ตอนที่ 11 : 10
10
ผมเคยก่นด่าเพื่อนสนิทผู้หญิงตอนมหาวิทยาลัยว่ามันโคตรโง่เง่า วนเวียนกับแฟนเก่าที่ทำเหมือนมันเป็นของตายอยู่นานเป็นเทอมๆ ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นสักที ผมอีกนั่นแหละที่เคยมองตัวละครในหนังรักปัญญาอ่อนที่ไม่ยอมเอาตัวเองออกจากความรักครั้งเก่า
ผม – ตอนที่เลิกกับคุณ – เป็นตัวผมที่อดทนกับการเลิกราไม่ได้ ยอมที่จะตัดคุณออกจากชีวิตด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่ต้องเป็นห่าอะไรแล้ว เมินเฉยต่อคำสัญญาน้อยเรื่องที่มีให้กันและเดินออกมา
ผม – ตอนที่ได้เจอกับคุณอีก – เป็นตัวผมที่สับสน วุ่นวาย ละทิ้งความคิดต่างๆ ที่เคยมีมา ไม่มีทฤษฎีแฟนเก่าไม่ควรกลับมาในชีวิตหรือทฤษฎีว่าคนเราต้องเอาแฟนเก่ามาเป็นเพื่อนอยู่ในหัวเลยสักอย่าง ตีกับตัวเองทุกชั่วโมง เป็นเหมือนไบโพลาร์ที่ดีใจกับข้อความโง่ๆ ที่เขาตอบมาและดิ่งลงเหวยามคิดว่าข้อความเชิงนั้นอาจจะถูกส่งให้กับใครหลายคนเพราะผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ
และตัวผม – ตอนที่โดนคุณถามคำถาม – เป็นตัวผมที่ถูกฉุดลงมาเจอกับความเป็นจริงว่าเรื่องครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น
กดคอลไปหาอย่างไม่ได้คิด หัวใจที่เป็นลูกโป่งถูกจิ้มจนฟีบลมในทุกสัญญาณที่บ่งบอกว่าปลายสายยังไม่คิดจะรับ
napat
คุณ รับหน่อยครับ
อยากคุยด้วย
พิมพ์บอกคุณไปแบบนั้น กดโทรศัพท์ไปหาอีกรอบขณะที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า
รู้ว่าความคิดนี้มันเฮงซวย แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อความคิดไหนก็เฮงซวยอยู่ดี – เอาความเฮงซวยออกมาเป็นการกระทำเลยคงไม่ได้แย่นัก
“ฮัลโหล”
ปลายสายรับเสียที
น้ำเสียงนิ่งเรียบแบบที่ได้ยินตามปกติ ก้อนเนื้อในอกผมเต้นดังตุบ, ตุบ, ตุบ อีกนิดก็คงจะทะลุออกมาที่ปากกันพอดี
“ว่าไงครับ” คณณัฐเอ่ยถามเสียแผ่วเบา “โทรมาแล้วก็ไม่พูด”
“—เธออยู่ไหนนะ”
นั่นเป็นคำถามเดียวที่ผมอยากถามตอนนี้
คนปลายสายเงียบไปชั่วครู่ “เอาจริงเหรอณะ?”
