คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หมู่บ้านกลางหุบเขา
เดลลาเดียตัดสินใจบอกกับเดลซ่า เค้าตองการเดินทางกับชารีฟ ชารีฟยังเด็กในวัยของมนุษย์ แม้ว่าในวัยของเดลลาเดียจะเป็นเพียงเมอีซฮลรุ่น หากแต่เรื่องราวที่ผ่านพ้นเข้ามาในชีวิตเดลลาเดียก็มีมากโข การเดินทางของเค้าตั้งแต่เด็กมักแปลกประหลาดกว่าเมอีซอลอื่นๆเสมอ
อย่างที่รู้กันดีว่าเดลลาเดีนมีสวิสัยผิดเมอีซอลทั่วไปที่ไม่ได้รักแต่ชีวิตที่เริงร่า สนุกสนาน เต้นรำร้องเพลงเท่านั้น เค้ายังเป็นเมอีซอลหนุ่มที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีมากกว่าใครๆ ในการเดินทางแต่ละครั้งเค้าจะออกนอกเส้นทางเสมอ เค้าเป็นนักเดินทางที่เก่งกาจ และได้พบปะรู้จักกับมนุษย์หลายคน หลายประเภท
เมอีซอลที่เค้านับถือที่สุดคือเดรียาร์ผู้เป็นแม่ของชารีฟ นางเป็นหญิงที่กล้าหาญทีสุดเท่าที่เค้าเคยคิด หญิงที่ทิ้งความเป็นนิรันดร์ ทิ้งการมองเห็นยุคสมัยที่พ้นผ่านซึ่งเป็นพรวิเศษที่พระเจ้าทรงประทาน เพื่อตามหารักแท้ รักแท้ที่ไม่มีเมอีซอลผู้ใดเคยเข้าใจความหมายอันแท้จริง
เรื่องนี้เป็นสาเหตุที่เค้าบอกลาเดลซ่าและเดินทางมาในครั้งนี้เพื่ออะไร พวกเมอีซอลไม่เคยสนใจนอกจากการดื่มกินและความรื่นเริง เดลลาเดียไม่ได้ตัดสินใจก้าวอกมาเพื่อให้เป็นที่จดจำเหมือนเดรียาร์ แต่สิ่งที่เค้าต้องการคืออะไรเรืองนี้มีแต่เค้าเพียงผู้เดียวที่ล่วงรู้
บ่ายคล้อยที่ริมธารน้ำสายเดิมค่อนมาทางต้น ชารีฟวักน้ำล้างหน้าอย่างสดชื่น อากาศค่อนข้างเย็นเพราะทั้งคู่เดินทางออกมาเกือบจะถึงชายป่าด้านตะวันออก ดวงตะวันคล้อยเลยศรีษะทั้งคู่ไปทางทิศตะวันตกแล้ว
เดลลาเดียนั่งมองชารีฟที่กำลังล้างหน้าล้างตา
"ข้างหน้าจะมีหมู่บ้าน คืนนี้เราคงต้องขอค้างเอาแถวนี้" เดลลาเดียกล่าวเมื่อชารีฟกำลังเช็ดหน้าเช็ดตา
ชารีฟมองร่างอันเปลือยเปล่าของเเดลลาเดีย เค้าชินแล้วกับการเห็นเดลลาเดียในสภาพนี้ เมื่อคืนสองคืนก่อนเค้าก็เห็นพวกเมอีซอลเกือบร้อยที่เต็นรำดื่มกินทั้งๆที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
"เจ้ามองอะไรเหรอชารีฟ" เดลลาเดียมองชารีฟพลางทำสายตาคลางแคลงสงสัย
"หมู่บ้านที่เจ้าว่านี่เค้าเหมือนเจ้าหรือเปล่า เอ่อ ." ชารีฟจะพูดเรื่องเครื่องแต่งกาย แต่ก็ยังข้องใจเรื่องหมู่บ้านที่ว่า ว่าอาจจะเป็นเมอีซอลที่นุ่งลมห่มฟ้าเหมือนเดลลาเดียก็ได้
"เหมือนข้า .." เดลลาเดียทวนคำพลางเหลือกตาขึ้นใช้ความคิด "ข้าว่าเหมือนเจ้ามากกว่า พวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนเจ้านั่นหล่ะ ทำไมเหรอ"
