ตอนที่ 9 : 08
08
“มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์”
ผมเลิกคิ้วกับคำถามแรกที่โดนถามจากโย่งทันทีที่เดินเข้ามาในออฟฟิศ ดึงหูฟังออกแล้วเอ่ยถามมันด้วยสีหน้าแปลกใจ “เมื่อกี้มึงพูดไรนะ”
“มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์” โย่งย้ำ “ที่ผ่านมา”
“อ๋อ” ไม่ได้แปลกใจใดๆ ที่เพื่อนเอ่ยถามคำนี้ “กูว่าแล้ว”
วันก่อนผมเห็นคุณอัพภาพในเฟซบุ๊กแล้ว มันก็เป็นแค่ภาพอาหารนั่นแหละ ถ้าไม่บังเอิญว่าโต๊ะกับเมนูนั้นเป็นภาพที่ผมอัพลงอินสตาแกรมเมื่อคืนก่อนหน้านั้นพอดี ยังคิดอยู่เลยว่าไอ้โย่งที่ไม่เคยจะปล่อยเรื่องของผมผ่านต้องมาถามอยู่แล้ว นึกแปลกใจด้วยซ้ำที่เลือกจะถามวันจันทร์ แทนที่มันจะไลน์มาทันทีที่เห็น
“กูว่าแล้ว!” ไอ้โย่งทำหน้าตาตื่น “รีเทิร์นจริงๆ ใช่ไหม”
“โอ๊ย กูอยากจะฟาดปากมึง”
“อ้าว”
“ไม่รีเทิร์น” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงกินอาหารกับเพื่อน ถ่ายรูปลงไม่ได้หรือไง ก่อนหน้านี้มึงเจอคุณมึงยังถ่ายรูปลงเลยนี่” เถียงมันด้วยความโมโหอย่างไม่จริงจัง
“ได้ทั้งนั้นถ้าคนนั้นไม่ใช่แฟนเก่ากู”
“ไอ้โย่ง หน้าหมา”
“หรือจะเถียง”
“เออ!” ผมกระแทกเสียง ไม่เถียงอะไรทั้งนั้นแหละ เถียงไปยังไงก็แพ้ “ย้ำอยู่นั่นแหละ แฟนเก่า!”
ไอ้โย่งที่โดนคำพูดใส่อารมณ์ของผมไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก น้อยครั้งนักที่ผมจะหงุดหงิดให้เพื่อนเห็นด้วยประเด็นที่ล้อเลียนกันเหมือนสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัย
“โกรธเหรอวะ” มันถามน้ำเสียงหงอยลงไปนิดหน่อย “กูยุ่งมากไปเหรอวะมึง”
“ก็ใช่ด้วย” ผมว่าเสียงอ่อนลงบ้าง เห็นเพื่อนไม่สบายใจอะไรก็ไม่ได้นึกอยากจะโวยวายใส่ให้เห็นหรอก “แต่มึง— เลิกย้ำสักทีว่ากูเป็นแฟนเก่า กูรู้แล้ว แฟนเก่าไง!” ผมกระแทกก้นลงไปบนเก้าอี้ของตัวเอง เผลอจิกตีนเมื่อเห็นว่าเก้าอี้ทำท่าจะเลื่อน ขืนผมล้มตอนนี้มันคงจะเป็นฉากขึงขังที่ตลกพิลึก “แฟนเก่าแล้วยังไง เลิกย้ำได้แล้ว กูเป็นเพื่อนคุณได้”
โย่งเองก็ทำสีหน้าไม่ถูกกับความจริงจังของผมในวันนี้ มันมองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็พูดคำว่าขอโทษออกมาในที่สุด
“ขอโทษด้วยถ้ากูล้อจนมึงไม่สนิทใจกับคุณ”
“เปล่า” ผมถอนหายใจพรืด “ให้ตายกูก็ไม่สนิทใจ”
“เอ้า”
ผมเปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า “เออ กูไม่สนิทใจ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งเหมือนอดกลั้น
การอยู่คนเดียวช่วงวันอาทิตย์มาจนถึงวันจันทร์เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมต่อสู้กับความสับสนว้าวุ่น ทำอะไรไม่ถูกด้วยตัวคนเดียวมาเกินวันไม่ได้หรอก
“ให้ตายก็ไม่สนิทใจ บ้าปะวะ ใครมันจะเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ดีขนาดนั้นอ่ะ”
ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “เวร” ก่อนจะตบหน้าผากเข้าฉาดใหญ่
