ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend Of Harn

    ลำดับตอนที่ #2 : หมู่บ้านกลางหุบเขา

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 49


    เดลลาเดียตัดสินใจบอกกับเดลซ่า  เค้าตองการเดินทางกับชารีฟ  ชารีฟยังเด็กในวัยของมนุษย์  แม้ว่าในวัยของเดลลาเดียจะเป็นเพียงเมอีซฮลรุ่น หากแต่เรื่องราวที่ผ่านพ้นเข้ามาในชีวิตเดลลาเดียก็มีมากโข  การเดินทางของเค้าตั้งแต่เด็กมักแปลกประหลาดกว่าเมอีซอลอื่นๆเสมอ

    อย่างที่รู้กันดีว่าเดลลาเดีนมีสวิสัยผิดเมอีซอลทั่วไปที่ไม่ได้รักแต่ชีวิตที่เริงร่า  สนุกสนาน เต้นรำร้องเพลงเท่านั้น เค้ายังเป็นเมอีซอลหนุ่มที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีมากกว่าใครๆ  ในการเดินทางแต่ละครั้งเค้าจะออกนอกเส้นทางเสมอ  เค้าเป็นนักเดินทางที่เก่งกาจ และได้พบปะรู้จักกับมนุษย์หลายคน หลายประเภท

    เมอีซอลที่เค้านับถือที่สุดคือเดรียาร์ผู้เป็นแม่ของชารีฟ  นางเป็นหญิงที่กล้าหาญทีสุดเท่าที่เค้าเคยคิด  หญิงที่ทิ้งความเป็นนิรันดร์  ทิ้งการมองเห็นยุคสมัยที่พ้นผ่านซึ่งเป็นพรวิเศษที่พระเจ้าทรงประทาน เพื่อตามหารักแท้ รักแท้ที่ไม่มีเมอีซอลผู้ใดเคยเข้าใจความหมายอันแท้จริง

    เรื่องนี้เป็นสาเหตุที่เค้าบอกลาเดลซ่าและเดินทางมาในครั้งนี้เพื่ออะไร พวกเมอีซอลไม่เคยสนใจนอกจากการดื่มกินและความรื่นเริง เดลลาเดียไม่ได้ตัดสินใจก้าวอกมาเพื่อให้เป็นที่จดจำเหมือนเดรียาร์  แต่สิ่งที่เค้าต้องการคืออะไรเรืองนี้มีแต่เค้าเพียงผู้เดียวที่ล่วงรู้

    บ่ายคล้อยที่ริมธารน้ำสายเดิมค่อนมาทางต้น  ชารีฟวักน้ำล้างหน้าอย่างสดชื่น  อากาศค่อนข้างเย็นเพราะทั้งคู่เดินทางออกมาเกือบจะถึงชายป่าด้านตะวันออก  ดวงตะวันคล้อยเลยศรีษะทั้งคู่ไปทางทิศตะวันตกแล้ว

    เดลลาเดียนั่งมองชารีฟที่กำลังล้างหน้าล้างตา 

    "ข้างหน้าจะมีหมู่บ้าน คืนนี้เราคงต้องขอค้างเอาแถวนี้"  เดลลาเดียกล่าวเมื่อชารีฟกำลังเช็ดหน้าเช็ดตา

    ชารีฟมองร่างอันเปลือยเปล่าของเเดลลาเดีย  เค้าชินแล้วกับการเห็นเดลลาเดียในสภาพนี้  เมื่อคืนสองคืนก่อนเค้าก็เห็นพวกเมอีซอลเกือบร้อยที่เต็นรำดื่มกินทั้งๆที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย

    "เจ้ามองอะไรเหรอชารีฟ"  เดลลาเดียมองชารีฟพลางทำสายตาคลางแคลงสงสัย

    "หมู่บ้านที่เจ้าว่านี่เค้าเหมือนเจ้าหรือเปล่า  เอ่อ…."   ชารีฟจะพูดเรื่องเครื่องแต่งกาย แต่ก็ยังข้องใจเรื่องหมู่บ้านที่ว่า  ว่าอาจจะเป็นเมอีซอลที่นุ่งลมห่มฟ้าเหมือนเดลลาเดียก็ได้

    "เหมือนข้า…….."  เดลลาเดียทวนคำพลางเหลือกตาขึ้นใช้ความคิด  "ข้าว่าเหมือนเจ้ามากกว่า  พวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนเจ้านั่นหล่ะ  ทำไมเหรอ"

    "เหมือนข้า  เจ้าว่าพวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนข้า  ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีมนุษญ์อาศัยเลยภูเขาเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออก"  ชารีฟนิ่งคิดก่อนที่จะมองเดลลาเดียอีกครั้ง

    "ถ้าหากเหมือนข้า  ข้าว่าเจ้าน่าจะ  เอ่อ……"  ชารีฟจ้องร่างของเดลลาเดีย

    "หาเสื้อผ้ามาใส่"  เดลลาเดียพูดพลางหัวเราะ           "ข้ารู้น่า  ไม่ได้โง่  ปกติพวกข้าไม่เข้าหมู่บ้านกันหรอกเวลาเดินทาง  แต่ข้าเคยแอบเข้าไปครั้งแรกทุกคนมองข้าเป็นตาเดียว  ข้าก็ข้องใจว่าทำไมแต่ข้าก็สนใจกับเท้าข้ามากกว่า  ข้าบังคับให้มันติดดิน  มันแสบๆ  พอดีมียายใจดีคนหนึ่งท่านเรียกข้าแล้วพาข้าไปที่บ้านและหาเสื้อผ้าใส่"  เดลลาเดียหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพตนเองที่กลายเป็นตัวประหลาดเมืท่อหลายปีก่อน

    ชารีฟพยักหน้า

    "ข้าก็เลยเข้าใจว่าพวกมนุษย์ต้องมีอะไรห่อหุ้มร่างกายด้วย"       เดลลาเดียยิ้ม     "ก่อนเข้าหมู่บ้านข้าคงต้องขอยืมเสื้อผ้าจากเจ้าก่อน  เจ้าเห็นว่าไง"

    ชารีฟยิ้ม  "ถ้าเจ้าจะขอยืมข้าแต่แรกข้าก็ไม่ว่ากระไรหรอก  เอาเป็นว่าข้าให้เลยก็ได้ไม่ต้องคืนเพียงแต่ข้าของเจ้าอย่างหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนจะได้หรือเปล่า"

    เดลลาเดียนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า  "ก็ได้ถ้าเจ้าไม่ขอให้ข้ารักเจ้า  เพราะข้าไม่เข้าใจความรักเหมือนอย่างแม่เจ้า  หรือไม่แน่นะข้าอยู่กับเจ้านาน ข้าอาจจะรักเจ้าได้"

    ชารีฟหัวเราะพลางส่ายหน้า  เดลลาเดียกร้านโลกมากก็จริง  แต่เรื่องบางเรื่องก็แตกต่างและซับซ้อนจนเดลลาเดียไม่เข้าใจ

    "ข้าขอแค่ว่าเจ้าต้องสวมชุดที่ข้าให้เอาไว้ห้ามถอด  แม้ว่าจะออกจากหมู่บ้านแล้วก็ตาม"

    เดลลาเดียพยักหน้า  "ความจริงข้าชอบใส่นะเสื้อผ้าพวกมนุษย์นี่  เวลาข้าใส่พวกมนุษย์ว่าข้างามดี  ข้าก็ว่ามันเข้าที  แต่ก็อย่างว่าข้าไม่ค่อยมีโอกาสได้ใส่"

    เดลลาเดียสวมเสื้อผ้าของชารีฟ  ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ตัดแบบง่ายๆ