“อืม” ผมยืนยัน “อยากไปหา”
คุณยังคงเงียบ ผมเลยย้ำอีกครั้ง – เผื่อว่านั่นจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นมาอีกหน่อย
“อยากไปเจอเธอว่ะ ตอนนี้เลย”
“—เอาจริงดิ”
ผมมองคุณหมอที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื้อยืดย้วยๆ – หรือบางทีนั่นอาจจะเสื้อกล้าม? ช่างมันเถอะ, คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาว กางเกงห้าส่วนที่ไม่น่าจะได้เห็นในวันปกติ เส้นผมไม่ผ่านการทำสีนั่นยุ่งพอๆ กับใบหน้าที่ยังดูงุนงงว่าผมมาปรากฎตัวตรงหน้าแล้วจริงหรือไม่
โลเกชั่นที่ถูกแชร์มาให้กันหลังจากถามย้ำหลายครั้งว่าจะมาจริงๆ หรือ และใช่, ผมทำ สุดท้ายผมถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ใต้คอนโดด้วยสภาพไม่แตกต่างจากคนตรงหน้านัก
“เธอถามย้ำแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ” ผมเอ่ยเบาๆ ประดักประเดิดพอตัว – ว่ากันตามจริงก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
คุณยกมือขึ้นเกาท้ายทอย หัวเราะเสียงแห้งก่อนที่จะเงยหน้ามองผมหลังจากที่มองเท้ามานาน
“ก็ยังอุตส่าห์มา” นั่นเป็นถ้อยคำอื่นที่ได้รับ “ขาเพิ่งหายแท้ๆ”
“ก็หายมาสักพักแล้วนะ”
คุณย่นจมูก “ไม่เชื่อหมอเหรอ”
“อืม, ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่” ผมหัวเราะเบาๆ
เรามองหน้ากัน หัวเราะให้กันด้วยเสียงหัวเราะที่เหี่ยวแห้งที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ ผมไม่พูดสิ่งใด คุณไม่อาจเอ่ยสักคำ
แบบนี้อีกแล้ว – ไม่ชอบเลยแฮะ – แต่ก็ชอบมากกว่าตอนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยอยู่ดีนั่นแหละ
“อยากไปไหนไหม” ผมถามเสียงเรียบ “อาจจะ เอ่อ— ไม่รู้สิ แถวนี้มีอะไรนั่งบ้างนะ”
“นี่ก็ใกล้ที่เธอทำงานนะ”
“แล้วมันไกลโรงพยาบาลเธอเหรอ”
คณณัฐย่นจมูก “ยอกย้อน!” ตีไหล่กันเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อ “ไม่รู้สิ เธอไม่มีแพลนอะไรเลยเหรอ”
“ไม่มีจริงๆ” ผมยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างยอมแพ้
“แล้วเธอมาทำไมอ่ะ”
เหมือนเป็นใบ้ในวินาทีนั้นแหละ
คราแรกคิดเหมือนกันว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นความสั่นไหวในแววตา แต่ดูจะยากเหลือเกิน – ผมทำไม่ได้หรอก – เพราะฉะนั้นเลยสูดลมหายใจลึก ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าที่เคย หากแต่ก็ยังเบาหวิวอยู่ดี
“ก็— อยากมาเจอเธอ”
คุณดูไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่
ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะวาดยิ้มออกมา เสี้ยววินาทีก่อนที่มือขาวจะยกขึ้นมาปิดราวกับไม่อยากให้เห็นว่ายิ้มกว้างแค่ไหน
“จริงๆ แถวนี้มันก็มีแต่พวกร้านเหล้า บาร์” คุณว่าเช่นนั้น มองผมในสภาพที่ดูดีกว่าชุดนอน หากแต่ก็ไม่ใช่ไปสถานที่เหล่านั้นแน่ๆ “มีร้านบัวลอยอยู่ท้ายซอย ร้านดังเลย เธอเคยกินหรือเปล่า”
“อา ไม่เคยหรอก”
“งั้นไปด้วยกันไหม”
ผมพยักหน้า เหมือนหมาตัวโตที่ดีใจกับคำพูดของเจ้าของ
คุณหัวเราะ “แต่ท่าทางจะต้องรอนานหน่อยนะ คนเยอะตลอดเลย ร้านมันแมส”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่รีบทำอะไร” ผมว่าแบบนั้น เหลือบมองคุณหมอที่หัวเราะน้อยๆ เย้าแหย่กันว่าไม่ต้องรีบไปตัดงานหรือ แต่ความเป็นจริงแล้วตอนนี้อีกฝ่ายครั้นจะดูยุ่งกว่าผมเสียอีก “อยู่กับเธอนานๆ ก็ได้”
คนฟังนิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะบ่นงึมงำ “ไปเรื่อย” เหมือนจะด่ากันหากไม่ได้มองว่าคุณยกมือขึ้นเกาท้ายท้อย แก้เขินเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