ผมได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสนิท “ใช่ เวร”
“ณะ กูถามจริง” โย่งเหลือบมอง มันคงคิดว่าผมจะประชด แต่เปล่าเลย, ผมไม่ได้ประชดสักนิด – ที่พูดออกไปทั้งหมดคือเรื่องจริง พอเห็นสีหน้าไม่เล่นของผมแล้ว มันก็คงรู้เหมือนกัน
“เออ” ผมย้ำอีกครั้ง
สีหน้าของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปเป็นจริงจังมากขึ้น “กูเห็นความรักของมึงมาตั้งแต่มึงเริ่มแอบชอบคุณ ข้ามเส้นเฟรนด์โซน คบกันยันมึงเลิกกัน นี่กูยังต้องเห็นตอนมึงจีบคุณใหม่ด้วยเหรอ”
ผมเค้นหัวเราะในลำคอดังเฮอะ “มีโอกาสจีบใหม่ก็ดีสิ”
“เอ้า” มันทำสีหน้าแปลกใจ “คุณไม่เอามึงเหรอ”
“ไอ้โย่งหน้าหมา” ผมด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจเพราะมันพูดถูกต้องทุกประการ
“สนามอารมณ์มากเลยกูเนี่ย ไม่คิดบ้างเหรอว่ากูก็เจ็บได้ร้องไห้เป็น” มันพูดติดตลกเหมือนกับทุกครั้งก่อนจะตัดเข้าประเด็นจริงจังใหม่ “คือยังไง ที่มึงคุยๆ กันอยู่นี่ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนจะจีบกันใหม่เหรอ”
“จีบกันใหม่ก็แย่ คุณบอกเป็นเพื่อน”
มันทำหน้าแหย “เป็นเพื่อน?” ทวนคำเสียงฉงน “กูไม่มีมาตราการคุยไลน์กับเพื่อนทุกวัน แล้วไปหาอะไรกินด้วยกันสองคนในวันหยุดนะ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ หรือเคสที่ไม่มีใครคบแล้วเหมือนกูกับมึงตอนนี้”
ผมขยำทิชชู่ปาใส่มันสักทีด้วยความหมั่นไส้แต่ก็เถียงไม่ออก เอาจริงๆ คนวัยเราก็เริ่มแยกย้ายกับเพื่อนไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่อยู่กับคนรักทั้งนั้น ถ้าผมไม่ได้รับคำชวนจากไอ้โย่งให้มาทำงานที่นี่ก็คงจะเป็นการคบที่เริ่มห่างกันไปไปแล้วเหมือนกัน
“คุณใจแข็งแล้วก็ใจดี” มันว่าต่อ “ยังไงก็ไม่ใช่คนที่จะตัดฉับใครได้เพียงเพราะเขาเป็นแฟนเก่าว่ะ หมอก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
“เขาเคยทำได้”
“เขาไม่ได้เคยทำได้” มันว่าน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนั้นมึงบังคับให้เขาทำได้”
ผมนิ่งเงียบ
“เถียงดิ” มันเลิกคิ้วเหมือนจะซ้ำเติมแต่ผมทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นเพราะที่พูดเรื่องจริงล้วนๆ “ตอนนั้นกูว่าพวกมึงก็สภาพใกล้ๆ กันอ่ะ ถึงกูจะอยู่กับมึงมากกว่าก็เถอะแต่กูก็รู้ปะวะ เพื่อนคุณด่ามึงฉิบหาย— ไอ้แมคปะวะ ชื่อนั้นปะ”
“ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว”
“เออ เอาเป็นว่ากูรู้แล้วกันว่าคุณสภาพไม่ต่างจากมึงหรอก” มันพูดด้วยความจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนนั้นน่ะนะ ตอนนี้กูไม่รู้”
ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าพร้อมใช้งาน ถอนหายใจอีกครั้ง แค่คุยกับไอ้โย่งเรื่องนี้เพียงแป๊บเดียวยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด
“ไม่แปลก – ตอนนี้กูก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน”
