ตอนที่ 2 : 01
01
“โย่ง มึงว่าเขาชื่ออะไรวะ อ่านยากฉิบหาย”
ผมพูดคุยกับเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้จักกันในตอนนี้ ยกนิ้วขึ้นชี้ชื่อที่อยู่เหนือผมไป ดูท่าจะออกเสียงยาก หรือว่าผมโง่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตำแหน่งบนกระดาษเอสี่ที่แปะประกาศอยู่บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของชื่อคงจะได้อยู่ห้องตรงข้ามไม่ก็ห้องข้างๆ กันแน่นอน
“คะ-นะ-นัด”
“อ๋อ เออว่ะ” เหลือบตาอ่านชื่อที่ถูกเขียนไว้ก็คิดว่ามันก็คงจะอ่านได้แบบนั้นจริงๆ ก่อนที่จะผงะอย่างตกใจเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เสียงของเพื่อนตัวเอง
หันไปที่ต้นเสียงก็เจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใกล้เคียงกันสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่ผมมารับรู้ทีหลังว่าตู้เสื้อผ้าของอีกคนเต็มไปด้วยเสื้อทรงนี้หลากหลายสีสัน ดวงตาใต้กรอบแว่นหนาเตอะกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
“มันอ่านยากขนาดนั้นเลยเหรอ”
คำพูดเหมือนจะหาเรื่องแต่ก็เปล่า ผมเห็นอีกฝ่ายพยายามกลั้นขำเสียด้วยซ้ำ
“ก็ยากนิดนึง”
“จริงปะ เป็นคนแรกเลยที่บอก” ผมไม่รู้จะตอบอะไร อยู่ๆ ก็โดนคนอัธยาศัยดีชวนพูดคุยด้วยคำพูดสุภาพเลยทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ให้อีกฝ่าย “แล้วเธอชื่ออะไร”
“เราเหรอ?”
“อาฮะ”
“ชื่อณภัทร” ผมแนะนำตัวด้วยชื่อจริง เพราะเกิดมาทั้งชีวิตไม่มีชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วแต่ศรัทธาคนจะเรียกทั้งนั้น “มึง เอ้ย— เธอล่ะ” อยากกัดลิ้นตายฉิบหาย จั๊กจี้พิลึกกับการเรียกผู้ชายเหมือนกันว่าเธอ
อีกฝ่ายเอามือปัดไปมา “พูดมึงก็ได้”
“เอ้าเหรอ” ก็เห็นสุภาพ ผมนึกว่าจะซีเรียสมากกว่านี้เสียอีก “แล้วมึงชื่ออะไร”
“ชื่อที่เธอเพิ่งอ่านไง” เพื่อนใหม่ยิ้ม “คะ-นะ-นัด”
วันนั้นเป็นวันย้ายเข้าหอพักในของมหาวิทยาลัยตอนขึ้นปีหนึ่ง และผมเปิดตัวด้วยการโชว์โง่ด้วยการให้เจ้าของชื่อมาอ่านชื่อตัวเองให้ผมฟังโดยที่ไม่รู้จักกัน
“แล้วไปทำอิท่าไหนอีกล่ะรอบนี้”
“อะไร”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ที่รถล้มไง” น้ำเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อยราวกับต้องการจะดุกัน
“อ๋อ— หนีตำรวจน่ะ ไม่ได้ใส่หมวกมา มีคนซ้อนด้วย”
“ยอมจ่ายค่าปรับอาจจะถูกกว่าค่าหมอ”
ผมมองคนผิวขาวที่พูดถ้อยคำเหมือนจะสมน้ำหน้ากันด้วยริมฝีปากสีแดงน่าบีบหากแต่ยังแห้งเป็นขุยเล็กน้อย ไฝเล็กๆ สองดวงบริเวณใต้ดวงตาข้างซ้ายที่กำลังจับจ้องแผลของผมอยู่ ไปจนถึงปลายนิ้วเรียวที่บรรจงแตะต้องรอบๆ แผลของผมอยู่
