ในห้างหรูกลางใจเมือง  ผมนั่งอยู่ริมกระจกของร้านไก่ทอดชื่อดัง  บนโต๊ะมีน่องไก่ อกไก่ และปีกไก่ที่ถูกทอดในไทยแต่ใช้ชื่อฝรั่งมันถึงได้แพงเป็นสองเท่าสามเท่ากับไก่ทอดในตลาดทั่วไป  ผมกับสาวสวยอีกคนหนึ่งกำลังนั่งกินกันอย่างลืมราคาที่จ่ายไป  มีเศษเนื้อติดอยู่ที่กระดูกใช้มีดหั่นก็หั่นไม่ได้ จะใช้มือหยิบเอาขึ้นมาแทะก็กลัวจะเลอะปากและที่สำคัญกลัวเป็นแกะดำเพราะคนอื่นๆที่นั่งอยู่ในร้านเขามีวัฒนธรรมสูงส่งใช้มีดกับส้อมกินอย่างช่ำชอง เหมือนใช้กินข้าวมาตั้งแต่เกิด นั่งหลังตรงขมิบปากกินคำเล็กไม่เปรอะเปื้อนดูสะอาด  ถ้ามีเนื้อติดกระดูกมีดหั่นเข้าไม่ถึงก็เป็นอันว่าชิ้นนั้นคือขยะ  ถ้าคอแห้งก็หยิบแก้วน้ำดำมาดูดเบาๆพอรู้สึกมีน้ำจากหลอดขึ้นมาที่ปาก      ห้ามดูดเอาเป็นเอาตายเหมือนผีดิบ  และน้ำดำที่นี่ก็ให้คิดเสียว่าเป็นน้ำทิพย์จากสวรรค์ต้องจิบดูดทีละน้อยเพราะมันแพงเหลือเกิน  ที่นี่น้ำดำแก้วเดียวที่ดูดไม่กี่ครั้งก็เห็นน้ำแข็งที่ซ่อนตัวผุดขึ้นมาจนเต็มแก้วราคาแพงกว่าขวดลิตรที่สามารถดูดดื่มจนเรอโอ๊กอ๊ากกันอย่างสบายทั้งครอบครัว 
    ผมนั่งกินอย่างคุณชายเพราะน้อมรับความละอายอย่างไม่เต็มใจ  ที่จะปล่อยให้เศษเนื้อไก่และกระดูกอ่อนที่ติดอยู่ตรงข้อกระดูก แปรสภาพไปเป็นขยะ เพราะถ้าเป็นที่บ้านถ้าไม่ถึงไขกระดูกผมไม่เลิกแทะแน่นอน ต้องกินต้องดูดจนกระดูกจืด  แต่นี่มีเธอนั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งผมกำลังหว่านขนมจีบอยู่ในช่วงทำคะแนนจึงไม่ใคร่จะแสดงตัวตนต่อสายตาของเธอและคนรอบข้าง    ทว่าครู่นั้นขณะที่ผมกำลังบรรจงหั่นมีดลงไปในเนื้อไก่แล้วแหวกเนื้อให้ควันระอุขึ้นมา  ก็หันไปเห็นลุงคนหนึ่งซึ่งมองดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะมาเที่ยวดูหญิง  เพราะเสื้อที่ใส่ก็เก่าซีดจนเกือบจะไม่รู้ว่าสีขาวหรือสีครีม แถมยังมีรอยขาดประดับอยู่หลายจุดบนเสื้อ  กางเกงขายาวสีกากีเก่าๆเหมือนที่ข้าราชการสวมใส่แต่ว่าถ้าเทียบอายุกางเกงตัวนี้ก็คงจะปลดเกษียณไปนานแล้ว เพราะชายขอบนั้นขาดยุ่ยไม่เป็นกลีบ  แต่ก็ยังคงอินเทรนด์อยู่บ้างตรงที่ลุงใส่รองเท้าผ้าใบขาดๆเซอร์ๆเหมือนพวกอินดี้ที่รองเท้าดีๆมีใส่ไม่ใส่กันจะต้องขาดต้องเปื่อยถึงจะได้  เรื่องผมเผ้าไม่ต้องพูดถึงเส้นผมคงจะลืมสัมผัสของหวีไปแล้ว  สีผิวดูคล้ำจนเกือบเรียกว่าดำคงจะดำจากการผ่านแดดมานับพันๆแดด  ร่างกายที่ผ่ายผอมแต่ดูแข็งแรงเพราะผอมไปด้วยกล้ามเนื้อ  