ผมคิดว่าบรรยากาศในออฟฟิศมันก็หม่นหมองอยู่พอตัวเพราะความคิดน่าปวดหัวต่างๆ ที่วนเวียนมาทั้งอาทิตย์ พยายามตอบแชทคุณให้น้อยลงแต่ก็กลายเป็นตัวเองที่อยากจะพูดคุยถามไถ่เสียเอง จนวันที่ผมต้องแบกร่างออกมาที่งานฟู้ดแฟร์ซึ่งจัดอยู่อีกฝั่งของกรุงเทพฯ กับพี่ข้าวและพี่เอกนั่นแหละ
“ทะเลาะกันเหรอวะพี่” สบโอกาสถามพี่เอกตอนที่พี่ข้าวกำลังไปเข้าห้องน้ำ ผมรับหน้าที่คนขับรถงี้เกร็งจนฉี่จะแตก
“เออ” เจ้านายพยักหน้า ท่าทางหัวเสีย “แม่งเอ๊ย”
“คลิปกร่อยปะเนี่ย”
“ไม่รู้แม่ง ถ้ามันเป็นมืออาชีพไม่ได้ก็ลองดู”
“พี่ข้าวมาได้ยินพี่โดนแน่”
ว่าที่เจ้าบ่าวยักไหล่ ทำท่าทีไม่แคร์อะไรแบบนี้ก็คงจะหงุดหงิดไม่แพ้สาวเจ้าเหมือนกัน
เห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าอะไรทำให้คู่รักสามวันดีสี่วันไข้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานในเดือนหน้านี้ได้ พี่ข้าวเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับนิยามว่าผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง ในขณะที่พี่เอกดูจะไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ ด้านชาเป็นที่หนึ่ง (แต่บางครั้งผมก็เข้าใจพี่เอกตอนที่บอกว่าเจ้าหล่อนอีโมฯ เกินไปเสียหน่อย) แต่ก็นั่นแหละ, ผมพอเข้าใจได้ว่าทั้งสองเองก็คงถึงวัยคิดสร้างครอบครัวแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่อายุห่างจากผมไปแค่สี่ – ห้าปีแท้ๆ พี่ชายของผมก็แต่งงานด้วยวัยประมาณนี้เหมือนกัน
พี่ข้าวเดินออกมาสีหน้าหงุดหงิด ท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทำท่าจะเดินจ้ำอ้าวแต่ก็หันขวับมาเมื่อผมกับพี่เอกเดินตามไม่ทัน เพียงเท่านั้นพี่เอกก็สาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อที่จะเดินตามแฟนตัวเองให้ทัน
อืม, นั่นก็น่ารักดี
ผมเปิดกล้อง จริงอยู่ที่ปกติผมมักจะรับหน้าที่ตัดต่อ แต่ก็เป็นตากล้องด้วยเหมือนกัน เวลาออกนอกสถานที่โดนมากจะเป็นไอ้โย่ง มีผมแทรกมาบ้างเมื่อโย่งเริ่มงอแงว่ามันขี้เกียจ
พอเข้ามาในฟู้ดแฟร์แล้วในหัวเผลอนึกถึงคุณอย่างห้ามไม่ได้ จำได้ว่านี่เป็นหนึ่งในบทสนทนาตอนที่เรากินอาหารฝีมือน้องสาวของคุณด้วยกัน คุณหันหน้าจอที่มีภาพไส้ย่างมาให้ ผมจำชื่อร้านไม่ได้หรอก – แต่ก็จำได้ว่าคุณ
อยากกินไส้ย่างที่มาออกบูธงานวันนี้
ผมเดินตามคู่รักคนดังต้อยๆ จริงอย่างที่พี่เอกว่า พี่ข้าวก็มืออาชีพมากพอที่จะถ่ายคลิปวีดีโอด้วยความเฮฮา เล่นมุกอย่างสนุกสนาน กินทุกอย่างด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ป้อนแฟนหนุ่มบ้าง ยุให้แฟนหล่อนป้อนตากล้องอย่างผมบ้าง
“มีแต่คนถามว่าตากล้องโสดไหม ตากล้องโสดทั้งสองคนนะคะ ข้าวบอกไว้ตรงนี้”
“โหย พี่ข้าว” ผมชะโงกหัวออกมาจากหลังกล้องวีดีโอ “ขายกันอย่างนี้เลยนะ”
“เฮ้ย พวกแกก็มีคนถามถึงเยอะนะเว้ย” พี่เอกหัวเราะ “ประกาศๆ ไป เดี๋ยวก็มีคนติดต่อเข้ามา”
“ขอขาวๆ นะครับ” ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะเป็นตัวเองที่ชะงักไปเอง
