ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC BIGBANG [GRI] ♦ Critical ♦

    ลำดับตอนที่ #2 : 100% GRI – Critical Part #1 นานมาแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 58


    CRY .q





    Bigbang Fiction – GRI – Critical  Part #1 นานมาแล้ว

    TITLE : BigBang Fiction - Critical INTRO

    PAIRING : GRI / GDVI / Nyongtory

    AUTHOR : lazysecretKKman 

    RATING : 15-17

     

    Talk : ขอเกริ่นก่อนที่นี้ว่าเค้าไม่ได้เป็นวีไอพีนะคะ ; w ; ถ้าข้อมูลส่วนไหนผิดบอกให้แก้ได้เลยนะคะอย่าได้เกรงไต

    แต่ที่อยากจะบอกคือชอบบิ๊กแบงมากๆอ่ะ(เอ๊ะ?5555)

    ก่อนหน้านี้ยอมรับค่ะว่ากลัวๆพี่แกในหลายๆความหมาย

    แต่เมื่อประมาณสองปีทีแล้ว(ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยฟังแนวๆYGอ่ะ)ได้มีโอกาสฟังหลายๆเพลงบวกกับดูพวกรายการที่พี่แกไปออกแล้วชอบมากค่ะแบบฮา น่ารักจนต้องตามไปอ่านพวกFACTต่างๆนาๆ กลับไปดูรายการก่อนเดบิวต์(ร้องไห้หนักมาก) รู้ตัวอีกทีก็ติดตามมาตลอดเลยจนถึงตจอนนี้เลยค่ะ

    สิ่งที่โดนใจเรามากกว่าอะไรเลยคือนิสัยกับความสามารถค่ะของจริงไม่อิงนิยาย /ปาหัวใจใส่รัวๆ

     คู่โปรดแน่นอนจีรีค่ะ5555555555

     ปอลิง.-จริงๆอยากเวิ่นต่อนะแต่เดี๋ยววันนี้คงไม่จบต่อบทหน้าค่ะ55555555555555 /กราบรีดเดอร์ผู้น่ารักทุกท่าน

     

     

    ฟิคนี้ไม่อิงเรียล100%นะคะ T_T  อาจจะมีเพ้อเพิ่มอะไรลงไปบ้างเพื่ออรรถรสในการแต่ง อย่าเพิ่งงกันล่ะ อยากเน้นไปที่ช่วงก่อนปัจจุบันซะก่อนค่ะ / ฮยองคนอื่นๆจะตามมาทีหลังนะคะรอนิดนึงเนอะ -..-

     

     
     

                   

     






     

         มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

         แต่ผมก็อดจะนึกถึงมันไม่ได้ อย่างน้อยผมก็เคยสำคัญ... ล่ะมั้ง...

     

     

     

     

    เสียงเพลงเดิมที่ดั่งกระหึ่มนานจนไม่สามารถระบุเวลาได้ไม่มีท่าทีที่จะจบลงในเร็วๆนี้อย่างเน่นอน เข็มสั้นของนาฬิกาเรือนเก่าหยุดอยู่ที่เลขสอง มันจะดูไม่แปลกเลยหากท้องฟ้าในตอนนี้จะไม่ได้ถูกย้อมเป็นสีราตรี หยดน้ำหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลอาบผิวตกกระทบลงบนพื้นไม่ได้ทำให้ทั้งคนที่กำลังวาดลวดลายอยู่ตระหนักถึงความอ่อนล้าของตัวเองเลยแม้แต่นิด

     

    “อีกครั้ง”

     

    คำสั่งถูกพูดออกมาจากปากรุ่นพี่อีกครั้ง ร่างกายที่แบกรับภาระอย่างหนักมานานทำตามอย่างว่าง่ายหากจะคิดว่าบุคคลกลายเป็นเครื่องจักรไปแล้วก็คงไม่ผิด การซ้อมกับเพลงเดิมๆมาโดยไม่หยุดพักหรือเปลี่ยนท่าทีนี้คนปกติคงจะสติแตกไม่ก็ทรุดไปแล้วแต่เพื่อนาคต เพื่อเวทีอันแสนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา..