    เกือบค่ำทั้งคู่ก็มาถึงที่บ้ายยายมารตรี  ซึ่งเป็นหญิงที่เอนดูเดลลาเดลมาก เดลลาเดลเคาะประตูบ้าน  ยายมารตรีเปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้ม  นางรู้เสมอว่าเดลลาเดียจะมาวันไหนดังนั้นทุกครั้งที่เดลลาเดลมานางจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่เอาไว้ต้อนรับเสมอ

    "หลานมาไม่เห็นบอกยาย"  ยายมารตรียิ้มจุมพิตที่หน้าผากเรียบเนียนของเดลลาเดียแล้วโอบกอดอย่างดีใจ  เดลลาเดียก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่ให้ยายมารตรีกอดเค้าได้ถนัดมากขึ้นก่อนที่จะกวักมือเรียกชารีฟที่ยืนมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างคร่าคร่ำในยามพรบค่ำผิดกับที่มหานครฮาน  ผู้คนจะขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน  หลังจากถูกทหารเกณฑ์ออกไปทำไร่ไถนา ยามค่ำคืนมหานครฮานจะมืดสนิทและเงียบเหงา  ไม่มีเสียงเครื่องดนตรีดังออกมาจากบ้านแต่ละหลังเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวในยามค่ำคืนเช่นที่นี่ 

    "ท่านยาย  นี่เพื่อนข้า  ชื่อชารีฟ"  เดลลาเดียแนะนำชารีฟให้กับยายมารตรีรู้จัก  ท่านยายยิ้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนที่จะจุมพิตที่หน้าผากของชารีฟเหมือนกับที่ทำกับเดลลาเดียเมื่อครู่ 

    ชารีฟเคอะเขินเล็กน้อยเพราะท่านยายไม่ได้แก่เหมือนกับที่เดลลาเดียเรียกว่า"ท่านยาย"  นางเหมือนกับหญิงสาววัยสามสิบเศษๆเสียมากกว่า  ที่สำคัญนางยังสวยมากเสียด้วย  ริมฝีปากของนางเนียนนุ่มเมื่อสัมผัสที่หน้าผากของเค้า

      หลังจากที่เดินทางออกมาจากมหานคร  กว่าสองปีแล้วที่เค้าเดินทางออกมาแสวงหาบางสิ่งเพื่อที่จะทำให้ความสุขกลับคืนสู่มหานครฮานและการที่จะให้ลูอิสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  แต่สิ่งที่ได้กลับมีเพียงแค่ความเหงา  และความคิดถึงเต็มหัวใจ

    พระมารดาเดเรยาร์จากไปกว่าสิบปีแล้วแต่ภาพของหญิงที่งามที่สุดไม่เคยลางเลือน  พระมารดาเป็นเพียงคนเดียวที่เจ้าชายชารีฟทายาทอีกพระองค์หนึ่งแห่งฮานสามารถจดจำเอาไว้ได้แม้ในวันที่ท้องฟ้าอับแสง 

    ภาพเจ้าชายลูอีสผู้น้องที่เต็มไปด้วยบาดแผลหวนเข้ามาในห้วงความคิดของเจ้าชายชารีฟ  ดวงตาที่หลับนิ่ง มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่เป็นสัญญาณบอกชารีฟว่าลูอีสยังมีชีวิต  ก้อนหินกลมใสสีชมพูอ่อนสาดแสงเรืองรองขึ้นเล็กน้อย  ไม่มีผู้ใดเห็นแสงนั้น  หากแต่ชารีฟรู้ว่ามีความอบอุ่นอยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยม  ร่างของลูอีสอยู่ที่มหานครฮาน  ในความดูแลของบูโรทีสภรรยาของ มอล ชองเติร์ก  นายทหารผู้ภักดีผู้เป็นพระสหายสนิทของพระบิดาที่เลี้ยงดูชารีฟตั้งแต่พระมารดาเดเรยาร์สิ้นพระชนม์เพราะความเศร้าใจ

