คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2
นัทกับคนข้างๆหันมามองทิศที่สองสาวผ่าน และมองเห็นเธอทั้งคู่จนได้
“จะกลับบ้านแล้วหรอ พี่แต้ว” นัทพูดพร้อมรอยยิ้มหวาน เป็นยิ้มที่ทำให้ฝ้ายหันหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้ ‘จะโปรยเสน่ห์กับเพื่อนชั้นหรือไงยะ’
แต้วพยักหน้าเป็นการบอกให้รับรู้พร้อมกับเดินหน้ารถเพื่อออกจากประตูมหาลัย ยังมิวายหันกลับมาโบกมือลารุ่นน้องด้วยรอยยิ้มหวานไม่แพ้กัน “พี่กลับบ้านก่อนนะ โชคดีนะนัท เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ”
“นี่ยัยแต้ว อย่าปล่อยมือได้ม้ายยย ชั้นกลัวนะ”ฝ้ายไม่พูดเปล่ายังฟาดหลังเพื่อนรักดังเพียะ!
“โอ๊ย.. อะไรกันน่ะฝ้าย รถยังไม่ทันออกถนนใหญ่เลยนะ แล้วก็แทบจะไม่ขยับไปไหนเลยด้วย กลัวอะไรเนี่ย” ฝ้ายอ้าปากจะเถียง แต่แล้วก็หุบปากเงียบเหมือนเดิม
หลังจากรุ่นพี่ทั้งสองออกพ้นประตูมหาลัยแล้ว หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นจึงได้เอ่ยปากถาม
“รุ่นพี่ในคณะหรอ”
“อืม พี่ปี2น่ะ เล่นบาสด้วยกัน”
“คนที่นั่งซ้อนท้ายน่ะ....น่ารักนะ” คำพูดนี้ทำให้นัทหันไปมองหน้าอีกคนอย่างสงสัย
“ทำไมต้องมองหน้าชั้นอย่างนี้ด้วยเล่า ก็แค่บอกว่าพี่คนนั้น น่ารักนะ” พูดพลางหันไปสบตาเพื่อนอย่างรู้ทัน
“เอ้อ กลับบ้านกันเหอะ” นัทตัดบท และเดินหนีคู่สนทนาออกมารอรถเพื่อกลับบ้าน
“อ้าว เฮ้ย ไม่รอกันเลยหรอ ชั้นพูดอะไรผิดรึไงเนี่ย
” ยังไม่ทันบ่นจบประโยค ก็ต้องหยุดกะทันหันเพราะได้เจอสายตานัทแบบที่มองแล้วก็รู้ว่า ‘อย่าถามอะไรต่ออีกเชียวนะ’
วันต่อมาเวลาหลังเลิกเรียนของนักศึกษาปกติ ที่สนามกีฬาจะมีนักกีฬาประเภทต่างๆมาวอร์มร่างกาย รวมทั้งนักกีฬาบาสในทีมของฝ้ายด้วย
“วิ่งรอบสนามใหญ่คนละ3รอบนะ ห้ามอู้ ห้ามโกง เหนื่อยพักเดินได้ ใครเสร็จคนสุดท้าย สก๊อตจั๊ม30ที” จบคำสั่งของฝ้ายทำเอาทุกคนในทีมหน้าซีด อย่างนี้เท่ากับบังคับกลายๆให้รีบวิ่งน่ะสิ
“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทีมเรายังไม่ครบนี่”แต้วที่เพิ่งสังเกตเอ่ยขึ้นแล้วก็หันไปนับ
“น้องนัท นัทยังไม่มาเลยฝ้าย”เมื่อได้บุคคลที่ขาดหายแล้ว ฝ้ายก็ระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาให้เพื่อนรักแปลกใจ
“อะไรของเธอเนี่ย มัวแต่ยิ้ม จะเอายังไงคนยังไม่ครบน่ะ”
“ก็วิ่งไปก่อน สำหรับคนมาสาย ชั้นจะทำโทษแบบพิเศษให้เค้าเอง”
“แบบพิเศษ? ไม่เปื่อยไม่งอกด้วยรึไงยะ จะทำอะไรน่ะฝ้าย” แต้วถามอย่างตระหนก ด้วยกลัวว่าเพื่อนรักจะลงโทษรุ่นน้องคนโปรด
“ก็วิ่งรอบสนามใหญ่5รอบปิดท้ายด้วยสก๊อตจั๊ม50ทีไง โทษของคนที่มาสาย” ฝ้ายเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแห่งความสะใจ แต่ก็มีมือเล็กๆของน้องในทีมยกคั่นขึ้นมาก่อน
“เอ่อ...พี่คะ คือหนูมีเรื่องจะบอกค่ะ...นัทฝากพวกเรามาว่า วันนี้นัทเลิกเรียนเย็นหน่อยน่ะค่ะ เพราะต้องเข้าLab” เด็กน้อยนั่งก้มหน้ารายงานสิ่งที่รับรู้มาแก่หัวหน้าทีม
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง แล้วทำไมนัทเขาไม่มาบอกกับพวกพี่เองล่ะ” แต้วพูดพร้อมกับเหลือบไปมองหน้าเพื่อน “ถ้ายังงั้นก็ช่างเหอะฝ้าย เดี๋ยวน้องนัทเขาเรียนเสร็จ ก็มาเองแหละ”
