คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : SF - S N O W M A N [JinKook]
2008.12.31 เวลา 23.50
ค่ำคืนที่ทุกคนต่างเฉลิมฉลองให้กับวันสุดท้ายของปี รอคอยที่จะนับเวลาถอยหลังเพื่อต้อนรับวันแรกของปีถัดไป ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่กลับเป็นค่ำคืนที่แสนอ้างว้างของเด็กชายวัย 12 ขวบที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของนักธุรกิจสองสามีภรรยา ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยได้ฉลองค่ำคืนแห่งความสุขนี้ร่วมกับพ่อแม่ของเขาเลย พวกท่านทั้งสองมักจะไปฉลองปาร์ตี้ส่งท้ายปีกับหุ้นส่วนของบริษัทแล้วทิ้งให้เขาอยู่บ้านตามลำพังเสมอมา
ร่างเล็กขยับลุกออกจากเตียงนอนขนาดควีนไซส์มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ พลางทอดสายตาออกไปมองบรรยากาศข้างนอกตัวบ้าน บ้านเรือนที่อยู่สองข้างทางถูกเติมแต่งด้วยไฟหลากหลายสีระยิบระยับ ตัดกับสีขาวของหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างมีตุ๊กตาหิมะตัวกลมตั้งอยู่เพียงตัวเดียว
‘คุณตุ๊กตาหิมะจะเหงาเหมือนกันไหมนะ’ ความคิดแบบเด็กๆผุดขึ้นมาในหัวสมองของเด็กชายตัวน้อย นิ้วมือเล็กยกขึ้นแตะเบาๆที่บานกระจก ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองไปยังตุ๊กตาหิมะตัวเดิม พลางนึกถึงนิทานก่อนนอนที่แม่นมเคยอ่านให้ฟัง นิทานก่อนนอนที่มีคุณนางฟ้าใจดีคอยช่วยเหลือเด็กๆ ทันทีที่นึกถึงนางฟ้าในนิทานก่อนนอน ดวงตาที่เคยโศกเศร้ากลับมีประกายแห่งความหวังเข้ามาแทนที่
‘คุณนางฟ้าใจดีของผม ถ้าคุณนางฟ้าใจดีมีอยู่จริง ช่วยทำให้ทั้งผมและคุณตุ๊กตาหิมะหายเหงาทีเถอะฮะ’ เด็กชายตัวเล็กยกมือทั้งสองของตนขึ้นมาประสานกันในระดับอก และอธิษฐานถึงนางฟ้าในใจ
เขารู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คุณนางฟ้าจะมีตัวตนอยู่จริง แม่นมบอกเขาเสมอว่า นางฟ้า มีแค่ในนิทาน ถึงแม้อาจจะฟังดูโหดร้ายสำหรับเด็ก 12 ขวบ แต่ความจริงคืออะไรเขาก็ควรต้องรู้ไว้ เด็กชายถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหมดหวัง แล้วจึงค่อยๆลืมตาขึ้น
ภาพตรงหน้าทำให้ดวงตาที่เดิมกลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างมากขึ้น ปากเล็กเปิดค้างแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ คุณตุ๊กตาหิมะที่เคยอยู่ใต้ต้นไม้นั้นหายไปไหน แล้วนั่นใครกันไปนอนอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะมีเสื้อขนสัตว์คลุมอยู่ก็ตาม แต่เวลาที่หิมะตกแบบนี้ อุณหภูมิข้างนอกก็ต่ำถึงขั้นติดลบ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใคร แต่สมองก็สั่งให้เขาวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ถูกดึงออกมาสวมใส่ โดยไม่ลืมหยิบเสื้อกันหนาวอีกตัวไปเผื่อคนที่นอนอยู่ข้างนอกนั่นด้วย
ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เด็กชายตัวเล็กรีบสาวเท้าออกจากบ้านมุ่งไปยังต้นไม้ต้นนั้นให้เร็วที่สุด ทันทีที่มาถึงใต้ต้นไม้นั้น เขาก็ทรุดตัวนั่งลงข้างร่างของใครบางคนที่นอนอยู่ ร่างตรงหน้าที่สั่นเพราะความหนาวเย็น ทำให้เด็กชายมั่นใจได้ว่า คนๆนี้ยังไม่ตาย
“คุณฮะ ตื่นสิฮะ คุณฮะ ได้ยินผมไหม” มือเล็กเขย่าร่างของคนที่นอนอยู่แรงๆ ปากก็ตะโกนเรียกอีกคนไปด้วย
“ฉัน...หนาว” ประโยคสั้นๆ เพียงหนึ่งประโยคเอ่ยออกมาจากปากของคนที่นอนอยู่อย่างยากลำบาก