ขณะนั้นผมเดาเอาเองว่าลุงคงจะเป็นคนที่มีอาชีพที่คนอย่างเราไม่พึงที่จะอยากทำอย่างแน่นอน  แต่เพียงแค่นี้ยังไม่สะดุดตาเท่ากับ เด็กผู้หญิงอีกสองคนที่วิ่งเข้ามาหาลุงพร้อมแผ่นกระดาษโฆษณาที่ทำจากกระดาษมันสี่สีสวยงาม  โดยที่เด็กทั้งสองไม่ได้สวมรองเท้าเลยซักข้าง  ผิวที่คล้ำและเป็นลอยคราบเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแต่ทั้งสองดูขาวขึ้นไปถนัดตาเมื่อมองลงมายังฝ่าเท้าลามไปถึงเกือบจะหัวเข่าที่ดำเมี่ยมไปด้วยฝุ่นดิน  โดยเฉพาะเล็บที่ดูจะดำฝังลึกไปทุกซอก  ดูแล้วเดาเอาได้ว่าลุงคือพ่อของเด็กผู้หญิงทั้งสอง 
    พวกเขายืนคุยกันอยู่หน้าร้านไก่ทอดโดยที่สายตาทั้งสามคู่กำลังมองไปที่ใบโฆษณาสี่สีในมือของลุง และมันคงเป็นประเด็นการพูดคุยของพวกเขา    ผมเพ่งมองด้วยความอยากรู้เรื่องของชาวบ้านแล้วก็ได้รู้ว่าใบโฆษณานั้นคือใบโฆษณาไก่ทอดของร้านนี้นี่เอง    เด็กทั้งสองคนกำลังพูดกับพ่อของเธออย่างยิ้มแย้มพร้อมกระโดดโลดเต้นไม่ต่างอะไรกับตอนเด็กที่ผมร้องขอของเล่นจากแม่เวลาไปจ่ายตลาด  แต่ลุงกลับมองดูใบโฆษณานั้นอย่างครุ่นคิดดูแล้วดูอีกคงอาจจะกำลังคิดถึงเงินที่จะต้องจ่ายไปถ้าจะซื้อไก่ทอดหัวนอกราคาแพง  เพราะมันสามารถซื้อกับข้าวกับปลามากินในบ้านเลี้ยงชีพได้หลายมื้ออยู่เหมือนกัน    ทำให้ผมหวนนึกถึงสีหน้าตนเองในขณะที่ยืนต่อแถวซื้อไก่ทอดเมื่อประมาณห้านาทีก่อน  ใบหน้าของผมยิ้มแย้มพอใจที่ได้เสียเงินเพื่อเลี้ยงผู้หญิงที่ไม่รู้เป็นใครมาจากไหนและเป็นลูกเต้าเหล่าใครซึ่งสำคัญอยู่แค่สวย  โดยที่ไม่รู้ว่าเธอคนสวยกับผมจะกินไอ้ที่ผมซื้อมาตรงหน้าหมดหรือเปล่า   
“นะพ่อ.....นะพ่อ” 
    เสียงเด็กทั้งสองคนที่กำลังอ้อนวอนดังเล็ดลอดเข้ามาถึงในร้านก่อนที่ลุงจะตัดสินใจ ถอนหายใจแล้วก็เดินตามแรงดึงของลูกทั้งสองคนเข้ามาในร้าน  สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นคือสายตาของผู้คนที่นั่งกินอยู่ในร้านต่างมองด้วยสายตาแปลกๆเหมือนว่าทั้งสามคนได้ถูกกำหนดให้เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันกับพวกเขา  ซึ่งต่างจากพวกลูกๆหลานๆของคนที่นั่งกินซึ่งกำลังเล่นอยู่ตรงมุมเด็กเล่นที่มีแต่เครื่องเล่นสีสันสวยงามต่างก็ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอะไรขอเพียงให้ได้เล่น  ที่จริงแล้วผมกลับชอบความเป็นเด็กที่ไม่ว่าจะเป็นลูกใครมาจากไหนก็ตามเราจะสามารถเล่นกับเขาได้หมดไม่มีการแบ่งแยกรังเกียจกันเพราะฐานะหรือการแต่งตัว  จะมีบ้างก็ตรงที่แยกพวกกันเล่นเพราะไอ้นี่ขี้แง ไอ้นี่ชอบฟ้องแม่ ไอ้นี่ชอบขี้แตกจึงถูกแบ่งแยก แต่ไม่มีเด็กคนไหนเลยที่จะแยกกันเล่นเพราะว่าไอ้นี่จน..หรือไอ้นี่สกปรก  เมื่อลองคิดดูในวัยเด็กไม่ว่าใครจะรวยจะจนเมื่อเข้ากลุ่มเล่นกับเพื่อนมันก็สกปรกเละเทะเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ 