“แล้วพาใครซ้อนมา”
“พี่ที่ทำงาน”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็น ก็นี่พยายามหลบไม่ให้พี่มันโดน”
คุณละสายตาจากบาดแผล “พี่ผู้หญิงเหรอ” ผมคงเผลอแสดงสีหน้างุนงงออกไป เจ้าตัวถึงหัวเราะออกมาผะแผ่ว “ก็ปกติเธอทำแบบนั้นกับผู้หญิงนี่ เหมือนตอนที่พากิ๊บล้ม เอาตัวบังซะจนเปิดเปิงไปหมด”
ผมกลืนน้ำลายอึก “ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ”
“อืม” คุณพยักหน้า “ไม่รู้สิ— ก็จำได้”
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมเราอีกครั้ง
ผมคิดไม่ออกว่าเราต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร วันนี้ดูท่าจะสุดเหวี่ยงเกินไปแล้ว ตั้งแต่หนีตำรวจ รถล้ม เข้าโรงพยาบาล แล้วยังมาเจอแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดด้วย
คุณ คณณัฐ์เป็นแฟนเก่าของผมสมัยมหาวิทยาลัย เสริมอีกหน่อยคือเป็นแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดในโลกใบนี้ คุณไม่เหมือนตอนที่ผมคบน้องหวานตอนม. สี่ หรือคบกับแก้วตอนม. ห้า อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ใจเย็นเสียจนคนใจร้อนอย่างผมทำอะไรไม่ค่อยถูกตั้งแต่เราคบกัน ไม่งี่เง่า ไม่งอแง – เป็นแบบนั้นกระทั่งเวลาเราเลิกกันเลยด้วยซ้ำไป
เมื่อจัดการแผลตรงหัวเข่าเสร็จ อีกฝ่ายก็เลื่อนสายตาไปที่ข้อเท้า แตะต้องมันตามประสาหมอ
“เจ็บไหม”
ผมนิ่วหน้า “เจ็บ”
“สมน้ำหน้า”
“เอ้า”
“ล้อเล่น” และก็เป็นรอยยิ้มบางๆ อีกครั้งบนใบหน้าอีกฝ่าย “ขาเธอถึงขั้นร้าวเลยไหมเนี่ย”
ผมกลืนน้ำลายอึก เอาล่ะชีวิตกู เริ่มคิดจริงๆ แล้วว่าไม่น่าห้าวขนาดนี้
โดนตรวจอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายแล้วจะได้ข้อสรุปออกมาว่าไม่ใช่ขาผมร้าวแต่อย่างใด แค่พลิกเฉยๆ คุณหมอคนเก่งก็เลยจัดการพันข้อเท้าให้ผม อดคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายเคยทำแบบนั้นสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัยไม่ได้ ตอนนั้นคุณบ่นผมยับขณะทำแผลให้ผมไปด้วย สองสามครั้งเห็นจะได้ แต่ก็นั่นแหละ, ครั้งนี้คุณไม่ได้เอ่ยปากบ่นอะไรอีกแล้ว คงเพราะสถานะของเราไม่เหมือนเดิม
“ที่ข้อเท้าก็ประคบร้อนประมาณ 2 วัน จากนั้นค่อยประคบเย็น ส่วนแผลตรงอื่น ระวังไม่ให้โดนน้ำ แล้วก็มาล้างแผลด้วย” ผมมองกลีบปากนั้นที่พูดอย่างใจเย็น ก่อนที่อีกฝ่ายจะชะงักไป “เธอล้างเองได้ไหมเนี่ย”
“เค้าล้างได้” ตอนพูดออกไปผมเกือบจะกัดลิ้น – ไอ้ห่า เค้าอะไรกัน
“เหรอ แต่เค้าว่าตรงเข่านี่ช่วงแรกมาล้างที่โรงพยาบาลหรือคลีนิกก็ดีนะ เธอชอบทำอะไรสกปรกอ่ะ”
“ไม่สกปรกแล้ว”
“จริงเหรอ ถ้าเน่ามาโดนตัดขาไม่รู้นะ”
สีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดขำ – คุณขู่แบบนี้กับผมมาตั้งแต่รถล้มครั้งแรกนั่นแหละ
“เธอขำมากปะ” แล้วก็ชอบต่อด้วยประโยคนี้อีกเหมือนกัน “ออกไปได้แล้ว นานแล้ว”
“นานอะไร”
“ตรวจเธอนานแล้ว เดี๋ยวโดนคนอื่นด่า”
“สิบห้านาทีเนี่ยนะ”
“เออ นั่นแหละ นานแล้ว!” คุณเริ่มเสียงแข็งขึ้นมาอีกหน่อย
และ โอเค, ผมยอมแพ้ สิ่งที่ทำได้มีแค่การยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ บ่งบอกว่าผมยอมให้อีกฝ่าย “ไปแล้ว”
“ล้างแผลดีๆ ด้วยนะ”
“อาฮะ” ผมพยักหน้า พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทุลักทุเลเล็กน้อย
จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบมองใบหน้าที่ยังไม่แตกต่างจากสมัยเราเป็นนักศึกษาของอีกฝ่าย แต่ก็ชัดเจนว่าคณณัฐ์หาได้สนใจกันไม่ กำลังเขียนลายมืออ่านง่ายลงบนกระดาษแผ่นนั้น – ไหนใครว่าลายมือหมอมักจะห่วยแตก ผมสาบานเลยว่าไม่จริง – อีกฝ่ายเป็นระเบียบกว่าเด็กฟิล์มอย่างผมเสียอีก
เหมือนอีกฝ่ายรับรู้ คุณเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่น “ยังไม่ไปอีก”
“เอ่อ— ขอโทษ”
นั่นยิ่งทำให้คุณงงยิ่งกว่าเก่า “ขอโทษอะไร”
ไม่รู้ นั่นเป็นคำตอบแรกที่ผุดเข้ามาในหัว ผมแค่อยากจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
“ไปแล้วครับ”
ผมหันหลังกลับ กำลังจะเดินไปเปิดม่านที่ถูกพี่พยาบาลปิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเชียว หนึ่ง, ผมแอบนับในใจ บอกกับตัวเองว่าถ้าถึงก้าวที่ห้าแล้วยังไม่มีเสียงเรียกใดใดรั้งไว้ สอง, คงเป็นตัวผมเองที่จะต้องหันกลับไปพูดอะไรสักอย่าง สาม—
“ณะ”
ผมเกือบตะโกนออกมาด้วยความปิติ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่การหันไปหาอีกฝ่าย “ว่า?”
“เปล่าเลย” แต่คุณกลับทำแค่ยิ้มแบบที่คุณเคยทำ “แค่เรียกเฉยๆ”
“อาฮะ”
“ณะ”
ผมหันไปอีกครั้ง “ครับ”
“เธออันบล๊อกไลน์เค้าได้หรือยัง”
คุณเคยต้องมานั่งมองหน้าโปรไฟล์แฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้วหลายปีไหมครับ
ใช่ – ผมกำลังทำแบบนั้นแหละ
“ส่องใครอ่ะ”
เสียงเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังทำให้ผมเผลออุทานคำหยาบ “โว้ย โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” ด่าไอ้โย่งที่ไม่ได้ตัวโย่งสมชื่อก่อนจะกดออกจากแอพพลิเคชั่น ลนลานแม้คำพูดของมันจะทำให้ผมรับรู้ว่าเพื่อนสนิทจากมหาวิทยาลัยต้องรับรู้แล้วแน่นอนว่าผมไปเจอกับใครมา
“มา เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ขอบใจมากมึง”
“ทำบุญทำทานให้หมามันจ้า”