     

     ถึงแม้จะเป็นแค่คนเดียวที่ถูกสั่งให้ฝึกเพิ่มแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยคิดจะบ่นออกมาเพราะรู้ดีถึงศักยภาพของตนที่มีประสบการณ์การฝึกน้อยกว่าคนอื่นๆในวง อยากจะตามให้ทัน... ไม่อยากเป็นตัวถ่วง เขายังคิดแบบนั้นจริงๆถึงแม้ความสามารถในการเต้นของเขาจะอยู่ในระดับที่ค่อนค้างสูงก็ตาม

     

    ที่เวที

     

    ทุกอย่างเดิมพันไว้ที่นั่น

     

    มีโอกาสครั้งเดียวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเด็กหนุ่มสาบานด้วยใจและวิญญาณอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้ผิดพลาดเด็ดขาด ผลจากการพยายามฝึกฝนอย่างหนักและความอดทน มาเนิ่นนานนี้กำลังจะแสดงผลออกมาได้รับรู้แล้ว

     

    Just gonna stand there and watch me burn
    But that's alright because I like the way it hurts
    Just gonna stand there and hear me cry
    But that's alright because I love the way you lie
    I love the way yo---

     

    ติ๊ด!

     

    เล่นเอาต้องชะงักเมื่อยู่ๆเสียงก็ขาดหายไป คำสบถตกใจที่เกือบหลุดออกมาจากปากคนที่คุมการฝึกอยู่ถูกกลืนกลับแทบจะทันทีเมื่อสบตากับชายในกระจก

     

     

    สายตาที่ที่แฝงไปด้วยความโกรธที่ไม่ได้เห็นได้ง่ายนัก... ช่างน่ากลัว..

     

     

    จียงฮยอง?”

     

    “แค่พูดออกมาว่าไม่ไหวแล้วนี่มันยากนักใช่ไหม?”

     

    “....”

     

    “ขานายตอนนี้มันไม่ค่อยดี บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าฝืน?” พุดจบร่างสูงโปรงนั่นก็เดินไปหาผู้เป็นน้องก่อนจะดึงแขนให้ตามมา “ด...เดี๋ยวสิครับฮยอง”

     

    “เฮ้ จียงนายก็รู้นี่ว่าซึงฮยอนต้องฝึกเพิ่ม นายมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้!” รุ่นพี่ตะโกนอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินไปกระชากคอเสื้อเชิร์ตสีดำสวยของควอน จียง “ที่ทำอยู่นี่แน่ใจรึเปล่าว่างฝึกให้จริงๆน่ะ ถ้าผมรายงานเรื่องนี้ให้เทรนเนอร์ฟังก็คงจะไม่เป็นอะไรสินะครับรุ่นพี่?” พูดจบก็ปรับจากสีหน้าเรียบนิ่งเป็นยกยิ้มอย่างผู้ชนะทันที ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องสำหรับใน  BraveSe:a ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ใครจะเลยกฏที่ต้องเคารพรุ่นพี่จะเป็นอันรู้กันว่าต้องออกจากกลุ่ม ซึ่งนักต่อนักที่ออกส่วนใหญ่ก็มีเรื่องกับรุ่นพี่บางคนที่ใช้ประโยชน์จากจุดนี้จนต้องออกก็มี รวมถึงกรณีที่กำลังดำเนินอยู่ก็เช่นกัน

     

    แต่คนที่ต้องกลัวไม่ใช่ผู้ที่ถูกรู้จักในนามจีดราก้อนคนนี้แน่

     

    อายุยังไม่มากแต่ความสามารถนั้นนำไปหลายเท่าไม่ว่าจะเป็นการแร็พ การแต่งเนื้อเพลงที่แฝงไปด้วยความหมาย หรือทักษะการเต้นที่ไม่เป็นสองรองใครก็ด้วย อาศัยเวลาไม่ถึงปีก็ได้กลายเป็นชั้นแนวหน้า ใครที่กล้าไล่เข้าออกนั่นก็แปลว่าจุดจบของเบรฟซีอาร์ได้จบลง เพราะคนคนนี้กลุ่มที่ได้มีอิทธิพลจนกว้างขวางในวงการใต้ดิน

     

     “ห...เหอะฝากไว้ก่อนมันไม่จบง่ายๆแน่ แกก็ด้วย!” รุ่นพี่ชี้หน้าทั้งสองก่อนจะเดินออกไปอย่างหัวเสียบรรยากาศตรึงคลายลงหลังจากเสียงถอนหายใจของทั้งสอง จียงเดินนำไปที่ม้านั่งมือเรียวตบลงที่เบาะข้างๆแทนที่จะเอ่ยเรียก คนตัวเล็กกว่าหย่อนตัวลงนั่นและพูดขึ้น “ขอบคุณนะครับฮยองไม่ได้ฮยองผมแย่แน่ๆเลย”

     

    โป๊ก!

