คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : L A C H E S I S - Chapter 3
Chapter 3
ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
อาจเป็นเพราะว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงใกล้สอบของมหาวิทยาลัย ห้องสมุดที่เคยเงียบสงบกลับมีนักศึกษาจากหลายคณะมารวมตัวกันอย่างหนาตามากเป็นพิเศษ ทำให้อินจอง หญิงสาวที่มักจะคลุกตัวอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆนี้ อารมณ์เสียไม่น้อย
ปกติแล้วเธอเป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีเสมอ ไม่เคยปล่อยให้สิ่งอื่นใดมากวนใจได้ง่ายนัก แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่าเสียงพูดคุยกันจากนักศึกษาคนอื่นๆหรือเพราะเสียงของแม่ที่ยังดังก้องอยู่ในหูกันแน่ ที่ทำให้คิ้วสวยนั้นต้องผูกกันเป็นโบ
‘อินจอง มันใกล้ถึงเวลาแล้วนะ แม่อยากมาขอโทษลูกล่วงหน้า แต่แม่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว แม่ขอโทษจริงๆ ทั้งที่ทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของแม่แค่คนเดียว’คำพูดที่หลุดมาจากริมฝีปากบางเรียวซึ่งมีใบหน้าเรียวงามแต่หากเต็มไปด้วยประกายแห่งความเศร้าสร้อยของผู้เป็นแม่ยังคงก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าเธอจะสามารถสื่อสารกับแม่ของเธอได้บ่อยครั้งตามต้องการ เพียงแค่ใช้มือกุมไว้ที่จี้รูปนางฟ้าที่แขวนไว้บนสร้อยคอทองคำขาว แล้วอธิษฐานเรียกหานางฟ้าจองฮวา เท่านั้นแม่ของเธอก็จะปรากฏตัวขึ้นทันที แต่ไม่รู้ว่าในช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นแม่ ไม่ว่าอินจองจะพยายามเรียกหานางฟ้าจองฮวามากเท่าไหร่ แต่กลับดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่สามารถรับรู้เลยแม้แต่น้อย
มีเพียงแค่ยามนิทราเท่านั้น ที่ผู้เป็นแม่จะปรากฏตัวให้เห็นในความฝัน แต่ทุกๆครั้งที่จองฮวาปรากฏตัว อินจองก็ทำได้เพียงแค่รับฟังในสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอกได้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเอื้อนถามในสิ่งที่สงสัยได้เลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่พยายามเปร่งเสียงออกมานั้นกลับพบว่าความพยายามนั้นสูญเปล่า
อินจองส่ายหัวไปมาราวกับกำลังขับไล่ให้ความคิดที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในภวังค์กระเด็นหลุดออกจากหัวสมอง สองมือเรียวเก็บสิ่งของต่างๆที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือใบงามไว้ในมือแล้วก้าวออกจากห้องสมุดไป
.
“อเมริกาโน่เย็นแก้วหนึ่งค่ะ”
“อเมริกาโน่เย็นแก้วหนึ่งครับ”
หลังจากหญิงสาวหลบหนีความวุ่นวายจากห้องสมุดเพื่อมาผ่อนคลายสมองที่ร้านกาแฟร้านประจำแต่นั่นกลับไม่เป็นไม่อย่างที่คิด หนำซ้ำยังมีเรื่องที่ทำให้รำคาญใจเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
ไม่รู้เหมือนกันว่า แค่การที่มีคนสั่งเมนูเหมือนกับเธอ ในเวลาพร้อมกันถึงทำให้ อินจองหงุดหงิดใจได้ขนาดนั้น หญิงสาวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เหมือนกัน