“เฮ้ย ไม่ขาวแล้วไงวะ มึงมีปัญหาเหรอไอ้น้อง” พี่เอกถามผมด้วยน้ำเสียงเฮฮาว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า ต้องขาวอย่างเดียวหรือถึงจะเอา มีสเป็กเจาะจงอย่างอื่นอีกไหม แต่ผมตอบคำถามเหล่านั้นแค่ในใจ
ไม่เคยชอบคนขาว, ไม่เคยเลย— แต่เพราะชอบคุณนั่นแหละ ถึงได้หันมาชอบคนผิวขาว
คนพูดเสียงเบาเนิบนาบก็ไม่ได้อยู่ในสเป็ก คนเป็นหมอก็ไม่ใช่ คนใจเย็นหรือคนตัวสูงผอมก็ไม่ใช่อีก คิดไปคิดมาแล้ว ผมไม่ได้มีสเป็กอะไรเลยนอกจากคิดถึงคุณเวลาคนถามว่าชอบคนแบบไหน
พอไหมณะ
ถามตัวเองแบบนั้น แต่ตอนที่หันไปเจอร้านขายไส้ย่างแล้วก็ยังเห็นหน้าคุณอยู่ดี
เอาแบบนี้สิตัวกู
ผมเลื่อนสตอรี่อินสตาแกรมเรื่อยเปื่อยตอนที่นั่งอยู่บนรถซึ่งพี่เอกเป็นคนขับแก้เซ็ง พี่มันอาสาจะขับกลับไปส่งที่คอนโดให้ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น แต่กรุงเทพฯ ช่วงหลังมื้อเย็นก็ยังเป็นที่ที่ชวนให้หงุดหงิดกับรถที่เต็มถนนอยู่ดี
“น้องขิงทักมาแหละ” พี่ข้าวที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับเอ่ยออกมา “ถามถึงณะด้วย”
“—อา”
“น้องสาวพี่โสดนะ”
คำพูดลอยๆ จากหญิงสาวทำให้ผมเงียบกริบ แต่แฟนของพี่ข้าวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “อย่าคิดจะจับคู่เลยนะข้าว”
“เอ้า ทำไมอ่ะ เผื่อณะมันเหงาไง”
“ไม่เหงาพี่” ผมเอ่ยปากขึ้นมาตัดบท “ไม่ได้เหงาอะไร”
“จริงเหรอ”
“อือ” ผมไม่ได้โกหกหรอก “ไม่เหงาเลย”
พอเป็นแบบนั้นพี่ทั้งสองก็ยอมแพ้ ผมออกจากอินสตาแกรม เปิดมาที่แอพพลิเคชั่นอื่น สุดท้ายก็ไปไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊กที่ไม่ได้เข้าบ่อยนัก ตอนนี้เต็มไปด้วยประเด็นการเมืองเผ็ดร้อน บางคนก็บ่นยาวหลายหน้ากระดาษ บางคนก็แค่แชร์บทความ ผมเลื่อนผ่านอย่างไม่ใส่ใจอะไรนักก่อนที่จะหยุดนิ่งกับภาพที่เห็น
Jednipat J. – with Kunnanad T.
thanks for photo na krub
รู้อยู่แล้วว่าเฟซบุ๊กเป็นแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างจะสาระแน อะไรที่ไม่อยากเห็นก็มักจะได้เห็น แต่ตอนที่ได้เห็นภาพที่คุณถูกแท็กมาด้วยใครสักคนที่ไม่รู้จักก็ทำให้ใจตกลงไปกองที่ตาตุ่ม ภาพนั้นไม่ได้เห็นหน้าคุณแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นภาพที่คุณถ่ายให้
Jednipat J. คนนั้นดูจะเป็นคนหน้าตาดี ชายหนุ่มผิวสองสี สวมแว่นตาท่าทางมีภูมิฐาน อายุคงไล่เลี่ยกับคุณ – และเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลเดียวกัน – ข้อมูลนั้นเฟสบุ๊กเป็นคนบอกกัน
ผมเลื่อนดูความคิดเห็นของคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมาเอ่ยปากว่าหมอเจตอะไรนี่หล่อ บางคนก็มาแซว แต่ความคิดเห็นที่ทำให้ผมถึงกับหยุดชะงักคืออันล่าสุด
Pink pawarisa สรุปคู่จิ้นนี้จริงไหมคะพี่หมอเจต 5555
Jednipat J. น่าจะเป็นได้แค่คู่จิ้นมั้ง มีคนใจร้าย ) : Kunnanad T.