"เหมือนข้า เจ้าว่าพวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนข้า ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีมนุษญ์อาศัยเลยภูเขาเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออก" ชารีฟนิ่งคิดก่อนที่จะมองเดลลาเดียอีกครั้ง
"ถ้าหากเหมือนข้า ข้าว่าเจ้าน่าจะ เอ่อ " ชารีฟจ้องร่างของเดลลาเดีย
"หาเสื้อผ้ามาใส่" เดลลาเดียพูดพลางหัวเราะ "ข้ารู้น่า ไม่ได้โง่ ปกติพวกข้าไม่เข้าหมู่บ้านกันหรอกเวลาเดินทาง แต่ข้าเคยแอบเข้าไปครั้งแรกทุกคนมองข้าเป็นตาเดียว ข้าก็ข้องใจว่าทำไมแต่ข้าก็สนใจกับเท้าข้ามากกว่า ข้าบังคับให้มันติดดิน มันแสบๆ พอดีมียายใจดีคนหนึ่งท่านเรียกข้าแล้วพาข้าไปที่บ้านและหาเสื้อผ้าใส่" เดลลาเดียหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพตนเองที่กลายเป็นตัวประหลาดเมืท่อหลายปีก่อน
ชารีฟพยักหน้า
"ข้าก็เลยเข้าใจว่าพวกมนุษย์ต้องมีอะไรห่อหุ้มร่างกายด้วย" เดลลาเดียยิ้ม "ก่อนเข้าหมู่บ้านข้าคงต้องขอยืมเสื้อผ้าจากเจ้าก่อน เจ้าเห็นว่าไง"
ชารีฟยิ้ม "ถ้าเจ้าจะขอยืมข้าแต่แรกข้าก็ไม่ว่ากระไรหรอก เอาเป็นว่าข้าให้เลยก็ได้ไม่ต้องคืนเพียงแต่ข้าของเจ้าอย่างหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนจะได้หรือเปล่า"
เดลลาเดียนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า "ก็ได้ถ้าเจ้าไม่ขอให้ข้ารักเจ้า เพราะข้าไม่เข้าใจความรักเหมือนอย่างแม่เจ้า หรือไม่แน่นะข้าอยู่กับเจ้านาน ข้าอาจจะรักเจ้าได้"
ชารีฟหัวเราะพลางส่ายหน้า เดลลาเดียกร้านโลกมากก็จริง แต่เรื่องบางเรื่องก็แตกต่างและซับซ้อนจนเดลลาเดียไม่เข้าใจ
"ข้าขอแค่ว่าเจ้าต้องสวมชุดที่ข้าให้เอาไว้ห้ามถอด แม้ว่าจะออกจากหมู่บ้านแล้วก็ตาม"
เดลลาเดียพยักหน้า "ความจริงข้าชอบใส่นะเสื้อผ้าพวกมนุษย์นี่ เวลาข้าใส่พวกมนุษย์ว่าข้างามดี ข้าก็ว่ามันเข้าที แต่ก็อย่างว่าข้าไม่ค่อยมีโอกาสได้ใส่"
เดลลาเดียสวมเสื้อผ้าของชารีฟ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ตัดแบบง่ายๆ
เกือบค่ำทั้งคู่ก็มาถึงที่บ้ายยายมารตรี ซึ่งเป็นหญิงที่เอนดูเดลลาเดลมาก เดลลาเดลเคาะประตูบ้าน ยายมารตรีเปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้ม นางรู้เสมอว่าเดลลาเดียจะมาวันไหนดังนั้นทุกครั้งที่เดลลาเดลมานางจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่เอาไว้ต้อนรับเสมอ