    "ชารีฟ"  เดลลาเดียสะกิดข้อศอกของชารีฟที่นั่งนิ่งหน้าเตาผิงไฟหลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย

    ชารีฟหลุดจากภวังค์มองหน้าเดลลาเดียที่ยืนยิ้ม  "ไปนั่งเล่นที่กองไฟกับข้าเถอะ  ที่นั่นสนุกมากพวกเค้าร้องรำทำเพลงแล้วก็มีเรื่องเล่าจากการเดินทางมาเล่าให้ฟังเพียบ"

    เดลลาเดียร่าเริงกว่าเดิมมากทั้งๆที่เค้าเป็นคนร่างเริงแล้วก็คุยเก่งมากอยู่แล้ว  เมื่อมาอยู่ในบ้านหลังนี้เค้ายิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่  ที่นี่ท่านยายรักเดลลาเดียมากและรับเดลลาเดียเป็นหลานให้สืบต่อสมบัติทุกชิ้นหากท่านสิ้นลมไป  เพราะท่านไม่มีญาติที่ไหน

    ชารีฟตกลงออกมานั่งที่กองไฟกับเดลลาเดล  ซึ่งเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่ก่ออยู่ที่ลานใจกลางหมู่บ้านและมีหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งรับความอบอุ่นจากกองไฟเป็นวงกลม มีการเอาเครื่องดนตรีมานั่งเล่นรำร้องเพลง  แล้วก็เล่าเรื่องตามที่พ่อใหญ่  ซึ่งเป็นผู้ปกครองจะเริ่มเล่น 

    เดลลาเดียจูงมือชารีฟเดินตามท่านยายมารตรีมาจนถึงกองไฟที่มีชาวบ้านนั่งร้องเพลงพื้นเมืองตามจังหว่ะเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้  เมื่อท่านยายมารตรี  เดลลาเดียและชารีฟมาถึงทุกสายตาก็จ้องมาที่ทั้งสาม  เดลลาเดียยิ้มให้กับทุกคน  เค้ารู้จักที่นี่ดี  สี่ห้าปีมาแล้วที่เค้าจะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ทุกๆครึ่งปีในฤดูหนาว  ซึ่งที่นี่จะมีฤดูหนาวปีละสองครั้ง

    มีเสียงหลายคนพูดชื่อเดลลาเดียขึ้นมา

    "เจ้ามาที่นี่บ่อยเหรอ"  ชารีฟกระซิบ

    เดลลาเดียพยักหน้า  ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ สาวๆก็วิ่งเข้ามาล้อมทั้งคู่จนท่านยายมารตรีหัวเราะมองหลานชายที่เป็นที่นิยมชมชอบของสามวๆในหมู่บ้าน  เดลลาเดียเป็นที่รักของทุกคนที่นี่จึงไม่แปลกใจที่มีหลายครอบครัมาทาบทามเดลลาเดียกับยท่านยายมารตรีให้ลูกสาวของครอบครัวตน  หากแต่ท่านยายไม่สนใจในเรื่องนี้ 

    "เดลลาเดียยังเด็ก"  ท่านยายจะอ้างข้อนี้เสมอ

    เดลลาเดียถูกพวกสาวๆเกือบสิบคนลากเข้าไปในวงเต้นรำ  ชารีฟจึงโดนลากเข้าไปด้วย  นานมากแล้วที่ชารีฟไม่ได้เล่นสนุกสนานเต้นรำอย่างเพลิดเพลิน  หากแต่ลึกๆในใจก็ไม่สุขนักเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนต้องทำ