     

     

     

    แล้วก็ดีดเข้าให้

     

     

     

    “โอ้ยเจ็บนะ(เว้ย)ครับ”

     

    “ก็จงใจให้เจ็บทีงี้ล่ะมาทำเป็นมีความรู้สึก  ถ้าฉันไม่มานายก็กะจะเต้นต่อตามไอบ้านั้นงั้นสิ”

     

    “ก็ต้องแบบนั้นสิครับ ไม่ว่าจะเพราะอะไรฮยองก็รู้นี่”

     

    การได้รับตำแหน่งตัวจริงในการแข่งด้วยอายุและระยะเวลาในการเข้ากลุ่มน้อยที่สุด ไม่ได้เป็นเพียงตัวยืนยันฝีมือเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันดังที่กล่าวไปการที่จะโดนหมั่นไส้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าใครโดนข้ามหน้าข้ามตาก็ต้องโมโหเป็นธรรมดาแหล่ะนะ นี่แหล่ะมนุษย์

     

    “ที่มาเนี่ยเป็นห่วงผมอ่ะดิ” เด็กหนุ่มพูดติดตลกพลางรับผ้าเช็ดตัวมาซับเหงื่อ

     

    “ก็เออดิ”

     

    “ห้ะ...”  ดวงตากลมสวยเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้ยิน ตามมาด้วยความเจ็บแปล๊บที่หน้าผากอีกรอบ

     

    “ตกอกตกใจอะไรนายเป็นน้องฉันนะอ้าวกลับกันเหอะง่วงจะตายแล้ว” พูดจบก็ขยี้หัวน้องที่กำลังนั่งอึ้งอยู่ไปอีกที ร่างโปร่งยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะเดินออกรอข้างนอก

     

     

     

     

     

     

     

    เพราะเป็นน้อง..สินะครับ... 




    ❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈❈



    บนถนนคนเดินในเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลอย่างกรุงโซลยังมีผู้คนออกมาเดินอยู่อย่างหนาตา เสียงโฆษณาจากร้านค้าตลอดจนเสียงเพลงจากคลับที่อยู่สองข้างทางก็มีให้ได้ยินอยู่ตลอด แสงสีจากทุกทิศอันเป็นสาเหตุที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่เคยจะมืดมิด


    ฮยองเดินช้าๆหน่อย” รุ่นน้องที่พยามยามเดินตามต้อยๆให้ทันมาตั้งแต่ออกจากห้องซ้อมตะโกนบอกแข่งกับเสียงเซ็งแซ่รอบตัว ความล้าแสดงผลกับขาทั้งสองข้างมันเริ่มขยับไม่ได้อย่างใจนึก คนที่เดินผ่านไปมามีมากจนเกิดการเบียดเสียดกันทำให้สายตาคลาดไปจากจียง ร่างกายที่ตอนนี้ไม่สมบูรณ์ร้อยเปรอ์เซ็นเพียงโดนชนนิดหน่อยก็เซแล้วยิ่งเดินลำบากเข้าใหญ่


    ทันใดนั้นคนที่เดินอยู่ก็หยุดจนมบหน้าซึงฮยอนชนกับแผ่นหลังกว้างนั่นเข้าอย่างจัง แต่ไม่ทันที่จะวยวายมือเรียวนั่นก็คว้าเอาแขนอีกคนมาใก้เดินใกล้กันฃพร้อมกับความเร็วที่ลดลง





    “อย่าปล่อยเชียวนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู ลมหายใจอ่อนๆที่ปะทะที่แก้มเล่นเอาใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งไออุ่นที่จากฝ่ามือที่ดูเหมือนจะมีผลมากกว่าที่บริเวณที่จับเพราะไม่ใช่นั้นใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าคงไม่ร้อนผาวได้ขนาดนี้  ในสมองอยากจะตะโกนออกมไปให้รู้แล้วรู้รอดว่า ’ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ!’ แต่ร่างกายกลับไปยอมทำจาม