“ถ้างั้นน้องนัทของเธอก็คงเรียนเสร็จแล้วล่ะ แต้ว” ฝ้ายชี้มือไปยังริมสนาม ให้เห็นถึงคนสองคนเดินตรงมายังที่ๆพวกเธอวอร์มร่างกายกันอยู่
นัท เจ้าของเส้นผมและนัยน์ตาสีทองแดง เส้นผมที่ไม่ได้ผ่านการย้อมหรือเปลี่ยนสี รูปร่างทะมัดทะแมง สมกับเป็นนักกีฬา แต่บุคลิกออกจะเงียบขรึมไปหน่อยในสายตารุ่นพี่ แม้จะซ้อมบาสด้วยกัน แต่รุ่นพี่ทั้งสองยังไม่เคยเห็นนัทใส่ชุดนักศึกษามาก่อน ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกที่นัทปรากฏกายให้ทั้งคู่เห็น ในชุดนักศึกษา
“สวัสดีค่ะพี่แต้ว สวัสดีพี่ฝ้าย”นัทกล่าวพร้อมยกมือไหว้ ทำให้รุ่นพี่ทั้งสองรับไหว้แทบไม่ทัน
“อ้าวน้องนัทจ๋า ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดอีกหรอ ไปเปลี่ยนชุดมาซะก่อนสิจะได้ลงมาวอร์มกัน”
“งั้นพี่แต้วรอแปบนึงนะ เดี๋ยวมา” นัทเดินไปยังห้องน้ำ ปล่อยอีกคนที่มาด้วยกันทิ้งไว้ให้ยืนถือสัมภาระของทั้งคู่ ทำให้ฝ้ายและแต้วได้มีโอกาสสำรวจหน้าตาของคนที่ยืนอยู่กับรุ่นน้องเมื่อวาน
นุ้ย เพื่อนต่างคณะของนัท เรือนผมสีดำสนิท รูปร่างเปรียว แม้ไม่สูงนัก แต่ด้วยความที่รูปร่างผอมบาง ทำให้เวลาเดินคู่กันกับนัทดูเหมือนคู่รัก เสียแต่ว่า นุ้ยมีคนรักอยู่แล้ว
“โอเค เรียบร้อยแล้ว เริ่มซ้อมกันรึยังคะ?” เสียงของนัททำให้รุ่นพี่ทั้งสองละสายตาจากบุคคลริมสนาม
“ซ้อมอะไรกัน ยังไม่ได้วอร์มอะไรเลยนะ ไปเลยวิ่งคนละ3รอบ ใครมาถึงคนสุดท้าย ได้สก๊อตจั๊ม30ทีแน่ๆ” สิ้นคำสั่งของหัวหน้าทีม ทุกคนก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต.. วิ่งช้าก็ตายน่ะสิ(- -“)
..
“เอ้า!นี่น้ำเย็น”ขวดน้ำเย็นถูกยัดเยียดใส่ใบหน้าคนที่นั่งหอบหายใจข้างสนาม
“ขอบใจ” นัทรับขวดน้ำนั้นเปิดดื่มอย่างไม่รีรอ
“แค่เนี้ย! เดินไปซื้อมาให้ บอกขอบใจแค่เนี้ย รู้งี้ให้เดินไกลๆไปกินที่กองเชียร์ก็ดี” เพื่อนสาวกระแทกตัวลงนั่งทำหน้างอ ทำให้คนข้าง กายหันมามองพลางเลิกคิ้วสูง
“อะไรของเธอเนี่ย วันนี้ทะเลาะกับพี่ปุ้ยมาหรือไง!” เสียงบ่นของนัททำให้จิตใจของคนข้างๆเดือดขึ้น
“รำคาญรึไง เออใช่สิ ชั้นมันน่ารำคาญ ทำอะไรก็น่ารำคาญใช่มั้ย ไปก็ได้ เชอะ!!” พูดจบ นุ้ยก็ลุกขึ้นเดินหนีไปจากสนามทันที ทิ้งให้อีกคนนั่งงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“อะไรวะ จะมาก็มา พอจะไปก็ไป มันเป็นอะไรของมันเนี่ย” นัทบ่นพร้อมมองตามเพื่อนสาวไป แต่ถูกเงาใครอีกคนบังไว้ ทำให้เจ้าของตาสีทองแดงต้องเงยหน้าขึ้นมองตามเงานั้น เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือใคร ทำให้ต้องถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ริน!!” นัทเรียกชื่อผู้มาใหม่ที่มายืนค้ำศีรษะเธออยู่
“ใช่สิ ตกใจอะไรนักหนา แล้วตะกี้คุยอะไรกับนุ้ย ทำอะไรนุ้ยถึงโมโหขนาดนั้น!” รินที่ดูเหมือนจะโกรธจัดถลึงตามองนัทอย่างแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“เฮ้ยๆ ฟังก่อนสิ ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แล้วที่นุ้ยมันเดินไป ชั้นก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นอะไร” คำพูดละล่ำละลักของนัท ทำให้รินหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“แน่ใจ?”