    ลุงเดินตามลูกสาวทั้งสองไปที่หน้าเคาน์เตอร์  เพื่อคงจะยืนมองภาพโฆษณาไก่ทอดที่เชิญชวนให้ซื้อเป็นชุดพร้อมน้ำดำกับมันฝรั่งทอดแค่หยิบมือ(ซึ่งแพงกว่าข้าวหนึ่งจานที่มีทั้งเนื้อทั้งผักเสียอีก)  มองภาพของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจจ่ายเงินซื้อ  ลุงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเงินขึ้นมานับมีแบงก์ร้อยอยู่หนึ่งใบ กับแบงก์ยี่สิบประมาณสามสี่ใบ  ลุงยื่นหน้าแล้วเปล่งเสียงของเขาออกไปว่าขอซื้อน่องไก่สี่ชิ้น  โดยมีลูกทั้งสองยืนกำกับด้วยรอยยิ้ม  พนักงานที่รับคำสั่งก็ถามกลับมาอีกว่าจะรับน้ำและเฟรซ์ฟรายเพิ่มมั้ยค่ะลุงก็ส่ายหัวปฏิเสธ  ครู่เดียวนั้นเงินร้อยกว่าบาทของลุงก็หลุดลอยออกจากมือที่เปียกเหงื่อของแกไป  เพื่อแลกกับน่องไก่สี่ชิ้น  ซอสพริกกับซอสมะเขือเทศไม่กี่ซองและถุงที่มีโลโก้ไอ้แก่หัวหงอกที่ยืนแข็งทื่ออยู่หน้าร้านพร้อมใบเสร็จและเศษเงินทอนที่รับมาแล้วลุงก็กำไว้อย่างหวงแหน  จึงทำให้ผมไม่รู้ว่าราคามันเท่าไร  เพราะยอมรับว่าตั้งแต่เคยเข้ามากินที่นี่ยังไม่เคยเลยซักครั้งที่จะซื้อแบบแยกชิ้นจะซื้อทีก็ซื้อเป็นชุดตามร้านโฆษณาชวนเชื่อไว้    ลูกทั้งสองรีบแย่งถุงไก่ทอดจากมือของลุงทันที แต่สีหน้าลุงดูครุ่นคิดในมือก็ยังกำเงินทอนไว้แน่นพร้อมหลีกตัวเองออกมาจากร้านกางมือนับแล้วเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง  ลูกๆก็กำลังดีใจและยื้อแย่งถุงไก่ทอดกันอยู่นอกร้าน  ทั้งคู่เปิดถุงหยิบแบ่งกันคนละน่องก่อนพร้อมฉีกถุงซอสออกมาจิ้มพากันเดินกินออกไปจากที่ตรงนั้น  ผมมองดูสายตาของลุงที่ถึงแม้จะมองลูกด้วยรอยยิ้มแต่มันก็ยังเจือด้วยความกังวลบางอย่างที่ทำให้ยิ้มได้ไม่เต็มที่    มันอาจจะเป็นปัญหาเรื่องลูกๆหรือปัญหาเรื่องปากท้องของครอบครัว แต่ใครจะรู้นอกจากตัวของลุงเอง       
    สายตาของกลุ่มคนที่นั่งโต๊ะข้างๆผมยังมองตามลุงและลูกๆอย่างรังเกียจก่อนที่ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มจะพูดขึ้นมาอย่างเสียงดัง  “นึกว่าพวกมันจะมานั่งกินในร้านซะแล้ว  ไม่อย่างนั้นฉันคงกินไม่ลงแน่นอน ดำก็ดำสกปรกก็สกปรก ขนลุกไปหมดไม่รู้ว่ายามที่นี่ให้เข้ามาได้ยังไงกัน”    เมื่อผมได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดเสร็จก็ได้แค่เพียงหันไปมอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งที่ในใจผมอยากทำได้มากกว่านี้   