    แสงจากกองไฟกระทบใบหน้าเดลลาเดีย  ไม่แปลกที่สาวๆจะหลงไหล  เดลลาเดียเป็นหนุ่มรูปงาม  งามที่สุดเท่าที่ชารีฟเคยเห็น ผิวของเค้าเนียนเรียบดุจดั่งสตรีผิวงามที่สุดในฮาน  ถ้าหากชารีฟไม่รู้ว่าเดลลาเดียเป็นเมอีซอล  เค้าจะต้องคัดค้านกับคำพูดที่ว่าเมอีซอลเป็นเผ่าพันธ์ที่งดงามที่สุด

    ชารีฟถูกล้อมด้วยสาวๆมากหน้าหลายตา  งามบ้างไม่งามบ้าง  แต่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส 

    "ภายในของนางเหล่านี้คงสุขล้น"  ชารีฟคิดในใจ ก่อนที่จะเดินออกมาจากกลุ่มสาวๆที่เต้นระบำตามจังหว่ะดนตรีอย่างสนุกสนาน 

    ตรงที่ว่าง ชารีฟทิ้งตัวนั่งลงมองบรรดาหนุ่มสาวนั่งคุยเล่นเต็นระบำ  รอยยิ้มเล็กๆผุดที่มุมปากของเจ้าชายหนุ่ม

    "การเดินทางยังอีกยาวนาน  เจ้าชาย"  เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านข้างชารีฟทำให้เจ้าชายถึงกับนั่งแข็งทื่อ 

    ท่านยายมารตรีเป็นเจ้าของเสียงนั้น  หญิงชราที่มีใบหน้าราวกับหญิงวัยรุ่นๆยืนมองเจ้าชายหนุ่ม  ชารีฟลุกขึ้นประคองร่างท่านยายมารตรีให้นั่งลงด้วยกัน

    "การเดินทางยังอีกยาวไกลแต่จะไม่ผิดหวังที่ท่านตัดสินใจทำ"  ท่านยายมารตรีมองหน้าเจ้าชายนิ่ง 

    "เดลลาเดียคงบอกท่านยายว่าข้าเดินทางทำไม"  ชารีฟทอดสายตาออกไปที่กองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง

    "เหลือลูอีสคนเดียวเท่านั้นข้าไม่เหลือใครอีก  ข้าจะให้น้องข้าตายไม่ได้" 

    "พระบิดาท่านยังอยู่  ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านต้องลำบากเช่นนี้"  ท่ายายมารตรีพูดน้ำเสียงนิ่ง  เจ้าชายชารีฟขบกรามเน้น

    "ไม่ใช่พระบิดากระมัง  มีแต่องค์จักรพรรดิ  หลังจากลอยแพรพระมารดา  ลูอีส และข้า  ข้าไม่อย่างจะคิดว่าพระองค์จะคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่  ผู้ที่ทอดทิ้งข้าข้าไม่เคยลืม" 

    ชารีฟนิ่ง  ดวงตาเจ้าชายหนุ่มปวดร้าว 

    ยากเหลือเกินกับการมีชีวิตอยู่ของเด็กชายวัยหกขวบที่ไร้ซึ่งบิดามารดา  ยากเหลือเกินกับพี่ชายวัยหกขวบที่ต้องดูแลน้องชาย  ชารีฟไม่เคยลืมคำที่พระบิดา  องค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟส่งสั่งให้จับตัวพระมารดา  ลูอีส และตัวชารีฟเองลอยแพรไปสู่ดินแดนแห่งพระเจ้าเพื่อฟังคำตัดสินในความผิดที่เด็กน้อยวัยหกขวบไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร

    "ฟ้าดำมืด  มีสิ่งชั่วร้ายบังตาพระบิดา  เจ้าชายเอ๋ยท่านไม่เข้าใจแต่เจ้าชายลูอีสทราบดี  เรื่องนี้ซับซ้อนนัก  จงทำตามวิถี  ตามสัทธาที่พระองค์มีและท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านได้ทำลงไปไม่ได้เพียงแค่ท่านคนเดียวที่จะเปี่ยมด้วยความสุข  เส้นชะตาได้ขีดเอาไว้อย่างงดงามอยู่ที่ท่านที่จะเดินตามหรือไม่  ข้าบอกท่านได้เท่านี้ เจ้าชาย"  ท่านยายมารตรียิ้ม  เดลลาเดลเดินตรงมาตรงเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมกับรอยยิ้ม