ด่ากันเก่งแต่เลิกคบกันก็ไม่ได้ เจอหน้าแม่งตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย กินข้าวคลุกน้ำปลาพร้อมเซ็ทฉากด้วยกันตอนออกกองครั้งแรกยันงานธีสิส แยกกันอยู่พักหนึ่งแล้วยังอุตส่าห์มาสมัครทำงานที่เดียวกันอีก – เหมือนโลกบอกว่าคนต่ำตมก็ต้องอยู่ด้วยกัน มีณะมีโย่ง มีโย่งมีณะที่แท้
ไอ้โย่งโกยเศษซากกาแฟออกมาจากโต๊ะ ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วและนี่ถือว่าเป็นการกลับบ้านเร็วของออฟฟิศผม มันจะขับรถไปส่งให้ส่วนมอเตอร์ไซค์ให้ผมจอดไว้ที่ออฟฟิศจะได้ไม่วุ่นวายมาก เป็นการทำเพื่อตัดรำคาญคำบ่นจากเจ้ปันที่ผมได้บุญลงไปเต็มๆ
“เมื่อกี้มึงส่องเฟซใครนะ”
ผมอยากยกตีนขึ้นมากุมขมับ แต่เกรงว่าจะเป็นการเล่นใหญ่เกินไป “เสือก”
“ขอบใจ กูภูมิใจกับคำนี้” ฉายาไอ้โย่งตาทิพย์ไม่ได้ได้มาเล่นๆ “เจ้ปันบอกว่ามึงเหวอจนเกือบขับชนเสาอีกรอบตอนกลับมา สรุปเจอจริงเหรอวะ”
“ใคร”
“คุณ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เออ” รู้ไปว่าสักวันก็ต้องบอกมันอยู่ดี เพราะว่าไม่มีใครให้ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกแล้ว
โย่งถึงกับระเบิดหัวเราะ “จริงปะเนี่ย ทักปะ”
“ไม่ทักก็แย่ เขาตรวจกูเนี่ย” แค่เท่านั้นเพื่อนเวรของผมก็ระเบิดหัวเราะเล่นใหญ่กว่าเดิม ไม่ได้สงสารใจกันแม้แต่น้อย ไอ้โย่ง เพื่อนสันดานเสีย
“เห็นคุณย้ายมาโรงพยาบาลนี้กูยังไปเม้นแซวเลยว่าอยู่ใกล้ๆ กัน เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปเจอ สมพรปากว่ะ” มันสตาร์ทรถจับเกียร์ สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนเสียจนผมอยากด่าว่าไอ้โย่งหน้าหมา “แล้วไหงไปส่องเฟซเขาอีกวะ”
“ก็แค่เจอ”
“จริงปะจ๊ะ”
“จริง” ผมย้ำ นิ่งไปชั่วครู่ “—มั้ง”
“เนี่ย มึงมีเยื่อใยอ่ะ”
“ไอ้เวร กูแค่ตกใจไหมล่ะ ไม่คิดว่าจะเจอ”
จริงๆ ไม่คิดว่าจะเจออีกฝ่ายอีกแล้วในชีวิตนี้
นั่นไม่ใช่เรื่องที่โกหก ใช่ว่าไม่รู้ความเป็นไปในชีวิตอีกคน พอจะรับรู้ได้อยู่หรอกจาก social media ของเพื่อนๆ คุณ – แหงล่ะ ผมเล่นอันเฟรนด์เฟซบุ๊กอีกฝ่ายไปตั้งแต่เราเลิกกัน – ไม่นับไปถึงการบล๊อกไลน์และเบอร์โทรในช่วงเวลาที่เราตัดสินใจว่าพอดีกว่า เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รับรู้หรอกว่าอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่ากลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วหลังจากไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราชมาเพราะเพื่อนๆ มีการอัพเดตให้เห็นหน้าคุณบ่อยกว่าปกติ
“จริงเหรอวะ” โย่งใช้จังหวะที่รถมาถึงไฟแดงหันมาถาม น้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“มันไม่น่าเชื่อเหรอ”
