ตอนที่ 1 : บทที่1 อยู่ๆก็กลายเป็นจวงหว่านอี้
บทที่1 อยู่ๆก็กลายเป็นจวงหว่านอี้
เคยมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าบรรพบุรุษสิบแปดโครตของคนๆหนึ่งทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมายพอ จนทำให้ต้องข้ามภพมาเป็นนางสนมวังต้องห้ามแล้วไซร้ คนๆนั้นจะมีทางให้เลือกเดินได้แค่สองทาง คือ “รุก” เกี้ยวพาพระทัยหวงตี้ให้ได้หรือ “ยอม” ให้หวงตี้และพวกวังหลังรังแกจนตาย
จวงลั่วเยียนเคยหัวเราะเยาะคนที่พูดประโยคนี้ว่าประสาทกลับ แต่ไม่นานนักเธอก็เข้าใจสัจธรรมข้อหนึ่ง ในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มีแต่เรื่องที่คิดไม่ถึงเหตุผลของมัน
เดือนสามดอกท้องามฉูดฉาด ในวังหลังนี้กลับมีสตรีที่งามสดใสยิ่งกว่า
นอกตำหนักของหวงโฮ่ว[2] นางสนมที่ไม่งามหมดจดก็น่ารักสดใส หรือไม่ก็ล้นด้วยเสน่ห์ต่างพากันเดินนำหน้านางกำนัลของตนอ้อมผ่านไป สายตาที่กราดไปที่หญิงผู้นั่งคุกเข่านอกตำหนักนั้นล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกเปรมปรีดิ์เยาะเย้ย
“นายหญิง...” เสอยวี่เบนสายตาจากร่างสตรีที่คุกเข่าอยู่ แล้วกล่าวออกด้วยเสียงแผ่วเบา ออกจะหวาดหวั่นเล็กน้อย พร้อมทั้งสังเกตสีหน้านายหญิงของตนอย่างละเอียด
จวงเจี๋ยอยวี่[3]ชายหางตาไปที่ชุดกระโปรงยาวของนางกำนัล “หัวหดเยี่ยงนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” เมื่อเห็นเสอยวี่ยืดตัวตรงแล้วจึงแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มไม่ยิ้มมองตรงไปที่สตรีที่คุกเข่าบนพื้น “น้องสาวของข้าคนนี้หยิ่งผยองมานาน วันนี้ต้องขายขี้หน้า ในที่สุดคงจะได้เรียนรู้อะไรซักนิดก็ยังดี”
เสอยวี่เห็นรอยยิ้มเยาะให้แววตาของจวงเจี๋ยอยวี่แล้วรู้สึกหลังเย็นวาบ จะเยี่ยงไรจวงหว่านอี้ก็เป็นน้องสาวของนายหญิง ถึงแม้จะไม่ใช่พี่น้องท้องแม่เดียวกัน แต่ก็เป็นคนตระกูลจวงเหมือนกัน ตอนนี้นายหญิงกลับไม่ระลึกถึงความสัมพันธ์นี้เพียงนิด
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันจวงหว่านอี้เคยได้รับความเอ็นดูจากองค์หวงตี้ แต่ทำตัวยโสจองหอง ให้สิ้นซึ่งพระกรุณา ทั้งยังละเลยมารยาทต่อหน้าขบวนเสด็จหวงโฮ่ว จนต้องตกต่ำถึงเพียงนี้ ได้ข่าวว่าเมื่อวานป่วยจนสลบไป วันนี้ยังต้องมารับโทษคุกเข่านอกตำหนักหวงโฮ่ว จวงหว่านอี้[3]...น่ากลัวว่าจะสิ้นชื่อไปจากวังคราวนี้
หัวเข่าส่งทอดความเจ็บปวดยากทนทาน ทำให้จวงลั่วเยียนตื่นจากพะวงว่าไม่ได้กำลังฝันเรื่องราววังหลังที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง แต่กลายมาเป็นนางสนมคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอย่างหาคำอธิบายไม่ได้
ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ แค่ตำแหน่งเล็กๆนางสนมชั้นห้าหว่านอี้ เทียบกับในวังหลังที่มีหญิงงามมากมายกว่าดอกไม้ ใครก็ตามที่มีตำแหน่งสูงกว่าก็สามารถบดนางจนเป็นผงอย่างง่ายดาย คิดถึงนางสนมที่ไม่เป็นที่โปรดปรานทั้งไม่มียศศักดิ์ในวังหลังต้องตกอยู่ในสภาพเช่นไร ก็ต้องถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่ง