คุณเดินออกมาพร้อมกับผมก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอะไรเท่าไหร่ – อยากผ่ากะโหลกคุณดูจริงว่าในหัวนั่นคิดอะไรบ้าง – บางทีก็อดตั้งคำถามแบบนี้ไม่ได้ และก็เผลอคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามของผมดูเหมือนความคิดของฆาตกรในหนังสยองขวัญชอบกล ผมเลยหลุดหัวเราะออกมา
“อะไร” คุณถาม หรี่ตามองผม “เธอคิดอะไรเนี่ย”
“เปล่า”
“เอ๊ะ แล้วหัวเราะอะไร”
“ไปเรื่อย” ผมตอบด้วยคำที่คุณเคยใช้ว่ากัน
“หัวเราะไอ้ม่วงหรือไงล่ะ”
ผมมองตามสายตาของอีกคน เลิกคิ้วนิดหน่อยที่เห็นว่าคุณมองหมาข้างถนนตัวหนึ่งอยู่ “ยังไม่เลิกตั้งชื่อให้หมาทุกตัวอีกเหรอ” หลุดขำนิดหน่อยกับชื่อที่คุณเรียก
“ไม่ได้ตั้งเองสักหน่อย อันนี้ป้าขายข้าวแกงเขาก็เรียก” บ่นเสียงเข้มขึ้นมาเสียจนผมยิ้มขำ
ระยะเวลาจากห้องพักของคุณมาถึงร้านบัวลอยที่ว่าก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก แต่พอเดินมาถึงแล้วก็เข้าใจกับคำพูดที่ว่ารอนานนะ เพราะเต็มไปด้วยผู้คนวัยหนุ่มสาว มีเก้าอี้พลาสติกจัดให้รออยู่ประมาณสิบที่นั่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพี่ๆ ที่ใส่ชุด line man กับ grab อีกจำนวนหนึ่ง
“มันอร่อยมากเลยเหรอ” ผมถามขึ้นอย่างนึกสนใจ
“ก็อร่อยดีนะ ถูกด้วย”
ผมพยักหน้าตอบรับคำคุณหมอ ในหัวคิดว่าสงสัยต้องลองไปเสนอกับพี่เอกสักหน่อยในสำหรับคอนเทนท์เล็กๆ น้อยๆ ลงแก้ขัด
จังหวะที่เก้าอี้ว่างผมก็เดินนำคุณไปที่เก้าอี้ ตั้งใจจะปล่อยให้คุณนั่ง ตอนแรกทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายข้อสรุปของเราก็จบลงตอนที่กลุ่มสาวๆ วัยมหาวิทยาลัยเดินเข้ามา ผมกับคุณเลยเดินแยกออกมาหน่อยให้พวกหล่อนนั่งโดยปริยาย
“เคยมากินไหม” ผมถามตอนที่บทสนทนาของเราชะงักไปนิดหน่อย
“ก็เคย”
“เหรอ”
“มากับพวกพี่ๆ ที่เป็นหมออ่ะ ส่วนใหญ่ก็อยู่แถวนี้กันหมด” คุณเอ่ยปากพูดเพิ่มเอง
“—แล้ว” ผมอึกอัก ความลังเลวิ่งเข้ามาชั่วอึดใจ “กับหมอที่ชื่อว่าเจต— เธอก็เคยมาด้วยใช่ปะ”
คุณมองหน้าผม ความอึดอัดแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวกับแววตา กลบเกลื่อนมันด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ ที่ได้ยินบ่อยเหลือเกินในช่วงหลัง
“ที่เค้าถาม เธอยังไม่เห็นตอบเลย”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
และคุณคงสังเกตเห็น ถึงผลุบตาลงต่ำ “ก็เคยมา” สุดท้ายก็ยอมตอบกลับมา “สองคนก็เคย”
“อา—” ผมยิ้มเจื่อน “งั้นเหรอ”
“บัวลอยจะอร่อยอยู่ไหมนะ”
“อร่อยดิ” ตอบแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ใส่กัน กระอักกระอ่วนฉิบหาย
คุณลอบมองผมด้วยสายตาที่อ่านยากเช่นเคย แบบนี้เสมอ – เหมือนจะเดาง่ายแต่ก็ไม่ เหมือนจะอ่านออกสบายๆ ทั้งที่ต้องใช้ความคิดมากกว่าข้อสอบวิเคราะห์ภาพยนต์เสียอีก
คนเป็นหมอเข้าใจยากแบบนี้เสมอเลยไหมนะ
ถามไปงั้นทั้งที่ก็รู้ว่าไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับหมออะไรทั้งนั้น ก็แค่เป็นคุณต่างหาก
“หลังจากนี้ไปไหนต่อดี”
“กลับไปนอนไง” คุณขมวดคิ้วเมื่อผมโพล่งคำถามขึ้นมาแบบนั้น “เธอจะไปไหนอีก”
“อา— ไม่รู้สิ”
“เอ้า” ดูคุณจะแปลกใจนิดหน่อย “งั้นกินก่อนไหมล่ะ แล้วค่อยคิด”
ผมเดาะลิ้น พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วคุณก็ยิ้มให้เหมือนไม่มีเรื่องน่าอึดอัดใจกันมาก่อน
เป็นวินาทีที่ผมย้อนคิดถึงตอนเราเพิ่งคบกันใหม่ๆ บ่อยครั้งที่เรามีเรื่องตึงใส่กันเพราะไม่ถูกใจเรื่องเล็กๆ บางอย่างของแต่ละคน ยังจูนหากันไม่ติด อะไรทำนองนั้น และนั่นแหละ – เราจบลงตรงที่ร้านขนมแถวๆ หอในบ่อยมาก บางทีก็เซเว่น อะไรก็ตามที่เป็นของกินจะทำให้เราปรับความเข้าใจกันได้เสมอ
“จริงๆ แล้ว—”
“คุณ คุณคุณสองคนค่า!”
