[SK Fic]Sanctity Knight - [SK Fic]Sanctity Knight นิยาย [SK Fic]Sanctity Knight : Dek-D.com - Writer

    [SK Fic]Sanctity Knight

    แฟนฟิคจากเรื่องแซงทิตี้ไนท์ของท่านพี่ฟิ้นค่า >_< เห็นคนอื่นเปิดแล้วก็อยากเปิดบ้าง

    ผู้เข้าชมรวม

    1,194

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    1.19K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    28
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ต.ค. 57 / 00:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เป็นฟิคที่แต่งตอนพี่ฟิ้นลง odd day ใหม่ๆค่ะ
    ไม่มีของลีกะท่านอิงเพราะคิดไม่ออกง่ะ แต่ถ้าแต่งได้เมื่อไหร่จะเอามาลงให้นะค้า
    ติชมได้ตามสบายเลยค่า


    。SYDNEY♔
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Diwdrof Version

      'ในนามของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ขอยอมรับท่านดิวดร็อฟ เออริแกรนเป็นแซงทิตี้ไนท์คนใหม่นับแต่เวลานี้'

      สิ้นเสียงกล่าว เสียงตอบรับที่ดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มก็ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ แผ่นไม้สีแดงเลือดหมูแปรเปลี่ยนเป็นโลหะสีทองแดง ปรากฏลวดลายสีทองอร่ามตวัดเป็นรูปคถาและปีกที่ถูกครอบด้วยมงกุฎอย่างสวยงาม เข้าพันเกี่ยวรอบนิ้วหัวแม่มือข้างขวา ร้อนวาบจนต้องสะบัดมือขึ้นเหนือหัว แสงสว่างเจิดจ้าแผ่ออกไปทั่วสารทิศพร้อมเสียงแซ่ซ้องของประชาชนที่รอคอยแซงทิตี้ไนท์คนใหม่

      "ยินดีต้อนรับ ท่านแซงทิตี้ไนท์สู่เบอร์เรี่ยนขอรับ"เสียงทุ้มหวานเอ่ยคำต้อนรับ รอยยิ้มงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย หัวใจข้ากระตุกวูบ คล้ายกับว่ามันจะไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของข้ากับเขา ไซรีทัส เฟิร์สฟรายอิ้ง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเบอร์เรี่ยน...

       

       
       

      แสงสีทองสว่างเบื้องหน้าทำให้หัวใจข้ากระตุกวูบ ในอกมันตื้อไปหมด ทำใจไม่ได้ จนริมฝีปากเผลอเอื้อนเอ่ยอย่างขับไล่ไสส่ง ทั้งๆที่ในจิตใจข้าอยากจะตะโกนให้ก้องว่า อย่าไป!

      "จริงสิ จากกันวันนี้ ข้ากับท่านคงไม่เจอกันอีกแล้วล่ะ"

      "ลืมไปรึเปล่า ข้าเป็นมนุษย์นะ เวลาเป็นร้อยปีข้าคงกลายเป็นปุ๋ยไปเสียแล้ว ท่านกลับลงมาก็เจอแซงทิตี้ไนท์คนใหม่แล้วล่ะ"

      กลั้นใจเอื้อนเอ่ยออกไป เอ่ยคำลาได้อย่างง่ายดาย ตีสีหน้ายิ้มแย้มให้เห็นว่าข้าไม่เป็นอะไร ทั้งที่ในใจข้าอยากจะฉุดรั้งเจ้าเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า อย่าไปได้ไหม

       

      ดวงตาสีทองเบิกกว้างอย่างตกตะลึง คงจะหลงลืมไปว่า...ข้าที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

       

      ใบหน้าสวยหวานหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากเม้มแน่น กายบางสั่นน้อยๆราวกับจะร้องไห้

      ดวงใจข้ากระตุกวูบเมื่อเห็นรอยยิ้มงามที่ข้าหลงรักได้เลือนหายไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ข้าอย่างเว้าวอน

       

      ยิ้มให้ข้าเถอะนะไซรีทัส...

      ข้าอยากเห็นรอยยิ้มงามของเจ้ามากกว่าน้ำตานั่น ยิ้มให้ข้าหน่อยสิไซรีทัส...

       

      "ดิวดร็อฟ หากท่านเกิดใหม่ ได้โปรดเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีช่วงชีวิตยาวนานกว่ามนุษย์ด้วยเถอะ...ข้าขอร้อง"น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าจนข้าอยากจะรวบอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นๆ แต่ข้าก็ไม่ได้ทำ..

