ตอนที่ 23 : บทที่23 ไม้กระถาง
บทที่23 ไม้กระถาง
ในวังหลังแห่งนี้ จะมีสิ่งใดที่ดูเลื่อนลอยเป็นมายายิ่งกว่าความรักของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อีก? นางเข้าวังมากลับไม่เคยได้รับความโปรดปราน หวงช่างเสด็จมาหานางเพียงไม่กี่ครั้งในบางเวลาเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิรูปงาม นางเคยมอบรักแด่พระองค์ ไม่เพียงเพราะพระองค์เป็นชายคนแรกของนาง หากยังเป็นผู้ชายคนเดียวของนางในชาตินี้ และทรงพระสิริโฉมงดงามถึงเพียงนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มองชายคนนี้เวียนวนในวังหลังกับผู้หญิงมากมาย มองเห็นสายพระเนตรของพระองค์ที่มองมา...เย็นชา นางค่อยๆพักใจและความคิด ใช้ชีวิตเงียบๆเรียบๆในวังหลังแห่งนี้ แม้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นชีวิตที่ดี แต่ก็ไม่ลำบากเท่าหญิงที่ถูกขังในตำหนักเย็นเหล่านั้น จะอย่างไรตระกูลเจียงก็เป็นตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเจียงหนาน สนมคนอื่นในวังแห่งนี้ยังไม่เคยหาเรื่องต่อนางโดยจงใจ
วันนี้นางเห็นท่าทีของจวงชงอี้ที่มีต่อหวงช่างอย่างเด่นชัด ความรักในดวงตาที่ไม่อาจปิดบัง ทำให้เข้าใจโดยพลัน นางคิดว่าเจาชงอี้จะเริ่มฉลาดขึ้นหลังจากถูกทอดทิ้งคราก่อน ดังนั้นจวงลั่วเยียนถึงได้เลื่อนจนถึงชั้นชงอี้ แต่ดูจากภาพนี้ ใครว่าเริ่มฉลาดกัน แค่ใจหวั่นไหวไปกับผู้ที่ไม่ควรให้ใจเท่านั้น
นางก็เคยหัวเราะเยาะหญิงผู้นี้ว่าโง่เง่า แต่ตอนนี้รู้สึกว่าใจขื่นขมนัก และเริ่มจะสงสารผู้หญิงที่อยู่ในวัยงดงามแรกแย้มผู้นี้ กลับย้อนมาดูฐานะของตัวเองในวังหลัง นางมีสิทธิ์อะไรไปสงสารผู้อื่นกัน ย้ายสายตาไปมองที่อื่น ไม่มองพระหัตถ์ที่กุมกับมือบาง วันนี้พระหัตถ์ของพระองค์ทรงประทานความอบอุ่นแด่เจาชงอี้ เมื่อวานพระองค์ทรงกุมมือผู้ใด แล้วพรุ่งนี้เล่า?
เฟิงจิ่นไม่มีความประทับใจต่อเจียงเสียนผินผู้นี้เท่าไหร่นัก เพียงรู้ว่าเป็นหญิงที่ไม่ช่างเจรจา ตระกูลเจียงเป็นตระกูลบัณฑิตมาหลายชั่วอายุคน เสียดายที่เจียงเสียนผินไม่ได้รับถ่ายทอดพรสวรรค์จากตระกูลบัญฑิตนี้ ทั้งยังถูกสอนหนังสือเขียนอ่านจนกลายเป็นคนแข็งทื่อไม่น่าสนใจ แต่ผู้หญิงประเภทนี้ อย่างน้อยก็สงบเสงี่ยม สามารถทำให้เขาวางใจว่าจะไม่ก่อเรื่องในวังหลัง
“มีโอกาสได้พบกับสนมรักทั้งสอง ถ้างั้นก็ตามเจิ้นไปเดินทั่วๆเถอะ” เฟิงจิ่นปล่อยมือของจวงลั่วเยียน มองไปที่สวนหลวง “รออีกเดี๋ยวถึงชมสวน เกรงว่าคงไม่อาจทนแดดแรงได้”
จวงลั่วเยียนและเจียงเสียนผินสองคนย่อกายลงครั้งหนึ่งและเดินตามเสด็จไปด้านข้าง เทียบกับความกระด้างของเจียงเสียนผินแล้ว แววตาของจวงลั่วเยียนดูมีชีวิตชีวามากกว่า เสมือนภาพเขียนสี เพราะงั้นแม้เฟิงจิ่นจะเงียบขรึม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกปากพูดกับนาง
“คนในวังล้วนชอบดอกไม้สีแดงงามม่วงสด เจิ้นกลับชอบความสดชื่นของต้นสนพวกนี้มากกว่า” เฟิงจิ่นมองไปที่สนเขียวขจีหลายต้นด้านหน้า “สนมรักทั้งสองคนมีความเห็นว่าอย่างไร?”