“อื้อ....ชั้นก็แค่ถามมันว่า ทะเลาะกับพี่ปุ้ยมารึเปล่า เพราะมันเล่นมาโมโหใส่ชั้นนี่นา”
“อ๊ากกก ไอ้นัท แกก็รู้ว่าเวลานุ้ยอารมณ์เสียอย่าไปถามอะไรมัน ทำอย่างนี้ แกตายยยย!”
“ก็มันลืมไปนี่นา แล้วใครใช้ให้มันมานั่งทำหน้าบูดเป็นตูดลิงใส่ชั้นเล่า ปะโถ่!!” นัทยกมือขึ้นป้องกันตัวจากหมัดของรินพร้อมทั้งอธิบาย
อั๊ก!! ลูกหนังสีส้มกระแทกเต็มกลางหลังของนัท ทำให้เพื่อนรักทั้งคู่หันกลับไปมองต้นตอของลูกกลมนี้
“จะยื้อกันอีกนานมั้ย นี่เวลาซ้อมบาสนะ ไม่ใช่เวลาชกมวย” เสียงรุ่นพี่ทำให้ทั้งคู่ลดมือลง รินบอกลานัทแล้วเดินออกจากสนามไป เหลือแต่นัท ผู้ซึ่งโดนลูกบาสกระแทกเข้าไปเต็มๆหลัง ทั้งสนามตอนนั้น มีแต่ความเงียบ
“ก็ได้ ซ้อมกันต่อเลยดีกว่า” ในที่สุดนัทก็เอ่ยขึ้นเหมือนไม่มีอะไร แต่หากว่าใครได้มองตาเขาตอนนั้น จะได้รู้ว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น หลายเท่านัก...
...........................
ตุ๊บ!! ฝ้ายล้มคะมำกับพื้นเป็นรอบที่สิบสอง จากการเลี้ยงบอลทะลวงผ่านเธอของรุ่นน้องที่เธอโยนบอลใส่หลัง
“เฮ้ย! ฝ้าย ป้องกันแบบนั้นเดี๋ยวได้โดนไล่ออกจากสนามเพราะฟาวล์เกิน5ครั้งหรอก”แต้วที่วิ่งมาพยุงเพื่อนรักให้ลุกขึ้นเป็นรอบที่สิบสองเช่นกัน สังเกตเห็นรอยแผลและรอยช้ำตามตัวของเพื่อนสาว “วันนี้พอกันก่อนเถอะนะ ฝ้ายก็แผลเยอะขนาดนี้ ไปทำแผลห้องพยาบาลก่อนกลับบ้านดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ชั้นยังซ้อมต่อได้” ฝ้ายตัดบทสนทนากับเพื่อนและหันไปเผชิญหน้ากับคนที่สร้างรอยแผลให้เธอ ‘เด็กคนนี้ลูกเล่นแพรวพราวนัก ทั้งๆที่เราป้องกันอย่างรัดกุมแล้ว ยังมีช่องให้เอาฟาวล์จากเราอีกจนได้ น่าเจ็บใจนัก’ จากสายตาของทั้งคู่ในตอนนี้เหมือนสงครามย่อยๆในสนามบาสไม่มีผิด
“เอาน่า อย่าฝืนเลยฝ้าย นี่ก็เย็นมากแล้ว ปล่อยน้องๆเขากลับบ้านกันเถอะนะ พรุ่งนี้ค่อยซ้อมต่อ แยกย้ายกันเลยนะจ๊ะเด็กๆ” แต้วรีบก้าวมาคั่นทัพพร้อมบอกเลิกการซ้อมทันที
“อะไรน่ะแต้ว ไม่ต้องลากชั้นไปก็ได้ แผลแค่นี้เองกลับบ้านค่อยหายาทา” ฝ้ายบ่นที่เพื่อนรักทั้งดึงทั้งลากตัวเธอไปตามทางเพื่อไปทำแผลที่ห้องพยาบาล
“ก็จะอะไรล่ะ แผลเธอเต็มตัวอย่างนี้เนี่ยนะ พาเธอกลับบ้านไปแม่เธอจะได้คิดว่าชั้นพาเธอไปตกข้างทางมาน่ะสิ!” ยังไม่ทันที่ฝ้ายจะโต้ตอบอะไรต่อ ก็โดนแต้วดันเข้าไปในเรือนพยาบาลเสียแล้ว
“แน่ใจนะว่าเธอซ้อมกีฬามาน่ะ บอกครูมาดีกว่าพวกเธอไปทำอะไรกันมา” อาจารย์ประจำเรือนพยาบาลเอ่ยถามเสียงเข้ม เพราะไม่เชื่อว่า การซ้อมกีฬาจะสร้างรอยแผลได้มากมายขนาดนี้
“พวกหนูซ้อมบาสมาจริงๆนะคะอาจารย์ แต่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยเป็นแบบนี้”แต้วพยายามอธิบาย แต่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่บุคคลผู้สูงวัย
“เอาเถอะ ยังไงก็ไปล้างแผลให้สะอาดแล้วมาเอายาทาแผลกับครูละกันนะ” พูดจบก็เดินเข้าห้องเพื่อเตรียมยาให้กับลูกศิษย์