“ไม่รู้ดิ กูแค่แบบ— คุณคือคนที่มึงคบนานที่สุดอ่ะ”
ผมย้อนคิด ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เกือบสี่ปีที่คบกับอีกฝ่ายก็เป็นสถิติสูงสุดที่เกิดขึ้นในชีวิตรักผมจริงๆ
“ทำให้มึงเลิกบุหรี่ได้ด้วย” มันเสริม
“แล้วก็ทำให้กูกลับมาติดบุหรี่ใหม่”
เพื่อนคนเดียวส่ายหน้า “ดึงดราม่าเฉย”
“กูเปล่าเลย”
“จริงปะจ๊ะ”
“ขอร้อง ไอ้คำพูดนี้เลิกพูดสักที เปรี้ยวตีนฉิบหาย”
“จริงปะ—” ผมด่ามันก่อนที่มันจะพูดจบ แล้วบทสนทนาของเราก็จบอยู่ตรงนั้นเพราะไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี
ไอ้โย่งมาส่งถึงหน้าคอนโด ขอบคุณที่มีเซเว่นอยู่ใกล้ๆ คอนโดของผมขนาดนี้ ทำเลดีแท้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของพี่ชาย ตอนแรกผมก็อยู่กับมัน จนสุดท้ายมันเลือกที่จะแต่งเข้าบ้านเมียของตัวเอง ผมเลยได้ยึดสถานที่ดีๆ แบบนี้ไปฟรีๆ
อาหารมื้อนี้โง่กว่าทุกวัน มันจบลงที่พะแนงไก่ในเซเว่น เวฟมาเลยจะได้ไม่ต้องล้างจาน ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างเอื่อยเฉื่อย เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บจากแผลที่ได้จากความโง่ของตัวเองเข้าให้แล้วจริงๆ ในเวลานี้
Kunnanad T.
อ่านชื่อเดิมบนหน้าจอโทรศัพท์ซ้ำไปมา ผมไล่รูปโปรไฟล์ของคุณไปนาน ไปจนถึงวันสำคัญต่างๆ ในชีวิตอย่างเช่นวันรับปริญญาหรือวันรับกาวน์ที่จำได้ว่าตัวเองเป็นคนถ่ายมากับมือ นั่นเป็นทั้งหมดที่ทำได้แล้วในเมื่ออีกฝ่ายตั้งไว้เป็น private
ผมคิดถึงคำพูดล่าสุด – คำถามโง่ๆ ว่าผมยังไม่อันบล๊อกไลน์อีกฝ่ายสักที
จำไม่ได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ก็นึกได้ว่าทรมานไม่ใช่น้อยในตอนนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองต้องทำธีสิสในสภาพไหน ตัดวีดีโอไปร้องไห้ไปก็เคย แล้วก็จำได้เหมือนกันว่าเพื่อนๆ ของคุณที่ยังพูดคุยถามไถ่กัน เล่าว่าสภาพของคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง คว่ำหน้าจอโทรศัพท์
ไม่นานก็หยิบมาใหม่ มองภาพเหล่านั้นอยู่อีกสองสามนาที สุดท้ายก็ออกจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก – พอแล้วดีกว่า, ส่องไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นหรอก – บอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะเดินไปอาบน้ำด้วยสภาพทุลักทุเลนิดหน่อย
ออกจากห้องน้ำพร้อมกับความคิดว่าที่ข้อเท้าผมปวดระบมจริงๆ เสียแล้ว จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าตอนนั้นคุณบอกผมว่าอะไร ประคบร้อนหรือเย็นกันแน่ ผมเลยตั้งใจจะเสิร์จกูเกิ้ลเสียหน่อย
Kunnanad T. sent you a friend request.