แอบใช้แขนเสื้อขนาดกว้างนวดหัวเข่าอย่างระมัดระวัง จวงลั่วเยียนเงยหน้ามองป้ายที่แขวนเหนือประตูตำหนัก ตำหนักจิ่งยาง ตำหนักที่หญิงชาววังทุกคนอยากเข้าไปพำนัก
ในสมองมีความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนถมทับอยู่ จวงลั่วเยียนรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจึงพยายามก้มหน้าบดบังหว่างคิ้วที่ขมวดอย่างควบคุมไม่ได้ เก็บชีวิตใหม่มาได้ทั้งที จะให้มาทำตัวขี้ขลาดจนถูกรังแกไปทั้งชาติคงไม่ได้
แต่ว่าอยากรู้จริง โคตรเง้าสิบแปดชาติของนางทำอะไรไว้งั้นหรือ ถึงต้องมาเป็นหนึ่งในสมาชิกกำจัดบอสใหญ่หวงตี้ที่วังหลังกับเค้าด้วย และเห็นได้ชัดๆว่าสมาชิกคนนี้ไร้ซึ่งกำลังโจมตีและพลังป้องกัน
“ข้าก็นึกว่าเป็นนางสนมเอกองค์ไหนมาคุกเข่าแถวนี้ ที่แท้เป็นจวงหว่านอี้ ดูซิหน้าซีดเซียวหมดแล้ว ยิ่งมองข้าก็ยิ่งสงสาร”
จวงลั่วเยียนเงยหน้าขึ้น หางตาชายมุมชายกระโปรงสีฟ้าของคนพูด สตรีเบื้องหน้าแกล้งเชิดเสียงสูง ดูก็รู้ว่าไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของร่างนี้ ทั้งยังสะใจที่ตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพปัจจุบัน แต่ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่าเป็นคนที่ไม่ฉลาดซักเท่าไหร่ นางสนมที่ฉลาดพอคงไม่มาทำกริยาอวดดีอย่างโจ่งแจ้งที่หน้าตำหนักหวงโฮ่วเยี่ยงนี้
“นู๋ปี้[4]ขอคารวะหม่าเจี๋ยอยวี่” นางกำนัลที่คุกเข่าข้างจวงลั่วเยียนรีบหมอบลงไปทันที อย่างกับเกรงว่าถ้าช้ากว่านี้เพียงครึ่งนาทีจะทำให้หม่าเจี๋ยอยวี่ไม่พอใจ แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านอะไร คำนับให้แล้วคุกเข่าตัวตรงต่อไป
“คำนับหม่าเจี๋ยอยวี่แล้ว” จวงลั่วเยียนคิดว่า ยอดหญิงต้องยืดได้หดได้ นางเลือกยอมก้มหัวย่อมฉลาดกว่ายอมถูกตัดหัวเป็นไหนๆ
ในความทรงจำ หม่าเจี๋ยอยวี่เข้าวังมาแล้วหลายปี เริ่มแรกก็เป็นที่โปรดปราน ก่อนหน้าก็โดนเจ้าของร่างนี้รังควาญไม่น้อย ตอนนี้เจ้าของร่างเก่าสิ้นแล้วซึ่งพระหฤทัยของจักรพรรดิ์ จะไม่ให้นางไม่เปรมปรีดิ์สะใจได้อย่างไร
ถ้าจะบอกว่าหม่าเจี๋ยอยวี่กระทำเช่นนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก งั้นการกระทำของเจ้าของร่างก่อนหน้านี้ก็คือโง่ดักดาน เป็นที่โปราดปรานนิดหน่อยก็ทำตัวโอหัง ตกอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่ถือว่าถูกปรับปรำอะไร
ชาติที่แล้วดูละครวังหลังตีกันมาก็ไม่น้อย นางวังต้องห้ามล้วนพร้อมด้วยรูปลักษณ์และเล่ห์อุบาย ใครก็ไม่อาจดูถูกได้ จวงหว่านอี้คนนี้แค่ได้ยศเพิ่มจากกุ้ยซี[3]มาเป็นหว่านอี้ ก็ลืมว่าตนเป็นใคร นางป่วยตายไป กลับต้องเป็นตนเองต้องมาตามเก็บกวาดให้
ชาติที่แล้วนางทำงานที่ต้องพูดเก่งทำเป็น ชาตินี้ยังต้องทำงานเฮงซวยนี้อีก แต่มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ไป “สั่งสอน” หวงตี้ซักหน่อยก็คงโดนหวงตี้ “สั่งสอน” สองทางเลือกนี้เลือกทางไหนลำบากกว่ากันนะ?