Kunnanad T. พี่เจตเลิกปั่นเถอะครับบบบ
Jednipat J. เผื่อจะได้เป็นจริงไง
—เอาล่ะ กูไม่ชอบไอ้พี่เจตนี่
อยากจะไปแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่โพสต์ก็ไม่ใช่ของคุณ – ต่อให้เป็นของคุณก็ไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองจะกล้าเสนอหน้าเข้าไปในโลกที่ตัวเองเคยเดินออกมาเนิ่นนานถึงห้าปีได้หรือเปล่า
ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ ถอนหายใจมองรถบนถนนที่แน่นขนัดและคงจะแน่นไปอีกสักพัก อย่างน้อยๆ ก็คงอีกสองสามช่วงถนนก่อนที่จะเริ่มรับรู้ว่าเพลงที่เปิดอยู่ในรถคือเพลงซ่อนกลิ่นของปาล์มมี่ – ไอ้พี่เอก เพลย์ลิสต์พี่ก็ช่างสรรหาเหลือเกิน – เอาเสียซีนอย่างกับหนังรัก
k.
เพิ่งออกจากเวรแหละ
เหนื่อยจัด
ผมอ่านข้อความที่ถูกส่งค้างไว้ราวห้าชั่วโมงก่อนทิ้งท้ายคำบ่นพร้อมกับสติ๊กเกอร์หมีปิดหน้าร้องไห้หนึ่งตัวนั่นทำให้ผมเค้นยิ้มได้ไม่ยาก จะยิ้มให้เต็มปากก็ไม่ได้
napat
เพิ่งถึงห้อง เหนื่อยเหมือนกัน
ตอนที่พิมพ์กลับไป ไม่คิดเลยว่าข้อความจะถูกอ่านราวกับกำลังรออยู่แบบนั้น
k.
อ้าววว ปกติไม่ดึกขนาดนี้นี่
ทำไมวันนี้ดึกอ่ะ
napat
ออกไปถ่ายงานฟู้ดแฟร์ครับ
ที่เธอเคยพูดถึงอ่ะ
k.
อ๋อ 555555555555
อยากเที่ยวบ้างจัง
napat
วันนี้ก็ไปเที่ยวนี่
กับคุณหมออีกคนใช่หรือเปล่า
ผมไม่ได้พูดประชดแต่อย่างได้ แต่หยั่งเชิงกับคำถามนั้น อยากรู้ว่าคุณจะตอบกลับว่าอะไร – คุณไม่ได้บอกผมว่าจะไปไหนหรอกถ้าไม่ใช่เราตอบกันกลับแบบในทันทีแล้วจะปลีกตัว
วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวบนเตียง บอกตัวเองว่าอย่าทำตัวเป็นเฝ้ารอ และความตั้งใจนั้นก็เป็นหมันในไม่กี่นาที
k.
เอ้า รู้ได้ยังไง
ผมพ่นหายใจพรืด พิมพ์ตอบกลับไป
napat
เฟซมันเด้งขึ้นมาไง
ไม่ได้ตั้งใจจะส่องนะ
k.
ร้อนตัววว ไม่ได้ว่าอะไรเลย
napat
สนิทกันเหรอ
ผมรู้ตัวว่าถามคำถามที่ไม่น่าถามตอนที่ใจร้อนกดส่งไปแล้ว คุณอ่านมันในทันที บรรยากาศในแชตดูห้วนไปหรือเปล่านะ และผมมีสิทธิ์ที่จะถามอยู่ไหม นั่นเป็นสิ่งที่ตั้งคำถามเพิ่มเติมในใจ ก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบกลับมา
k.
555555555555555
—ด้วยวิธีที่คุณใช้บ่ายเบี่ยง
นั่นค่อนข้างจะน่าหงุดหงิด ผมสูดลมหายใจลึก รู้แล้วว่าคุณไม่อยากให้ถาม หรือไม่สะดวกใจที่จะตอบ แต่ผมบอกตัวเองว่า – พอแล้ว – พอ พอ พอให้หมด, ผมควรรู้เสียทีว่าตัวผมควรจะได้ยืนตรงไหนในความสัมพันธ์กับแฟนเก่า
เราควรแปะป้ายกันว่าอะไรในตอนนี้เหรอคุณ
แฟนเก่าหรือเพื่อนใหม่
k.
ก็เวียนเจอกันบ่อยๆ
napat
สนิทใช่เปล่า
k.