“คงมั่นตระหง่านองอาจ ต้องวรรษกาฬวาตมิล้มลง” เจียงเสียนผินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ต้นสนสี่ฤดูคงความเขียวขจี อายุยืนยาว ใต้หล้านี้ หวงช่างทรงสูงส่งเยี่ยงต้นสน คงมั่นตระหง่านองอาจ ต้องวรรษกาฬวาตมิล้มลง”
เฟิงจิ่นผงกศีรษะ แต่มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างใด มองไปที่จวงลั่วเยียน เห็นนางกำลังครุ่นคิดอยู่ จึงถามขึ้นว่า “สนมรักเจ้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของเจียงเสียนผินหรือไม่?”
“เจียงเจี่ยเจี๊ยพูดได้มีเหตุผล แต่สนมไม่ได้คิดมากมายถึงเพียงนั้น” จวงลั่วเยียนยิ้มอย่างเขินอาย ชี้ไปที่ร่มเงาใต้ต้นสน “ฤดูร้อนหากได้พำนักพักพิงที่นั่นคงเย็นสบายยิ่งนัก สำหรับสนมแล้ว ฝ่าบาททรงเป็นดั่งพฤกษสูงเสียดเมฆ คือหลังคาค้ำฟ้า” พูดจบก็ชี้ไปที่ดอกไม้ดอกเล็กใต้ต้นสนที่ไม่โดดเด่นอะไร “สนมคือดอกไม้ต้นเล็กที่มีชีวิตอยู่ด้วยต้นไม้ใหญ่นั้น ชั่วชีวิตอาจจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของต้นสน แต่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยต้นสน”
สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว จะมีอะไรน่าวางใจได้มากเท่ากับผู้หญิงคนหนึ่งเอาทุกสิ่งของนางฝากไว้กับตนเอง? เฟิงจิ่นฟังจบ ก็เห็นใบหน้าของเจาชงอี้ระบายไปด้วยความเขินอาย เหมือนกับรู้สึกได้ว่าคำพูดของนางเองฟังดูตื้นเขินแต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร ปากนางยิ้มบางๆแล้วเอื้อนต่อว่า “จักรพรรดิราชจำต้องดำรงพระองค์เหมือนดั่งต้นสน แต่ต้นสนมิอาจเสมอเหมือนองค์จักรพรรดิราช”
“สนมบังอาจไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงพระราชทานอภัย” เจียงเสียนผินได้ยินประโยคสุดท้ายก็ต้องหน้าซีดขาว ทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้น
จวงลั่วเยียนเห็นเจียงเสียนผินเป็นเช่นนี้ก็คุกเข่าลงไปด้วย แต่เฟิงจิ่นรั้งมือนางไว้ก่อน “เจียงเสียนผินไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้าจะมีความผิดได้อย่างไร?” ถึงเขาจะไม่พอใจในคำพูดของเจียงเสียนผิน แต่ท่าทีแข็งทื่ออยู่ในกฎระเบียบของนางก็ทำให้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกล้อด้วย พูดปลอบใจสองสามประโยค ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก
“เมื่อเจียงเสียนผินได้ยินหวงช่างเรียกตนเองว่า “เจียงเสียนผิน” ก็กัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจลุกขึ้นไปยืนด้านข้าง แสงอาทิตย์แรงกล้าส่องกระทบหน้าของนาง รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนผิวแก้ม
เฟิงจิ่นเปลี่ยนสำเนียงเสียง พูดกับจวงลั่วเยียนว่า “สนมรักเปรียบตัวเองกับดอกไม้ ไม่สู้เดินไปดูกันหน่อยสิว่านั่นคือดอกอะไรกันแน่”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดล้อนาง จวงลั่วเยียนทำได้เพียงยิ้มตอบรับ แต่ในใจกลับเหยียดหยามสันดานร้ายเร้นของผู้ชายพวกนี้ ส่วนปากนั้นพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ก็เหมือนตัดสินพระทัยไปแล้วสิเพคะ สนมเพียงเปรียบเปรยเท่านั้น ไม่ได้เปรียบดอกไม้กับตนเองเสียหน่อย?”