คำพูดของคุณหยุดชะงักลงด้วยเสียงตะโกนของพนักงาน ผมเลิกคิ้วแทนคำถามแต่คุณส่ายหน้า เดินนำไปที่ร้านก่อน
ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนร้านอาหารตึกแถวทั่วไปในขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เมนูมีแต่บัวลอย เต้าทึง ของหวานต่างๆ ที่ราคาไม่แพง ไม่เน้นรูปลักษณ์ พอเห็นชื่อร้านชัดๆ แล้วก็คุ้นเคยขึ้นมาหน่อยเพราะผมเองก็เคยเห็นผ่านตา ดังจริงไม่ตินัง
“อยากกินบัวลอยงาดำอ่ะ”
“สั่งดิ”
“เธอจะกินอะไร”
“อันนี้มั้ง” ผมชี้นิ้วส่งๆ ไม่ได้นึกอยากกินอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว “มันจะหวานปะวะ”
“เออ ร้านนี้หวานนิดนึงนะ” คุณว่าแบบนั้น “แต่ก็ไม่ใช่ชานมที่จะสั่งหวานน้อยใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นเธอโดนป้าเขาเพ่งกบาลแน่” ยิ้มเหมือนจะขำกันมากกว่า
ผมไม่คิดเถียงใดๆ และหันไปสั่งเมนูให้กับคุณ ผมสั่งน้ำมะพร้าวหนึ่งแก้วกับขนมหนึ่งถ้วย ในขณะที่คุณสั่งขนมมาสองถ้วยกับน้ำเปล่าแทน
พูดคุยกันด้วยเสียงเคาะโต๊ะที่ทำจากสแตนเลสเพราะไม่อยากสู้เสียงสาวๆ โต๊ะถัดไปที่หัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง ผมไล้ปลายนิ้วเป็นจังหวะเพลง ก่อนที่คุณจะเคาะมันตามผม ก่อนจะตามมาด้วยการเตะเท้ากันใต้โต๊ะเมื่อผมเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสกับหลังมือของอีกคนแทนจะเป็นพื้นโต๊ะ
“เตะทำไมอ่ะ”
“แล้วจับทำไมอ่ะ” คุณหมอว่าอย่างไม่ยอมแพ้
ผมไม่ได้ตอบ มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นโดยที่ยังไม่เลื่อนนิ้วจากหลังมืออีกคน คุณหมอในสภาพอยู่บ้าน แตกต่างจากทุกวันที่เราได้เจอกันในช่วงหลังๆ มองกลับมา สุดท้ายก็เป็นคนละสายตาไปก่อน
คนนั่งตรงข้ามเตะเท้าใต้โต๊ะกันอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อโดนขัดใจกับการกระทำนั้น ก้มลงบ่นงุบงิบก่อนที่จะเอ่ยน้ำเสียงดังขึ้นมาหน่อยให้ผมรู้ว่านั่นไม่ได้พูดกับตัวเองแต่พูดกับผม
“ตอนนั้นเธอก็ทำแบบนี้”
“หือ?”