“ก็แน่สิฮะ หิมะตกซะขนาดนี้ คุณลุกไหวไหมฮะ เข้าไปในบ้านผมก่อนเถอะ” เด็กชายช่วยพยุงร่างของคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้น แล้วรีบคลุมเสื้อกันหนาวที่หยิบออกมาให้คนตรงหน้าทันที แต่ด้วยความที่เขาคนนั้นมีขนาดร่างกายที่โตกว่าเด็กชายตัวเล็ก การช่วยพยุงคนที่แทบจะไม่มีสติเข้ามาในบ้านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก 12 ขวบเลย
เมื่อสามารถลากคนตัวโตกว่าเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้านได้สำเร็จ เด็กชายจึงรีบหาผ้าห่มมาคลุมให้คนแปลกหน้า เตาผิงที่ดับสนิทก็ถูกจุดเพื่อให้ความอบอุ่น อีกทั้งเขายังวิ่งไปขอร้องให้แม่นมช่วยทำโกโก้ร้อนมาให้คนแปลกหน้าคนนั้นอีกด้วย
ความอบอุ่นจากเปลวไฟในเตาผิง ความอบอุ่นจากผ้าผืนใหญ่ รวมไปถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากการดื่มโกโก้ร้อนทำให้ร่างที่เคยสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวเย็นของคนแปลกหน้า กลับคืนสู่สภาพปกติ ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ในบ้าน เงียบเสียจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“ขอบคุณนะ” คนแปลกหน้าเอ่ยขอบคุณคนตัวเล็ก พร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“อื้ม ” เด็กชายพยักหน้าเป็นเชิงรับคำขอบคุณจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ทำให้บรรยากาศในบ้านเงียบอีกครั้ง เปลวไฟจากเตาผิงสั่นไหวตามสายลมเบาๆ ก่อให้เกิดเงาจากสิ่งของต่างๆในบ้าน
ดูเหมือนชายแปลกหน้าจะไม่ชอบบรรยากาศที่เงียบจนเกือบจะวังเวงแบบนี้เท่าไหร่ เขาจึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง
“แล้ว นายมาช่วยคนแปลกหน้าแบบฉัน นายไม่กลัวว่าฉันจะเป็นคนไม่ดีเหรอ” คนแปลกหน้าเอ่ยปากถามเด็กชายที่เอาแต่เงียบ สายตาที่จ้องมองอย่างต้องการคำตอบ ถูกส่งไปให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ก็.. เอ่อ..ก็..” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความไม่เข้าใจตัวเองของร่างเล็ก หรือเป็นเพราะสายตาที่คนแปลกหน้าจ้องมองมายังเขา ทำให้คำพูดที่ควรจะไหลลื่นกลับติดขัดขึ้นมาอย่างน่าหงุดหงิด
“...”
“ก็ ผมไม่อยากเห็นใครหนาวตายต่อหน้าต่อตา พอดีผมเป็นคนมีน้ำใจ ผมก็ช่วยไว้ ก็เท่านั้น”
“หึ อย่างนั้นหรอกเหรอ” ชายแปลกหน้าแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ หลังจากนั้นบรรยากาศที่ดูเหมือนกำลังจะดีขึ้นก็แย่ลงอีกครั้ง ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมคนทั้งคู่ ชายแปลกหน้าจึงจ้องมองไปยังร่างเล็กตรงหน้าที่ตอนนี้คิ้วกำลังขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยคุยกันจ้องมอง
ความรู้สึกสับสนตีกันไปมาในหัวของร่างเล็ก ตั้งแต่ชายคนนั้นเอ่ยถามขึ้นมาว่าทำไมต้องเข้าไปช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันเป็นคำถามที่ร่างเล็กไม่สามารถหาคำตอบที่ตรงกับใจตัวเองได้เลย คำตอบที่ตอบออกไปก่อนหน้านั้น ก็แค่คำตอบที่ตอบแบบส่งๆไปเท่านั้น
เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวิ่งออกไปช่วยเหลือ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพยุงคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเรียกแม่นมมาทำโกโก้ร้อนให้ ไม่เข้าใจที่ตัวเองทำไปทั้งหมด ความรู้สึกตอนนั้นมันก็แค่ตกใจที่คุณตุ๊กตาหิมะกลายเป็นใครก็ไม่รู้ ที่นอนหนาวอยู่ตรงนั้น แค่รู้สึกว่าอยากช่วย ไม่อยากให้คนๆนั้นต้องทรมานเพราะความหนาวเย็น แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้คนๆนั้นตาย