    อยากจะรู้สึกแบบนี้ให้นานอีกหน่อย




    แต่ก็นะ เขาว่ากันว่าความสุขมักอยู่คู่คนเราได้ไม่นาน




    รู้คัวอีกที่เท้าทั้งสองก็มาหุกอยู่ที่หน้าทางข้ามม้าลายใกล้ๆคอนโดของพวกเขาแล้ว พลันแสงไฟLEDกลายเป็นสีเขียวมือคู่นั่นก็คลายลง เจ้าของความอบอุ่นเมื่อครู่เป็นฝ่ายปล่อยและเดินนำไปก่อน อาจเพราะตรงนี้ไม่มีอะไรวุ่นวาย


    “นี่ๆฮยอง”ซึงฮยอนเอ่นยขึ้นทำลายความเงียบที่กำลังจะก่อตัว “ฮยองว่าผมใช้ชื่ออะไรดีอ่ะ” เป็นเวลานานเหมือนกันที่เขานั่งคิดเกี่ยวกับชื่อในวงการไม่เพียงเพราะเหตุที่ชื่อตัวเองมันโหลแต่ก็อยากมีอะไรเท่ๆให้คนจำได้บ้าง อย่างจีดราก้อนไม่ต้องรู้จักแค่ฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว


    “คิดไปทำไม ซึงฮยอนก็โอเคดีอยู่แล้ว” คนถูกถามตอบไปโดยไม่ได้หันไปมอง


    “โห่ ฮยองไม่เข้าใจอ่ะอย่างจียงเกิดเพิ่งเคยจะได้ยิน เป็นเอกลักษณ์จะตาย ผมนะตอนไปแข่งนะสาวๆเรียกแต่ซึงฮยอนๆผมก็อยากได้เท่ๆบ้างหนินา ตะโกนทีหันกันแทบทุกทีม” เสียงหัวเราะหึดังขึ้นเบาๆในลำคอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเจ้าของชื่อโหลนั่นก็ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ดีแล้ว ความสดใส ความคิดแบบเด็กๆแต่พอจริงจังก็ไม่เลว และความมองโลกในแงดีนั่นทำให้ตัวเขายิ้มออกเสมอมา “ขอแบบเก๋ๆพีคๆซะชื่อดิ”ว่าแล้วก็พุ่งไปกอดแขนคนพี่ทันทีเล่นจียงต้องสะดุ้ง


    “อ...เอ่อ เออ ไว้จะลองคิดให้..แต่ปล่อยก่อ--


    “พูดแล้วนะ พูดแล้วนะเว้ยผมจำเก่งนะ”ไม่ทันจะพูดจบคนน้องก็แทรกขึ้นมาทันทีเท่านั้นไม่พอยังเขย่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก ทันทีที่สายทั้งสองสบกันก็เหมือนเวลาโลกจะหยุดไปสามวิก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดหัวเราะดังที่ก้อง...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ซึ..

     

     

     

    ซึง..  

     

     

     

    ซึงรีตื่นก่อนนะ คุณหมอเขาจะมาตรวจนาย”

     

    “อือ..ครับ...” ความทรงจำนั่นเข้าเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว เตียงผู้ป่วยที่ผมนอนมาแล้วเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ค่อยๆปรับเอนขึ้นให้ได้ระดับที่เหมาะสม “กี่โมงแล้วครับฮยอง”

     

    “ตอนนี้หกโมงกว่าๆน่ะ เดี๋ยวฮยองออกไปรอข้างนอกนะ” พูดจบเมเนเจอร์ฮยองแสนใจดีของผมก็เดินจากไปเป็นจังหวะเดียวกับคุณหมอคนเก่งที่เดินสวนเข้ามา เราทั้งสองโค้งทักทายกันเหมือนเคย จริงอยู่ที่ผมเจอเธอมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยคุยอะไรอย่างอื่นนอกจากการรักษามากนัก อาจเพราะผมเองนี่แหล่ะที่เป็นฝ่ายตัดบทสนทนาที่กำลังไปได้ดีในหลายๆครั้ง แต่เธอก็เข้าใจผม และผมก็เข้าใจเธอ คุณหมอพยายามชวนคุยเพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้นแต่ เพราะตอนนี้ผมไม่พร้อมจะคุยกับใครในเวลานี้จริงๆ

     

    “คุณซึงฮยอนเดี๋ยวหมอจะทำเหมือนเดิมนะคะ อย่าลืม ถ้าเจ็บก็บอกหมออย่าฝืนนะ”