อินจองหันหลังกลับไปเพื่อจะมองเจ้าของเสียงที่สั่งเมนูพร้อมกันกับเธอ แต่ด้วยความสูงของอีกคนหนึ่งสิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นแผ่นไหล่หนากว้างของชายหนุ่มซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆของกาแฟติดตัวลอยออกมา หญิงสาวจึงต้องก้าวถอยหลังออกไปจนแผ่นหลังเกือบติดบาร์กาแฟเพื่อเงยหน้ามองใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับถูกรังสรรค์จากเทพเจ้ากอปรกับดวงตาที่ค่อนข้างลึกลับแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ทำให้ลมหายใจที่เคยเข้าออกตามปรกติ ติดขัดเสียดื้อๆ หญิงสาวอดยอมรับไม่ได้จริงๆว่า ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์มากจริงๆ
ขณะเดียวกันชายหนุ่มผู้นี้ก็ได้ก้มลงเพื่อมองหญิงสาวตรงหน้าเช่นกัน ผมสีน้ำตาลอ่อน ดัดลอนเบาๆเข้ากับใบหน้าหวาน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลาแต่ค่อนข้างหม่นแสงคล้ายกับง่วงงุนเต็มที กลับดูคุ้นตาเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหน แต่ชายหนุ่มพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“คุณครับ อเมริกาโน่ได้แล้วครับ” เสียงของบาริสต้าเรียกให้คนทั้งสองหลุดออกจากภวังค์ความคิด อินจองเป็นคนแรกที่หลบสายตากลับมาที่เดิม มือเรียวสวยวางเงินค่ากาแฟไว้บนบาร์ก่อนจะหยิบแก้วพลาสติกที่บรรจุเครื่องดื่มสีน้ำตาลเข้มเดินออกจากร้านไป ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาวที่เดินออกไปจนสุดสายตา แล้วจึงหันกลับมาจัดการกับเครื่องดื่มที่วางอยู่ตรงหน้าและเดินออกจากร้านเพื่อไปทำธุระของตนต่อ
ณ โรงละครของมหาวิทยาลัย
“อ่า ซอกจินมาแล้ววว ซอกจินพระเอกของเรามาแล้ว TT” นั่นคือเสียงอวดครวญของมินยุนกิ จากคณะการละครเอกกำกับดังขึ้นทันทีที่เห็นซอกจินเดินเข้ามา
“ขอโทษที่สายไปห้านาที”
“ไม่เป็นไรๆ นี่เรากำลังเซตฉากกันอยู่เลย เดี๋ยวยังไงซอกจินลองไปทำความรู้จักกับนักแสดงคนอื่นๆก่อนนะ” เมื่อยุนกิพูดจบก็รีบกุลีกุจอพาซอกจินไปยังฝ่ายคอสตูม
“นี่ไงนางเอกของเรา ชื่ออินจอง อินจองนี่ซอกจินนะ เป็นพระเอกของเรื่อง”ดูท่าทางยุนกิจะวุ่นวายชอบกล แต่ก็นะเพราะกว่าเขาจะให้เพื่อนไปขอร้องให้สองคนนี้มาเล่นหนังสั้นให้เขาได้มันช่างยากเย็นนัก
“คุณ”
“เธอ”
ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกันทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย มินยูนกิหันมองคนทั้งสองไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“อ่าวนี่เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ ดีแล้วจะได้เข้าฉากกันง่ายๆหน่อย”
“เปล่าหรอก เพิ่งเจอกันที่ร้านกาแฟน่ะ” และเป็นซอกจินที่เป็นคนตอบคำถามของมินยุนกิ
“งั้นหรอกเหรอ”
“อื้ม”
“งั้นทั้งสองคนทำความรู้จักกันไว้เลยนะ เพราะต้องเล่นคู่กัน เดี๋ยวยุนกิของไปดูนักแสดงคนอื่นๆก่อนนะ ตามสบายจ้า”
“อืม โชคดี” ร่างสูงหยักไหล่ให้กับเพื่อนตัวขาวเป็นเชิงว่าตามสบายเถอะ มินยุนกิจึงพยักหน้าเบาๆเพื่อตอบรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากที่ตรงนี้
ทันทีที่ไร้ร่องรอยของมินยุนกิ บรรยากาศรอบๆตัวของซอกจินและอินจองกลับเงียบลงทันที
“คุณชื่ออะไรนะคะ พอดีเมื่อกี้ฉันไม่ทันฟัง” และเป็นหญิงสาวที่เป็นคนเปิดปากออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบนั้น
“ผมคิมซอกจิน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ร่างสูงกล่าวแนะนำตัวกับหญิงสาว พร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นไปให้
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
โรงเรียนมัธยมของจอนจองกุก
