ตอนที่ 4 : 03
03
ผมทำอะไรไม่ถูก ยอมรับเลย
“มึงล่ก” นั่นเป็นคำที่เพื่อนสนิทบอกกัน
“กูเปล่า”
โย่งหัวเราะ “มึงล่ก ล่กแบบสุดๆ” ย้ำคำเดิมซ้ำอีกครั้ง
มันดูจะมีความสุขมากกว่าผมด้วยซ้ำตอนผมเดินไปถามว่าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม มีคนฝากชวนมึง แวบแรกซักผมราวกับมันจะลาออกไปทำร้านซักรีด แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมันก็แค่นั้น ผมไม่ตอบสักอย่างมันจะทำอะไรได้
นั่งก่นด่าตัวเองในใจว่ากำลังจะทำจริงๆ หรือวะ ผมกำลังจะนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าพร้อมด้วยเพื่อนตัวเองที่รับรู้เรื่องตั้งแต่ผมหลงรักแฟนคนนั้นยันเรื่องที่ผมเป็นหมาบ้าตอนเลิกกัน – ให้ตายเถอะณะ มึงคิดอะไรอยู่
ร้านอาหารในศูนย์การค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของพวกเราเป็นตำแหน่งที่ตอบโจทย์ได้ดี คุณบอกว่าไม่มีนัดต่อ แค่นึกขึ้นได้ว่าอยากจะเจอโย่งและผมสักครั้ง ส่วนผมกับโย่งก็แจ้งไว้แล้วว่าวันนี้อาจจะกลับไปเข้าออฟฟิศช้า ด้วยความที่บรรยากาศเป็นกันเองพี่ๆ เลยไม่ได้ว่ากล่าวอะไร
“เป๋มาหาคุณเลย”
“เลิกเป๋แล้ว” ผมเถียง ตอนนี้ผมกลับมาเดินได้ปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องพันข้อเท้ามาเหมือนอาทิตย์ก่อน แผลที่แขนเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดอะไรแล้ว หากแต่แผลที่หัวเข่ายังไม่ทันตกสะเก็ดดี เพิ่งเริ่มตึงๆ หน่อยเท่านั้น
“คุณรออยู่ที่ร้านแล้วใช่ปะ”
“อาฮะ”
“มึงลุกลี้ลุกลนอ่ะ
“เชี่ย กูเปล่า”
โกหกคำโต มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าผมเป็นแบบที่มันว่า แต่อย่างไรก็ตาม, ผมก็ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พอจะมีชื่อเป็นที่หมายของเรา ผมกับไอ้โย่งเดินมา ไม่ทันที่จะเข้าร้านก็เห็นว่าคุณกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่บริเวณริมหน้าต่าง ไม่ได้รับรู้สักนิดว่าเราจะมา
เสื้อเชิ้ตสีอ่อน, ใบหน้าที่ดูไม่ได้แตกต่างจากวัยมหาวิทยาลัย, สีผมดำขลับที่ไม่เคยผ่านการทำสีผมใดๆ
ให้ตายเถอะ คุณเหมือนเดิมขนาดนี้ได้อย่างไร
“เพื่อนมาแล้วครับ” ไอ้โย่งเอ่ยปากกับพนักงานสาวที่เดินมาทักทายเราแบบนั้น ในขณะที่ผมไม่ได้ละสายตาไปจากอีกคนเลยแม้แต่น้อย
มันเอาแขนกระทุ้งผมเบาๆ ยักคิ้วราวกับจะเอ่ยแซว และเป็นคนเดินไปเอ่ยทักทายเพื่อนเก่าเสียก่อน
“โย่งงงง” คุณร้องเรียกชื่อเพื่อนผมทันทีที่โดนทักทาย ยิ้มจนตาหยี
เจอแล้วว่ามีอะไรแตกต่างไป, เดี๋ยวนิ้วเวลายิ้มแล้วรอยย่นที่ตาของคุณชัดกว่าแต่ก่อน เป็นตำแหน่งที่ผมเคยใช้เย้าแหย่อีกฝ่ายบ่อยๆ ว่าหน้าแก่ แต่ตอนนี้ผมคงหน้าแก่นำไปหลายขุมแล้ว