ความชาที่หัวเข่าทำให้นางคิดได้ว่าจะมาเป็นนางโลมก็ต้องใช้ชีวิตให้มีชีวิตชีวาหน่อย จะตายก็ต้องตายอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ถึงจะพิชิตหวงตี้ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าถูกวังหลังกลบฝัง
พูดกันในทางเศรษฐศาสตร์ การจะได้เชยชมหวงตี้นั้นไม่ต้องพูดถึงว่ามีคุณสมบัติพอหรือไม่ ฝ่ายนั้นกลับเตรียมเสื้อผ้าอาหารที่อยู่ให้พร้อมเสร็จสรรพ เล่นเที่ยวสนุกตามใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องขับรถว่าน้ำมันจะขึ้นราคา ทั้งยังไม่ต้องทำงานที่ต้องกังวลว่าจะต้องรับแขกน่าอาเจียน นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องตื่นเช้ากลับดึก ทำงานที่ไม่มีวันหมดแต่รับเงินเดือนเท่าเดิมอีก
ถ้างั้นนางคงต้องพิจารณาทางเลือกจะ“สั่งสอน”หวงตี้ยังไงดีกว่า?! ถึงแม้หวังผลสำเร็จไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยในที่เซ็งกะบ๊วยแบบนี้ก็ยังมีจุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่ให้ไขว่ขว้า คนเราไม่กลัวสภาพลำบาก แต่กลัวไม่มีจุดหมายไม่ใช่หรือไง?
หม่าเจี๋ยอยวี่เห็นว่าตนเองพูดยั่วยุไปตั้งนานกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากจวงลั่วเยียน ความสะใจก็กลับกลายเป็นความไม่พอใจ “จวงหว่านอี้ ทำไม ข้าไม่คู่ควรพูดกับเจ้าหรือไร?! ”
“หม่าเจี๋ยอยวี่กรุณา ไม่ใช่ว่าเหม่ยเหม่ย[5]หาญกล้าเช่นนั้น เพียงแต่หวงโฮ่วมีรับสั่งให้ข้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ข้าไม่กล้าหย่อนยานเพียงนิด ขอหม่าเจี๋ยอยวี่กรุณาด้วย” จวงหว่านอี้ยิ่งก้มหัวลงต่ำไปอีก ไม่มองสีหน้าหม่าเจี๋ยอยวี่ แค่ฝุ่นกระสุนปืนใหญ่แค่นี้ความสาหัสเทียบไม่ได้เลยกับพวกนักข่าวที่เคยเจอ
คิดถึงตอนนั้นบริษัทของนางผลิตนมมีปัญหา เผชิญหน้ากับคำถามนักข่าวนางก็จัดการได้อย่างสวยสดงดงาม พวกนักข่าวสิถึงจะเรียกได้ว่าปากใบมีดโกนของแท้
แต่ว่าที่ทำให้นางต้องข้ามภพมา...คงไม่ใช่เพราะว่าผลิตภัณฑ์บริษัทมีปัญหาคุณภาพ แล้วตัวเองที่เป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ รับพลังอาฆาตแค้นจากลูกค้า เพราะฉะนั้นก่อนตายถึงได้สภาพอนาถ ทั้งยังต้องข้ามภพมาที่เฮงซวยเช่นนี้อีก ดังนั้นนางต้องระกำลำบากข้ามภพมาไม่เกี่ยวกับบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตร แต่เพราะตัวเองทำบาปเองหรือนี่?
