ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรักราชามังกร

    ลำดับตอนที่ #29 : สงครามประสาท

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 65


    ร่างบางขององค์ชายน้อยอี้เซียวหลานยืนตัวแข็งทื่อ หลังจากรับรู้ถึงแผนการร้ายของพี่ชายโดยบังเอิญ ขาเรียวรีบก้าวเดินกลับตำหนักตนทันที หลังจากรับรู้เรื่องที่ตนไม่ควรรู้ ใบหน้างามขาวซีดด้วยความตกใจ นี่พี่ชายเขาคิดการใหญ่ ขนาดคิดลักพาตัวองค์ราชินีของอาณาจักรมังกรมาเชียวหรือ พี่ชายเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน รู้ทั้งรู้ว่าหากทำเช่นนั้นลงไป มันจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในตำหนักตน สมองกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ว่าตนควรจะขัดขวางหรือจะปล่อยไป ทำเหมือนว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

    "ท่านพี่ท่านจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะ ข้าควรจะทำเช่นไรดี"

    ร่างบางคิดอย่างสับสนตนควรจะทำเช่นไร ขัดขวาง ใช่สิ เขาต้องขวางพี่ชาย ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงร่างบางจะยังเยาว์วัยนัก แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่พี่ชายตนกำลังคิดจะทำนั้นมันไม่ถูกต้อง เขาจำเป็นต้องหยุดยั้ง

    อาณาจักรมังกร

    ในที่สุดก็ถึงวันสำคัญ วันพิธีรับขวัญสายเลือดมังกร ที่จะลืมตาขึ้นมาเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับชาวเผ่ามังกรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั่วทุกอาณาจักรที่ได้รับเทียบเชิญต่างก็เดินทางมายังอาณาจักรแห่งนี้อีกครั้ง รวมทั้งเผ่ามารที่ตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ และก็เหมือนเดิมที่องค์ชายทั้งสามเดินทางมาแทนผู้เป็นบิดา เหมือนเช่นครั้งที่มาร่วมงานอภิเษก ร่างบางของน้องเล็กตามติดพี่ชายใหญ่ไม่ละสายตาและไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น พี่ชายเดินไปทางไหนเขาก็ไปทางนั้นส่วนจินฟู่พี่ชายคนรองก็แยกตัวออกไปอีกที

    "เซียวเอ๋อร์เจ้าไม่หิวหรอกรึ ทางโน้นมีของกินมากมาย ไปหาอะไรกินเสียหน่อยก็ดีนะ"

    "ไม่หิว ข้าไม่หิวข้าจะอยู่กับท่านพี่"

    ร่างสูงเพ่งมองน้องชาย รู้สึกว่าวันนี้น้องเล็กทำตัวแปลกๆ ไม่ยอมห่างเขาไปไหน เขาจะปลีกตัวออกไปเพื่อหาทางเข้าใกล้ร่างบางของเย่วซินก็ยากเย็นเหลือเกิน สายตาคมมองเห็นคนที่ตนต้องการพบเดินหายไปยังห้องพิธี เขาอยากจะตามเข้าไปนัก แต่ก็ไม่สามารถทำได้ มันเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนนอก คนชิดใกล้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้

    เย่วซินเดินเข้าไปยังห้องพิธี ที่มีน้องชายตนกำลังนั่งอยู่บนแท่นศิลา ซึ่งมีอดีตราชาและราชินีบิดามารดาของสวามี

    กำลังตักน้ำ ที่ผ่านการทำพิธีสำคัญจากผู้อาวุโสของอาณาจักรแห่งนี้ค่อยๆ ราดรดตั้งแต่ศีรษะลงมาเพื่อชะล้างสิ่งอัปมงคล และเป็นสิริมงคลต่อผู้เป็นแม่และลูกน้อยในครรภ์ ที่ กำลังจะลืมตาขึ้นมา ให้ทุกคนเชยชมในอีกไม่ช้า อี้เฟยยืนอยู่ไม่ห่างกายร่างเล็กเลย คอยโอบประคองเวลาร่างเล็กลุกหรือนั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ร่างเล็กหายจากอาการแพ้มากแล้ว อาการเหม็นสวามีก็หายไปด้วย

    "พ่อกับแม่ขอให้เจ้าและหลานของแม่มีความสุข ร่างกายแข็งแรงดูแลตัวเจ้าเองและลูกน้อยให้ดี"

    นางก็เปรียบเสมือนมารดาอีกคนของหลิงซาน ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เขาและพี่ชายได้รับความเมตตาจากนางมาก มารดาของสวามีเอ่ยอวยพรสะใภ้เล็ก และหลานที่กำลังจะเกิดมา

    "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ที่เมตตาข้าและลูก"

    "เจ้าทั้งสองพี่น้อง ก็เป็นลูกของแม่เช่นกันจำไว้"

    "พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"

    "พี่ชายคนนี้ขอให้เจ้ากับหลานมีความสุข และเกิดมาอย่างปลอดภัยทั้งคู่"

    เย่วซินอวยพรน้องชายบ้าง หลิงซานมองพี่ชายตาแดงๆ ตั้งท่าจะร้องไห้ จนคนเป็นพี่ต้องปรามไว้ก่อน ก็ตอนนี้น้องชายเขาโตจนเป็นจะแม่คนอยู่แล้ว

    "หยุดงอแงได้แล้วนะหลิงเอ๋อร์ เจ้าจะเป็นแม่คนอยู่แล้ว คราวนี้คงเลิกซุกซนได้เสียทีกระมัง ข้าดีใจและยินดีกับเจ้าด้วยจริงๆ "