       

      ทั้งๆที่มันเป็นครั้งสุดท้าย...ที่ข้าจะได้มองหน้าอีกฝ่ายเช่นนี้

       

      การเปลี่ยนใจชาวสวรรค์ทั้งหมดนั้นจะใช้เวลาอีกนานเท่าไรข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ อีกสิบปี ยี่สิบปี หรืออีกร้อยปี สองร้อยปี

      หากยังคงมีชีวิตอยู่ ข้าก็อาจจะมีโอกาสได้เจอเจ้าอีกสักครั้ง ทว่าชีวิตของข้านั้นได้หมดสิ้นลงแล้ว หมดสิ้นลง เมื่อสงครามอันยาวนานนั้นจบสิ้น

       

      ข้าไม่อาจอยู่เฝ้าดู...ความสำเร็จของไซรีทัสได้อีกแล้ว ไม่อาจเห็นหน้า ไม่อาจได้ยินเสียง ไม่อาจสัมผัสผิวกาย ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกต่อไป...

       

      "ท่านไซรีทัส ได้เวลาแล้วครับ"มืออุ่นผละจากมือของข้าช้าๆ สัมผัสของปลายนิ้วที่ผละจากทำให้ข้าใจหาย

      ดวงตาข้าไหววูบเมื่อมองเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลาจาก ทว่าข้าก็ทำได้เพียงกล่าวคำลาและอวยพรให้อีกฝ่ายโชคดี ทั้งๆที่ข้าอยากจะทำมากกว่านั้น อยากกอด อยากจูบ อยากฉุดรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ให้จากไปไหน มือขาวเรียวที่กุมมือของข้าไว้มันช่างอบอุ่นเสียจนไม่อยากจะผละจาก แต่มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...

       

      ไซรีทัส... ไซรีทัส... ไซรีทัส...

       

      ข้าสูดลมหายใจ กลั้นใจคลี่ยิ้มงามส่งลาอีกฝ่าย ในดวงตาข้าสะท้อนเพียงภาพของท่านวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหายลับเข้าไปในทางเชื่อมต่อระหว่างภพ

       

      อย่าไปเลยนะไซรีทัส... อย่าไป...

      ข้าคิดอ้อนวอนอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นไซรีทัสหายลับเข้าไปในทางเชื่อมต่อระหว่างภพ แม้ข้าจะรู้ดีว่าสักวันก็จำต้องจากลา ทว่าข้าก็ยังหวัง ให้ช่วงเวลาระหว่างเรามันยาวนานมากกว่านี้ ให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้านานกว่านี้

       

      ดวงแสงสีทองกลืนร่างของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเบอร์เรี่ยนเข้าไป จนไม่เหลือสิ่งใดอยู่ภายนอกวิหารอีก...

       

      ในอกวูบโหวงอย่างน่าประหลาดคล้ายกับบางสิ่งที่สำคัญมากได้ขาดหายไป... หายไปจากข้าตลอดกาล...

      บางที...นี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็ได้สำหรับข้า เซ็นไนท์จะยื้อชีวิตข้าได้อีกนานเท่าไรข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ และข้าก็ไม่อยากจะเห็น...น้ำตาของไซรีทัสในวาระสุดท้ายเมื่อข้าต้องลาจากโลกใบนี้ไป

      'ดิวดร็อฟ หากท่านเกิดใหม่ ได้โปรดเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีช่วงชีวิตยาวนานกว่ามนุษย์ด้วยเถอะ...ข้าขอร้อง'

       

      ช่วยข้าหน่อยเถอะนะเซ็นไนท์...

       

      หากเซ็นไนท์เป็นผู้นำพาให้ข้าได้พบเจอกับไซรีทัส ข้าก็อยากจะขอร้อง ให้ข้าได้กลับไปยืนที่ตรงนั้นอีกครั้ง กลับไปยืนเคียงข้างไซรีทัส

      ข้าจะรอคอยวันนั้น...วันที่ข้าจะได้พบกับเจ้าอีกครั้ง ไซรีทัส เฟิร์สฟรายอิ้ง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่รักของข้า



      Zyretus Version

       

      "จะไปไหนก็ไปๆซะ ไม่ต้องมาแขวะข้ามากนักก็ได้"เขาโบกมือไล่ข้าราวกับรำคาญเสียเต็มประดา ทั้งๆที่ข้ารู้ ว่าเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆ ทว่ามันก็อดน้อยใจไม่ได้

      "จริงสิ จากกันวันนี้ ข้ากับท่านคงไม่เจอกันอีกแล้วล่ะ"

      "ลืมไปรึเปล่า ข้าเป็นมนุษย์นะ เวลาเป็นร้อยปีข้าคงกลายเป็นปุ๋ยไปเสียแล้ว ท่านกลับลงมาก็เจอแซงทิตี้ไนท์คนใหม่แล้วล่ะ"

       

      มนุษย์...ชีวิตที่ช่างแสนสั้น เพราะผ่านความยากลำบากหลายๆอย่างมาด้วยกัน ทำให้ข้าเผลอลืมไปว่า อีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์เท่านั้น...