ทุกครั้งที่คิดถึงดวงตาคมที่อยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีชาของชายหนุ่มผู้นั้น คิดถึงรอยยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจยิ้มก็ตาม จองกุกก็มักจะลืมสิ่งที่อยู่รอบตัวไปชั่วขณะ และปล่อยให้ตัวเองหลุดเข้าไปสู่ภวังค์ความคิดของตนอย่างง่ายดาย ละทิ้งความสนใจในทุกๆสิ่งที่กำลังทำอยู่ รวมไปถึงเพื่อนคนสนิทอย่างแทฮยองด้วย
เมื่อคาบเรียน วิชาคณิตศาสตร์
“จองกุกอ่า ข้อนี้ทำแบบนี้ใช่ไหมอ่ะ ช่วยฉันดูหน่อยสิ”
“…”
คาบเรียน วิชาวิทยาศาสตร์
“จองกุกอ่า ฟีนอฟทาลีนเปลี่ยนเป็นสีชมพูแล้ว งั้นแสดงว่าตอนนี้สารเริ่มเป็นเบสแล้วใช่ไหม”
“…”
คาบเรียน วิชาสังคมศึกษา
“จองกุกอ่า ทำไมถึงต้องแยกประเภทของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆด้วยล่ะ”
“…”
ตลอดทั้งวัน แทฮยอง พยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนคนสนิท แต่ดูเหมือนว่า ความพยายามของเด็กหนุ่มจะสูญเปล่า ไม่ว่าจะพยายามหาเรื่องมาชวนคุยมากแค่ไหน พยายามหาอาหารที่จองกุกชอบมาให้ทาน เด็กหนุ่มก็มักจะได้รับการเมินเฉยจากอีกคนเป็นปฏิกิริยาตอบกลับมาทุกครั้ง และเป็นแบบนี้มาตลอดทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ช่วงเวลาใกล้เลิกเรียนแบบนี้
เมื่อเห็นว่า เป็นวิชาเรียนวิชาสุดท้ายของวัน ด้วยความที่กังวลว่าเพื่อนคนสนิทจะเหม่อลอยจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทาง แทฮยองจึงอาสาจะไปส่งจองกุกที่บ้าน
“จองกุกอ่า วันนี้นายกลับยังไงเหรอ”
“…”
“พี่อินจองมารับนายหรือเปล่า ถ้าพี่อินจองไม่สะดวก กลับพร้อมกันกับฉันก็ได้นะ”
“…”
ความหวังดีที่เคยมีอยู่ในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตนกำลังพูดอยู่แม้แต่น้อย แทฮยองคนที่มักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอจึงอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อเพื่อนสนิทด้วยความน้อยใจ
“ทำไมไม่ยอมตอบอะไรเลยล่ะ จองกุก”
“…”
“นายเป็นอะไรของนาย ไม่สนใจกันเลยงั้นเหรอ” อีกครั้งที่ความน้อยใจถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและเสียใจ แทฮยองเอ่ยประโยคตัดพ้อนั้นออกมา ก่อนจะลุกขึ้นดันโต๊ะเรียนให้ออกจากตัว แล้วเดินออกห้องเรียนไปโดยไม่สนใจครูที่กำลังสอนหนังสืออยู่หน้าห้องแม้แต่น้อย
“คิม แทฮยอง นั่นนายจะไปไหน กลับมาเรียนวิชาของฉันเดี๋ยวนี้นะ” ครูสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง ตะโกนปาวๆเรียกให้ชายหนุ่มกลับเข้ามาเรียนในวิชาเรียนของตน แต่แทฮยองก็ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของครูสาวเลย สองขายาวยังคงสาวไปอย่างต่อเนื่อง
“จอนจองกุก”
“…”
“จอนจองกุก เพื่อนเธอเป็นอะไร ออกไปตามเขาหน่อยสิ”
“…”
แม้แต่ครูสาวเองก็ไม่สามารถเรียกจอนจองกุกให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดได้ เธอดูเหมือนจะหมดความอดทนต่อท่าทีที่เฉยชาของจองกุก จึงตวาดออกไปพร้อมกับฟาดไม้เรียวในมือให้กระทบกับโต๊ะเรียนเป็นการเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มคนนี้
“นี่ ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้ ว่าแทฮยองเป็นอะไร”
“หะ อะไรนะครับครู”
“ฉันถามว่า แทฮยองเพื่อนเธอน่ะเป็นอะไร อยู่ๆก็หุนหันพลันแล่นวิ่งออกห้องไป ไปตามเขาให้กลับมาเข้าเรียนทีสิ”
“อ่ะ อ๋อครับ ได้ครับครู เดี๋ยวผมออกไปหาแทฮยองเอง ครูไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