“ขอบคุณค่ะ ไปฝ้าย ไปล้างแผลกันก่อน”
แกร๊ง! เสียงประตูบอกว่ามีบุคคลเข้ามาในเรือนพยาบาลอีก ทำให้ทั้งสองหันไปมองผู้ก้าวเข้ามาใหม่
“น้องนัท!!” แต้วอุทาน เพราะคิดว่ารุ่นน้องของเธอกลับไปแล้ว และความเงียบก็ได้เข้ามาครอบงำคนทั้งสามไว้
“แวะมาดู พี่ฝ้ายเป็นไงบ้าง?” นัทเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบนั้นก่อน
“ก็ยังไม่ตายนี่ มาดูทำไม” เสียงฝ้ายเข้มขึ้น บ่งบอกว่าเธอพร้อมจะระเบิดศึกอีกรอบ
“เอ้อ งั้นพี่พาฝ้ายไปล้างแผลก่อนนะนัท ขอบใจนะจ๊ะที่แวะมาดู” แต้วพาเพื่อนเลี่ยงออกมา ก่อนที่จะเปิดศึกวันทรงชัยกันในนั้น
“นี่นัทมันทำให้ชั้นเป็นยังงี้นะ เธอจะยังพูดดีๆกับมันทำไมล่ะ!!”ฝ้ายเริ่มโมโหเพื่อนรัก ที่ดูจะไม่สนใจเลยว่า ใครที่เป็นคนสร้างรอยแผลให้เธอ
“เอาน่า เธอก็เป็นคนโยนลูกบาสใส่หลังเค้าใช่มั้ยล่ะ โดนเอาคืนแล้วไง” เพื่อนสาวพูดขึ้นมาอย่างเป็นกลาง “แต่น้องนัทก็เอาคืนเธอมากไปหน่อยแค่นั้นล่ะ” และนั่นก็ทำให้ฝ้ายนิ่งไป
หลังจากล้างแผลเสร็จแล้ว แต้วก็พาเพื่อนสาวมานั่งรอบนเตียงในห้องพยาบาล ก่อนผละไปรับยาจากอาจารย์
“ล้างแผลเสร็จแล้วหรอ เป็นไงบ้าง” เสียงจากมุมห้องทำให้ฝ้ายตกใจ เพราะรุ่นน้องของเธอยังไม่ได้กลับไป หากแต่ยังนั่งสงบนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และกำลังลุกขึ้นเพื่อเดินมาหาเธอ ช้าๆ
“ทำไมยังอยู่อีกล่ะ ไม่กลับบ้านหรือไง?” ฝ้ายจำต้องเอ่ยถามอีกฝ่ายก่อน ด้วยควากลัวว่าเขาจะเดินเข้ามาใกล้หล่อนมากกว่านี้
“ก็...แค่รอดูว่าเป็นยังไงบ้าง” คำตอบเรียบๆของนัทตรงข้ามกับสายตาโดยสิ้นเชิง ประกายตาวาววับ ที่จ้องจับอยู่ที่รุ่นพี่นั้น ทำเอาคนถูกจ้องกลืนน้ำลายไม่ลงคอเลยทีเดียว
“ก็..ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ เดี๋ยวแต้วทำแผลให้เสร็จก็กลับบ้านแล้วล่ะ” ฝ้ายเบี่ยงหน้าหลบสายตาคู่นั้น
‘ร้อน ร้อนเหมือนไฟ’ สายตาที่นัทมองมา ทำให้ฝ้ายรู้สึกเหมือนร้อนรน นั่งไม่ติด
“ทำอะไรน่ะ!!” ฝ้ายร้องด้วยความตกใจ เมื่อนัทก้มมาใกล้ๆเพื่อดูแผลที่ตัวของเธอ
ในระยะใกล้ขนาดนี้ ทำให้ฝ้ายได้มีโอกาสสำรวจใบหน้ารุ่นน้อง ผมสีทองแดงสไลด์ระต้นคอส่งให้ใบหน้าดูมนได้รูป ดวงตาสีทองแดงเช่นเดียวกัน ความคมคายที่ใครๆเห็นก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ ฝ้ายมองรุ่นน้องอย่างลืมตัว ลืมว่าตนเองได้แผลเพราะคนตรงหน้ามากเท่าใด
“คงไม่เป็นอะไรมาก” เสียงคนตรงหน้าเรียกให้สติของผู้เป็นรุ่นพี่กลับมา นัทยืดตัวขึ้นหลังจากการสำรวจบาดแผล “แผลแค่นี้เล็กๆน้อยๆทั้งนั้น ใส่ยาเดี๋ยวก็หาย” รอยหยักที่มุมปาก บ่งบอกว่าคนพูดพอใจกับเรื่องนี้นัก
‘อะไรนะ?’ ฝ้ายมึนงงกับอารมณ์ของคนตรงหน้า เมื่อสักครู่ทำท่าเหมือนเป็นห่วงเธอ แต่ตอนนี้กลับยิ้มและมองดูเธอเหมือนจิตรกรกำลังชื่นชมผลงานของตนเอง
“อืม งั้นกลับบ้านก่อนละกันนะ” ร่างทะมัดทะแมงหันหลังเดินออกไปจากเรือนพยาบาลทันที ทิ้งให้ผู้ที่เป็นรุ่นพี่สบถตามหลัง
“บ้าเอ้ย!!!”