คนร่างเล็กที่กำลังถูกดึงเข้าไปอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่ได้ยินแม้แต่คำถามของคนแปลกหน้าที่ถามออกมา กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งใบหน้าของคนแปลกหน้าก็เข้ามาใกล้จนจมูกของทั้งสองคนเกือบจะแตะกัน
“เห้ย ทำอะไรของคุณ” ร่างเล็กที่เพิ่งรู้สึกตัวอุทานออกมาอย่างตกใจ มือเล็กนั่นผลักคนแปลกหน้าให้ออกห่างตัวทันที
“ก็นายนั่นแหละ ฉันถามอยู่ตั้งหลายครั้งว่านายชื่ออะไร นายก็เอาแต่เงียบไม่ตอบ เอาแต่ขมวดคิ้วจนมันจะผูกกันเป็นโบได้อยู่แล้ว ฉันเห็นนายนิ่งไป เลยเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าช็อคตายไปแล้วหรือยัง ก็แค่นั้น” ชายแปลกหน้าอธิบายออกมาอย่างหัวเสีย อยู่ๆคนตรงหน้าก็เงียบไป เขาแค่เป็นห่วงว่าคนตัวเล็กเป็นอะไรไปหรือเปล่า
“นั่นคือคำพูดที่นาย พูดกับคนที่เพิ่งช่วยชีวิตนายอย่างนั้นหรอ” สรรพนามที่สุภาพถูกเปลี่ยนไปเพราะความโกรธ กล้าพูดได้ยังไงว่าเขาช็อคตายไปแล้ว นั่นไม่ใช่คำพูดที่สมควรพูดกับผู้มีพระคุณอย่างเขานะ หึ่ยยยยย.
“โอเค ฉันผิดเองที่ไม่ดูว่านายกำลังใช้ความคิด ฉันขอโทษแล้วกัน นายโอเคนะ” คนแปลกหน้าเอ่ยขอโทษออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“อือ แบบนี้สิ ค่อยน่าคุยขึ้นมาหน่อย แล้วนายน่ะชื่ออะไร” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นมาอย่างอยู่เหนือกว่า
“ฉันเหรอ ชื่อ คิม ซอกจิน อายุ 17 ปี อนุญาตให้นายเรียกว่าพี่จินเท่านั้นนะเด็กน้อย แล้วนายล่ะชื่ออะไร”
“ใครกันเด็กน้อย ผมโตแล้วต่างหาก” เมื่อมั่นใจว่าอีกคนอายุมากกว่าจริงๆ สรรพนามที่สุภาพก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยมีเพื่อนเพราะต้องเรียนแบบโฮมสคูลมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เรื่องกิริยามารยาทในการเข้าสังคม แม่นมก็สอนเขามาเป็นอย่างดี
“ก็นายไงเด็กน้อย ชื่ออะไรน่ะเรา” ซอกจินยักคิ้วอย่างไม่ใส่ใจอะไร
“ผมชื่อ..จองกุก จอน จองกุก”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ จอน จองกุก” ซอกจินเอ่ยขึ้น พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้เด็กน้อยอีกคน
2013.12.31 เวลา 23.50
จองกุกเด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่ยืนเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง ในหัวยังคงคิดถึงเรื่องราวของวันนี้ของ 5 ปีที่แล้ว ที่ทำให้เขาได้รู้จักใครบางคนที่เข้ามาเปลี่ยนให้คืนข้ามปีของเขาไม่เหงาเหมือนเคย ใครบางคนที่รู้สึกไว้ใจตั้งแต่ไม่รู้จักชื่อ คนที่สามารถทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้
“ตัวเล็กครับ” เสียงทุ้มและอ้อมกอดอบอุ่นที่คุ้นเคย ปลุกร่างเล็กให้หลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด
“พี่จินฮะ เข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อนล่ะฮะ” คนตัวเล็กในอ้อมกอดตีแขนของคนที่โอบกอดตนจากด้านหลังเบาๆ
“ใครบอกว่าพี่ไม่เคาะล่ะ พี่เคาะอยู่ตั้งหลายที แต่เด็กน้อยแถวนี้ก็ไม่ยอมตอบ” ซอกจินกระชับอ้อมกอดของตนให้แน่นขึ้นพลางขยับใบหน้าหล่อเหลาไปเกยไว้บนไหล่ของคนตัวเล็ก