    หลังจากพิธีเสร็จสิ้นลง หลิงซานก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาด้านนอก แขกทุกคนที่มาต่างก็มาอวยพร แสดงความยินดีกับพ่อแม่มือใหม่ ที่ผู้เป็นพ่ออย่างอี้เฟยเริ่มเห่อลูกที่ยังไม่เกิดมาอย่างออกนอกหน้า

    "เสี่ยวไป๋เจ้าเหนื่อยหรือไม่" อี้เฟยถามเมียรักอย่างห่วงใย

    "ไม่หรอกท่านพี่ข้ายังไม่เหนื่อย" ร่างเล็กตอบ

    "แล้วเจ้าหิวไหม ข้าจะพาไปหาอะไรกิน"

    "ไม่หิวข้ายังไม่อยากกินอะไร"

    "เจ้าไม่หิวแต่ลูกหิวแล้ว ไปหาอะไรกินเสียหน่อย"

    "ท่านรู้ดีกว่าข้าอีกหรือ ลูกยังไม่หิวหรอก"

    "แล้วเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าลูกไม่หิว"

    "ก็ข้าไม่หิว"

    "เจ้าไม่หิว แต่ใช่ว่าลูกจะไม่หิวเหมือนกับเจ้า ไปหาอะไรกินเสียหน่อย ถือว่าข้าขอ ทำเพื่อลูกนะเสี่ยวไป๋"

    "กะ-ก็ได้"

    สุดท้ายก็ยอมแพ้ให้กับคนเห่อลูกอย่างหนัก ร่างสูงจับจูงมือเมียรักไปหาอะไรกินอีกมุม สำหรับตั้งอาหารคาวหวานไว้ต้อนรับแขกที่มาเยือน

    อีกมุมหนึ่งของงาน ร่างสูงขององค์ชายใหญ่รัชทายาทเผ่ามาร กำลังจ้องมองร่างบางของเย่วซินไม่วางตา โดยที่ร่างบางไม่ได้รับรู้ ถึงสายตารักใคร่ลุ่มหลงของอีกคนแม้แต่น้อย เพราะความงามเหนือสตรีใดที่เขาเคยพบเจอ ทำให้ทุกครั้งที่เห็นมันยากที่เขาจะตัดใจได้ ร่างเล็กขององค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรมาร มองตามสายตาของคนเป็นพี่ ก็พบเข้ากับร่างงามที่คนเป็นพี่หมายปอง เขาจะทำเช่นไรดี หวังเพียงว่า วันนี้พี่ชายเขาจะไม่ทำอะไรร้ายแรงลงไปหรอกนะ

    เฟยหลงดึงเย่วซินเอาไว้ไม่ห่างตัว เพราะรู้ดีหากเขาเผลอเมื่อไร คนที่เขาไม่ชอบหน้าอย่างอี้เทียนหลง คงต้องหาจังหวะเข้าใกล้ร่างบางเป็นแน่

    "ท่านพี่ ข้าขอโทษ"ร่างบางเอ่ยอย่างเศร้าๆ เมื่ออยู่กันตามลำพัง

    "เจ้าขอโทษข้าทำไม มีอะไรหรือเปล่าเย่วเอ๋อร์"ร่างสูงมองหน้าร่างบาง ก่อนจะถามกลับไป

    "ก็ท่านอยากมีลูก แต่ข้า... "

    "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เคยโกรธหรือกล่าวโทษเจ้าเลย"

    "แต่หลิงเอ๋อร์ สามารถมอบของขวัญที่มีค่าที่สุดให้อี้เฟยได้ ข้านี่มันแย่จริงๆ "

    "ไม่เอาน่า อย่าโทษตัวเองเลย หากข้ากับเจ้ามีวาสนาคงจะได้สมหวังสักวัน ถึงเจ้าจะเป็นเช่นไรข้าก็รักเจ้าไม่เปลี่ยน"

    เฟยหลงกอดเย่วซินไว้แนบอก ก้มลงจุมพิตปลอบใจอยู่หลายครา จนสีหน้าของร่างบางดีขึ้น

    อี้เทียนหลงแอบมองทั้งคู่อย่างเดือดดาลอยู่นาน เมื่อสบโอกาส ที่ร่างสูงของเฟยหลงแยกตัวออกไปจากร่างบาง ของราชินีแสนงาม อี้เทียนหลงก็ได้โอกาสเข้าหาอีกฝ่ายทันทีโดยที่ร่างเล็กขององค์ชายน้อยอี้เซียวหลานตามไปติดๆ

    "องค์ราชินี" เขาเอ่ยทักทายร่างบางของเย่วซิน

    "ท่านคือ... องค์รัชทายาทแห่งเผ่ามาร อี้เทียนหลงใช่หรือไม่"

    "ใช่แล้ว ข้าดีใจยิ่งนักที่องค์ราชินียังจำข้าได้"

    พูดพลางจ้องมองร่างงามอย่างหลงใหลโดยไม่ปิดบัง ร่างบางชักจะรู้สึกอึดอัดกับท่าทีของคนตรงหน้า เฟยหลงเคยเตือนเขาแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ คนผู้นี้แต่นี้มันกระชั้นชิดจนเกินไป จนเขาไม่สามารถหลบหลีกได้

    "ข้าจำท่านได้แล้ว นี้คงจะเป็นองค์ชายน้อยเซียวหลานใช่หรือไม่"