     

    “ครับ” ผมคลี่ยิ้มเล็กน้อยนก็จะทำตาม ครั้งนี้ก็เหมือนกับวันก่อนๆมีให้ลองขยับขา เอี้ยวตัว และก็ทำความสะอาดแผลผ่าตัดที่หลัง ใช้เวลาราวเกือบชั่วโมงก็เสร็จ “หมอครับผมมีเรื่องจะถาม”

     

    “จ้ะ ถามมาสิ” ผู้หญิงตรงหน้าพูดตอบพลางเก็บอุปกรณ์ต่างๆลงกระเป๋าสีดำใบใหญ่

     

     

     

     

     

    “อาการผมมันแย่แค่ไหนกรุณาบอกความจริงมาเถอะนะครับ”

     

     

     

     

     เป็นไปตามคาดเธอชะงักทันทีที่ผมพูดจบ

     

    ในวันที่เกิดอุบัติเหตุคือคืนที่ผมต้องเป็นตัวแทนไปงานปาร์ตี้ของแบรนด์เสื้อผ้าที่วงเราเป็น พรีเซนเตอร์อยู่ ผมดื่มคอกเทลล์และไวน์เล็กน้อยตามมารยาท พูดตรงๆว่า มันค่อนข้างน่าเบื่อ ไม่มีใครที่ผมจะสามารถพูดคุยได้เลย มีแต่คนที่ไม่เคยเห็นหน้าทั้งนั้น จะรบกวนเมเนเจอร์ฮยองให้มาเป็นเพื่อนก็ไม่ได้เพราะเขาก็มีครอบครัวแล้ว พวกฮยองก็ยุ่งๆเพราะตารางงานของตัวเอง งานของผมที่หมดไปแล้วตามที่แพลนไว้ตั้งแต่บ่าย เลยต้องมาคนเดียวอย่างเลี่ยงไมได้ สุดท้ายหลังจากทักทายผู้จัดงานและเจ้าของแบรนด์ก็ได้แต่เดินไปเดินมาฆ่าเวลาเท่านั้น

     

    งานเลิกตอนประมาณเกือบตีสองความเหนื่อยกับอาการปวดจื้ดที่หัวประดังเข้ามาหาทันทีที่เข้ามานั่งในรถ ผมนั่งหลับตาอยู่เกือบสิบห้านาทีจึงตัดสินใจสตาร์ทรถ เเสงไฟจากห้างร้านข้างทางยังคงสว่างไปทั่วฮงเเด ยังมีคนนมากมายที่เดินกันอยู่บนฟุตบาทขัดกับถนนที่โล่งเเละว่างเปล่า กระทั่งผมมาถึงสี่เเยกเเละติดไฟเเดง ข้างหน้ามีรถอยู่สามสี่คัน เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นอีกสีผมก็ออกตัว

     

     

     

     

     

    ...เเละจู่ๆก็เหมือนกับมีเเผ่นดินไหว

     

    สายตาที่เพ่งอยู่ที่เบื้องหน้าจู่ๆก็บิดเบี้ยวและมืดลง เสียงของเหล็กที่กระทบเสียดสีกันเอี๊ยดอ๊าดและประกายไฟที่สะท้อนเข้ามาอย่างต่อเนื่องเล่นเอาผมสับสน ร่างกายราวกับกำลังถูกเหวี่ยงไปมาไม่นานก็หยุดลง ทุกอย่างถูกประมวลผลอย่างรวดเร็ว มันแทบไม่ต้องเดา

     

     

     

     

     

    ผมคิดว่าผมกำลังจะตาย

     

     

     

    แต่สุดท้ายเมื่อผมลืมตาก็พบกับห้องสีขาวแบบในละคร แน่นอนผมไม่ได้พูดประโยคคลาสสิกอย่างที่นี่ที่ไหนออกไป เสียงติ๊ด..ติ๊ด... จาเครื่องวัดชีพจรที่วางอยู่ข้างๆดังขึ้นอย่างเสม่ำเสมอ กลิ่นยาฆ่าเชื้อตลบอบอวนไปทั่ว ผมรู้สึกหายใจได้สะดวกกว่าเคยเพราะหน้ากากออกซิเจน พอลองขยับมือก็พบว่ามันหนักอึ้ง สายตาตอนนี้ภาพที่เห็นยังมัวๆแต่ก็พอรู้ได้ผมเห็นใครกำลังนอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียงและโซฟาสีขาว ผมพยามยามกำมือและคลายออกสลับกันอยู่นานกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากนั้นจึงเอื้อมไปเขย่าตัวคนที่อยู่ใกล้มากที่สุด  เขาดูสะลึมสะลือและมึนงงแต่ทันทีที่รู้ว่าผมเป็นคนปลุกเค้าก็เด้งตัวด้วยความตกใจและกุมมือที่เย็นเฉียบนี้อย่างรวดเร็ว

     

    “ซึงรี!