ความจริงที่ต้องบอกชาวโลก โรงงานผลิตของไร้คุณภาพต้องรับผลกรรม!!
แต่ว่า...นางจะถูกปรักปรำไปหน่อยไหม?นางแค่ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผู้บริสุทธิ์นะ แต่ว่า(อีกครั้ง) ประชาสัมพันธ์ยังโดนขนาดนี้ เจ้านายของนางชาติหน้าต้องเกิดไปเป็นตัวอะไรถึงจะสลายพลังความแค้นมวลชนได้เนี่ย?!
หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ประจักษ์ชัด กรรมสนองไม่ผิดพลาด...มีเหตุผลๆ
“เจ้า...” หม่าเจี๋ยอยวี่เห็นว่าจวงหว่านอี้ไม่เห็นนางในสายตา หน้าก็ง้ำลงทันใด
“ดีมาก เปิ่นกง[6]เคยคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ วันนี้เห็นเจ้ารู้จักระเบียบ ก็ละโทษคุกเข่าได้” ไม่รู้ว่าหวงโฮ่วมาปรากฏตัวด้านหลังทั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไร ทั้งร่างแสดงความสูงศักดิ์
“สนมกล่าววาจาไร้แก่นสาร โชคดีที่หวงโฮ่วสั่งสอน ขณะนี้ถึงทราบว่าไม่เหมาะสมเรื่องใด หวงโฮ่วเหนียงเหนี่ยงทรงกรุณา ถึงได้แค่ลงโทษคุกเข่า สนมไม่มีหน้าพบพระองค์จริงๆ” จวงลั่วเยียนกล่าวจบก็คำนับอย่างพิธีการอีกครั้ง แล้วค่อยๆลุกขึ้น เมื่อตัวตรงจึงรู้ว่าหัวเข่าชาจะหมดความอดทน จนเกือบไร้ความรู้สึกแล้ว แต่หน้าตาไม่สามารถแสดงความเจ็บปวดออกมาได้ ว่าแต่ต้องมาพูดจีบปากจีบคอเช่นนี้ไม่คล่องปากเลยจริงๆ
คนเราขอเพียงคิดจะมีชีวิตดีๆแล้วต้องรู้จักเรียนรู้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม อย่างที่ว่าไว้ในหนังสือเรียนว่าชีวิตแข่งขันกัน มีฟ้าเลือกผู้เหมาะสมให้มีชีวิตรอด ไม่ได้เป็นเพียงบทเรียนหลอกเด็กหรอกนะ
หวงโฮ่วเห็นว่าจวงหว่านอี้รู้การรู้งานดี สีหน้าจึงดีขึ้นมาบ้าง แค่หว่านอี้ที่ไร้เมตตาจากองค์หวงตี้ ยิ่งเมื่อตระกูลจวงมีตำแหน่งไม่ต่ำช้าในราชสำนัก พระนางจึงไม่จำเป็นกระทำเกินเลยให้เป็นการหักหน้าตระกูลจวง ทั้งยังสามารถรักษาภาพพจน์ใจกว้างไว้ พระนางจึงยินดีเป็นที่ยิ่ง
สตรีที่ไร้สมองอย่างจวงหว่านอี้ หวงช่าง[1]ก็แค่ชิมรสแปลกใหม่ไม่นานก็ลืมไปจากกะหม่อม พระนางไม่จำเป็นต้องกดดันจนไร้หนทาง วังหลังผู้หญิงเยี่ยงนี้มากขึ้นมาคนหรือลดไปหนึ่งคนก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
คิดถึงตอนนี้หวงโฮ่วก็มองหม่าเจี๋ยอยวี่ด้วยสายตาเย็นชา เห็นนางตัวสั่นขึ้นมาจึงให้นางกำนัลพยุงกลับเข้าตำหนักไป
เมื่อวรองค์ของหวงโฮ่วลับสายตาไป หม่าเจี๋ยอยวี่จึงกล้ายื่นมือมาซับเหงื่อเย็นที่หน้าผาก หันหน้าเห็นจวงหว่านอี้ทำสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ไม่มีท่าทีอับอาย ก็ส่งเสียงหึไม่ยินยอมเบาๆแล้วจึงเดินส่ายร่างนำหน้าเหล่านางสนมของตนจากไป