“ชั้นไปเอายามาช้านิดหน่อยแค่นี้ ถึงกับว่ากันเลยหรือไงฝ้าย” แต้วที่เพิ่งหอบชุดทำแผลมาเต็มอ้อมแขนบ่นขึ้น หลังจากที่กลับมาเจอกับคำสบถของฝ้ายเข้าพอดี
“เปล่านะ ชั้นไม่ได้ว่าเธอ ว่าแต่...แผลชั้นมันไม่ได้เยอะขนาดนั้นมั้ง แต้ว”
“อ๋อ แหะๆ ชั้นเตรียมมาเผื่อไว้น่ะ เผื่อมันไม่พอไง จะได้ไม่ลุกไปหยิบอีกให้เสียเวลา” ฝ้ายพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจเพื่อน
“เอ้า ทำแผลเหอะ จะได้กลับบ้านเสียที หิวข้าวแล้วล่ะ”
“จ้า ใจเย็นๆ ชั้นไม่นางพยาบาลมืออาชีพนะยะ ที่จะทำแผลได้รวดเร็วปานสายฟ้าแลบน่ะ”
ทั้งคู่หัวเราะไปพร้อมๆกัน แต่แต้วยังไม่รู้ว่า ในใจฝ้าย มีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นอีกอย่างนึง คือ ความสงสัยในตัวรุ่นน้องคนนั้น
“ใกล้ไหว้ครูแล้ว ห้องเราส่งใครไปถือพานดี” หัวหน้าห้องของนัทหันมาปรึกษาเพื่อนร่วมห้อง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักทานข้าวกลางวัน
“ก็เธอไง ปลา ไหนๆก็เป็นหัวหน้าห้องแล้ว ถือพานไปเลย” คำเสนอของเพื่อนๆทำให้หัวหน้าห้องโวยวายทันที
“จะบ้าหรอ แค่ชั้นเป็นหัวหน้าห้องก็เหนื่อยพอแล้วนะ ยังจะให้ไปถือพานอีก โอ๊ย! ไม่เอาอ่ะ”
“เออ ถ้าแกไม่ถือ แล้วใครจะถือล่ะ”
“เฮ้ย นั่นไงคนถือ นั่งอ่านหนังสืออยู่นั่นไง ไอ้นัท!!” ผู้ชายที่ถูกมอบตำแหน่งถือพานหันมาชี้นัทที่นั่งหลบอยู่มุมห้องเพื่ออ่านหนังสือ
“หา?” คนที่ถูกชี้ตัวเงยหน้ามามองเพื่อนพร้อมสีหน้างุนงง
“ใช่เลย คนถือพานของห้องเรา” ปลา หัวหน้าห้องยิ้มกริ่มเดินไปยืนข้างๆคนที่ถูกเลือก
“เอาล่ะใครเห็นด้วยที่จะให้นัทถือพานคู่กับแตง ยกมือขึ้น!!” สิ้นประโยคของปลา ทุกคนในห้องยกเว้นนัท ยกมือขึ้นทันที ทำเอาเจ้าตัวหน้าเหวอไปทันใด
“เฮ้ย!! ไม่เอานะ ชั้นไม่อยากถือพาน” เสียงนัทโอดครวญ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนๆเปลี่ยนใจได้
“มติเป็นเอกฉันท์แล้วว่ะนัท เสียใจนะ ฮ่าๆ”
“เอาน่า แตงก็ต้องถือพานคู่กับนัท แตงยังไม่บ่นเลย” บุรุษที่ถือพานคู่กับนัทเดินมาตบบ่า
“คิดซะว่าทำเพื่อห้องละกันนะนัท ขอร้องๆ” ตอนนี้เพื่อนๆที่มารุมล้อมนัท ส่งเสียงออดอ้อนเป็นการใหญ่
ผู้ถูกมอบตำแหน่งให้ถอดแว่นที่ใส่อยู่ออก ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “เออๆ ถือก็ได้ ปีนี้ปีเดียวนะ ปีหน้าหาคนถือใหม่ได้เลย”
“เย้!!ขอบใจนะ งั้นคนอื่นๆไปเตรียมอุปกรณ์จัดพานกันเว้ย เอาสวยๆเลยนะ” ในที่สุดนัทก็ยอมตกลงถือพานสมใจเพื่อนๆ ข้อดีของนัทที่เพื่อนๆเห็นคงจะเป็นความใจดีที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยนี่ล่ะมัง
“อะไรนะ แกถือพาน ฮ่าๆๆๆ งั้นเดี๋ยวชั้นจะรอถ่ายรูปแกตอนเดินถือพานดีมั้ย ฮ่าๆๆ” แอนเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมัธยมของนัทหัวเราะอย่างไม่อาย หลังจากรู้ว่าเพื่อนรักต้องถือพานในวันไหว้ครู
เป็นที่รู้กันในกลุ่ม ว่าเพื่อนของเธอคนนี้จะทำอะไรที่ตัวเองสนใจเท่านั้น ไม่ค่อยแคร์สายตาใคร และถ้าสิ่งใดที่นัทไม่ชอบแล้วล่ะก็ ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมทำเด็ดขาด การถือพานครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเพื่อนในกลุ่ม และทุกคนเป็นผู้หญิง!!