     

    ใช่... มีแต่คนเรียกชื่อผม เสียงเหล่านั้นทำให้ผมอุ่นใจมาก มันช่างคุ้นเคยและน่าคิดถึง

     

    เสียงของพวกฮยอง

     

     

     

     

     

     

    ผมหลับไปอีกสามวันหลังจากนั้น

     

    ปัจจุบันคุณหมออณุญาตให้ถอดเครื่องให้ออกซิเจนได้เพราะอาการทั้งหมดของผมคงที่ ท่านประธานไม่ได้มาเยี่ยมผม เพราะต้องแถลงข่าวเรื่องผมและความวุ่นวายในบริษัท เรื่องลูกสาว และอีกร้อยแปดสาหตุที่ไม่อยากจะเดา แต่เขาก็ส่งเป็นช่อดอกไม้พร้อมกับข้อความสั้นๆตามสไตล์ท่านที่แนบมาด้วยว่า หายไวๆ’ มันเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมยิ้มออกหลังจากนั่งพิจราณาถึงอนาคตกับสภาพตัวเอง  

     

    พวกฮยองหลังจากตอนฟื้นพวกเขาต้องไปทำตามตารางงานจนถึงนาทีนี้ยังไม่มีใครติดต่อมาหรือมาเยี่ยมผมนอกจายองเบฮยองกับแดซองฮยองที่ได้ยินว่ามาตอนกำลังนอนอยู่ ในตอนนั้นวินาทีที่ผมตื่นขึ้นหลังจากอุบัติเหตุ พวกเขาดีใจกันมาก พี่เมเนเจอร์บอกมาอย่างงั้น แน่ละ มันคงเรียกว่ายิ่งกว่าปฏิหาริย์ขนาดตัวผมยังตัดใจไปแล้วเลย ทำไมน่ะเหรอ..

     

    ด้วยความสัตย์จริง ก็ไม่ได้คิดว่าทุกคนโกหกหรอกนะ

     

    แต่ผมรู้ตัวเองดี เมลล์จากทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ส่งเข้ามาทันทีที่ข่าวดีได้แพร่ออกไป(พี่เมเนเจอร์เป็นคนอ่านให้ฟังครับ)

     

    นายต้องหายแน่นอน อย่าคิดมากเจอกันที่มิวสิคแบงนะ

    สู้ๆละ มะรืนนายก็ลุกขึ้นเต้นได้แล้ว

     

    พวกเขาต้องการจะให้กำลังใจและไม่อยากให้ผมคิดมาก แต่ดูความจริงที่เกิดขึ้นสิครับ ไม่มีใครให้โทรศัพท์กับผมเหมือนกำลังจะให้ผมตัดขาดกับโลกภายนอก ไม่มีใครพูดถึงการรักษาหรือผลจากอุบัติเหตุ หรือแม้แต่อาการของคู่กรณีเลย มันทำให้ผมแทบบ้าแต่ก็ไม่อยากจะโวยวายหรือพูดอะไรออกไปเพราะแค่นี้ทุกคนก็ต่างวุ่นวายและเหนื่อยกันมากพอแล้ว

     

     

     

     

    “ว่าไงครับคุณหมอ” ผมถามย้ำ

     

    “ค..คุณซึงรีจะหายด-

     

    “ได้โปรดอย่าโกหกผมเลยครับผมขอร้อง...” เสียงแผ่วเบาและเริ่มสั่นนี้ทำให้ทุกอย่างเข้าสู่ความตรึงเครียด

     



    ไม่ไหวแล้ว...