“นายหญิง” นางกำนัลข้างกายจวงหว่านอี้เห็นหม่าเจี๋ยอยวี่จากไปแล้วจึงรีบพยุงนายหญิง สายตากังวลที่ส่งมาไม่เหมือนจะเป็นการหลอกลวง
จวงลั่วเหยียนมองนางกำนัลแล้วคิดว่าถ้าจำไม่ผิดคงชื่อว่าหยุนซี เป็นคนที่เจ้าของร่างนี้คนก่อนพาตัวมาจากบ้าน ก่อนเข้าวังตระกูลจวงตระเตรียมงานให้จวงลั่วเยียนหลายสิ่งอย่าง แต่ขาดดุลพินิจไปว่าจวงลั่วเหยียนนั้นนิสัยอุบายไม่เหมาะสำหรับการเข้าวัง จนทำให้ตกต่ำถึงเพียงนี้
“กลับกันเถอะ” เห็นท่าทีของหวงโฮ่ววันนี้ก็พอทราบได้ว่า คงไม่มีการทับถมซ้ำเติมอะไรอีก สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือพักฟื้นและวางแผน
ดูละครประวัติศาสตร์น้ำเน่าวังหลังมาก็มาก จวงลั่วเยียนรู้ดีว่าสำหรับจักรวรรดิแล้วผู้หญิงก็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ดีใจก็ซ่อนไว้ในปราสาททอง เบื่อหน่ายก็เขี่ยทิ้งดังขยะ แต่ว่าถ้าเพียงไม่เป็นที่โปรดปรานเพียงน้อย ฐานะในวังแห่งนี้คงสู้นางกำนัลขันธีไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตที่สุขสบาย
ตอนนี้ได้ชีวิตเพิ่มมาหนึ่งชาติ ควรจะมีชีวิตที่สบายใจ ถ้าได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะนางสนมรักหรือสนมทรยศ ก็คงคุ้มค่าที่ต้องมาประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้
จะให้พูดถึงว่าตอนนี้ยังมีอะไรที่เสียดายก็คือไม่ควรกังวลจะหางานไม่ได้จนไม่กล้าลาออกจากบริษัทผลิตนมแพะโบราณ ตอนนี้ต้องตกมาอยู่ในสถานะแข่งขันกับสาววังหลัง นี่มันกรรมตามสนองชัดๆ
เพราะความสำคัญของตระกูลจวงในราชสำนัก หอท้อหยกที่ทางวังจัดเตรียมให้จึงถือว่าอยู่ในตำแหน่งไม่เลวนัก ทั้งยังมีสวนป่าท้อ ตอนนี้ต้นเดือนสามแล้วดอกท้อกำลังจะบานสะพรั่ง รอเวลาดอกท้อบานหมดป่าไม่รู้จะมีบรรยากาศเยี่ยงไร
จวงลั่วเยียนนั่งเกียจคร้านลงบนเบาะนิ่มเอนตัวพิงพนักทันทีที่กลับถึงหอท้อหยก ปล่อยให้หยุนซีนวดเข่าให้ หยุนซีน้ำหนักมือไม่เลว จวงลั่วเยียนปรือตาลงช้าๆ
ผ่านไปครึ่งก้านธูป จวงลั่วเยียนถึงลืมตาอีกครั้ง มองกราดไปรอบห้อง “หยุนซี ลู่อี้ไปไหน”
หยุนซีลอบหยั่งสีหน้าไร้ความรู้สึกของนายหญิง ใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย “นู๋ปี้ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าก็แค่หว่านอี้ที่ถูกละเลย รอนางกลับมาให้ไล่ไปอยู่โรงผ้าเป็นคนซักผ้าซะ หอท้อหยกคงจะเล็กเกินไป นางจึงอยู่ไม่ได้” พูดจบก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก
หยุนซีลังเลเล็กน้อย “นายหญิง ถ้าตอนนี้ไล่ลู่อี้ไป เกรงว่าตำหนักเล็กอื่นๆจะ...”