“นานแล้วอ่ะ ปีไหนนะ” คุณเอียงคอ ทำท่ากรุ่นคิด “ตอนที่เค้าหึงเธอกับพี่ที่เธอไปช่วยธีสิส”
“อ๋อ” ผมครางรับ ใบหน้ารุ่นพี่คนดังผุดขึ้นมาในหัวแต่คิดชื่อไม่ออก คุณเลิกคิ้วเหมือนกับจะรอ สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริง “จำชื่อไม่ได้แล้วแต่คิดหน้าออกนะ”
“แหงดิ พี่เขาสวย” คุณหัวเราะ “โคตรสเป็กเค้าเลย”
“น้อยๆ หน่อยสิคุณ”
“จำได้ปะว่าตอนนั้นเค้าโคตรโกรธที่เธอต้องคอยตอบแชตพี่คนนั้นทั้งวัน แล้วไปทำธีสิสด้วย คนก็เอาแต่อัพรูปเธอตัวติดกับพี่เขาอ่ะ”
“จำได้— มั้ง” ปลายเสียงเบาไปหน่อยเพราะไม่มั่นใจเท่าไหร่ “ตอนนั้นน่าจะทะเลาะกันหนักที่สุดแล้ว”
คุณพยักหน้า วาดยิ้มบนริมฝีปาก “อืม ไม่น่ามีครั้งไหนเท่าครั้งนั้นแล้ว”
เราคุยกันผ่านสายตา เหมือนเรื่องราวในอดีตมันฉายชัด วนไปวนมา ผมยังจำตอนที่คุณกินข้าวเย็นในโรงอาหารได้ จำตอนที่คุณหัวเราะกับไอ้โย่งที่ทำอะไรบ้าๆ กับแก๊งหอในได้ จำตอนที่คุณหน้าหงิกงอในการฝ่าการจารจรอันติดแสนติดมาหาผมที่หอได้ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะได้เวลาว่างหลังสอบ
แล้วคุณจำเรื่องแบบไหนเกี่ยวกับผมได้นะ
เป็นเรื่องดีๆ แบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า
“เธอจำได้ไหมว่าตอนนั้นทำแบบไหนเค้าถึงหายโกรธ”
“—อา”
เหมือนปฏิกิริยาของผมจะทำให้คุณหลุดขำมากกว่าจะโกรธ คุณยิ้ม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ยักคิ้วนิดหน่อยราวกับจะบอกว่าพูดมาสิรอฟังอยู่
“จำไม่ได้ถูกไหม”
ผมหัวเราะแห้งแทนคำตอบ
คุณยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่พนักงานเอาเมนูที่เราสั่งมาเสิร์ฟตรงหน้า คณณัฐหันไปขอบคุณก่อนที่จะหันมาหาผม
“เธอก็แค่พาเค้ามากินขนม ตอนนั้นน่าจะปังเย็นมั้ง” คุณพูดเช่นนั้น “แล้วเธอก็สั่งให้เลย โคตรวัดใจ ถ้าตอนนั้นเธอสั่งผิดเมนู เค้าต้องหงุดหงิดฉิบหายแน่ๆ”
“พูดคำหยาบ”
“แค่คำว่าฉิบหายเอง”
“นั่นแหละ”
“ไอ้เรื่องมาก” ผมยักไหล่ไม่คิดเถียง จริงๆ ในหัวผมเอื้อมมือไปบีบปากนั่นแล้ว แต่เป็นความคิดที่รุ่มร่ามและคงไม่อาจทำได้จริงในนาทีนี้ “แล้วจากนั้นเธอก็ให้เค้ากินแม่งทั้งหมดอ่ะ เธอสั่งมาตั้งสองถ้วย แล้วไม่ช่วยกินด้วยนะ ไปเอาความคิดว่าเค้าจะอารมณ์ดีเวลากินของหวานมาจากไหนวะ ตอนนั้นโคตรหงุดหงิด”
“อ้าว” ฉิบหาย ผมจำไม่ได้เลยว่าตอนนั้นทำอะไรไว้ ณภัทรตอนอายุยี่สิบจามแทบไม่ทันแล้วมั้งตอนนี้
“แต่—” คุณเว้นช่วงไปชั่วครู่ ก้มหน้า แล้วก็พูดออกมาเสียงเบา “ตอนที่เธอบอกว่าเอาอีกถ้วยไหม เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น เดี๋ยวเธอเลี้ยงเอง เค้าก็แบบ— ใครจะไปโกรธเธอต่อลง” คุณหัวเราะ “บ้าบอเนอะ ตอนนั้น”
ผมไม่ได้ตอบอะไร
ยิ้มแบบที่คุณยิ้ม หัวเราะแบบที่คุณหัวเราะ เห็นด้วยกับคุณทุกประการว่าตอนนั้นมันเป็นเรื่องบ้าบอและง่ายดายถึงเพียงไหน
“กินอันนี้ไหม” ผมตักบัวลอยงาดำขึ้นมาไว้บนหน้า