ทันทีที่รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดเพิ่มขึ้นที่บนไหล่ ใบหน้าที่เคยขาวราวกับหิมะแรกกลับถูกแต้มด้วยแก้มสีแดงระเรื่อดูน่ารัก ซอกจินยิ้มบางๆให้กับปฏิกิริยาของร่างเล็กในอ้อมกอด แล้วจึงฉวยโอกาสสูดดมความหอมจากแก้มเนียนนั้น
“ งื้อออ พี่จิน” คนตัวเล็กรีบขยับหน้าหนีทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังถูกอีกคนฉวยโอกาสอยู่ แต่เหมือนกับเป็นการเปิดโอกาสให้คนตัวสูงได้ลวนลามมากยิ่งขึ้น ใบหน้าคมที่เคยคลอเคลียอยู่ที่แก้มเนียน ค่อยๆเคลื่อนต่ำลงมาที่คอระหงส์ จมูกโด่งซอกไซ้ไปตามซอกคอขาว
“อื้อออ พี่จิน หยุดนะ” คนตัวเล็กออกปากห้ามพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุดออกจากการจับกุมของร่างสูง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำนั้นไม่ส่งผลเลยสักนิด ในเมื่อพละกำลังของคนตัวโตมีมากกว่า อีกทั้งอ้อมแขนที่กระชับอยู่บริเวณเอวคอดนั้น ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนเชือกที่รัดไว้อย่างแน่นหนา
ร่างสูงจึงตัดสินใจหยุดการกระทำของตนลง ก่อนที่กลิ่นหอมอ่อนๆของคนในอ้อมกอดจะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมสติและการกระทำของตนเองได้ ดวงตาคมก้มลงมองร่องรอยสีกุหลาบที่ตนได้ฝากไว้บนต้นคอขาว อ้อมกอดที่กระชับแน่นถูกคลายออกให้คนตัวเล็กได้ผ่อนคลาย
ทันทีที่ได้รับอิสระจากอ้อมแขนแกร่ง จองกุกจึงรีบหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับซอกจินทันที ด้วยส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกัน ทำให้คนตัวเล็กกว่าจำเป็นต้องแหงนหน้าขึ้นมองร่างสูงอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตากลมโตที่ช้อนมองกระพริบเป็นจังหวะถี่ๆ ส่งผลให้หัวใจของซอกจินเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเด็กน้อย เดี๋ยวพี่ก็ห้ามใจไม่ได้หรอก” ไม่ว่าเปล่าสองมือแกร่งถูกยกขึ้นมาประครองใบหน้าหวานเอาไว้อย่างเบามือ นิ้วโป้งไล้เบาๆที่พวงแก้มสีชมพู แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่เข้าใจที่ร่างสูงต้องการจะสื่อเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตกลับกระพริบเป็นจังหวะที่ถี่ขึ้นพร้อมกับใบหน้าหวานที่เอียงเล็กน้อย
อุตส่าห์ห้ามใจไม่ให้ทำอะไรมากกว่านั้น แต่การที่คนตรงหน้ามาทำหน้าแบบนี้ใส่เขา ดวงตาที่กระพริบถี่ๆ พวงแก้มสีชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากแดงที่แสนหอมหวาน เขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอดทนได้ ยิ่งนึกถึงสัมผัสอ่อนหวานราวกับขนมเมื่อได้ประทับจูบลงบนริมฝีปากคนตัวเล็กแล้ว ยิ่งทำให้สติของเขาแทบแตกกระเจิง
“พี่ห้ามเราแล้วนะจองกุก” สิ้นคำของร่างสูง ไม่ทันให้คนตัวเล็กได้ทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มลงมาทันทีพร้อมกับสัมผัสอ่อนหวานที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
ซอกจินไล้ริมฝีปากหยักของตนไปตามริมฝีปากบางของอีกคนเบาๆ ก่อนจะกดน้ำหนักลงให้มากขึ้นพลางขบเม้มริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กเป็นจังหวะ สองมือแกร่งที่เคยประครองใบหน้าหวานถูกเลื่อนลงมายังบริเวณเอวคอดพร้อมกับกระชับให้คนตัวเล็กเข้ามาชิดมากยิ่งขึ้น ร่างเล็กที่รับรู้ถึงความปรารถนาจากคนรัก จึงค่อยๆเผยอปากออกช้าๆ ไม่ทันได้ตั้งตัวลิ้นร้อนของคนตัวสูงก็ถูกส่งเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานในโพรงปากเรียบร้อย มือเล็กที่เคยเกาะกุมอยู่บริเวณอกแกร่งถูกยกขึ้นมาเกี่ยวรัดรอบคอเพื่อรับสัมผัสที่หอมหวานที่ร่างสูงมอบให้แทน