ดอกไม้ไม่เคยงามได้เกินร้อยวัน คนก็ไม่เคยเด่นดังได้ถึงร้อยวันเช่นกัน แม้ผู้หญิงคนนั้นจะงามเพียงไร แต่คนงามก็มีวันโรยราเป็นไม้ใกล้ฝั่ง สมองนางปกติดี ไม่เคยจะมองตนเองเป็นดอกไม้ โดยเฉพาะดอกไม้ที่ดูน่าสงสารอ่อนแอเช่นนั้น?
ประเด็นสำคัญคือ ถ้าดอกไม้ใต้ต้นสนนั้นแห้งเหี่ยวไม่น่าดู นางคงเดือดร้อนแน่แล้ว
ตอนนี้นางอยากจะกระโดดตบหน้าตัวเองเสียจริง ให้เจ้าปากเสีย ให้เจ้าลืมไปว่าผู้ชายที่ดูจริงจังเพียงใดก็มีวันอยากจะล้อเล่นขึ้นมาได้
ขบวนคนทั้งหมดเดินเข้าใกล้พุ่มดอกไม้นั้น จวงลั่วเยียนแอบผ่อนลมหายใจ ดอกไม้ดอกเล็กนี้แม้จะเปรียบไม่ได้กับดอกไม้ที่หวงโฮ่วทรงนำมาให้ชมในงานวันนั้น แต่ดอกขาวบริสุทธิ์ มีใบเขียวเข้มแซมขอบเหลืองทองอ่อน ดูน่ารักเรียบร้อย
“ฝ่าบาท นี่คือหิมะเดือนหก[42]พะยะค่ะ” เกาเต๋อจงทูลบอกด้วยเสียงค่อย “ชาวบ้านบางคนนำต้นไม้นี้มาเพาะในกระถาง ไม่ทนลมแรงและแดดกล้า หมอยาชอบเรียกพืชชนิดนี้ว่ากระดูกม้าขาว นู๋ไฉไม่เป็นการแพทย์ แต่ก็พอได้ยินมาว่าดอกมีฤทธิ์ช่วยล้างไตฟอกเลือด ดับร้อนไล่ลม คิดว่าเป็นดอกไม้ที่มีคุณมากพะยะค่ะ”
“อืม” เฟิงจิ่นพงกศีรษะรับคำ ทำเสียงอืมอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้น ก็ย้ายกล้าต้นนี้ไปปลูกไว้ที่ตำหนักของเจิ้น แม้ดอกจะเล็กไปสักหน่อย แต่ก็ดูน่ารักรื่นเริงดี”
“พะยะค่ะ” เกาเต๋อจงรีบตอบรับ “นู๋ไฉจะไปบอกกับช่างหลวงให้จัดการเรื่องนี้”
“ทำดีๆ อย่าให้เฉาละ” เฟิงจิ่นพูดจบก็หันไปมองดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้ถูกแขวนไว้กลางฟ้า บอกกับจวงลั่วเยียนและเจียงเสียนผินว่า “แดดแรงแล้ว สนมรักทั้งสองรีบกลับไปพักเถิด”
“สนมทูลลา” จวงลั่วเยียนย่อกายถวายคำนับ เหล่มองไปที่ดอกไม้ไม่โดดเด่นนั้น ค่อยขยับกายถอยหลังไปสักระยะ จึงหมุนตัวจากไป
เดินไประยะหนึ่ง เจียงเสียนผินผู้อยู่ข้างกายจวงลั่วเยียนก็กล่าวว่า “หิมะเดือนหกทนเย็นไม่ทนแดด เมื่ออยู่ใต้ต้นสนก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตรอดได้ ถ้ามีอิสระอีกนิด ดอกอาจจะออกงามกว่านี้”
จวงลั่วเยียนหันไปมองเจียงเสียนผินอย่างประหลาดใจ คำพูดของเจียงเสียนผินนั้นแม้ไม่เข้าหู แต่เมื่อคิดดีๆแล้ว กลับไม่พบความประสงค์ร้าย เหมือนจะเป็นคำเตือนสติเสียมากกว่า จวงลั่วเยียนแยกไม่ออกเช่นกันว่าแสร้งพูดเช่นนี้หรือหวังดีจากใจ ดังนั้นจึงตอบไปว่า “หิมะเดือนหกอาจชอบอยู่ใต้ต้นไม้นั้นก็ได้ เจ้าไม่ใช่หิมะเดือนหก จะรู้ได้อย่างไรว่ามันรู้สึกอิสระหรือไม่?”