       

      เช่นนั้นในห้วงเวลาอันยาวนานต่อจากนี้ ข้าก็จะไม่มีท่านเคียงข้างอีกแล้วหรือ...ต่อจากนี้อีกนับสิบนับร้อยปีก็จะไม่มีท่านอีกแล้วจริงๆหรือ...ท่านดิวดร็อฟ

      ในอกวูบโหวงอย่างน่าประหลาดเมื่อรับรู้ได้ว่าต่อจากนี้จะไม่มีดิวดร็อฟ เออริแกรนตัวป่วนให้เห็นอีกต่อไปแล้ว จะไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีความคิดน่าบูรณะที่เป็นเอกลักษณ์นั่นอีกต่อไปแล้ว...

      "...แต่ยังไงก็พยายามเข้าละกัน ข้าจะเอาใจช่วยจากแดนมนุษย์แห่งนี้..."รอยยิ้มงามประดับขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตัว ข้าเหม่อมองรอยยิ้มนั้นราวกับต้องการจะประทับมันให้ติดแน่นอยู่ในหัว

      "ดิวดร็อฟ หากท่านเกิดใหม่ ได้โปรดเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีช่วงชีวิตยาวนานกว่ามนุษย์ด้วยเถอะ...ข้าขอร้อง"ข้าเคยคิดว่าโชคชะตานำพาให้เรามาพบกับ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าก็อยากจะขอเพียงข้อเดียว...หากโชคชะตานำพาให้เรามาพบกัน ได้โปรด นำพาเขากลับมาหาข้าอีกครั้ง และอย่าพรากเขาไปอีกเลย...

      "...ขอพรแห่งพสุธาจงเมตตาท่าน"แสงสีเงินเส้นน้อยลอยเข้ามาในร่างข้า มันอบอุ่น จนทำให้ข้าแทบหลั่งน้ำตา ราวกับเขายังอยู่กับข้า ไม่จากไปไหน...

      ข้าก้าวไปยังทางเชื่อมภพอย่างช้าๆ หากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้เพียงเท่านี้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

      ข้าหันกลับไปมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งดวงตา สีผม ใบหน้า ริมฝีปาก ทุกสิ่งที่เป็นตัวเขาข้าจำได้ไม่เคยลืม และมันยังคงประทับแน่นอยู่ในหัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอะเจอกัน...

      .................................................................

      ชีวิตมนุษย์ช่างสั้นนัก เพียงสี่ปีที่ข้าอยู่บนสวรรค์ ข้าก็ได้ข่าวการจากไปของแซงทิตี้ไนท์ เซ็นไนท์สลายไป พร้อมๆกับร่างอุ่นๆของท่านดิวดร็อฟที่กลายเป็นเย็นชืด

       

      แต่แม้ในวาระสุดท้าย ข้าก็ไม่อาจไปพบหน้าเขาได้...

       

      ลีฮีเตอร์มาหาข้า เล่าถึงวาระสุดท้ายของเขาให้ฟัง เพราะลีฮีเตอร์เป็นคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั่นเป็นครั้งสุดท้าย...

       

      ดีแล้วล่ะ...ดีแล้วที่ท่านไม่ได้จากไปทรมาณ แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิต ก็ราวกับเพียงแค่หลับไปเท่านั้น หลับไป...ตลอดกาล...

       

      ในหัวว่างเปล่า มันขาวโพลนไปหมด ทำได้เพียงปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงมาช้าๆ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นเช็ด ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้วว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึงในสักวัน แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี...

      ข้าเงยหน้ามองลีฮีเตอร์ ดวงตาของอีกฝ่ายยังคงแดงช้ำ รับรู้ว่าเขาเองก็เสียใจไม่ต่างจากข้า เพราะทั้งเขาและข้า ต่างก็'หลงรัก'คนๆเดียวกัน หลงรักในรอยยิ้ม หลงรักในเสียงหัวเราะ หลงรักในความต้องการที่จะปกป้องของดิวดร็อฟ เออริแกรน...ปาฏิหารย์สีเงินที่น่าตกตะลึงดวงนั้น...