“คิดถึงคุณหมอจังเว้ย” โย่งโอบกอด ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
ผมยืนนิ่งเมื่อทั้งสองผละออกจากกัน คุณก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน แค่เสี้ยววินาทีที่เราสบตาทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเลื่อนตัวเข้าไปนั่งตำแหน่งตรงข้ามกับคุณเสียก่อน ไอ้ครั้นจะกอดกันข้ามโต๊ะก็คงแปลกๆ ทุกอย่างเลยเป็นเหมือนกับปกติ
“ว่าจะนัดนานแล้ว วันนี้นึกขึ้นได้เลยนัดซะเลย”
“ก็ใช่ดิ ไอ้เราก็นั่งคอมเม้นเฟซบุ๊กคุณหมออยู่ตั้งนาน” ผู้ชายห่ามๆ อย่างมันก็ยังต้องยอมพูดสุภาพกับคุณ “แล้วเป็นยังไงบ้าง ย้ายมาจากใต้ใช่เปล่า ก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหนนะ”
“ไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราช”
“ก็ดีนี่นา”
“ใช่” คุณวาดยิ้ม “ไม่ได้แย่เลย โชคดีด้วยแหละอยู่ในเมือง แต่พอมีพายุอะไรเข้าก็เหนื่อยหน่อย”
ผมฟังเพื่อนตัวเองคุยกับคุณเรื่อยเปื่อย บทสนทนาหยุดชะงักเมื่อพนักงานเข้ามารับออเดอร์ ผมเมนูที่ตัวเองอยากทานในขณะที่ในหัวคิดว่าเมนูที่คุณจะสั่งคืออะไรในเมื่อผมรู้ดีว่าอีกคนไม่นิยมชมชอบปลาดิบเท่าไหร่นัก ใช่ว่ากินไม่ได้แต่เลือกได้ก็ไม่กิน
“ผมเอาแซลมอนดงบุริครับ”
“เบิร์นไฟไหมคะ”
“แค่ครึ่งเดียวพอครับ”
แล้วก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังนิดหน่อยที่ผลออกมาเป็นแบบนั้น – ที่เดาในใจไม่ได้ตรงใจอีกฝ่ายเสียทีเดียว
“คุณยังติดต่อกับพวกไอ้ม่านอยู่ไหม”
“ติดต่อดิ วันหลังนัดเจอมันบ้างก็ได้นะ มันก็อยู่กรุงเทพฯ”
“เออว่ะ แต่ไอ้เกมกลับลำปางไปแล้ว รอไปงานแต่งมันทีเดียวเลยท่าจะดี”
“จะแต่งแล้วเหรอ”
“คุยกันเมื่อเดือนก่อนก็หาฤกษ์แล้วนะ”
บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ สมัยพวกเราอยู่ปีหนึ่ง ผม โย่งและคุณอยู่หอใน นอกจากนี้ยังมีเมทของผมที่เรียนประมงฯ และเมทของคุณที่เรียนเทคนิคการแพทย์ฯ ที่มักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ พึ่งพากันมาเยอะ เคาะประตูยืมตั้งแต่สบู่ แชมพูยันไบก้อน เตือนกันเรื่องผ้าที่ตากไว้ในวันฝนตก บางทีก็ตั้งวงเหล้ากันในห้องบ่อยๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้เลยแม้แต่น้อย
ในหมู่ที่เอ่ยๆ ชื่อมานี้ คุณเป็นคนที่ห่างไกลมากที่สุดเพราะตอนปีสองย้ายไปอีกวิทยาเขต จะมาหาผมสักทีก็มักจะคลุกคลีกับผมเท่านั้น เห็นหน้าบ่อยหน่อยก็คงจะเป็นโย่งที่เรียนคณะเดียวกับผม ช่วงอ่านสอบหรือทำงาน
อะไร ไอ้โย่งปรากฎในทุกช่วงชีวิต คุณกับมันเลยยังสนิทกันไม่เสื่อมคลาย
“แล้วเธออ่ะ เป็นไงมั่ง”