“เม่ยเม่ยเจ้าพูดถูกแล้ว” เหมือนมีความนัยในน้ำเสียงของเจียงเสียนผิน นางมองจวงลั่วเยียนอีกครั้ง นี่คือหญิงสาวสวยสดใส แววตาของนางไม่เหมือนตนเองที่ถูกกาลเวลาในวังหลังฝนจนเสียความมีชีวิตชีวาไป “ถ้าสามารถอยู่อย่างตามใจได้ชั่วชีวิต คงดีไม่น้อย” ดำรงตนเป็นหญิงที่ไม่เคยได้รับความโปรดปราน ใจนางไม่เคยรู้สึกต่อต้านหรืออิจฉาเจาชงอี้ เพียงรู้สึกเสียดายดอกไม้งามสดดอกนี้ ที่นำใจไปฝากไว้ผิดคน
เมื่อทั้งสองคนเดินไปถึงหอท้อหยก จวงลั่วเยียนชวนเจียงเสียนผินเข้ามาดื่มชาด้วยกัน แต่เจียงเสียนผินปฏิเสธ นางก็ไม่ได้ดึงดัน นั่งบนเก้าอี้นิ่ม แล้วบอกว่าปวดหัว ให้ฝูเป่าไปเชิญแพทย์หลวงมา
สำนักแพทย์หลวงเมื่อได้ยินว่าเจาชงอี้ปวดศีรษะเชิญแพทย์หลวงไปตรวจอาการ ก็ไม่กล้าชักช้า ใช้ให้แพทย์หลวงสกุลถงเดินทางไปที่พำนักของเจาชงอี้ทันที
แพทย์ถงอายุประมาณสี่สิบปี ใช้ผ้าต่วนรองไว้ที่ข้อมือเพื่อตรวจชีพจรของเจาชงอี้ เพียงชั่วครู่ก็ทราบว่าเจาชงอี้มิได้ป่วยเป็นอะไร แต่ปากมิอาจเอ่ยเช่นนั้นได้ เพียงกล่าวว่าอากาศร้อนขึ้นให้พักผ่อนมากๆ
“ท่านหมอถงกล่าวเช่นนี้ ข้าก็วางใจ” จวงลั่วเยียนถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “วันนี้ได้ข่าวว่าว่างผินเจี่ยเจี๊ยไม่สบาย นางเป็นอย่างไรบ้างแล้วท่านหมอรู้หรือไม่”
แพทย์ถงจะรู้เรื่องของว่างผินสนมชั้นเล็กๆได้อย่างไร แต่เมื่อได้ยินจวงลั่วเยียนถามขึ้นก็ต้องตอบไปว่า “นายหญิงว่างไม่ได้อยู่ในส่วนรับผิดชอบของข้าน้อย จึงไม่ทราบรายละเอียด ขอให้นายหญิงอภัยด้วย”
“หมอถงกล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้ว่าสำนักแพทย์หลวงมีงานต้องทำมากมาย” จวงลั่วเยียนให้แพทย์หลวงลุกขึ้นได้ และยังให้ของตอบแทนหลายอย่าง ก่อนจะพูดต่อว่า “เพียงแต่พวกเราเป็นดั่งพี่น้องกัน จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ อยากให้ท่านหมอถงช่วยไปตรวจชีพจรให้ว่างผินหน่อย ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนท่านหมอถงมากไปหรือไม่”
“สุขภาพของนายทั้งหลายเป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วขอรับ ไม่กล้ารับคำว่าช่วยเหลือสองคำนี้” ตอนนี้แพทย์หลวงเข้าใจแล้วว่าเจาชงอี้ต้องการจะให้สำนักแพทย์หลวงใส่ใจในการรักษาว่างผิน
รอจนแพทย์ถงขอตัวกลับไปแล้วเดินทางไปหอจิ้งหยู่ที่พำนักของว่างผินและเจียงเสียนผิน ทิงจู๋ก็เดินถือชามน้ำแข็งเข้ามา “คนในวังพวกนี้ล้วนสอพลอคนใหญ่คนโตรังแกคนไร้ทางสู้”