      ชีวิตที่เหลืออยู่มันช่างทรมาณ วันคืนผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ข้าใช้เวลาทั้งวันกับการทำตัวให้ยุ่งเพื่อที่ข้าอาจจะได้ลืมๆไปบ้างว่าท่านดิวดร็อฟไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว ข้ายิ้ม ทว่ามันกลับเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งสิ้นดี ข้าไม่อาจยิ้มจากใจจริงได้อีกเมื่อเขาได้จากข้าไป ลีฮีเตอร์เองก็ไม่ต่างกัน ทว่าเขาใช้ความเย็นชาเพื่อปกปิดสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน

      เวลาผ่านพ้นไปกว่าร้อยปี สิ่งที่ข้าสัญญากับเขาไว้ก็สัมฤทธิ์ผล ข้าเปลี่ยนความคิดของชาวสวรรค์ต่อแดนมนุษย์ได้ ข้าลงมายังแดนมนุษย์ได้

      สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ ช่อดอกไม้ในมือขยับไหวไปตามลม ข้าวางมันลงบนแผ่นหินเบื้องหน้า สุสาน...ที่ท่านอิงเรมทำขึ้น สุสาน...ของดิวดร็อฟ เออริแกรน

      ราวกับเป็นเครื่องยืนยัน ที่ทำให้รู้ว่าตัวตนของท่านดิวดร็อฟนั้นเป็นเพียงอดีตเท่านั้น เป็นเพียงอดีต...ที่ไม่อาจจับต้อง ต่อให้คิดคำนึงถึงสักเท่าไร ก็ทำได้เพียงเท่านั้น ทำได้เพียงทรมาณ กับตัวตนที่ไม่อาจสัมผัสได้อีกต่อไป...

      "อย่ากัดเขาสิ นี่หยุด หยุดสิ DD!"เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยดังมาตามสายลม ก่อนที่เจ้าของชื่อจะปรากฏแก่สายตาข้า ลูกมังกรสีเงิน และมีตาสีอะเมทิสต์เหมือนกับเขาคนนั้น

      เจ้าตัวเล็กบินมาเกาะบนป้ายสุสาน ดวงตากลมโตจ้องมองข้าพลางเอียงคอสงสัย คล้ายกับเกล็ดสีเงินวาวนั้นจะสะท้อนแสงจนข้าแสบตา เพราะหยาดน้ำตาที่เหือดแห้งไปนานของข้ามันกลับมาไหลรินอีกครั้ง เสียงนุ่มๆของท่านอิงเรมที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทีสบายๆทำให้ข้ายิ้มกว้างทั้งๆที่ยังหลั่งน้ำตา

      "ทักทายเขาหน่อยสิไซรีทัส เขาอุตส่าห์กลับมาแล้วนะ ถึงจะใช้เวลานานไปหน่อยก็เถอะ"มือข้ายื่นไปเบื้องหน้า สัมผัสเบาๆกับขาหน้าเล็กๆที่ยื่นออกมาราวกับจะทักทาย

       

      หากนี่เป็นความฝัน ข้าก็อยากจะขอให้ตนเองหลับฝันตลอดไป ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย...ทว่าสัมผัสอุ่นๆที่ปลายนิ้วยืนยันกับข้า ว่าภาพเบื้องหน้าไม่ใช่เพียงภาพฝันที่ข้าปั้นมันขึ้นมา ทว่าเป็นความจริงที่ต่อจากนี้ข้าต้องอยู่ร่วมกับมันอีกครั้ง

       

      ในอกรู้สึกตื้อขึ้นมา ราวกับมีบางสิ่งเข้ามาเติมเต็ม บางสิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่ที่เขาได้ลาจากกับท่านดิวดร็อฟครั้งนั้น กลับมาแล้ว...หัวใจของข้า...กลับมาทำให้เวลาที่ราวกับหยุดเดินของข้ามันเคลื่อนที่ไปอีกครั้ง

       

      และข้าก็คงต้องเสียมันไปอีกครั้งเช่นกัน เสียหัวใจดวงนี้ให้กับลูกมังกรน้อยตรงหน้าอีกครั้ง ทำให้ข้า...ตกหลุมรักท่านอีกครั้ง...

       

      "ขอบคุณที่กลับมา ท่านดิวดร็อฟ"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×