"หลานมาไม่เห็นบอกยาย" ยายมารตรียิ้มจุมพิตที่หน้าผากเรียบเนียนของเดลลาเดียแล้วโอบกอดอย่างดีใจ เดลลาเดียก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่ให้ยายมารตรีกอดเค้าได้ถนัดมากขึ้นก่อนที่จะกวักมือเรียกชารีฟที่ยืนมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างคร่าคร่ำในยามพรบค่ำผิดกับที่มหานครฮาน ผู้คนจะขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน หลังจากถูกทหารเกณฑ์ออกไปทำไร่ไถนา ยามค่ำคืนมหานครฮานจะมืดสนิทและเงียบเหงา ไม่มีเสียงเครื่องดนตรีดังออกมาจากบ้านแต่ละหลังเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวในยามค่ำคืนเช่นที่นี่
"ท่านยาย นี่เพื่อนข้า ชื่อชารีฟ" เดลลาเดียแนะนำชารีฟให้กับยายมารตรีรู้จัก ท่านยายยิ้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนที่จะจุมพิตที่หน้าผากของชารีฟเหมือนกับที่ทำกับเดลลาเดียเมื่อครู่
ชารีฟเคอะเขินเล็กน้อยเพราะท่านยายไม่ได้แก่เหมือนกับที่เดลลาเดียเรียกว่า"ท่านยาย" นางเหมือนกับหญิงสาววัยสามสิบเศษๆเสียมากกว่า ที่สำคัญนางยังสวยมากเสียด้วย ริมฝีปากของนางเนียนนุ่มเมื่อสัมผัสที่หน้าผากของเค้า
หลังจากที่เดินทางออกมาจากมหานคร กว่าสองปีแล้วที่เค้าเดินทางออกมาแสวงหาบางสิ่งเพื่อที่จะทำให้ความสุขกลับคืนสู่มหานครฮานและการที่จะให้ลูอิสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมีเพียงแค่ความเหงา และความคิดถึงเต็มหัวใจ
พระมารดาเดเรยาร์จากไปกว่าสิบปีแล้วแต่ภาพของหญิงที่งามที่สุดไม่เคยลางเลือน พระมารดาเป็นเพียงคนเดียวที่เจ้าชายชารีฟทายาทอีกพระองค์หนึ่งแห่งฮานสามารถจดจำเอาไว้ได้แม้ในวันที่ท้องฟ้าอับแสง
ภาพเจ้าชายลูอีสผู้น้องที่เต็มไปด้วยบาดแผลหวนเข้ามาในห้วงความคิดของเจ้าชายชารีฟ ดวงตาที่หลับนิ่ง มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่เป็นสัญญาณบอกชารีฟว่าลูอีสยังมีชีวิต ก้อนหินกลมใสสีชมพูอ่อนสาดแสงเรืองรองขึ้นเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดเห็นแสงนั้น หากแต่ชารีฟรู้ว่ามีความอบอุ่นอยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยม ร่างของลูอีสอยู่ที่มหานครฮาน ในความดูแลของบูโรทีสภรรยาของ มอล ชองเติร์ก นายทหารผู้ภักดีผู้เป็นพระสหายสนิทของพระบิดาที่เลี้ยงดูชารีฟตั้งแต่พระมารดาเดเรยาร์สิ้นพระชนม์เพราะความเศร้าใจ
"ชารีฟ" เดลลาเดียสะกิดข้อศอกของชารีฟที่นั่งนิ่งหน้าเตาผิงไฟหลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย
ชารีฟหลุดจากภวังค์มองหน้าเดลลาเดียที่ยืนยิ้ม "ไปนั่งเล่นที่กองไฟกับข้าเถอะ ที่นั่นสนุกมากพวกเค้าร้องรำทำเพลงแล้วก็มีเรื่องเล่าจากการเดินทางมาเล่าให้ฟังเพียบ"
เดลลาเดียร่าเริงกว่าเดิมมากทั้งๆที่เค้าเป็นคนร่างเริงแล้วก็คุยเก่งมากอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่ในบ้านหลังนี้เค้ายิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ ที่นี่ท่านยายรักเดลลาเดียมากและรับเดลลาเดียเป็นหลานให้สืบต่อสมบัติทุกชิ้นหากท่านสิ้นลมไป เพราะท่านไม่มีญาติที่ไหน