    ร่างบางหันไปถามร่างเล็กอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่ชาย ร่างเล็กกำลังจ้องมองร่างบางตาแป๋ว องค์ชายน้อยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพี่ชายเขา จึงอยากลักพาตัวคนตรงหน้ากลับอาณาจักรตนนัก ก็เพราะความงดงามไร้ที่ตินี่กระมัง ไม่ว่าใครที่พบเห็น ย่อมอยากจะครอบครอง แล้วราชามังกรอย่างเฟยหลง จะยอมให้ใครลักพาตัวราชินีตนไปง่ายๆ หรือ แค่คิดก็ปวดหัวกับขวากหนามข้างหน้าที่ขวางทางพี่ชายตนเสียแล้ว

    "ข้าอี้เซียวหลานถวายพระพรองค์ราชินีพ่ะย่ะค่ะ"

    "หน้าตาน่ารักน่าชังนัก คราวหน้าถ้าเจอข้า เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกข้าไม่ถือ"

    "ไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ"ร่างเล็กท้วงเพราะเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร

    "เอาเถิด ดูแล้วเจ้าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเหยียนจื่อ น้องชายอีกคนของข้า"

    "น้องชายอีกคน พระองค์ไม่ได้มีองค์ราชินีน้อย เป็นน้องชายคนเดียวหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ"ร่างเล็กถามด้วยความสงสัย

    "ไม่หรอก ข้ายังมีเหยียนจื่ออีกคน เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน"

    ร่างบางพูด ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลที่ติดตามตน ให้ไปตามร่างเล็กของเหยียนจื่อมาพบ ที่จริงแล้วเขาใช้กระแสจิตเรียกมาก็ย่อมได้ แต่เขาไม่ทำก็เท่านั้น ไม่นานร่างบางของเหยียนจื่อก็ปรากฏตรงหน้าคนทั้งหมด องค์ชายน้อยจ้องมองใบหน้าน่ารักของเหยียนจื่ออย่างรู้สึกคุ้นๆ ร่างบางของเหยียนจื่อก็จ้องมองร่างเล็กตรงหน้า ด้วยสายตาวาววับ เขาจำได้ว่าคนตรงหน้าเคยไล่จับเขา ตอนที่เขายังเป็นหงส์ ตอนนั้นเขาไม่สามารถกลายร่างเช่นนี้ได้ และยังมาว่าเขาเจ้านกน่าเกลียดอีก

    ต่างคนต่างก็จ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย สงวนท่าทีและหยั่งเชิงฝั่งตรงข้าม สายตาดุดันจ้องมองไม่มีใครยอมใคร กิริยาเหล่านั้นสำหรับคนที่พบเห็น บอกได้แค่เพียงว่าน่ารักน่าชังกันทั้งคู่ เย่วซินมองพลางเผลอยิ้มขบขันออกมา กับท่าทีเอาจริงเอาจังของน้องชายคนเล็ก ไม่รู้ไปโกรธแค้นกันมาตอนไหน ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ใส่กัน

    "เอาล่ะเจ้าสองคนรู้จักกันไว้เสียสิ เหยียนจื่อ นี่องค์ชายน้อยอี้เซียวหลานแห่งอาณาจักรมาร"

    "ท่านพี่ ข้ารู้จักเขาแล้ว เด็กเอาแต่ใจ"เหยียนจื่อเหลือบมองเซียวหลานนิดหน่อยก่อนบอกพี่ชาย เล่นเอาเซียวหลานถึงกับตาโตสงสัย ว่าตนไปรู้จักมักจี่กับคนผู้นี้ตอนไหน

    "แต่ข้าไม่รู้จักเจ้ามาก่อน"

    "ไม่เป็นไรหรอกข้าก็คิดว่าเจ้าคงจะจำไม่ได้"

    "อ้าวแล้วข้าไปรู้จักเจ้าตอนไหน"

    "เจ้าไม่ต้องรู้หรอก ข้าก็ไม่ได้จะเอามาใส่ใจ มันก็ไม่ใช่สำคัญอะไรสำหรับข้า"

    "ชิ คิดว่าตนเองเป็นใครกัน ข้าไม่เห็นอยากจะรู้จักเจ้าสักนิด"

    "เอาล่ะพวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันทำไม คนกันเองทั้งนั้น เหยียนจื่อข้าฝากเจ้าพาเซียวเอ๋อร์ไปหาอะไรกินหน่อยเถิด น้องชายข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง"

    ร่างสูงของอี้เทียนหลงพูดขึ้น เพราะเขากำลังหาโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับร่างงามตรงหน้า

    "แต่ข้ายังไม่หิว"องค์ชายน้อยปฏิเสธ เพราะไม่อยากปล่อยพี่ชายให้อยู่กับเย่วซินตามลำพัง

    "ไปหาอะไรกินเสียหน่อยก็ดีนะ เหยียนจื่อเจ้าพาองค์ชายน้อยไปหาอะไรกินก่อน"

    "ขอรับท่านพี่"ร่างเล็กของน้องชายรับคำด้วยความไม่เต็มใจนัก แต่เซียวหลานยิ่งกว่า ตั้งท่าจะไม่ไปท่าเดียว จนเหยียนจื่อนึกรำคาญ จึงคว้าข้อมืออีกคนดึงให้เดินตามเขามา

    "ปล่อยข้านะเจ้าบ้า! "

    "หยุดดิ้นสักที ข้าชักจะเหนื่อยกับเจ้าแล้วนะ! "

    "ก็ปล่อยข้าเสียสิ จะลากมาทำไมนี่"

    "โอ๊ย... ข้าไม่เคยเจอคนเอาแต่ใจเช่นเจ้าเลย ทำตัวอย่างกับเด็กสามขวบ"

    "นี่เจ้าว่าข้ารึ! "