หกปีที่เขาได้เข้ามาอาศัยในบ้านของคนตัวเล็ก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะจำไม่ได้ว่าตัวเองมาจากไหน แต่คนตัวเล็กก็ใจดีให้เขาอาศัยอยู่ด้วย โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนคือการที่เขาต้องสอนเปียโนให้กับคนตัวเล็ก พ่อแม่ของจองกุกก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของครอบครัวได้มีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนเสียที
แรกๆเขาก็อยู่ในฐานะของครูสอนเปียโน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หัวใจที่เคยเฉยชากับทุกสิ่งกลายเป็นเต้นแรงกับคนตัวเล็ก จากความไม่ลงรอยกันกลายเป็นความสนิทสนมและแปรเปลี่ยนเป็นความรักในที่สุด เมื่อมั่นใจในความรู้สึกของตนแล้ว เขาจึงตัดสินใจสารภาพรักกับคนตัวเล็ก และจึงได้รับรู้ว่าคนตัวเล็กก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นั่นทำให้ทั้งคู่คบหากันตั้งแต่นั้นมา
นาฬิกาที่ตีบอกเวลาเที่ยงคืน เป็นสัญญาณว่าทั้งคู่ได้ล่วงเข้าสู่ปีใหม่แล้วแต่ซอกจินก็ยังคงทำหน้ามอบสัมผัสที่อ่อนหวานและเร่าร้อนให้ร่างเล็กต่อไป มีหลายครั้งที่ต้องหยุดให้จังหวะคนตัวเล็กได้หายใจบ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหยุดให้จังหวะหายใจแก่ร่างเล็กไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ ความหวานจากคนตัวเล็กก็เหมือนยาเสพติด ยิ่งได้สัมผัสมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งหยุดได้ยากมากเท่านั้น
เสียงพลุที่ถูกจุดขึ้นเป็นเหมือนสิ่งช่วยเรียกสติคืนจากจองกุก แขนเรียวสวยที่เคยเกี่ยวโอบรอบคอของร่างสูงถูกคลายออกและเปลี่ยนมาตีที่อกแกร่งเบาๆเป็นสัญญาณให้ร่างสูงหยุด
ซอกจินที่รับรู้ถึงแรงตีจากคนตัวเล็กที่บริเวณอกจึงจำเป็นต้องถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงคลอเคลียอยู่บริเวณริมฝีปากของคนร่างเล็กที่เวลานี้บวมเจ่อจากรอยจูบของเขาเอง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าคมคายเข้าไปใกล้กกหูของอีกคน แล้วกระซิบถ้อยคำหวานให้อีกคนฟัง
“รักนะครับ ตัวเล็กของพี่”
“...”
“รักมากนะครับ รักมากๆ รักจนจะตายอยู่แล้ว”
“ อื้อออ รู้แล้วน่า” จองกุกทำได้เพียงตอบปัดไปอย่างเขินๆ
“รู้แล้ว ก็รักพี่ตอบด้วยนะครับ” รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งไปให้คนตัวเล็กอย่างเคย
“อื้อ ผมก็รักพี่จินนะฮะ รักมากๆด้วย” หลังจากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ร่างสูงต้องการฟังแล้ว จองกุกก็รีบซุกตัวในอ้อมกอดของซอกจินทันที ใบหน้าหวานซุกอยู่บริเวณอกแกร่ง สองมือก็โอบกอดเอวสอบของร่างสูงไปด้วย พลางอธิษฐานถึงใครบางคนในใจ
‘ขอบคุณคุณนางฟ้าใจดีมากนะฮะ ที่ส่งผู้ชายที่แสนดีคนนี้มาให้ผม ’
♥ Top “รักมากนะครับ รักมากๆ รักจนจะตายอยู่แล้ว – ซอกจิน ”
______________________________________________________________________________________
สวัสดีค่ะ รีดเดอร์ที่น่ารัก >/\< วันนี้ไรต์แวะมาอัพ SF ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปีใหม่มาให้อ่าน ฮ่าฮ่า นานหน่อยไม่ว่ากันเนอะ :3 รอติดตาม #ฟิคเทพี ตอนต่อไปกันด้วยนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกันเด้อ คอมเม้นให้กันซักนิด จิตแจ่มใสนะคะ ;D
ความคิดเห็น