ทันทีที่จับประเด็นสำคัญที่ครูสาวบอกได้นั้น เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียนไปทันที สองเท้าสาวเป็นจังหวะอย่างรีบเร่งเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง
ทุกครั้งที่แทฮยองอารมณ์เสียหรือมีเรื่องให้ไม่สบายใจ แทฮยองก็มักจะมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนดอกไม้หลังโรงเรียนเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะตามหาแทฮยองให้พบ
เมื่อถึงสวนดอกไม้หลังโรงเรียน จองกุกจึงหยุดวิ่งและค่อยๆเดินเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่คุ้นเคย ทันทีที่สามารถมองเห็นโต๊ะตัวเดิมที่อยู่ใต้ต้นไม้ ที่มีร่างของเพื่อนสนิทนั่งอยู่ จองกุกจึงค่อยๆเดินเข้าไปหา และหย่อนตัวนั่งลงยังที่นั่งข้างๆที่ว่างอยู่
แทฮยอง เมื่อเห็นว่าที่นั่งข้างตนที่เคยว่างเปล่านั้นถูกใครบางคนมาแทนที่ เด็กหนุ่มก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะทันที แต่ก็ช้ากว่ามือของอีกคนที่คว้าไว้ และยังถูกดึงให้นั่งลงที่เดิมอีกด้วย
“นาย เป็นอะไรเหรอแทฮยอง” จองกุกเป็นคนเริ่มบทสนทนาทันทีที่คนข้างๆนั่งนิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมือที่จับอยู่ที่ข้อมือของอีกคนก็ไม่ได้ปล่อย
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากแทฮยอง นั่นยิ่งทำให้จองกุกหน้าเสียมากขึ้น ไม่บ่อยเลยที่แทฮยองจะตั้งใจเมินจองกุก นอกเสียจากเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเท่านั้น
“นายอย่าเงียบแบบนี้สิแทฮยอง ตอบฉันมานะว่านายเป็นอะไร”
“…”
“แทฮยองนายเป็นอะไร ตอบสิ !!” จองกุกถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น มือที่จับข้อมือของเพื่อนสนิทก็เขย่าไปมา แต่ถึงอย่างนั้นแทฮยองก็ยังคงเงียบ และไม่หันมาสบตากับจองกุกเลยแม้แต่น้อย
“แทฮยอง ฮึก นาย ฮึก เป็นอะไร”
น้ำหยดใสที่คลออยู่บริเวณหน่วยตาค่อยๆไหลลงมาตามใบหน้าสวย แม้จะพยายามห้ามไม่ให้มันไหลออกมา แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่ฟังในสิ่งที่สมองสั่งเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตสะท้อนประกายแวววับของหยดน้ำที่คลออยู่ ลมหายใจที่เคยปกติ ต้องติดขัดไปเพราะอาการคัดจมูก
ทันทีที่สัมผัสได้ว่าเพื่อนที่ตามมาง้อข้างๆกำลังร้องไห้ แทฮยองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ยิ่งเผลอสบเข้าดวงตากลมโตที่แดงระเรื่อเพราะน้ำตา ยิ่งทำให้ความโกรธและความเสียใจที่เคยมีหายไปเสียหมดสิ้น
มืออีกข้างที่ว่างจากการจับกุมค่อยๆยกขึ้นมาหาคนที่กำลังร้องไห้ นิ้วมือเรียวสวยค่อยๆบรรจงเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลตามใบหน้าของอีกคน ก่อนจะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบโยน
“นาย ฮึก หายโกรธฉันแล้วใช่ไหม” จองกุกค่อยๆปล่อยให้ข้อมือของแทฮยองที่เคยจับไว้ให้เป็นอิสระ เด็กหนุ่มยกสองแขนขึ้นมากระชับกอดเพื่อนตัวสูงทันที
“อื้ม” ถึงแม้จะตอบกลับด้วยคำสั้นๆ แต่สองแขนที่กำลังกอดคนตรงหน้ากลับกระชับแน่นมากขึ้น มือเรียวถูกยกขึ้นมาลูบหัวทุยของคนในอ้อมกอดเบาๆ
“ฮึก อย่าเป็นแบบนี้อีกนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะว่า สำหรับฉันแล้ว ฮึก นายคือคนสำคัญที่สุด ฮึก เพียงคนเดียวในโรงเรียน”
ทันทีที่แทฮยองได้ยินคำตอบจากคนในอ้อมกอด รอยยิ้มกว้างก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย ต่อให้โกรธมากแค่ไหนก็หายได้ง่ายเพียงเพราะประโยคเมื่อครู่ของเพื่อนตัวเล็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะแกล้งอีกคนเล่นไม่ได้