    "แล้วคิดว่าอย่างไรล่ะ"

    "เจ้าบ้าฝากไว้ก่อน" ร่างบางชี้หน้าร่างเล็กอย่างโกรธเคือง

    "ฝากอีกแล้วครั้งก่อนเจ้ายังไม่มาเอาคืนเลยวันนี้มาฝากอีกแล้ว ข้าไม่รับฝากหรอกนะมันหนัก"

    เซียวหลานงงกับคำพูดบุรุษหน้าสวยตรงหน้า เขาจำได้ว่าไม่เคยรู้จักอีกคนมาก่อน แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะวางมวยใส่กัน ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยทักทายพวกเขาสองคนเสียก่อน

    "พวกเจ้าเล่นอะไรกันรึ เสียงดังออกไปถึงข้างนอกเชียว"

    ร่างบางทั้งคู่หันไปมองที่มาของเสียงพร้อมกัน โดยที่ไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะจ้องมองผู้มาใหม่ตรงหน้า

    "ท่านหยางฟานนั่นเอง ข้าก็นึกว่าใคร"

    "ข้าเององค์ชายน้อย นี่เจ้าหายดีแล้วหรือ"

    หยางฟานมองเซียวหลาน ก่อนจะถามไถ่ถึงอาการป่วยก่อนหน้านี้ ที่เขาได้เข้าไปเยี่ยมเยียน และละสายตาจากองค์ชายน้อย เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเหยียนจื่อแทน ร่างบางของเหยียนจื่อ

    รีบถอยมาหลบด้านหลังของเซียวหลานทันที ด้วยความกลัวคนตรงหน้า

    "ข้าหายดีแล้ว ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง"

    องค์ชายน้อยตอบออกไป ก่อนจะจับสังเกตได้ว่า คนที่ใช้ตนเป็นเกราะกำบัง มีอาการหวาดกลัวหยางฟานอยู่มาก ร่างบางของเซียวหลานแค่มองอยู่นิ่งๆ ไม่ได้หลบไปไหน

    "แล้วเจ้าล่ะสบายดีหรือไม่เหยียนจื่อ"หยางฟานหันมาถามร่างบางที่แอบอยู่ด้านหลังเซียวหลานบ้าง

    "ขะ-ข้า สบายดี"

    เซียวหลานแน่ใจแล้วว่าคนด้านหลังกลัวหยางฟานจริงๆ ด้วยความหมั่นใส้ จึงจับตัวเหยียนจื่อเอาไว้ แล้วออกแรงเหวี่ยงเข้าไปหาหยางฟานทันที

    "เจ้ามาแอบอะไรข้างหลังข้า ออกไปนะมันน่ารำคาญยิ่งนัก"

    ร่างบางจึงตกไปอยู่ในวงแขนของหยางฟานอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหยียนจื่อตกใจมาก พยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของคนตรงหน้า แต่ก็ไร้ผลกลับถูกกอดรัดไว้อย่างแน่นหนา

    "ปะ-ปล่อยข้านะ"

    "ปล่อยไปก็เสียดายแย่นะสิ ตัวเจ้านะทั้งนิ่มทั้งหอม"

    ร่างสูงทั้งกอดรัดดอมดมพลางกระซิบเบาๆ ชิดใบหู ทำเอาเหยียนจื่อตัวแข็งทื่อหย่างหวาดกลัว และทุกอย่างก็ดับวูบลงทันทีพร้อมสติของร่างบางที่ขาดหาย

    "อะ-อ้าว... เฮ้ย!! สลบไปแล้ว ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเองนะ เจ้าฟื้นซิเหยียนจื่อ"

    "ท่านหยางฟาน เขาเป็นอะไร"ร่างบางของเซียวหลานถามขึ้นอย่างตกใจไม่แพ้กัน

    "เขากลัวข้ากระมัง ช่วยทำให้เขาฟื้นก่อนเร็วเข้า เดี๋ยวเจ้าบ้าหนิงเฟิ่งได้เล่นงานข้าที่บังอาจมารังแกคนของมันเข้า"

    ร่างบางของเซียวหลานยืนทื่ออยู่เช่นนั้น เขาไม่เข้าใจที่ร่างสูงพูด แล้วหนิงเฟิ่งอีกเขาคือใครกันไม่เคยได้ยิน แต่ก่อนที่เขาจะได้รับคำตอบ ก็มีบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น รูปร่างแข็งแรงใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาไม่น้อย ปรี่เข้ามารับร่างบางที่หมดสติจากอ้อมแขนของหยางฟานมาไว้ในอ้อมแขนตนเองแทน เซียวหลานคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน แต่ที่ไหนนี่ซิเขากลับจำไม่ได้

    "เขาเป็นอะไร พวกเจ้าทำอะไรเขา! "

    หนิงเฟิ่งตวาดถามคนทั้งคู่ เมื่อเห็นร่างเล็กหมดสติในอ้อมกอดของหยางฟาน

    "ขะ-ข้าเปล่านะ ไม่ได้ทำอะไรเขาเลยจริงๆ "หยางฟานรีบตอบออกไปอย่างลนลาน

    "ใช่ๆ ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย เขาตกใจเลยหมดสติไป"ร่างเล็กช่วยเสริมอีกที

    หนิงเฟิ่งจ้องมองคนตรงหน้าทั้งคู่ก่อนจะเอ่ยลา

    "ขออภัยหากข้าเข้าใจพวกท่านผิด ข้าขอลาจะรีบพาเขาไปพัก"