“เฮ้ยๆ แอน ถ่ายรูปไม่พอว่ะ ต้องถ่ายคลิปไว้ด้วยเลยเว้ย แกถ่ายรูปนะ เดี๋ยวชั้นถ่ายคลิปเอง ฮ่ะๆๆๆๆ” นกพูดขึ้นอย่างสะใจ ที่เห็นเพื่อนรักทำหน้าพะอืดพะอม
“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ ท่าทางสนุกกันเชียวนะ” ริน คนรักของนกเดินเข้ามาร่วมกลุ่มด้วย ตามมาด้วยนุ้ยและพี่ปุ้ยแฟนของเธอ
“อ๋อ นี่รินมาก็ดีแล้ว นกมีเรื่องจะบอกรินล่ะ ไอ้นัทมันได้ถือพานห้องคู่กับเพื่อนมัน ฮ่าๆๆๆ”
“จริงเหรอนัท ยังงี้ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยนะ” รินที่รู้ข่าวหันหน้าไปซักคนที่รับหน้าที่ถือพานทันที ทำให้เสียงหัวเราะจากโต๊ะของนัท ดังยิ่งกว่าเดิม แต่ตอนนี้นัทเลิกคิดเรื่องถือพาน เพราะว่าอีกคู่ที่มาร่วมวงด้วย สีหน้าไม่ดีซักเท่าไหร่ เลยต้องหันไปกระซิบถามเพื่อนอีกคน
“นก ไอ้นุ้ยกับพี่ปุ้ยเป็นไรกันวะ เมื่อวานนุ้ยมันก็มาวีนกับชั้นรอบนึงแล้วนะ ยังไม่ดีกันอีกหรอคู่นี้”
“อ๋อ ยังไม่มีใครเล่าให้แกอีกเหรอ เมื่อวานพี่ปุ้ยมีธุระด่วนต้องรีบกลับบ้าน ปล่อยนุ้ยให้คอยอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นอย่างที่แกเห็น” นกพยายามอธิบาย
“หึ งอนเรื่องพี่ปุ้ยไม่สนใจอีกแล้วสิ” เสียงพึมพำจากนัทแม้จะเบา แต่เจ้าตัวก็ได้ยิน
“อะไรยะ นินทาอะไรก็ให้มันเบาๆหน่อย พูดซะเต็มรูหูชั้นเลยนะเนี่ย”
“เปล่านินทานี่ แค่คุยกันเฉยๆ จริงมะ นก”
“อือ ใช่ ไม่ได้นินทาใครเล้ยยยย จริง จริ้งงงง” ช่างเป็นการโกหกที่แนบเนียนมากๆ (- -“)
“หึ ก็แล้วไป เออนัท เมื่อวานชั้นขอโทษทีนะที่โวยใส่แก พอดีแกมันงี่เง่าเหมือนใครบางคน” นุ้ยพูดขึ้นมา แต่ก็ยังไม่วายเน้นเสียงให้คนข้างๆสะดุ้ง
‘จอมประชดประชันต้องยกให้มันเลยสิ ให้ตายเหอะ’ ได้แต่บ่นในใจ เพราะหากพูดไป นัทคงทำให้เกิดเรื่องรอบสองเป็นแน่
“นี่ๆได้ข่าวมามั้ย พี่เปรี้ยว ที่เป็นดาวมหาลัยน่ะ จะลงเป็นลีดเดอร์คณะชั้นแหละ กรี๊ดดด!!” เสียงรายงานข่าวที่แสนจะตื่นเต้นของริน ทำให้ทั้งวงหันไปทางเดียวกัน
“จริงเหรอริน ว้าวๆ อยากเห็นพี่เปรี้ยวใส่ชุดเชียร์เร็วๆจังเลย” เสียงแอนทำให้นกหันไปกระซิบกระซาบกับนัทบ้าง แต่ก็โดนรินดึงคอเสื้อเอาไว้ก่อน
“โอ๊ยๆ ทำอะไรน่ะริน เจ็บนะ”
“อย่ามาทำไก๋เลย รู้ทันนะ อยากไปดูพี่เปรี้ยวใส่ชุดเชียร์ใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่นะ แค่จะถามนัทมันว่า คณะเราใครลงเป็นลีดฯมั่ง แค่นั้นเอง”
“อย่าโกหก อยากดูสาวๆใช่มั้ย นี่ๆๆๆ” การที่รินไล่ตีนกอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ทั้งโต๊ะเฮฮาได้อีกครั้ง