ชารีฟตกลงออกมานั่งที่กองไฟกับเดลลาเดล ซึ่งเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่ก่ออยู่ที่ลานใจกลางหมู่บ้านและมีหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งรับความอบอุ่นจากกองไฟเป็นวงกลม มีการเอาเครื่องดนตรีมานั่งเล่นรำร้องเพลง แล้วก็เล่าเรื่องตามที่พ่อใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ปกครองจะเริ่มเล่น
เดลลาเดียจูงมือชารีฟเดินตามท่านยายมารตรีมาจนถึงกองไฟที่มีชาวบ้านนั่งร้องเพลงพื้นเมืองตามจังหว่ะเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ เมื่อท่านยายมารตรี เดลลาเดียและชารีฟมาถึงทุกสายตาก็จ้องมาที่ทั้งสาม เดลลาเดียยิ้มให้กับทุกคน เค้ารู้จักที่นี่ดี สี่ห้าปีมาแล้วที่เค้าจะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ทุกๆครึ่งปีในฤดูหนาว ซึ่งที่นี่จะมีฤดูหนาวปีละสองครั้ง
มีเสียงหลายคนพูดชื่อเดลลาเดียขึ้นมา
"เจ้ามาที่นี่บ่อยเหรอ" ชารีฟกระซิบ
เดลลาเดียพยักหน้า ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ สาวๆก็วิ่งเข้ามาล้อมทั้งคู่จนท่านยายมารตรีหัวเราะมองหลานชายที่เป็นที่นิยมชมชอบของสามวๆในหมู่บ้าน เดลลาเดียเป็นที่รักของทุกคนที่นี่จึงไม่แปลกใจที่มีหลายครอบครัมาทาบทามเดลลาเดียกับยท่านยายมารตรีให้ลูกสาวของครอบครัวตน หากแต่ท่านยายไม่สนใจในเรื่องนี้
"เดลลาเดียยังเด็ก" ท่านยายจะอ้างข้อนี้เสมอ
เดลลาเดียถูกพวกสาวๆเกือบสิบคนลากเข้าไปในวงเต้นรำ ชารีฟจึงโดนลากเข้าไปด้วย นานมากแล้วที่ชารีฟไม่ได้เล่นสนุกสนานเต้นรำอย่างเพลิดเพลิน หากแต่ลึกๆในใจก็ไม่สุขนักเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนต้องทำ
แสงจากกองไฟกระทบใบหน้าเดลลาเดีย ไม่แปลกที่สาวๆจะหลงไหล เดลลาเดียเป็นหนุ่มรูปงาม งามที่สุดเท่าที่ชารีฟเคยเห็น ผิวของเค้าเนียนเรียบดุจดั่งสตรีผิวงามที่สุดในฮาน ถ้าหากชารีฟไม่รู้ว่าเดลลาเดียเป็นเมอีซอล เค้าจะต้องคัดค้านกับคำพูดที่ว่าเมอีซอลเป็นเผ่าพันธ์ที่งดงามที่สุด
ชารีฟถูกล้อมด้วยสาวๆมากหน้าหลายตา งามบ้างไม่งามบ้าง แต่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
"ภายในของนางเหล่านี้คงสุขล้น" ชารีฟคิดในใจ ก่อนที่จะเดินออกมาจากกลุ่มสาวๆที่เต้นระบำตามจังหว่ะดนตรีอย่างสนุกสนาน
ตรงที่ว่าง ชารีฟทิ้งตัวนั่งลงมองบรรดาหนุ่มสาวนั่งคุยเล่นเต็นระบำ รอยยิ้มเล็กๆผุดที่มุมปากของเจ้าชายหนุ่ม