    ผมยังคงทอดสายตามองทั้งสามคนไปตลอดจนเดินออกจากประตูห้างไป  แล้วลุงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยิ้มอย่างเต็มๆแล้วเดินจากไปกับลูกๆทั้งสองจนลับตา      การถอนหายใจเฮือกนั้นของลุงคงอาจจะเป็นการปลดปล่อยความเสียดาย  หรืออาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผมเข้าใจไปเองแต่จากรอยยิ้ม ลุงยิ้มได้เต็มที่แล้ว     
    เมื่อหันกลับมามองปัญหาของผมกับเธอคนสวย  ตรงหน้าของเรายังมีไก่ทอดที่ยังไม่ได้กินอยู่อีกสามชิ้น ส่วนในจานของผมก็มีซากกระดูก  ผมถามเธอว่าอิ่มหรือยัง เธอก็ยิ้มบอกว่าอิ่มแล้วทั้งที่เพิ่งจะกินไปแค่ชิ้นเดียว  ผมเองหลังจากที่เห็นคนทั้งสามผ่านตาไปก็ทำให้คิดอะไรได้เยอะขึ้น  ผมจึงหยิบเอาซากกระดูกไก่ของผมเองที่อยู่ในจานเอาขึ้นมาแทะมาดูดกินกระดูกอ่อนตรงข้อ โดยไม่สนว่าใครจะทำไมก็เงินของผม ผมซื้อมันมาเอง  เธออึ้งไปซักพักและทำท่าอายๆเพราะคนโต๊ะข้างๆก็เริ่มมอง  ก่อนที่เธอจะขอตัวไปห้องน้ำ      และก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ในใจว่าเมื่อเธอกลับมาเธอจะขอตัวแล้วบอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบไป  ช่างปะไร..มันเป็นปัญหาของเธอที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโต๊ะกับผมได้  ผมสนอยู่แค่อย่างเดียว คือปัญหาของผมตอนนี้คือไก่ทอดราคาแพงที่เหลืออยู่บนโต๊ะ ผมต้องจัดการบางอย่างกับมัน ถ้าไม่กินให้หมดก็ต้องห่อกลับ 
    สายตาของผู้หญิงคนนั้นที่พูดกับเพื่อนๆในโต๊ะข้างๆ  กำลังเบนมาสนใจและนินทาตัวผม ซึ่งก็ไม่เป็นไรมันเป็นเรื่องของเขาผมไม่ถือ    เพราะยังไงซะผมก็เห็นว่าอ้ายอีพวกนี้มันก็แค่ตัวกินไก่เหมือนที่มันอยู่ทั่วๆไปในสังคมที่ดูถูกคน....... 
   
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจัดการไก่ตรงหน้าให้หมด เพราะปัญหาของผมขณะนี้คือปัญหามีกิน    ........แต่ลุงอาจกำลังวุ่นอยู่กับปัญหาไม่มีกิน.......โดยมีพวกตัวกินไก่แลบลิ้นแพล๊บๆมองดู
........จบ.........
มีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องหลายแนวให้ได้อ่านกันนะครับเพียงพิมพ์คำว่า 
เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น