“เอ้า ไปกินข้าวกันได้รึยัง หิวแล้วนะ” เสียงนุ้ยเอ่ยขึ้นเป็นการเบรกคณะตลกคาเฟ่ไว้ตรงนั้น ก่อนที่ทุกคนจะทยอยลุกเดินไปยังโรงอาหาร
“บางครั้งแกก็ต้องเข้าใจสถานการณ์บ้างนะ ไม่ใช่ว่าจะงอนพี่ปุ้ยอย่างเดียว” นัทที่เดินรั้งท้ายเอ่ยกับนุ้ยที่เดินอยู่ข้างๆ
“เข้าใจ ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ แต่พี่ปุ้ยเขาก็ไม่สนใจชั้นเลย กว่าจะได้ฤกษ์โทรมาบอกว่าเค้ากลับบ้านไปแล้วก็ปล่อยให้ชั้นนั่งรอเค้าตั้งสองชั่วโมงเชียวนะ!!”
“นี่เป็นสาเหตุที่เมื่อวานแกมานั่งรอชั้นที่หน้าLabใช่มั้ยล่ะ” นัทพูดพร้อมกับหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างกาย
“เวลาแกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ แกก็มักจะเป็นอย่างนี้ มาอยู่กับพวกชั้น พอแกสบายใจหรือคืนดีกันได้ แกก็กลับเข้าสู่โหมดเดิม”
“นี่แกพูดเหมือนชั้นมีแฟนแล้วลืมเพื่อนเลยนะเนี่ย” นุ้ยหยุดเดินหันไปมองหน้าเพื่อน
“เปล่าหรอก ชั้นก็แค่อยากจะบอกแกว่า ไม่ว่าเวลาไหนๆแกก็อยู่กับพวกชั้นได้เสมอ พวกชั้นไม่ใช่ศาลาคนเศร้านะ ที่มาอยู่ด้วยแค่ตอนเศร้าหรือเหงาเหมือนหมาน่ะ” จบประโยคนุ้ยก็อ้าปากเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่าง แต่ก็ปิดปากลงดังเดิม ทำให้นัทเอ่ยต่อ
“ แล้วเวลาคุยกับพี่ปุ้ยน่ะ ใช้เหตุผลคุยกัน อย่าใช้อารมณ์อย่างเดียว ยังไงพี่ปุ้ยเขาก็อายุมากกว่าแกนะ” นัทหันมามองตาเพื่อนรัก
“ชั้นเชื่อว่าพี่ปุ้ยรักแกมาก รักมากกว่าชีวิตเค้าด้วยซ้ำ แต่หน้าที่ในชีวิตเค้าก็ไม่ได้มีแค่รักแกอย่างเดียวนะ” น้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้นุ้ยนิ่งคิดในคำพูดนั้น
“เฮ้ย สองคนตรงนั้นน่ะ เล่นเกมส์จ้องตากันรึไงวะ จะกินข้าวเที่ยงมั้ยวันนี้” เสียงตะโกนเรียกให้ทั้งสองละสายตาจากกันและกัน เดินไปสมทบกันเพื่อนที่รออยู่หน้าโรงอาหาร
‘มิตรภาพมันตัดกันไม่ขาดหรอก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม’
---------------------------------------------------------------
“เฮ้ย ฝ้าย ไปโดนหมาที่ไหนฟัดมาวะ เละทั้งตัวเชียว” เสียงเป้ตะโกนเรียก ทันทีที่เดินมาเห็นเพื่อนสนิทมีพลาสเตอร์ปิดแผลเต็มไปทั้งตัว
“อ๋อ นี่น่ะเหรอ โดนหมาแถวนี้กัดเอาน่ะ” ฝ้ายตอบเน้นเสียง ให้อีกคนที่ยืนอยู่แถวนั้นรู้สึกตัว
“เหรอ หมาที่กัดเธอนี่ก็เก่งนะ เอาซะเละทั้งตัวเลย” คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอ่ยอย่าง งงๆ
“เอ้อ แล้วเมื่อวานเป้หายไปไหนมาล่ะ ไม่เห็นมาซ้อมกันเลย ปล่อยให้มองหาตั้งนานแน่ะ” เสียงแต้วถามแทรกมาทำให้เป้ยกมือขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“อ๋อ โทษทีๆ เมื่อวานมีประชุมในคณะน่ะ เลยงดการซ้อมวันนึง โทษทีนะที่ไม่ได้โทรมาบอก”