จวงลั่วเยียนหัวเราะเยาะ “ก็ไม่มากน้อยไปกว่านี้แล้ว ข้างกายข้าไม่รับคนรับใช้เยี่ยงนาง”
หยุนซีตกใจจนหว่างคิ้วกระตุก ก้มหน้าลงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ในใจแอบสั่นไหว หลังจากเผชิญกับเรื่องร้ายดีขึ้นลงนายหญิงคล้ายจะไม่เหมือนเดิม
บางครั้งโหดเหี้ยมเด็ดขาดถึงจะสามารถมีชีวิตที่สบายในวังได้ คนที่จิตใจดีเกินไปแม้อยู่ในวังหลังได้ แต่ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น คนที่ทำงานในวังมานานต่างรู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์ต่อตนเอง ล้วนไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาอีกต่อไป
ถึงเวลาอาหารกลางวัน โรงอาหารกว่าจะส่งสำรับมาก็เลยเวลาเที่ยงไปนานแล้ว อาหารสีสันไม่น่ารับประทานเท่าไหร่ จับก็ไม่ร้อน จวงลั่วเยียนมองสำรับด้วยสีหน้าไร้ความยินดียินร้าย คนรับใช้มองดูไม่ทราบว่ากำลังโกรธหรือเศร้าประการใด
รอจนตั้งสำรับเสร็จ กับข้าวมีแค่สี่อย่าง แกงจืดหนึ่งถ้วย ขนมหนึ่งจานเล็ก แกงเย็นชืด ขนมก็ไม่คล้ายพึ่งออกมาจากเตา ล้างมือเสร็จก็เริ่มทานหน่อไม้เขียวซอยชึ้นหนึ่ง ถึงแม้จะไม่สดใหม่ แต่รสชาติพอใช้ ชาติที่แล้วเวลางานยุ่งมาก ฟาสต์ฟู้ดกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็กินไม่น้อย อาหารแค่นี้พอจะได้อยู่
เห็นนายหญิงไม่ได้ไม่พอใจอาหารที่โรงอาหารส่งมา ทั้งนางกำนัลและขันธีต่างพากันเบาใจไปเฮือกหนึ่ง
จวงลั่วเยียนรับประทานข้าวเสร็จแล้วลู่อี้ถึงจะกลับมาถึงหอท้อหยก จวงลั่วเยียนถือถ้วยชาไม่มองนางที่คุกเข่าด้านหน้าตน จนกระทั้งผ่านไปครึ่งก้านธูปจึงถอนหายใจคำรบหนึ่ง “ข้าเป็นนายไม่ชอบรังแกใคร วันนี้ลู่อี้เจ้าแม้จะหนีเวรโดยไม่ลา แต่ข้าก็เห็นใจที่เราเคยเป็นนายบ่าวกัน เจ้าไปทำงานที่โรงผ้าแล้วกัน ส่วนจะทำอะไรนั้นให้หยุนซีไปบอกคนที่นั่น คงไม่ขาดงานให้เจ้าแน่นอน”
“นายหญิง” ลู่อี้คิดไม่ถึงว่าจวงหว่านอี้จะกล้าทำเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้ นึกไปว่านางคงโกรธมาก จึงโขกศีรษะร้องขอความเมตตา “ขอให้นายหญิงกรุณา ขอให้นายหญิงกรุณา ต่อไปนู๋ปี้ไม่กล้าแล้ว...”