คุณเลิกคิ้วเพราะเมนูที่ผมสั่งเป็นหนึ่งในสองเมนูที่คุณสั่งมาด้วย ไม่ทันที่จะส่ายหน้าผมก็วางลงบนถ้วยของคุณเสียก่อน
“เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”
เหมือนคำพูดของผมจะทำให้คุณยิ้มกว้างกว่าเก่า ถึงได้เลื่อนมือมาปิดริมฝีปากของตัวเองเพราะไม่อยากให้ผมเห็น
“หลังจากนั้นเราทำอะไรต่อนะ” ผมตั้งคำถาม “ให้ทาย, เค้าพาเธอขับรถเล่นใช่ปะ” มีอะไรให้ทำไม่กี่อย่างหรอกตอนนั้นน่ะ
คุณขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
“งั้น— เดี๋ยวไปขับรถเล่นกัน” ผมว่าแบบนั้น “มอเตอร์ไซค์เหมือนเดิมนะ โอเคหรือเปล่า”
คณณัฐมองผม ลดรอยยิ้มลงนิดหน่อย “คำถามที่เค้าถามเธอ ยังไม่ตอบเลยนะ”
ผมเม้มปากแน่น
“รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เค้าคิดนะว่ามันไม่ใช่แล้วอ่ะ” คุณพูดแบบนั้น มองตรงมาที่ผม ไม่หลบตา ไม่มีการตะเบ็งเสียงหรือตะคอก ก็แค่พูด, ในแบบที่คุณรู้ว่าผมจะฟัง “เค้าไม่อยากคิดไปเองหรอกนะ”
ผมมองคำถามในตาคุณ
เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้ผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ โต้แย้งไม่ได้ อย่าคิดจะหลบหลีก – เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้เรื่องที่ผมซ่อนไว้ถูกเปิดเผยออกมาหมดเปลือกและถูกเอ่ยเอื้อนออกมา
ผมเลื่อนปลายนิ้วไปแตะปลายนิ้วของคุณ
“จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำเท่าไหร่” พูดแผ่วเบา – หรือไม่เบากันนะ – แต่เหมือนเสียงหัวใจของผมดังกลบไปหมดเลย “ถ้าเค้าจีบเธอตอนนี้ เธอจะอนุญาตไหมครับ”
คุณสบตาผม บดกลีบปากเข้าหากัน แวบเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าแววตาของคุณสั่นระริกก่อนมันจะกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือของคุณถูกดึงกลับไป – ฉิบหาย – ผมร้องตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะเห็นว่าคุณยกมือขึ้นมาริมฝีปากตัวเองเอาไว้อีกแล้ว
ผมรู้คำตอบในนาทีนั้น ก่อนที่คุณจะบ่นงึมงำเสียอีก
“ดูละครมาหรือไง โคตรเชย”
แต่คุณก็ยิ้มอยู่ดี
--------------------------------------
หายไปนานมากๆๆ ขอโทษด้วยนะคะ
โทษโปรเจ็กและงานต่างๆ ที่ทับหัวอิฉันที ;-;
จริงๆ เรื่องนี้วางพล๊อตไว้ไม่ยาวค่ะ
ตอนนั้นคิดว่าถ้ายาวจะไม่จบเอา 55555555555
เพราะงั้นบอกไว้ก่อนว่านี่ก็เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องแล้วนะคะ
เขียนฟีลกู๊ดไม่ค่อยเก่งจริงๆ เลย แง
เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
? cactus
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นเอ็นดูคุณง่ะพยายามไม่ยิ้มแหละแต่ก็ทำไม่ได้ คุณกำลังให้โอกาสแล้วนะ ณะก็อย่าทำลายโอกาสครั้งนี้ไปเองอีกล่ะ
กว่าจะพูดดด
พูดซักทีนะพี่ณะ กองเชียร์ลุ้นจนใจจะขาดแล้ว แงงง้ y—— y แต่อีพี่นี้พี่หมอจะหลุดยิ้มบ่อยมากนะคะ เชย แต่ก็ชอบไรงี้ป่ะคะ ////////
ง้อกันที่ร้านขนม? น่ารักดี หึหึ