    "เห็นทียายต้องกลับบ้านเสียที  อากาศเย็นมากแล้ว"  ท่านยายยิ้มเมื่อเดลลาเดียมานั่งข้างๆ

    "ข้าไปส่งดีกว่า"  เดลลาเดียอาสา  แต่ท่านยายยั้งเอาไว้ 

    "นานๆมาทีสนุกกับเพื่อนๆเถิด  เดี๋ยวสาวๆในหมู่บ้านจะพาลเกลียดยายเสียหมดที่เก็บหลานไว้คนเดียว"  ท่านยายยิ้มพลางหยิกแก้มเดลลาเดียก่อนที่จะลุกเดินไปบ้าน

    เดลลาเดียทักทายคนโน้นคนนี้

    "เจ้าบอกท่านยายเรื่องการเดินทางของข้า"  ชารีฟขมวดคิ้ว

    เดลลาเดียพยักหน้าซื่อๆ  "อือ  ข้าบอกท่านยายว่าเราจะไปดูแสงอาทิตย์แรกอย่างไรเล่า"

     ท่านยายรู้เรื่องได้อย่างไร  เรื่องนี้แคลงใจชารีฟตลอดเวลาที่นั่งเล่นจนกระทั่งกลับมานอนที่บ้าน  คำพูดของท่านยายทำให้เค้าคิดวนเวียนจนเผลอหลับเข้าตอนไหนเค้ายังไม่รู้ตัว

     แสงตะวันจับที่เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตก  หยาดน้ำค้างเริ่มเหือดแห้ง  ยามราตรีพ้นผ่านไปอีกหนึ่งกาล  หากแต่ตะวันโผล่พ้นให้เห็นเส้นแสงเพียงที่เส้นหุบเขาด้านนอกกำแพงมหานครเท่านั้น  นานแสนนานเหลือเกินที่มหานครแห่งนี้ต้องอยู่ในความมืด  ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น  แต่บัดนี้วิถีชีวิตของคนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว  ชนชาติเผ่าพันธ์นักคิดถูกแปลผันเป็นเพียงแค่กำลังของราชสำนักเท่านั้น 

    ไพร่ฟ้าประชากรมีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากทาสเมื่อครั้งสมัยนานกาลก่อน  ทุกคนอยู่ใต้อำนาจการปกครองของขุนนางที่กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน  ใต้เงามือเหล่าคนโฉดในราชสำนักหาประโยชน์ใส่ตนมิสนใจความเป็นอยู่ของราษฎร  แล้วองค์จักรพรรดิไปอยู่ที่แห่งหนใดเล่า  ไพร่ฟ้าวิงวอน  เนินนานเหลือเกินที่เหล่าปวงชนมิได้ยลโฉมขององค์จักรพรรดิผู้เก่งกล้าสามารถและรักไพร่ฟ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด

    ระบบการปกครองของฮานเปลี่ยนไปมาก  ประชาชนต้องทำงานเพื่อแลกกับความสงบสุข  การใช้ชีวิตในเมืองแสนจะยากลำบาก  ไม่มีแม้เวลาที่จะคิดแม้จะทำการอันใด  ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของราชสำนัก เป็นของผู้ที่มีอำนาจ  ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถอยู่อย่างสุขสบาย  ส่วนพวกชาวเมืองไม่ต้องพูดถึง  เรื่องความสุขสบายทางกาย ประชาชนมีอยู่บ้าง แต่ทางใจนั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น

    รีฟ  เสียงลูอิสแผ่วเบาแหบแห้งมือตะเกียกตะกายหาบางสิ่งดวงตาของเค้าปิดสนิทคิ้วขมวดแน่น