สรรพนามที่คุ้นชินถูกเรียกออกมา ผมเห็นเพื่อนตัวเองยกมือเท้าแขน ยกยิ้มเหมือนจะล้อเลียนแต่ผมไม่เปิดโอกาส
“ก็ปกติดี ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก” ผมตอบกลางๆ “ใช้ชีวิตไม่ต่างจากไอ้โย่งเท่าไหร่”
“ทำให้เพจไหนนะ”
“เที่ยว Tape”
“เฮ้ย ดังนะนั่น เราก็ตามอยู่”
ผมนั่งฟังคุณชวนเราคุยไปเรื่อยเปื่อย ถ้าแบบนั้นก็ได้เที่ยวบ่อยใช่ไหมหรือไม่ก็เอาไว้เราจะลองไปเที่ยวตามรอยดูนะ ถ้อยคำต่างๆ ที่หลุดออกมาจากอีกคนฟังรื่นหู รอยยิ้มนั้นก็ดูจริงใจ เสียงหัวเราะผะแผ่วตอนที่ไอ้โย่งเล่นมุกตลกพร้อมกับคำด่าที่ฟังยังดูนิ่มนวลตามนิสัยของอีกคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก
ไอ้โย่งที่นั่งเล่าประสบการณ์การโดนหญิงเทเพราะเป็นฟรีแลนซ์ด้วยความสนุกสนาน เหมือนตอนที่มันเศร้าในช่วงสองสามปีไม่ใช่เรื่องจริง
“ไอ้เรามันก็เด็กฟิล์มขายขำไปวันๆ ใครมันจะไปชอบ”
“โย่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ขายขำแล้ว”
“ทุกวันนี้พี่ๆ ยังชอบด่าเราว่าเราทำตัวกากกรังอยู่เลย”
“กรังก็ส่วนกรังสิ อันนั้นเพราะสกปรกหรือเปล่า ไม่ใช่ขายขำสักหน่อย” คุณหัวเราะ “แต่เราก็อยากฟรีแลนซ์บ้างนะ ถึงมันจะเหนื่อยก็เถอะ”
“ไม่ดีหรอก” ผมเอ่ยแทรก ก่อนหน้านี้พวกผมก็ฟรีแลนซ์กันมาทั้งนั้น แต่พอทำงานฟรีแลนซ์ไปสักสองสามปีมันก็เริ่มเหนื่อย อยากทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งบ้างถึงเบนมาอยู่ในสายนี้ “เป็นคุณหมอไปน่ะดีแล้ว แล้วคุณไม่เรียนต่อเหรอ”
“อาจจะเรียนต่อนะ กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ปีนี้”
“—อ๋อ” ผมครางรับในลำคอ แล้วก็เงียบ
อีกคนมองผมก่อนจะเอ่ยคำที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา “จริงๆ ณะก็เลิกขายขำแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”
“ไม่เคยขายขำสักหน่อย” ผมเถียง “มันเป็นคาแรกเตอร์เฉยๆ”
คุณแกล้งทำหน้าไม่เชื่อ “จริงเหรอ”
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ”
คนที่นั่งตรงข้ามกันระบายยิ้ม หัวเราะก่อนจะเอ่ยผะแผ่วว่าแซวเล่น เอื้อมมือมาตีท่อนแขนผมที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนที่จะหันไปสนใจไอ้โย่งใหม่
ผมมองรอยยิ้มนั้น ตั้งคำถามในใจว่าอะไรถึงเลือกปล่อยมันไปในตอนนั้น
และตั้งคำถามใหม่,
ว่าจนกระทั่งตอนนี้ มันยังเป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดอยู่หรือเปล่า
“อันนี้คืออะไรเนี่ย”
คณณัฐ์ร้องเสียงหลงเมื่อบังเอิญลงมาเจอผมในสภาพไม่จืด สภาพไม่จืดในที่นี้หมายถึงหน้าและตัวสีฟ้า
กางเกงสีขาว ตอนนี้หนาวเป็นบ้า ว่าที่คุณหมอถึงกับหัวเราะพรืด วางตะกร้าผ้าที่อยู่ในมือแทบไม่ทัน