“แล้วใครไม่เป็นเช่นนี้บ้าง” จวงลั่วเยียนพูดยิ้มๆ “สอพลอคนใหญ่คนโตรังแกคนไร้ทางสู้”เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา วันนี้นางยื่นมือช่วยว่างผิน แค่อยากจะตอบแทนคำกล่าวเตือนเมื่อเช้าของเจียงเสียนผินเท่านั้น
ลูกสาวของตระกูลบัณฑิตนั้นแม้จะดี แต่ก็ไม่เหมาะจะอาศัยอยู่ในวัง ยังดีว่าคนที่เจียงเสียนผินกล่าวเตือนเป็นนางไม่ใช่ผู้อื่น
เรื่องเช่นนี้เกี่ยวข้องกับเวรกรรม ถ้าเป็นผู้อื่นไม่แน่ว่าอาจส่งเสริมเจียงเสียนผินเพียงเพราะประโยคประโยคเดียวของนาง
ในหอจิ้งหยู่ เจียงเสียนผินนั่งบนเก้าอี้นอนยาว อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกับว่างผิน ตอนนั้นเองที่นางกำนัลคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“นายหญิง ท่านหมอถงจากสำนักแพทย์หลวงขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
“เจ้าบอกว่าเป็นท่านหมอถงแพทย์หลวงผู้เก่งกาจท่านนั้น” เจียงเสียนผินมองนางกำนัลอย่างตกใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาตรวจร่างกายตามกำหนด ถึงแม้จะใช่ แพทย์หลวงเช่นท่านหมอถงก็คงจะไม่มาที่หอจิ้งหยู่เป็นแน่
“นู๋ปี้ได้ข่าวมาว่าท่านหมอถงไปตรวจชีพจรให้นายหญิงเจาชงอี้มาเจ้าค่ะ จากนั้นก็ตรงมาที่หอจิ้งหยู่ของพวกเราเลย” นางกำนัลตอบตามที่ได้ยินข่าวมา
“นายหญิงหอท้อหยกผู้นั้นเหตุใดจึงช่วยเหลือข้า” ว่างผินไอทีหนึ่ง ลุกขึ้นนั่งอย่างไม่เข้าใจ หายใจหอบเหนื่อยพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ “เจี่ยเจี๊ย รู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“ไม่ว่าอย่างไร ให้ท่านหมอเข้ามาตรวจเจ้าก่อนถึงเป็นเรื่องเร่งด่วน” เจียงเสียนผินมองว่างผินอย่างปลอบใจ ส่งสายตาให้นางกำนัลออกไปเชิญท่านหมอเข้ามา ถึงกลับมาพูดกับว่างผินว่า “เจ้าวางใจเถอะ”
ว่างผินผ่อนลมหายใจ หลับพักสายตา นางกับเจียงเสียนผินไม่เป็นที่โปรดปราน วันนี้เจาชงอี้ไม่ทราบว่าทำด้วยเจตนาเช่นไร แต่ถ้าไม่มีเจาชงอี้ช่วยเหลือครานี้ ร่างกายของตนเองจะเป็นเช่นไรบ้าง นางเองก็ไม่กล้าไปคิดถึง
เจียงเสียนผินเห็นเมื่อแพทย์ถงเข้ามาก็ทำตัวเกรงใจพวกนางมาก ตรวจชีพจรอย่างระมัดระวัง คงเป็นเพราะเจาชงอี้ได้เอ่ยปากทัก เหตุการณ์ถึงออกมาในรูปแบบนี้ นางคิดถึงสายตาและคำพูดของเจาชงอี้เมื่อเช้า ก็ต้องถอนหายใจคำรบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพื่อตัวนางเองกับว่างผิน หรือเพื่อเจาชงอี้กันแน่