    พูดจบก็พาร่างบางที่หมดสติไปพัก ปล่อยให้เซียวหลานยืนงงและสงสัย

    "เฮ้อ เกือบโดนย่างแล้วไหมล่ะ สาบานเลยครั้งหน้าข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้าอีกแล้วเหยียนจื่อ"

    หยางฟานถอนหายใจอย่างโล่งอก พาให้ร่างบางของเซียวหลานงงหนักขึ้นไปอีก

    "ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ ท่านอธิบายให้ข้าเข้าใจสักหน่อยเถิด แล้วเขาเป็นใครดูจะหวงเหยียนจื่อเอามากๆ "

    หยางฟานเลยเล่าทุกอย่างให้องค์ชายน้อยฟัง

    "อ๋อเป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้ก็เป็นเจ้าหงส์แสนสวยที่ข้าอยากได้นี่เอง"มิน่าล่ะถึงว่าเคยพบกันแล้ว คงไม่ชอบใจที่เขาเคยว่าอีกฝ่ายว่าน่าเกลียด เอาไว้ค่อยหาโอกาสขอโทษภายหลังละกัน ที่เขาล่วงเกินอีกฝ่ายเอาไว้

    แต่ก็อดแปลกใจในความเป็นห่วงของหนิงเฟิ่งไม่ได้ เพราะดูแล้วไม่ใช่แค่เป็นห่วงอย่างเดียว แต่แอบซ่อนความหวงแหนเอาไว้ด้วยนี่สิมันคืออะไร หรืออาจเพราะเขาทั้งสองเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันร่างเล็กคิด แต่ก็ต้องตกใจที่ตนลืมไปว่า ปล่อยพี่ชายให้อยู่กับองค์ราชินีแสนงาม ที่พี่ชายตนหมายปองมานานแล้วคิดได้เช่นนั้นเลยเอ่ยขอตัวจากหยางฟาน

    "ท่านหยางฟานพอดีข้ามีธุระ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจอยู่คุยกับท่านได้"

    พูดจบก็รีบปลีกตัวออกมาทันที

    "ดะ-เดี๋ยวซิเจ้าจะรีบไปไหน"

    ร่างสูงประท้วงก่อนจะวิ่งตามร่างเล็กไป เขาไม่ยอมเสียโอกาสหรอก กว่าจะได้พบกันแต่ละครั้ง มันช่างยากเย็นนักเขาจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้เด็ดขาด

    ขณะที่วิ่งตามร่างเล็กของเซียวหลานโดยไม่ทันระวังตัว ตรงบริเวณทางแยกซึ่งมืดทึบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ปลูกประดับเอาไว้ให้สวยงาม

    โครม!!

    "โอ๊ย! ซีดส์... เจ็บชะมัดเลย"

    ร่างสูงของหยางฟานล้มก้นจ้ำเบ้าไม่เป็นท่า เขารีบก้มหน้าก้มตาปัดเศษดิน ที่ติดเสื้อผ้าอาภรณ์

    เพราะเป็นคนรักความสะอาด จนทนเห็นไม่ได้รีบปัดกวาดทันทีก่อนพยุงตัวจะลุก หากแต่มีมือหนายื่นมาตรงหน้าให้หยางฟานจับ หยางฟานยื่นไปจับทันทีโดยไม่ทันมองหน้าอีกฝ่าย

    "เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้าไม่ทันระวังตัวต้องขออภัยด้วย"

    เสียงที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงมันช่างคุ้นนัก ใบหน้าหล่อแหงนขึ้นไปมองทันที ก็เห็นโจทก์เก่ายืนยิ้มส่งมาให้เขา แต่ดูอย่างไรก็ไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย ร่างสูงเลยชักมือกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายยึดเอาไว้แน่น

    "ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้านกผี"

    "เจ้านี่สอนไม่รู้จักจำเอาเสียเลย ข้าเคยพูดถึงเรื่องกิริยามารยาทกับเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว จำไม่ได้รึ"

    "จำไม่ได้เพราะข้าไม่คิดจะจำ ปล่อยมือข้าเสียที"

    "ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ จะว่าไป... เสียงซีดส์ของเจ้าเมื่อสักครู่ มันเร้าใจข้านัก"ร่างหนาไม่วายกล่าวคำที่ทำให้อีกฝ่ายอับอาย

    "เจ้านกบ้า! "

    "ข้ารึอุตส่าห์ช่วย ยังจะมาว่าข้าอีก ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณกันบ้าง"

    "ข้าไม่ได้ร้องขอ เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยข้าหรอกเจ้าคนปากเสีย จะปล่อยหรือไม่ปล่อย"

    ร่างโปร่งพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้เพราะอับอายหรือโกรธเคืองกันแน่

    "..."

    "ไม่ปล่อยใช่ไหมได้"

    พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ร่างโปร่งของหยางฟานก็ออกแรงที่มีทั้งหมด กระชากอีกคนลงมานอนแผ่หลา อยู่บนพื้นดินทางเดินอย่างหมดท่า เพราะอีกคนไม่ทันตั้งตัว หยางฟานรีบลุกขึ้นมายืนดูการกระทำของตนเองอย่างสะใจ เหยียนเป่ยฟงมองคนตรงหน้าอย่างโกรธจัด

    "อ๊ะ ๆ ๆ โกรธข้าเหรอ... เจ้าจะโกรธข้าไม่ได้ เพราะข้าเตือนเจ้าแล้ว"

    หยางฟานเอ่ยอย่างยียวน ก่อนหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินออกไปจากตรงนั้น

    "อะ-เฮ้ย!! "

    ตุ๊บ!!