“กิจกรรมคณะ” ผมตอบไปตามจริง “ตีหนึ่งแล้ว ทำไมเพิ่งซักผ้า”
“เราเผลอหลับอ่ะ แต่นึกได้ว่าต้องซักผ้า พรุ่งนี้ไม่มีเสื้อใส่แล้ว”
“ใส่ซ้ำดิ”
“ทำไมเธอซกมกจัง”
“เปล่าเสียหน่อย” ผมเถียง “หรือคุณไม่เคยใส่ซ้ำเลย”
“ก็เคย แต่ไม่เคยเกินสองวัน” คุณหมอชูนิ้วขึ้นมา เหมือนได้สติเลยเดินออกไปที่หน้าหอ ค่อยๆ หย่อนผ้าทีละตัวลงเครื่องซักผ้า “มันจะแห้งทันไหมเนี่ย” เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม
“เดี๋ยวให้ยืมเอาเปล่า”
อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจ คนหล่อเหลาขมวดคิ้วมุ่น “เสื้อเนี่ยนะ”
“เออ เสื้อเนี่ยแหละ”
“เธอให้คนอื่นยืมเสื้อบ่อยเหรอ ของส่วนตัว”
“เปล่า” บ้าหรือเปล่า เสื้อนักศึกษานะ
อยากจะว่ากลับไปแบบนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ คุณเป็นคนที่ทำให้ผมต้องงับปากพูดสุภาพด้วยเสมอ สมมุตินั่งด่าเพื่อนคนหนึ่งว่าไอ้สัด หันกลับมาหาคุณก็คือเงียบกริบ ด่าอะไรแบบนั้นไม่ได้ ขนาดสรรพนามยังพูดกูมึงกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย – ไม่ใช่ว่าคุณห้ามหรอกนะ – แต่การที่เราพูดกูมึงใส่คนที่พูดกับเราแค่คำว่าเธอมันก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ ต่อให้สนิทกันก็เถอะ
“งั้นไม่เป็นไรหรอก คงแห้งทันแหละ”
“ก็แล้วแต่” ผมไม่คิดเถียง “แล้วเดี๋ยวลงมาเอาเหรอ ตีสองแน่”
“นั่นสิ กลัวเผลอหลับอีกอ่ะ”
“เดี๋ยวโทรปลุก” คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “เราอาบน้ำอะไรเสร็จแม่งก็คงตีสองแล้ว กว่าจะล้างออก”
“งั้นหรือ” อีกฝ่ายทำท่าจะหัวเราะขณะที่เทผงซักฟอกลงไปและปิดฝาเครื่องซักผ้า “เป็นคุณอวาตาร์ที่ใจดีจังนะ”
ว่ากันตามจริง, ผู้ชายหน้าตาดีที่ส่วนสูงเท่ากันมาเรียกผมด้วยคำพูดแบบนี้ไม่น่าจะดูน่ารักได้ยังไง แต่คุณกลับทำให้ผมสบถในใจว่าน่ารักฉิบหายเป็นล้านครั้งในเสี้ยววินาที
“ไม่ใช่อวาตาร์นะ สเมิร์ฟต่างหาก”
สิ้นคำเถียงของผมคุณก็เป็นฝ่ายโวยวายว่าตัวสูงขนาดนี้แต่งเป็นสเมิร์ฟทำไม เหมือนจะกลบเกลื่อนความอายที่ทักทายเป็นหนังผิดเรื่องเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวนี้คุยกับแฟนเก่าบ่อยจังนะ”
“หน้าหมา”
“ขอบใจนะมึง กูรู้ว่าสาวๆ มักจะชอบหมา”
ผมอ่อนล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว เถียงไปสิบชาติก็ไม่มีวันชนะไอ้โย่ง เอาจริงๆ ก็คือขนาดสาวปากจัดยังเหนื่อยจะคุยกับมันเลย เห็นเจ้ปันเป็นตัวอย่างกันแล้วนี่
“ยังคุยกันอีกเหรอวะ ถามจริง”
“ไม่ได้คุย” ขนาดนั้น ผมต่อในใจ “ก็แค่— ตอบไปมา”
“ไอ้ณะ นั่นคือการคุย”
“เออๆ” ผมปัดมือไปมา หมดแรงที่จะเถียงด้วย “แล้วแต่มึงเถอะ”