ด้านนอกตำหนักฉีเจิ้ง แสงอาทิตย์กำลังร้อนแรง ราชขันทีเกาเต๋อจงเดินนำหน้าช่างหลวงผู้ถือกระถาง วิ่งเยาะเข้าตำหนักมา เมื่อเข้ามาในตำหนักฉีเจิ้งแล้ว เขาจึงลอบผ่อนลมหายใจ จัดระเบียบชุดคลุมของตนเอง เดินเข้าไปในห้องโถง “ฝ่าบาท หิมะเดือนหกขอบทองได้ถูกนำมาเพาะในกระถางเรียบร้อยแล้ว ดำริให้วางไว้ที่ใดพะยะค่ะ?” ถ้าเป็นไม้กระถางอื่นคงไม่เข้ามาทูลถามเยี่ยงนี้ให้ทรงรำคาญพระทัย แต่วันนี้เป็นกรณียกเว้น
เฟิงจิ่นที่กำลังตรวจราชการอยู่เงยศีรษะขึ้นมา เห็นกระถางหิมะเดือนหกถูกช่างหลวงอุ้มไว้ ก็มองไปรอบๆห้อง จากนั้นชี้ไปที่สนหลัวฮั่น[43]บนระแนงไม้ดอกแล้วพูดว่า “วางไว้ตรงนั้น”
“พะยะค่ะ” เกาเต๋อจงเห็นสนหลัวฮั่นแล้ว ใช้สายตาแนะให้ช่างหลวงนำกระถางไปวางอย่างระมัดระวัง
จัดการเรียบร้อยทั้งหมดก็ทูลลาออกไปนอกห้องโถง เมื่อถึงประตูเกาเต๋อจงหันหน้ามามองหิมะเดือนหกขอบทองและสนหลัวฮั่นอีกครั้ง ถึงก้มหัวลงเดินข้ามประตูออกไป
[42] หิมะเดือนหก
[43] สนหลัวฮั่น
Talk!!!
ทุกคนคงกลับมาจากเที่ยวนอกบ้านแล้ว เจิ้นก็มาอัพนิยายพอดี๊พอดีเลย(ทำมองข้ามพวกปูเสื่อรอไป) ตอนนี้ฮานางเอกอีกแล้ว มีแต่คนสงสาร แสดงละครเก่งเกิน จากตอนที่แล้วสามารถปรับสีผิวได้ตามสภาพแวดล้อม??? ตอนนี้ยังช่วยเหลือว่างผินอีก ใครคิดว่านางช่วยเพราะสงสาร หรือตอบแทนคำเตือนของเจียงเสียนผิน โปรดติตามตอนต่อไป
ตอบคำถาม ทยอยลง เริ่มเยอะ
รถขนมปังกรอบ อาหยี่(大雨)นี่ตอนจะทำวิทยานิพนธ์ติดมาก เฝ้าเพ้อถึงเธอทั้งสองคน นางเอกและพระเอกที่สับสนทางเพศ พอ อ.บอกต้องรีบเขียนทำแลบแล้วน้าไม่งั้นไม่จบ เลยอดอ่านไปตอนหลังจากก่อนแต่งงานนิดเดียว ไคลแมกเลยนะนั่น อ่านเม้นแล้วมันช้ำใจ เลยรออ่านทีเดียวตอนซื้อเล่มดีก่า ขอบอกเลยเฟิงจิ่นโดนชมจนตัวลอยไปติดหลังคาตำหนักแล้ว หุหุ แต่นี่คำชมแน่เหรอ55+
ข้าวปั้น ขอบคุณค่ะ รับไว้พิจารณา สวนหลวงนี่ คือเกี่ยวกับราชาศัพท์จับใส่หลวงให้หมด ขอบคุณเรื่องแนะนำนิยายด้วยนะคะ
ยัยบ๊อง555 หลานหลิงหวางนี่จบบัดซบมาก ดูตอนอยู่จีน โมโหอยู่หลายวัน แต่ชอบตอนพระนางเจอกันมาก พระเอกผมยาวสลวยในสระะน้ำ 55+ นางเอกทำไมไม่ถอดหมดก็ไม่รู้ เสียดาย หุหุ
ลาวดวงเดือน ความคิดบรรเจิดมาก 55+ แต่นางอั้นได้นานมากไปปะ นางทำได้เองค่ะ เสมือนนางเอกหนังที่เปิดปิดสวิสต์น้ำตาได้ คิดว่านะ
รักหวานแหวว ไอหยา ก็ดีนะคะ เดี๋ยวลองให้เสด็จแม่ช่วยพิจารณา
Mummy_In_Dark ขอบคุณค่ะ ตอนแรกต้นฉบับเขียนผิดค่ะ เลยแปลตามเลย ตอนหลังคนเขียนถึงเปลี่ยนเป็นโหรวเฟยนะคะ เดี๋ยวไปแก้ต้นฉบับค่ะ เออที่เจอกันนี่เพราะหวงช่างดวงตกค่ะช่วงนี้ เจอนางหลอกตลอดเลย อีกไม่กี่ตอนนางเอกจะงานเข้าบ้างแล้วค่ะ