    มือเรียวถูกอีกคนคว้าเอาไว้ ออกแรงกระตุกเช่นที่ร่างโปร่งของหยางฟานทำกับเขา แต่เป้าหมายที่รองรับอีกคนมันไม่ใช่พื้นดินแข็งๆ หากแต่เป็นหน้าอกแกร่งกำยำของเขาเองต่างหากเล่า มือหนารีบรวบรัดร่างโปร่งอย่างแน่นหนาทันทีที่ล้มลงมา

    "จะ-เจ้าบ้าจะทำอะไร ปล่อยซิโว้ย!!"

    หยางฟานตกใจที่ตนเสียทีคนตรงหน้า ตอนนี้เลยตกเป็นรองอีกคน ร่างหนาของเหยียนเป่ยฟงพลิกตัวกลับขึ้นมาคร่อมหยางฟานเอาไว้ เป็นเหตุให้ร่างโปร่งถูกกดเอาไว้ใต้ร่างหนาแทน สร้างความอึดอัดและตกใจให้เขาไม่น้อย

    ไม่นะ นี่ไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการ เขาไม่คิดจะเป็นรองใครอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนะ นี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เขาจะต้องอยู่ด้านบนซิและนี่ก็ไม่ใช่ในแบบของเขาด้วย เล็กๆ บางๆ ขาวๆ เท่านั้น คนตรงหน้าเขาไกลเกินคำคำนั้นนัก จะเรียกให้ถูกก็เข้มๆ หนาๆ ใหญ่ๆ (เอิ่ม... ที่ว่าใหญ่ๆ คือตัวใหญ่นะ อย่าเข้าใจผิด) หยางฟานกำลังเผชิญกับคำว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ตอนนี้ ร่างทั้งร่างของตน ตกอยู่ภายใต้อานัดของร่างหนาโดยสิ้นเชิง

    "ปล่อยข้านะไอ้นกผี! "

    "ปากดีนักนะ หัดสำนึกบ้างเถิด ว่าเจ้าตกเป็นรองข้าอยู่ แน่จริงหนีไปให้ได้ซิ คนกะล่อนเช่นเจ้าข้าอยากรู้นัก หากตกเป็นรองจะยังปากดีอยู่อีกหรือไม่"

    "ไม่มีทาง ข้าไม่คิดเป็นที่รองรับให้ใคร ออกไปจากตัวข้านะ เจ้านกน่ารังเกียจ!”

    "คราแรกข้าคิดเพียงแค่แกล้งเจ้าเล่นๆ แต่ปากดีเช่นนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว"

    "เปลี่ยนใจ อะ-อื้อ... "

    พูดไม่ทันจบ ปากบางก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาที่แสนร้ายกาจ ปากหนาบดจูบลงมาอย่างดุเดือดรุนแรง หวังเพียงสั่งสอนคนใต้ร่างให้ลดความยโสลงเสียบ้าง ความดุดันป่าเถื่อนที่ใดรับทำให้ปากบางแตกยับ และมีเลือดซึมออกมาที่มุมปาก ร่างโปร่งรับรู้ว่าปากตนแตกยับ เพราะทั้งกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในโพรงปาก และความเจ็บปวดจนน้ำตาคลอซึมทั่วดวงตา

    ร่างหนารู้ตัวว่าตนทำเกินไป แต่ถ้าจะให้กำหราบคนบ้าก็ต้องเอาความเถื่อนออกมาใช้ ปากหนาผละจากปากบาง มามองผลงานตนที่ตอนนี้ ปากบางแตกยับและบวมเจ่อมีเลือดซึมออกมาที่มุมปาก มือหนาเอื้อมไปเช็ดออกแต่ถูกอีกคนปฏิเสธด้วยการเบือนหน้าหนี เหยียนเป่ยฟงเลยใช้มือแกร่งจับปลายคางและดันให้หันกลับมา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนครั้งแรก ปากหนาค่อยๆ จูบซับกวาดเอาเลือดที่มุมปากบางกลืนกินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปเพื่อควานเอาความหอมหวานอยู่พักใหญ่ๆ จึงจำใจปล่อยอีกฝ่ายอย่างเสียดาย

    "ไหนล่ะ คนปากเก่งหายไปไหนเสียแล้ว ตอนนี้ที่ข้าเห็นก็มี่แต่หมาบ้าปากแตกยับเท่านั้น"

    ร่างหนาไม่วายเหน็บแนมร่างโปร่งให้เจ็บใจเล่น

    "ออกไปไอ้บ้า! อย่าให้ถึงทีข้าบ้างก็แล้วกัน"

    หยางฟานเอ่ยอย่างคับแค้นใจ สายตาคมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเกลียดชัง น้ำตารื้อในดวงตา แต่ก็ไม่ยอมไหลลงมาเพราะเจ้าตัวพยายามกดมันเอาไว้ ไม่ให้มันไหลออกมาประจานตนเอง ร่างหนาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกผิดและสงสารอีกฝ่ายขึ้นมา เลยปล่อยอีกฝ่ายด้วยการที่ตนลุกขึ้นมายืน และยื่นมือออกไปคว้าร่างโปร่งดึงขึ้นมายืนด้วยกัน

    หยางฟานสะบัดตัวออกจากอีกคน ก่อนที่มือทั้งสองข้างเอื้อมไปจับเอาไหล่หนาไว้มั่น แล้วใช้เข่ากระแทกเข้ากลางกาย เล่นเอาอีกคนคู้ตัวลง มือกำกล่องดวงใจด้วยความจุกและเจ็บปวดจนยากจะบรรยาย ใบ หน้าเขียวครึ้มไปหมด พูดอะไรไม่ออก ร่างโปร่งเอาคืนเขาอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน

    หยางฟานยืนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสาแก่ใจนัก แต่เขายังไม่หายเจ็บใจเลย เข่าข้างเดิมเลยกระแทกเข้าไปที่หน้าท้องแกร่งอีกครั้ง ไม่ต้องเดาว่าอีกคนจะรู้สึกอย่างไร เพราะใบหน้าของเหยียนเป่ยฟงในตอนนี้ มันเขียวเหมือนพระอินทร์ไปแล้ว มือเรียวผลักร่างหนาจนล้มลงไปนั่งจุกอยู่กับพื้น ก่อนจะหมุนตัวกลับออกไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดกับร่างหนา

    "แค่นี้ยังน้อยไป ข้าหวังว่าเราอย่าได้พบเจอกันอีกเลยให้หมดเวรหมดกรรมกันแค่นี้ โว้ย วันนี้วันซวยอะไรวะ! "

    ร่างหนามองตามร่างโปร่งที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา

    "ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นอย่างที่เจ้าหวังนะซิ เวรกรรมของเราคงไม่หมดลงง่ายๆ หรอกเจ้าหมาน้อย หึ หึ หึ "

    พูดจบก็แตะมือลงบนกลีบปากหนาของตน หวนนึกถึงกลีบปากนุ่มที่ตนเพิ่งจะได้สัมผัสเมื่อสักครู่ มันหอมหวานไม่เบาเลยจริงๆ ให้ตายเถิดเขากำลังคิดอะไรอยู่

    ทางด้านเย่วซิน ที่ตอนนี้นั่งคุยกับอี้เทียนหลงองค์ใหญ่ชายแห่งอาณาจักรมาร อย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก เพราะเขารู้ว่าเฟยหลงสวามีเขาไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นี้เอาเสียเลย และสั่งห้ามเขาพบเจอกับอีกคนหากไม่จำเป็น แล้วเช่นที่เขาเป็นอยู่จะเรียกว่าจำเป็นได้หรือไม่

    "องค์ราชินี ท่านคิดเช่นข้ารึไม่ ว่าพวกเขาไม่ค่อยจะถูกกันนัก"

    "ข้าก็คิดเช่นนั้น"

    "ท่านมีชื่อว่าอะไร ขออภัยหากข้าเสียมารยาท แต่ข้าอยากรู้จักท่านมากกว่านี้"

    ร่างสูงพูดพลางจ้องใบหน้างามอย่างหลงใหล ร่างบางไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน เลยจำใจบอกชื่อตนไป

    "ท่านแม่เรียกข้าว่า... เย่วซิน"ร่างบางตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้

    "ถ้าเช่นนั้นข้าขอเรียกท่านเช่นนี้ได้หรือไม่"เขาเอ่ยขออนุญาตร่างบาง

    "ก็แล้วแต่ท่านจะสะดวกเถิดท่าน... เอ่อ"

    "เทียนหลง เจ้าเรียกข้าเช่นนี้เถิด เย่วซิน"

    "ถ้าเช่นนั้นก็ได้"ร่างบางตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

    เย่วซินกำลังนั่งคุยอยู่กับองค์ชายใหญ่แห่งเผ่ามาร เขาอยากปลีกตัวออกมานัก แต่มันเป็นการเสียมารยาทเกินไป หากจะทิ้งอีกฝ่ายออกมา จึงต้องหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลเสียหน่อย คิดหาอยู่นานแต่ไม่มีโอกาส จนร่างสูงของสวามีเดินเข้ามาหาด้วยหน้าตามืดครึ้ม

    สายตาคม จ้องมองบุรุษที่ตนไม่ชอบขี้หน้าด้วยสายตาดุดัน ความไม่พอใจแสดงออกมาให้อีกฝ่ายเห็นอย่างไม่ปิดบัง ร่างสูงของอี้เทียนหลงยกยิ้มส่งไปให้อีกฝ่ายอย่างสะใจ ที่ได้เห็นคนตรงหน้าแสดงอาการหึงหวงออกมาให้ตนเห็น (ดีเขาจะแกล้งให้อีกฝ่ายอกแตกตาย)

    "พอดีข้าว่างมากเลยอยู่คุยเป็นเพื่อน เย่วซินน่ะ"

    ร่างสูงได้ยินเทียนหลงเรียกชื่อเมียรักอย่างสนิทสนม ก็พาให้ไม่พอใจยิ่งนัก มันถือดีอย่างไรมาเรียกราชินีของเขาแบบนี้

    ยิ่งคิดยิ่งพาให้อารมณ์โกรธ ทวีความรุนแรงอย่างยั้งไม่อยู่ จนร่างบางนึกหวาดกลัวว่า สวามีจะขาดสติจนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

    "ท่านพี่ สงบอารมณ์ไว้ก่อน"

    "เย่วเอ๋อร์... เจ้ากลับเข้าไปอยู่กับหลิงซานก่อน เดี๋ยวข้าตามไป"ร่างสูงหันไปสั่งร่างบางที่มีทีท่าว่าจะไม่ยอมไป

    "แต่ข้าว่า"

    "ข้าขอกว่าให้เจ้าไป!" เผลอตวาดร่างบางด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะหึงหวง

    "กะ-ก็ได้"ร่างบางตอบรับแล้วค่อยๆ เดินจากไป แต่ไม่วายจะหันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง

    "เจ้าคิดจะทำอะไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้"ปากหนาเอ่ยเสียงลอดไรฟันพูดกับเทียนหลงอย่างเดือดจัด

    แปะ! แปะ! แปะ!