“ก็นายไม่ยอมสนใจฉันหนิ”
“ฮึก ฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อยเอง”
“เพราะฉันไม่สำคัญต่างหาก นายเลยไม่สนใจ”
“ไม่นะ ฮึก สำหรับจอนจองกุกแล้ว คิมแทฮยองสำคัญเสมอ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังส่ายหน้าที่ซุกอยู่ที่อกของอีกคนไปมาอย่างออดอ้อน
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้กับแค่การที่อีกคนไม่ยอมตอบคำถาม ทำไมต้องลงทุนมาง้อถึงที่ ทำไมไม่ปฏิเสธอ้อมกอดอบอุ่นของแทฮยอง จองกุกเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ระหว่างเขากับแทฮยองนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ รู้แค่ว่าอีกฝ่ายคือคนที่สำคัญคนหนึ่งในชีวิต และจอนจองกุกจะรักษาไว้จนตาย
“กลับบ้านกันเถอะเด็กน้อย เดี๋ยวฮยองคนนี้จะไปส่งนายเอง” แทฮยองที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ คลายอ้อมกอดของตนออก ก่อนจะวางมือไว้บนหัวของคนตัวเล็กกว่า
“อื้มม กลับบ้านกัน ”
“เห คราวนี้ยอมให้ฉันเป็นฮยองแล้วเหรอเนี้ย”
“แค่วันนี้เท่านั้นแหละน่า”
เด็กหนุ่มสองคนที่ปรับความเข้าใจกันแล้ว กอดคอกันเดินออกจากสวนดอกไม้แสนงดงามนี้ไปโดยไม่หันหลังมามองอะไรทั้งสิ้น เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ เรียกรอยยิ้มจากผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
กว่าจะปรับความเข้าใจกันได้เวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงเลิกเรียนแล้ว แทฮยองจึงตัดสินใจเดินไปส่งจองกุกที่รถของอินจองที่จอดไว้ยังอีกฝากถนนหนึ่งของโรงเรียน ก่อนจะกลับมายังรถที่มารับตนกลับบ้าน
เมื่อมาถึงรถคันคุ้นตา มือเรียวก็เปิดประตูรถออกพร้อมกับกล่าวทักทายคนที่อยู่ในรถ
“สวัสดีครับซอกจินฮยอง” เด็กหนุ่มทักทายผู้เป็นพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อื้ออ สวัสดี เมื่อกี้ใครกันน่ะแทฮยอง”
“คนที่ผมเดินไปส่งที่รถน่ะเหรอครับ”
“อื้ม คนนั้นแหละ เพื่อนของนายเหรอ”
“อ๋อ คนนั้น คนสำคัญน่ะครับ” แทฮยองตอบคำถามของผู้เป็นพี่อย่างยิ้มๆ แล้วจึงค่อยๆหลับตาลงกดตัวเองให้จ่มดิ่งในห้วงนิทรา
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของซอกจินหายไปทันทีที่ได้ยินคำตอบจากคนเป็นน้อง ดวงตาคมสั่นหวูบไปชั่วขณะ ไม่จริงน่า นี่เขาแอบหลงรักคนสำคัญของน้องตัวเองงั้นเหรอ
Top ♥ - “สำหรับจอนจองกุกแล้ว คิมแทฮยองสำคัญเสมอ – จองกุก”
มาต่อให้แล้วนะรีดเดอร์ กรี๊ดดดด อย่าเพิ่งเกลียดเค้านะคะ T^T เป็นยังไงล่ะ มาอัพตอนนี้แม่ยกจินกุกใจสลายเปล่าค่ะ คิคิ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของวีกุก ไหนจะจินวี ที่เป็นพี่น้องกันอีก ต้องติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณ เพื่อนสาวชื่อเสียงเรียงนามว่า นางสาว ก ที่อุตส่าห์ช่วยคิดสถาณการณ์ ฮี่ฮี่ รักนางนะ ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ตามอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เม้นด้วยน้า >< เนื้อเรื่องอาจจะเดิมเนินไปช้าบ้าง แต่หลังจากนี้มันจะค่อยๆเข้มข้นขึ้นแล้วค่ะ มาติดตามความสัมพันธ์อันซับซ้อนของตัวละครกันต่อในตอนหน้านะคะ ฝากติดแท็ก #ฟิคเทพี ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ (กราบบบบ).
ความคิดเห็น