียวเล็กสีแดงอมชมพู เธอใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ สีขาว กางเกงสามส่วนกับรองเท้าสีฟ้า ทั้งพี่ชายและน้องสาว ไม่มีอะไรเป็นข้อบ่งชี้เอาซะเลย ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ นอกจากสีผม ทั้งรูปร่างและการแต่งตัว นี่มันคนธรรมดาแบบผมชัดๆ ที่นี่คือหิมพานต์จริงๆน่ะหรือ ผมชักไม่แน่ใจแล้วแฮะ”
ทันทีที่เด็กสาวน้อยเดินเข้ามาใกล้ อิฐก็หายสงสัย กลิ่นหอมประหลาดที่เขาเดินตามมา ส่งกลิ่นมาจากร่างกายของเธอนั่นเอง
“เป็นไงบ้าง อาการดีขึ้นแล้วเหรอนายงั่ง” เกสรเอ่ยขึ้นมา
“อะ เอ๋.......สบายดีแล้วครับ” อิฐทำหน้างงๆ
“น่าจะปล่อยให้โดนพวกยักษ์กินซะให้สิ้นเรื่อง ช่วยมาทำไมให้เปลืองแรง พวกมนุษย์งี่เง่า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เอาน่าเกสร ช่วยชีวิตคนหรือสัตว์มันคือการทำบุญนะ” เกษมหัวเราะขึ้นมา
อิฐทำหน้าเอ๋อเหรอ แต่ก็ไม่วายที่จะลืมขอบคุณ “ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้”
“อะ.........เอ่อ...............” อิฐทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
“ไม่เอาน่าเกสร เจ้าอย่าเหมารวมไปหมดสิ มนุษย์ดีๆก็มีนะ” เกษมเอ่ย
“เชอะ ที่ผ่านมาเจ้าเคยเห็นงั้นเหรอพี่ข้า?” เกสรจ้องไปที่อิฐตาเขม็ง
“นี่ถ้าข้ากับพี่ไม่ออกไปหาอาหารแถวนั้น เจ้าคงกลายเป็นอาหารของไอ้พวกนั้นไปแล้ว จงสำเหนียกตัวเองด้วยล่ะ เจ้ามนุษย์” สาวน้อยพูดพลางเอามือผลักไปที่หน้าอกของอิฐ
“เอ่อ ข้าสงสัย เจ้าพวกน่ากลัวในป่านั่นมันตัวอะไรเหรอคับ?” อิฐสงสัย
“เจ้าพวกนั้นเป็นยักษ์ชั้นต่ำ อาศัยอยู่ตามต้นไม้หรือตามป่า อาหารของพวกมันส่วนใหญ่ก็เป็นพวกสัตว์เล็กๆนั่นแหละ นานๆจะมีมนุษย์หลงมาสักที พวกมันถึงดีใจกันยกใหญ่ไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เกษมตอบไปพลางหัวเราะไป
“เอาล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักกับผู้ใหญ่บ้านก่อนก็แล้วกัน จะได้แนะนำตัวให้พวกชาวบ้านรู้จัก แล้วข้าจะขอร้องให้ทุกคนช่วยกันตามหาพี่ชายของเจ้า” ชายหนุ่มผู้พี่ดึงแขนของอิฐให้เดินตามไป
“ว่าไงนะ มีมนุษย์หลงเข้ามาที่นี่อีกแล้วรึนี่ เจ้าบัณฑุราชสีห์หน้าโง่ ปล่อยให้ของดีหลุดมือไปได้ เนื้อมนุษย์อันโอชะ ข้ารอที่จะลิ้มรสมานานนับสิบปี วันนี้แหละ ข้าจะกินมันให้ได้”
“ข้ารู้ที่อยู่ของเจ้ามนุษย์แล้ว ท่านไกรสรราชสีห์”
“ดีมาก ข้าจะออกไปตามล่ามัน หึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ความคิดเห็น