ประมาณนั้นมั้ง 55555555
ไม่ใช่เธอกับโย่งนะ คบกันแค่นั้นอ่ะ
napat
เธอ
k.
ครับ?
พอแล้ว ผมบอกตัวเองอีกครั้ง พอแล้วจริงๆ
napat
คนนี้ใช่เปล่าที่เธอซื้อบุฟเฟ่ต์โรงแรมคราวนั้นด้วย
จะไปกับเขาใช่หรือเปล่า
คุยๆ กันกับเขาอยู่เหรอ?
ถ้าตัวอักษรมีเสียง มันคงเนิบนาบเหมือนที่คุณพูด แต่ผมรู้, คนอย่างผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นนักหรอกในความเป็นจริงถ้าหากนั่นไม่ใช่คำถามจริงจัง และผมคิดว่าคุณเองก็รู้ ถึงได้อ่านข้อความแล้วเงียบไปแบบนั้น
ผมใจฝ่อในความเงียบนั้นเหลือเกิน ไม่มีโอกาสในการยกเลิกข้อความอีกแล้ว, และถ้าผมทำ ผมคงด่าตัวเองไปตลอดชาติเหมือนกับตอนที่บอกเลิกคุณแน่ๆ
k.
ตั้งใจจะไปกับพี่เขาอ่ะแหละ 55555555
ทำไมอ่ะ
คราวนี้เป็นผมเองที่เงียบกับคำถามสั้นๆ นั้น
คำถามสั้นๆ ที่ตีความได้มากมาย เป็นคำถามที่ราวกับจะเอ่ยปากบอกกันว่าผมกำลังก้าวก่ายเกินไป หรืออาจจะสื่อว่าผมไม่ควรไปยุ่งกับอะไรแบบนี้
k.
ณะ เธอถามเค้าในฐานะอะไรเหรอ
เค้าจะได้ตอบคำถามถูก
ผมเดาอารมณ์ของคุณไม่ถูกเลย จริงๆ นะ, หรือห้าปีมันเนิ่นนานเกินไปจนผมรู้สึกราวกับว่าเราต้องทำความรู้จักกันใหม่
k.
เค้าเหนื่อยจะเดาใจเธอแล้วอ่ะ
จริงๆ นะครับ
บอกเค้าหน่อยนะ เค้าเดาใจเธอตลอดไปไม่ได้หรอก
—แล้วจะไปทำความรู้จักกันในฐานะอะไรเล่า
ผมถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกับที่คุณถามผม
k.
เค้าจะได้รู้ไง
ว่าเค้าควรตอบที่เธอถามว่าอะไร
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ
มิดเทอมทำพิษมา หายไปนานเกินกว่าที่คิดมากๆ
เพราะมีงานด้วย ;-;
ยังเรียนไม่จบนะคะ แง้ ปีสามเองค่ะ
แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาอัพได้แบบเดิมแล้วค่ะ!
ฝากด้วยนะคะ!
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
? cactus
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ้ยเจ็บไปทั้งหัวใจ... ตอบไปเลยณะเอาให้ชัดๆไปเลยไหนๆก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้วผลจะเป็นยังไงก็ให้มันเป็นไปดีกว่าปล่อยให้มันมากวนใจเราอยู่แบบนี้ไม่แน่คุณเองก็คงมีใจให้เหมือนกัน
ตอบไปเลย ณะ ว่า ขอถามในฐานะ คนขอจีบ
คุณเปิดมาขนาดนี้แล้วนะ ณะ เลิกปากแข็งสักที หึงเค้าก็บอกไป
ขอยาแนวหน่อยค่ะ คนทางนี้ซึมมากไม่ไหวแล้ว ซึมไปหมด เห็นใจพี่ณะนะ แบบเศร้าอ่ะ (เพราะชีวิตจริงเคยเจอความรส.แบบพี่ณะยังไงล่ะ) แต่พอคิดว่า 5 ปีที่พี่เงียบหายไปเองอ่ะ ไม่ยอมติเต่อกันอีกเลย พอกลับมาเจอกันจะให้ปุบปับเลยมันไม่ได้อยู่แล้วอ่ะ พอคิดงี้ปุ๊บก็เห็นใจพี่คุณแทนละ พี่ณะนะพี่ณะ!!!
จึกเลย เข้าใจความเเฟนเก่าเเล้วต้องมาเป็นเพื่อนอ่าาาา
เฮ้อออ มันไม่ชัดอะไรสักอย่าง พูดอะไรมากก็ไม่ได้คลุมเคลือไปหมด