ผมใจกระตุกนิดหน่อย
ยอมรับจริงๆ ว่าคุณเป็นคนที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผมผิดเพี้ยนตั้งแต่ครั้งแรก บางทีก็แค่ตกใจ, รอยยิ้มของเขาทำให้ผมอ่านไม่ค่อยออกเท่าไหร่
ผมลังเลว่าตัวเองควรจะกด confirm หรือ delete request จากอีกฝ่ายดี
สุดท้ายแล้วผมก็เมินเฉยกับคำแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ กดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ของตัวเองแทน ค้นหารายชื่อที่เคยบล๊อกไว้เมื่อนานมาแล้ว กดอันบล๊อก มองหน้าแชทอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจพิมพ์เข้าไปสั้นๆ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมาย
napat
เค้าไม่ได้บล๊อกเธอแล้ว
คุณไม่ได้ตอบผมในทันที – และมันน่าตลกมากที่ผมมองหน้าจอทุกๆ ห้านาทีขณะที่ประคบข้อเท้าของตัวเองอยู่
คนเราจะต้องรอข้อความจากแฟนเก่าที่เลิกกันไปห้าปีหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจเหมือนกัน
คืนนั้นผมมองเพดานสีขาว พลิกตัวไปมาสองสามรอบ นึกคึกเปิดเพลย์ลิสต์ของ the script ที่ไม่ได้เปิดฟังนานแล้ว ได้ยินเพลง the man who can’t be moved วนไปมาหลายเวอร์ชั่นเสียจนผมเผลอฮัมทำนองที่คุ้นเคยจนเผลอหลับไป
ผมฝันถึงคุณในชุดนักศึกษา กินอะไรสักอย่างอยู่ที่ม้านั่งหอในที่เราเคยนั่งด้วยกันบ่อยๆ คุยกันด้วยอะไรที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเหมือนที่ได้เห็นบ่อยๆ และผมเอาแต่จับจ้องอีกฝ่าย เส้นผมสีดำขลับ, สีผิวที่ขึ้นสีแดงขณะที่โดนแดด, รอยยิ้มที่สดใสสู้กับพระอาทิตย์และเสียงหัวเราะผะแผ่วของอีกฝ่ายในบทสนทนาโง่ๆ ของเรา
ผมตื่นมาตอนเช้าเพราะนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือตัวเอง กดเลื่อนมันอยู่สองสามรอบก่อนจะมีสติว่าตัวเองควรจะตื่นจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะไปทำงานสาย
สิ่งที่ปรากฎในโทรศัพท์นอกจากนาฬิกาปลุกก็คงเป็นข้อความจากเจ้าของความฝันของผมในไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง
k.
โอเคสิ 5555
เธออย่าลืมล้างแผลด้วยนะ
คุณเป็นแบบนั้นเสมอ ให้ความรู้สึกว่าได้ยินเสียงที่พูดแบบช้าๆ ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แม้จะไม่ได้คุยกันต่อหน้า เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่า ให้ตาย แล้วใครแม่งจะเกลียดเธอลง แบบนี้บ่อยๆ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าอะไรทำให้ผมฝันถึงคุณที่เป็นแบบนั้น
คงเพราะภาพจำของคุณเป็นแบบนั้น – ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้กระทั่งเราเลิกกัน
ต่อให้เราเป็นแฟนเก่ากันแล้วก็เถอะ แต่— ให้ตาย, แล้วใครจะเกลียดเธอลง
-------------------------
แฟนเก่าไม่จำเป็นต้องดราม่าเสมอไปค่ะ
เจอกันในแท๊กทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอฝากคุณกับณะไว้ด้วยค่า <3
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
? cactus
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นเรื่องที่ดีเลยนะเนี่ย
ถ้าต่างคนต่างเสียใจแล้วทำไมถึงเลิกกันน้อ แงง อยากรู้ความหลังครั้งก่อนเลยค่ะ ;—;
ขอนิดนึง ในการบาดเจ็บข้อเท้าพลิก ใน 48 ขม แรก หรือ 2 วัน แรก ควรประคบเย็น หลังพ้นไป 48 ชม ถึฝประคบอุ่นค่ะ
ไม่รู้มีคนทักยังเรื่องการประคบ จริงๆคือต้องประคบเย็น24ชม.แรก จากนั้นค่อยประคบอุ่นนะคะ
ปล.ชอบเพลง the man who can’t be moved มากๆ
ถถ้าทั้งสองยังรู้สึกดีๆต่อกัน
ทำไมตอนนั้นถึงเลิกกัน
เพราะอะไรนะ
อยากรู้ววว