     

    ขอแค่ความจริง... ทำไมถึงไม่มีใครให้ผมได้กัน



     

     “บอกผมมาเถอะ.. สักวันผมก็ต้องรู้อยู่ดี” ผมจ้องเข้าไปนัยย์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสารของคุณหมอ ขอเหลวอุ่นใสที่ไหลอาบแก้มอยู่ทำให้เธอน้ำตาคลอตาม ผู้หญิงคนที่เป็นความหวังเดียวของผมตรงหน้าถอนหายใจก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ผมต้องการทราบขึ้น

     

    “มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดถ้าเทียบกับอุบัติเหตุ ถือว่าโชคดีมากที่รอดมาได้ กระดูกสันหลังและขาซ้ายของคุณได้รับการกระทบการเทือนแม้จะผ่าตัดดามเหล็กแล้วและหลังจากนี้จะได้รับการกายภาพบำบัดอย่างดีก็ตามแต่ว่ามันคงขยับไม่ได้อย่างเดิมร้อยเปอร์เซ็น.. ฉันรู้มาว่าคุณเป็นไอดอลและต้องทำอะไรที่เคลื่อนไหวมาก อยากให้คุณเผื่อใจไว้บ้าง”

     

    “......”

     

    ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ผมก้มหน้ามองขาของตัวเองก่อนะลองขยับมัน ความเจ็บแปลบทำให้ต้องเบ้หน้า  เวลานี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้ คำถามต่อไปที่คาใจมานานก็ถูกเอ่ยออกไป

     

    “แล้วคู่กรณีผมล่ะครับ”

     

    “เสียชีวิตแล้วค่ะ.. แต่จากกล้องวงจรปิดที่ได้ดูในข่าวคือรถคุณเป็นฝ่ายถูกชนเขาฝ่าไฟแดงออกมาและอยู่ในอาการเมา อย่าคิดมากเลยนะคะ”

     

    “.... ขอบคุณที่ฝืนตอบผมทั้งที่พวกเขาบอกให้ปิดเป็นความลับนะครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าบอกใครนะว่าผมรู้แล้ว”

     

    “ค่ะ.. ฉันจะบอกให้นะคะว่าคุณต้องการพักผ่อน” ผมก้มโค้งให้เธอเป็นการลา คิดว่าคุณหมอคงเจอเคสแบบนี้มามากเธอช่างรู้ใจผมดีซะจริงว่าผมอยากจะอยู่คนเดียว

     

     เมื่อเสียงประตูดังขึ้น สิ่งที่อัดอั้นมาตลอดสิบหน้านาทีที่ผ่านก็ ออกมาทั้งหมด น้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นนี้ดังอย่างไม่กลัวอีกแล้วว่าใครจะมาได้ยิน

     

    มันอดคิดไม่ได้

     

    ถ้าไม่มีคุณหมอล่ะก็ ผมคงเป็นแค่ไอโง่แบบนี้ต่อไปสินะ

     

     

     

     

     

    จะทำยังไงล่ะ

     

     

     

     

     

    ผมจะยังจะเต้นได้อีกมั้ย...

     

     

     

    ผมจะได้ขึ้นเวทีที่มีแฟนๆรออยู่ได้อีกมั้ย...

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมจะเป็นบิ๊กแบงต่อได้รึเปล่า...

     

     

     

    สิ่งสำคัญของผมมันกำลังจะหายไป หากพระเจ้ามีจริงช่วยบอกผมทีเถอะ.. ผมควรจะทำยังไง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    100% ค่ะ T_T โอ้ยขอโทษจริงๆนะคะเปิดเทอมแล้ววุ่นวายมากงานถาโถมตั้งแต่วันแรก เอื้อออออว่าจะแต่งให้จบตั้งแต่วันพฤแล้ว/กราบ

    เตรียมรับมือกับความหน่วงในบทที่สองได้เร็วๆนี้ค่ะ -..-

    /ขอสครีมเเรงกับราคาบัตรคอนเเป้ปค่ะ T_T #ร้องเเรง

    ติชมได้นะคะเพิ่งจะเคยแต่งแนวนี้ครั้งแรกโฮรก /รู้สึกบรรยายยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

    อยากรู้ว่ามีใครอยากได้วินเนอร์ไอค่อนทูเอ็นอีวัน (วายจีแฟมิลี่) มาฟีทด้วยมั้ยคะถ้ามีเม้นได้เลยน้า  

    ไรท์รักทู๊กโคนนนน /โดนตบแรง

    /


    ใครสอนให้ทำผมสีนี้คะ!!! ตอบ!! รู้มั้ยมันทำเราตายยยโฮรกกโอปป้าาาา 









    CRY .qCRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×