ผมเก็บข้าวของต่างๆ นานาขณะที่รอโปรแกรมแรนเดอร์ สำรวจกล้องที่พกมาด้วยในวันนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบเพราะตอนเย็นเราจะเดินทางไปอุบลราชธานีกันในวันนี้ ถึงจะเป็นคอนเทนท์ไปเที่ยว แต่ลึกๆ แล้วเราก็รู้นั่นแหละว่าเป็นการไปเที่ยวกันทั้งออฟฟิศ เพราะวันนี้มีคนไปครบเลย ตั้งแต่ผม, ไอ้โย่ง, เจ้ปัน ขาดไม่ได้ก็คู่รักที่ร่วมสร้างเพจนี้มาตั้งแต่เป็นแค่เพจในเฟซบุ๊กจนทุกวันนี้ลงแชแนลในยูทูปเป็นเรื่องเป็นราว พ่วงด้วยน้องสาวของพี่ข้าวมาอีกคนอีกต่างหาก
ปึง!
ขณะที่จะแบกร่างตัวเองไปห้องน้ำผมก็สะดุ้งอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูถูกเปิดขึ้นอย่างแรงผิดปกติ พี่ข้าวที่ปกติต้องสีหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่แสดงความหงุดหงิดใจแบบปิดไม่มิด ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของเจ้าตัวแทบไม่ทัน
ผมทำหน้างุนงง เหลือบมองคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็สภาพเดียวกัน ก่อนที่จะเดินออกมาที่ห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้
ทำธุระเสร็จ ขณะที่จะเดินกลับออฟฟิศตัวเองก็เหลือบไปเห็นเจ้านายตัวเองกำลังพ่นควันบุหรี่ออกมาในโซนใกล้ๆ นั้น พอจะจับอาการได้ลางๆ แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกไปกลับโดนพี่เอกร้องเรียกเสียก่อน
“ว่าไงมึง โดดงานเหรอ”
“เฮ้ย เปล่าสักหน่อยพี่” ผมแก้ตัวเป็นพัลวัน
คนอายุมากกว่าหัวเราะ มันชูซองบุหรี่ราวกับจะถามแต่ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “สมัยก่อนมึงสูบนี่”
“พอโตขึ้นแล้วก็อยากเลี่ยงๆ ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ขอดูดเฉพาะตอนที่กินเหล้าอะไรพอ ไม่ไหวแล้วเดี๋ยวนี้”
“ก็ดี” พี่มันว่าแบบนั้น พ่นควันให้ลอยฟุ้งในอากาศ จางหายไปในระยะเวลาไม่นาน “ข้าวกลับเข้าไปแล้วใช่เปล่า”
“ใช่”
“ตึงอ่ะดิ”
“เออดิ ทะเลาะกันหนักเหรอพี่”
“ช่วงนั้นของเดือนมั้ง เลยเหวี่ยงไปซะหมด” ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่จริงจังอะไรมาก “แต่ก็ทะเลาะกันด้วย กูแม่ง— บางทีก็ไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ”
“ทำไมอ่ะ”
“แฟนเก่า”
คำพูดที่หลุดออกมาคำแรกทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย ช่วงนี้อ่อนไหวกับคำนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร – เออ จริงๆ ก็รู้แหละ – แกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่
“ข้าวไม่อยากให้ชวนแฟนเก่ามางานแต่งว่ะ แต่สำหรับกู, ไม่รู้ดิ ก็ยังคุยกันได้หรือเปล่า”
“กรรม” ผมเกาหัวแกรก “ยากจัง”
“เทแม่งเลยดีไหม”
“เทแฟนเก่า?”