“อืม ช่างมันเถอะ วันนี้เรามาจับทีมแข่งกันเลยดีมั้ย?” ฝ้ายเสนอขึ้น ทำให้คนอื่นๆหันมาสนใจการแข่งครั้งนี้ ใครๆก็รู้ เวลาฝ้ายกับเป้แข่งด้วยกัน มันเหมือนการแข่งซะที่ไหน เหมือนคู่รักจีบกันซะมากกว่า
“ไม่ปฏิเสธ งั้นเธอตั้งทีมได้เลย ชั้นจะไปตั้งทีมชั้นเหมือนกัน พร้อมแล้วก็บอกนะ” เป้พูดพลางยิ้มกว้างแล้วผละไปทีมของตัวเอง
“งั้น...ทีมเราใครจะลงก่อน 5 คน” ฝ้ายหันมาปรึกษาลูกทีมที่เหลือ
“งั้นเอางี้ ฝ้ายเธอลงไปยืนเป็น PF คู่กับนัทนะ เซ็นเตอร์สองคน เอาน้องออยกับพี่ไก่ ไหวมั้ยคะพี่ไก่?” แต้วจัดทีมขึ้น แล้วหันไปถามรุ่นพี่อีกคนในทีม
“หืม? ...ก็โอเค แล้วใครเป็น PG ล่ะ?” สิ้นคำถามของผู้เป็นพี่ แต้วยิ้มกว้าง
“แน่นอน ถ้าไม่ใช่แต้วแล้ว จะเป็นใครล่ะ” แต้วพูดจบเรียกเสียงครางฮือได้ทั้งทีม อย่างนี้ก็เท่ากับว่าจัดทีมชุดใหญ่ลงไปเลยนี่นา
“ก็ดี เพราะมีแค่แต้วเท่านั้นแหละที่รู้ทางบอลกับฝ้าย จะได้ส่งกันถูก” รุ่นพี่พยักหน้าเห็นด้วย
‘ไม่หรอก มีอีกคนนึง ที่ทำได้ดีไม่แพ้แต้วเลยล่ะ’ คิดพลางเหลือบสายตาไปยังรุ่นน้องอีกคน ที่ตอนนี้สวมสนับเข่าและขยับผ้ายืดให้กระชับเตรียมตัวซ้อมแข่ง เคยแค่ซ้อมแข่งในทีมเดียวกัน ได้รู้ฝีมือจริงๆก็คงวันนี้
“เอ้า ทีมนั้นพร้อมรึยัง ทางนี้ได้แล้วนะ!”
“โอเคแล้ว ให้ใครโยนลูกให้ดีล่ะ”
“น้องบุ๋ม ตัวสูงๆโยนลูกให้ทีนะจ๊ะ” เป้หันไปถามรุ่นน้องในทีมของตัวเอง
“ค่ะๆ” คนที่ถูกไหว้วาน วิ่งไปหยิบลูกบาสจากมือรุ่นพี่แล้วไปยังกลางสนาม
“พร้อมนะคะ หนึ่ง สอง เริ่มได้” ลูปบาสสีส้มถูกโยนขึ้นกลางอากาศ ความชุลมุนเล็กๆนั้น ทำให้บอลตกมาอยู่ในมือของนัท
“นัทวิ่ง!!” เสียงพี่ไก่ที่อาสุโสที่สุดในทีมสั่ง ไม่ต้องรอให้รุ่นพี่พูดจบ นัทพาบอลผ่านผู้เล่นอีกทีมไปยังแป้นของอีกฝ่ายทันที
“จะรีบไปไหน” เป้วิ่งมาขวางนัทไว้ได้ก่อนที่จะถึงแป้น การเข้ามาขวางกะทันหันทำให้นัทต้องหมุนตัวเพื่อหาช่องทางส่งบอล
บอลถูกจ่ายเข้ามือฝ้ายอย่างพอดิบพอดี และผ่านลงสู่ห่วงอย่างไม่ลังเล
“วิทย์นำก่อน 2
“เฮ้ย ฝ้าย ทีมแกมีเด็กใหม่ที่รู้ทางบอลกับแกด้วยหรอ ไม่เห็นบอกชั้นเลย” เป้หันมาโวยใส่เพื่อน เพราะคิดว่านอกจากแต้วแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ทางบอลกับฝ้ายได้อีก
“อือ ชั้นก็เพิ่งรู้เหมือนกันนี่แหละ” คำตอบของฝ้ายทำให้เป้สงสัยมากยิ่งขึ้น
การที่ทั้งคู่ยืนคุยกันนี้ สำหรับคนอื่นๆแล้ว ดูเหมือนทั้งคู่กำลังจีบกันซะมากกว่า และนั่นทำให้สายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
ความคิดเห็น