    เสียงตบมือดังมาจากอี้เทียนหลงอย่างเย้ยหยัน สร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่ายเพิ่มเป็นเท่าทวี อีกคนคงคิดจะสร้างสงครามประสาทให้เขาคลั่ง

    "เก่งนี่ที่รู้ทันข้า"

    "หยุดความคิดชั่วช้าของเจ้าซะ อย่างไรข้าไม่มีวันยอม"

    "ก็ลองดูสักตั้งเป็นไรล่ะ แน่จริงก็ปกป้องคนของเจ้าให้ดีแล้วกันอย่าได้เผลอเชียว ถ้าเผลอเมื่อไรข้าจะขโมยเมียเจ้าไปเชยชมให้สาแก่ใจ อยากรู้นักว่ามีดีอะไรเจ้าถึงกับโงหัวไม่ขึ้น"

    "ไอ้บัดซบ! "

    "ไว้ข้าจะหาทางใกล้ชิดเมียเจ้าอีกครั้ง เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอกเฟยหลง ฮ่า ๆ ๆ "

    พูดจบก็เดินจากไปโดยทิ้งเสียงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายเอาไว้

    "ไอ้คนชั่วช้า คอยดูสักวันข้าจะฆ่าเจ้าซะ! "

    ในใจร่างสูงตอนนี้มันเดือดปุดๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปเสียหมด เกลียดนักเชียวเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้ คอยดูหากมีโอกาสเขาจะฆ่ามันให้หายแค้น ร่างสูงนั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ๆ เขาไม่อยากเผลอตัวใส่อารมณ์กับเย่วซิน จึงเลือกที่จะนั่งสงบจิตใจก่อนจะไปหาร่างบาง

    ขาแกร่งค่อยๆ เดินเข้าไปหาเมียรักหลังจากใจเย็นลงมากแล้ว เย่วซินเห็นร่างสูงเดินมาหาตนเลยส่งยิ้มหวานไปให้ ร่างสูงยิ้มรับ แค่เห็นรอยยิ้มสดใส ความขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้ก็หายไปสิ้น เย่วซินรู้จุดอ่อนของร่างสูงดี ไม่ว่าจะโกรธจะเครียดเพียงใด หากเห็นรอยยิ้มของตน สวามีจะเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ

    "ท่านพี่ ท่านหายโกรธข้าหรือยัง"

    "เจ้าไม่ต้องคิดมากข้าไม่ได้โกรธเจ้าเลย ข้ารู้จักมันดีมันตั้งใจยั่วโมโหข้าก็เท่านั้น"เขาตอบร่างบางให้คลายกังวล

    "เป็นเพราะข้าแท้ๆ แต่ข้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ "

    "ก็ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่ได้โกรธเจ้าเลย คราวหน้าพยายามหลีก ถ้าให้ดีอย่าอยู่กันตามลำพังเด็ดขาด เจ้านั่นมันเจ้าเล่ห์นักเจ้าอาจจะเสียรู้มันเข้า"

    "อืม... ข้าจะระวังตัว"

    "ข้าหวง และก็ห่วงเจ้าเหลือเกินเย่วเอ๋อร์"

    "ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ท่านพี่เชื่อใจข้าหรือไม่"

    "ข้าเชื่อใจเจ้า"

    ร่างสูงตอบพลางคว้าร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ ก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากมลอย่างรักใคร่ ทุกการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาของเทียนหลงทั้งหมด เขากำมือแน่นอย่างแค้นเคือง ทำไมคนคนนั้นไม่เป็นเขานะ ร่างสูงโกรธจัดจนอยากระบายอารมณ์ หากที่นี่เป็นถิ่นตน คงจะสะดวกมากกว่า นี้ร่างสูงได้แต่เก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ในอก

    ร่างเล็กขององค์ชายน้อยเซียวหลาน เห็นทุกการกระทำของพี่ชายตน จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างสูง

    "ท่านพี่ น้องอยากไปเดินเล่นแถวโน้น ท่านพี่ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยจะได้หรือไม่"

    ร่างเล็กพูดจาออดอ้อนพี่ชาย หวังให้ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจไปสักระยะก็ยังดี ตาคมจ้องมองน้องชายตนอย่างสงสัยก็อย่างที่คิด น้องชายเขาแทนตนเองเช่นนี้แสดงว่าออดอ้อนเขาจะเอาอะไรอีก

    "เจ้าอยากได้อะไรอีกเซียวเอ๋อร์"ถามออกไปอย่างจับผิด

    "เปล่าเสียหน่อย แค่อยากจะไปเดินเล่นฝั่งโน้นเอง"

    "แต่เจ้าทำตัวน่าสงสัย หากไม่คิดจะทำอะไร ใยแทนตนเองเช่นนี้"

    "ก็วันนั้นท่านพี่บอกให้ข้าแทนตัวเองแบบนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือไร"

    "เช่นนั้นหรอกหรือ"

    "อืม... จริงๆ "

    ร่างสูงพยักหน้ารับ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนพูดเช่นนั้นจริงๆ เซียวหลานจงใจพาพี่ชายออกไปให้ห่างจากคนทั้งคู่ จึงพาคนเป็นพี่ออกไปหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งบรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงาม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสงบจิตสงบใจให้หายร้อนรุ่ม เหมือนอี้เทียนหลงในตอนนี้ สายลมเย็นๆ พัดโชยเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่า ที่ขึ้นอยู่รอบๆ บริเวณนี้เข้าจมูก จนเขาเผลอสูดเข้าไปเสียเต็มปอด ความร้อนรุ่มในอกก็ค่อยๆ บรรเทาลงไปมากจนเกือบจะเป็นปกติ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×