“เทงานแต่ง” เจ้านายระเบิดหัวเราะ “ไอ้เหี้ย อย่าเล่นให้มันได้ยินวันนี้ โกรธตายชัก – เล่นวันอื่นไม่โกรธแต่วันนี้กูโดนฟาดแน่”
ผมเองก็หัวเราะไปด้วย “ค่อยๆ คุยดีกว่าพี่ ถ้าพี่ข้าวไม่เข้าใจยังไงก็เลี่ยงดีกว่า เดี๋ยวตึงกันเปล่าๆ”
“รอมันเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกรอบ ขืนตึงทั้งทริปกูตาย”
ผมหัวเราะแม้ในใจก็แอบเห็นด้วย คงจะกร่อยน่าดู
พี่เอกขยี้บุหรี่ลงกับกระถางที่ถูกวางไว้ใกล้ๆ “แค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก” มันบ่นงึมงำ คงจะเซ็งไม่น้อยเช่นกัน
ในขณะที่ผมนิ่งไปกับถ้อยคำนั้นเหมือนกัน
เออ, เป็นแค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ
ผมสูดลมหายใจลึกยามที่ตระหนักได้ถึงความหวั่นไหวในใจ เป็นความสงสัยนิดหน่อยว่าหรือจริงๆ แล้ว สาเหตุที่คุณยังคุยกับผมได้เป็นปกติราวกับเราไม่เคยจบกันลงไปเป็นเพราะแบบนี้ – เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก
ขืนได้ยินคณณัฐ์มาพูดแบบนี้ใส่ ผมคงทำหน้าไม่ถูกแหงๆ
อาจจะช้าไปหน่อย แต่สุขสันต์ปีใหม่นะคะ
ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขมากๆ
ปีนี้หวังว่าจะเขียนเรื่องนี้จบ และก็มีโอกาสเขียนเรื่องอื่นนะคะ
(ตั้งเป้าว่าปีนี้จะช้าไปไหมนะ 55555555
แต่่่ยังไงก็ยังเรียนไม่จบเลยต้องแบ่งเวลา จะสู้ค่ะ!)
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
? cactus
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ก็เพราะว่าเป็น'แค่'แฟนเก่าไงล่ะคะ บนโลกนี้ไม่ใช่ทุกคนที่เลิกกันแล้วจะกลับไปเป็นเพื่อนกันแบบ'สนิทใจ'ได้นะ ประเด็นแฟนเก่าเป็นประเด็นที่โคต×จะอ่อนไหว จะชวนไปให้คนปัจจุบันเขารู้สึกทำไมล่ะแหม แคร์คนปัจจุบัน คนที่คุณอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาจนไปขอเขาแต่งงานเถอะค่ะ
คุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุณต้องเข้มแข็งขนาดไหนนะถึงกลับมาเป็นแบบนี้ได้
พบคนเลิ่กลั่กหนึ่งอัตราหลังพี่เอกพูดจบว่าแฟนเก่ามันจะไปรู้สึกอะไรวะค่ะ55555555 ตั้งแต่อ่านมารับรู้ได้ถึงความเกร็งของพี่แกตลอดมา
สสงสารคุณหมอ
คือแบบคุณดีมากอ่า
คำนิยามที่เราคิดถึงนิยายเรื่องนี้ ดูอบอุ่น ชอบมากกกกก