    โลลิตามองใบหน้าขาวซีดของลูอิสน้ำตาคลอ  นางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะกุมมือที่ไขว่คว้าของลูอิสเอาไว้ 

    นานมากแล้วที่ลูอิสต้องอยู่ในสภาพนี้  โลลิตาน้ำตานองหน้าเช่นนี้ทุกวันเช่นกัน 

    รีฟอยู่แห่งหนใดกัน  นางคิดอย่างปวดร้าว  เกือบครึ่งปีแล้วที่ชารีฟจากไป  ไม่มีข่าวคราวเลยสักครั้ง นางจะคิดวกวนเช่นนี้ทุกวัน  ยิ่งอาการของลูอีสหนักขึ้นเท่าไหร่  นางยิ่งคิดถึงชารีฟมากขึ้น  ไม่มีใครที่จะปกป้องนาง  ดูแลนางได้ดีเท่าชารีฟและลูอีส  พี่น้องที่เล่นกันมาตั้งแต่เล็ก  ตั้งแต่โลลิตาลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้  เด็กชายสองคนที่คอยดูแลปกป้องไม่เคยมีเด็กเกเรระแวกบ้านคนใดจะมาแกล้งน้องสาวของเด็กชายทั้งคู่ต้องเจ็บช้ำ  รอยยิ้มจางๆของชารีฟและลูอีสในทุ่งหญ้าหลังหุบเขาที่เคยแอบไปวิ่งเล่นกันบ่อยๆยังตราตรึงอยู่ในใจของนางเสมอ  โลลิตาดุจดั่งเจ้าหญิงที่มี่เจ้าชายผู้กล้าหาญปกป้องดูแลอย่างดี

    ค่ำวันนั้น  โลลิตาจำได้ดี  ลูอีสถูกหามเข้ามาในบ้านร่างการของเค้าเต็มไปด้วยเลือด  ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น    พวกเพื่อนๆไปพบเค้าอีกครั้งก็เกือบพลบค่ำ  ชารีฟโกรธจัดเดินไปหาเรื่องกับพวกวัยเดียวกันที่มักเรื่องกันอยู่เสมอๆ พวกนักเลงรุมทำร้ายชารีฟจนเจ็บหนักและกลับบ้านมาพร้อมกับคำปฏิเสธ

    ลูอีสได้สติครั้งสุดท้ายในคืนนั้น  เค้าลืมตาขึ้นมา  ดวงตาอันนิ่งงันนของลูอีสเบิกโตราวกับเค้าเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เค้าไม่สมควรจะเห็น  ริมฝีปากของลูอีสพร่ำเรียกแต่ชื่อของชารีฟเท่านั้น  แม้ว่ารอบกายของเค้าจะมีแต่คนที่เราเค้า  แต่เสียงนั้นมีเพียงแต่ชื่อของชารีฟเท่านั้น 

    ปกติแล้วชารีฟกับลูอีสจะมีอะไรหลายย่างที่เหมือนกันมาก  หากแต่มีอย่างหนึ่งที่ชารีฟแต่งต่างจากน้องชายคือความอ่อนโยน  เค้าเป็นคนอ่อนไหวกับหลายสิ่งหลายอย่างง่ายดายกว่าลูอีส 

    ชารีฟมองหน้าน้องชายนิ่งพลางกุมมือเค้าเอาไว้  ลูอีสหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามันเป็นก้อนหินก้อนเล็กกลมเกรี้ยงสีดำสนิท  ชารีฟมองก้อนหินนั้นอย่างประหลาดใจไม่มีใครสามารถบอกชารีฟได้ในตอนนั้นว่าสิ่งที่เค้าเห็นคืออะไร  เสียงของลูอีสแผ่วเบาก่อนที่จะหายใจหอบถี่  คำพูดสุดท้ายคือชื่อของชายาเจรีอาร์

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×