ChomPuu ปู้ปู้จิงซินนี่ก็อ่านไม่จบค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบนางเอก แต่ภาษาดีมากเลย ตอนเป็นละครก็ดูไม่จบอยู่ดี แต่พระเอกหล่อจุง หุหุ องค์ชายสี่เพคะ
mushroom boy เรียนกันเป็นครอบครัวดีนะคะ จะได้มีคนช่วยกันฝึกนะ สนุกกว่าเรียนคนเดียวด้วย
NaNTiA เป๊ะมากค่ะ แต้จิ้วนี่ฟังได้แต่คำพื้นทั้งนั้น
มินมิน อ่านรู้เรื่องนี่แล้วแต่เรื่องที่อ่านค่ะ อย่างเรื่องนี้ต้องสะสมศัพท์หน่อย ตอนนั้นเจิ้นสองปีก็อ่านหนังสือพิมพ์จีนสบายๆได้แล้วนะคะ พูดกับฟังจะเร็วกว่ามาก ประมาณสามถึงหกเดือน หมายถึงเรียนทุกวันนะคะ เรียนภาษาจีนต้องขยันค่ะ อ่านดะเลย เดี๋ยวก็ชินเอง เป็นกำลังใจให้นะคะ เริ่มจาก่อานนิทานก่อนก็ได้ค่ะ
Maou ไม่บอกสองสามเป็นหกตอนเลยละ แหมๆๆ เจิ้นจะเป็นซากไปก่อนอะจิ
Lullaby เว็บแปลนี่ไม่ค้อยรู้เลยอ่า ขอให้คนที่ทราบช่วยตอบให้ด้วยนะคะ
วันนี้ไม่ต้องรออีกตอนน้า เก็บเสื่อๆๆ พยายามแปลแต่ไม่เสร็จอ่า ไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ทุกคน เดี๋ยวเช้าใส่บาตรให้ เอ้ย หมายถึง ใส่บาตรเผื่อน่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลับมาก็ปูเสื่อรอเลย
ตอนนี้รู้สึกน่ารักแปลกๆ 5555
เป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อจริงๆ
อยากรู้ใครกันน้าจะทำนางเอกงานเข้า รอๆ
หวงช่างคงประทับใจในคำพูดของชี และคงไม่เคยมีใคร
ทำท่าทีรักจริงด้วย มัวแต่กลัวกับยั่ว?
หลานหลินหวางนี่เราดูแล้วสงสารพระรองมากๆๆ ส่วนเจิ้นหวนดูแค่ตอนเดียว เห็นหน้าฮ่องเต้แล้วหมดอารมณ์ดูต่อ (รู้สึกหาฮ่องเต้หล่อๆ ยากจัง ฮ่องเต้เรื่องหลานหลินหวางยิ่งแล้วใหญ่ ไม่หล่อแล้วยังงี่เง่าน่าตึ้้บมาก)
ตอนนี้อยากกลับไปเรียนภาษาจีนจัง ติดว่าแก่เกินแกงแล้ว ยิ่งเห็นหนังสือภาษาจีนเวลาไปห้องสมุดในเมืองแล้ว น่าอ่านทั้งนั้นเลย แม้แต่หนังสือเด็กยังทำออกมาน่ารักมากเลย
ขอบคุณที่อัพเดทค่ะ
ราชบุตรเขยฯ ก็สนุกไปแบบนีง เรื่องนี้ก็สนุกไปอีกแบบ แปลได้เก่งมากเลยค่ะ
ชอบค่ะ สนุกมากกๆๆๆ มาอัพต่อไว ๆ นะคะ จะรอติดตามค่ะ
กลับมาหออันดับแรกต้องเปิดดูก่อนเลยว่าอัพรึยัง อัพแล้วต้องรีบอ่าน ของเค้าแปลดีจริง ๆ :)
ปล. แว๊บกลับไปเป็นนักอ่านเงาเหมือนเดิม อิอิ อาจจะไม่ค่อยเม้นแต่ก็ชอบอ่านนะคะ
ว่าแล้วก็นึกถึงตอนที่ห่วงช่างชมนาง.....
อืมมมมมม.....หรือจะใช่??