“ฝูเป่า อุดปากนางซะ วันนี้ข้าเพลียแล้วไม่รักที่จะฟังพวกนี้” จวงลั่วเยียนลุกขึ้น ตัดสินใจจะเพลิดเพลินไปกับโอกาสที่นางสนมทุกคนได้รับให้นอนได้ตอนบ่าย
ดูจากสวัสดิการที่สามารถนอนอิ่มได้ เทียบกับงานประชาสัมพันธ์ชาติก่อนแล้วการทำงานเป็นสนมดีกว่าเยอะ
นี่ถือเป็นสวัสดิการทดแทนเล็กน้อยที่ต้องมารับกรรมข้ามภพหรือเปล่านะ
ชาติที่แล้วผู้หญิงโดนใช้งานเยี่ยงผู้ชาย ใช้งานผู้ชายเยี่ยงวัวเยี่ยงควาย นอนกลางวันเป็นแค่ตำนาน มีคนคอยปรนนิบัติกินข้าวนอนหลับนี่เป็นฝันกลางวันชัดๆ
ฉะนั้น จวงลั่วเยียนพอใจแล้ว เพราะนางเชื่อว่า เจ้านายของนางเกิดใหม่ต้องเผชิญชีวิตที่ยิ่งกว่าหมูหมา เพราะว่ารายนั้นถึงจะเป็นต้นต่อความชั่วร้าย มีคนมาเปรียบก็ได้ผลออกมา มีผลออกมาถึงเกิดความสมดุลในจิตใจ อีกอย่างพ่อแม่ของนางก็เสียไปแล้ว ถึงนางจากมาก็คงไม่มีคนทุกข์ระทมใจ นี่ถือเป็นค่าชดเชยของชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นนางจึงยอมรับชะตากรรม
[1] หวงตี้; หวงช่าง หมายถึง จักรพรรดิ; กษัตริย์; ราชา
[2] หวงโฮ่ว หมายถึง ราชินี; จักรพรรดินี
[3] เจี๋ยอยวี่; หว่านอี้; กุ้ยซี หมายถึง ตำแหน่งของสนม แบ่งเป็นเก้าระดับชั้น โดยชั้นที่หนึ่งตำแหน่งสูงสุด แต่ละระดับชั้นยังแบ่งเป็นหลัก รองและล่าง และยังมีชื่อเรียกแบ่งย่อยไปอีก เจี๋ยอยวี่คือสนมระดับชั้นสี่ล่าง; หว่านอี้คือสนมระดับชั้นห้ารอง; กุ้ยซีคือสนมระดับชั้นห้าล่าง
[4] นู๋ปี้ หมายถึง สรรพนามแทนตนเองของนางกำนัล ขันธี
[5] เหม่ยเหม่ย หมายถึง น้องสาว ในเรื่องนางสนมใช้เรียกแทนตัวเองกับนางสนมที่ยศสูงกว่า
[6] เปิ่นกง หมายถึง สรรพนามแทนตนเองของหวงโฮ่ว
[7] กุ้ยเฟย; กุ้ยผิน; เฟย; เจาหลง; ซูอี้; หลงหัว; เหลียงอี้ หมายถึง ตำแหน่งของสนม กุ้ยเฟยคือสนมระดับชั้นหนึ่งรอง; กุ้ยผินสนมระดับชั้นสามล่าง; เฟยสนมระดับชั้นหนึ่งล่าง; เจาหลงสนมระดับชั้นสองหลัก; ซูอี้สนมระดับชั้นสองรอง; หลงหัวสนมระดับชั้นห้าหลัก; เหลียงอี้สนมระดับชั้นหกหลัก
เพลงประกอบละคร金玉良缘 (บุพเพสันนิวาส)
http://www.youtube.com/watch?v=YcQ_HXkX6Ls
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ซื้อมาอ่านจนจบ แต่พอจะอ่านรอบสองก็ยังต้องมาอ่านของแปลอันนี้ก่อน แล้วค่อยไปต่อในเล่ม อ่านอันนี้มันรู้สึกมันส์กว่า(ความเห็นส่วนตัว)
มึนชื่อตำแหน่งมากมาย T0T
จะเอาแบบนี้ๆๆๆ
กระซิกๆๆ