"การเดินทางยังอีกยาวนาน เจ้าชาย" เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านข้างชารีฟทำให้เจ้าชายถึงกับนั่งแข็งทื่อ
ท่านยายมารตรีเป็นเจ้าของเสียงนั้น หญิงชราที่มีใบหน้าราวกับหญิงวัยรุ่นๆยืนมองเจ้าชายหนุ่ม ชารีฟลุกขึ้นประคองร่างท่านยายมารตรีให้นั่งลงด้วยกัน
"การเดินทางยังอีกยาวไกลแต่จะไม่ผิดหวังที่ท่านตัดสินใจทำ" ท่านยายมารตรีมองหน้าเจ้าชายนิ่ง
"เดลลาเดียคงบอกท่านยายว่าข้าเดินทางทำไม" ชารีฟทอดสายตาออกไปที่กองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง
"เหลือลูอีสคนเดียวเท่านั้นข้าไม่เหลือใครอีก ข้าจะให้น้องข้าตายไม่ได้"
"พระบิดาท่านยังอยู่ ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านต้องลำบากเช่นนี้" ท่ายายมารตรีพูดน้ำเสียงนิ่ง เจ้าชายชารีฟขบกรามเน้น
"ไม่ใช่พระบิดากระมัง มีแต่องค์จักรพรรดิ หลังจากลอยแพรพระมารดา ลูอีส และข้า ข้าไม่อย่างจะคิดว่าพระองค์จะคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่ทอดทิ้งข้าข้าไม่เคยลืม"
ชารีฟนิ่ง ดวงตาเจ้าชายหนุ่มปวดร้าว
ยากเหลือเกินกับการมีชีวิตอยู่ของเด็กชายวัยหกขวบที่ไร้ซึ่งบิดามารดา ยากเหลือเกินกับพี่ชายวัยหกขวบที่ต้องดูแลน้องชาย ชารีฟไม่เคยลืมคำที่พระบิดา องค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟส่งสั่งให้จับตัวพระมารดา ลูอีส และตัวชารีฟเองลอยแพรไปสู่ดินแดนแห่งพระเจ้าเพื่อฟังคำตัดสินในความผิดที่เด็กน้อยวัยหกขวบไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร
"ฟ้าดำมืด มีสิ่งชั่วร้ายบังตาพระบิดา เจ้าชายเอ๋ยท่านไม่เข้าใจแต่เจ้าชายลูอีสทราบดี เรื่องนี้ซับซ้อนนัก จงทำตามวิถี ตามสัทธาที่พระองค์มีและท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านได้ทำลงไปไม่ได้เพียงแค่ท่านคนเดียวที่จะเปี่ยมด้วยความสุข เส้นชะตาได้ขีดเอาไว้อย่างงดงามอยู่ที่ท่านที่จะเดินตามหรือไม่ ข้าบอกท่านได้เท่านี้ เจ้าชาย" ท่านยายมารตรียิ้ม เดลลาเดลเดินตรงมาตรงเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมกับรอยยิ้ม
"เห็นทียายต้องกลับบ้านเสียที อากาศเย็นมากแล้ว" ท่านยายยิ้มเมื่อเดลลาเดียมานั่งข้างๆ
"ข้าไปส่งดีกว่า" เดลลาเดียอาสา แต่ท่านยายยั้งเอาไว้
"นานๆมาทีสนุกกับเพื่อนๆเถิด เดี๋ยวสาวๆในหมู่บ้านจะพาลเกลียดยายเสียหมดที่เก็บหลานไว้คนเดียว" ท่านยายยิ้มพลางหยิกแก้มเดลลาเดียก่อนที่จะลุกเดินไปบ้าน
เดลลาเดียทักทายคนโน้นคนนี้
"เจ้าบอกท่านยายเรื่องการเดินทางของข้า" ชารีฟขมวดคิ้ว
เดลลาเดียพยักหน้าซื่อๆ "อือ ข้าบอกท่านยายว่าเราจะไปดูแสงอาทิตย์แรกอย่างไรเล่า"
ท่านยายรู้เรื่องได้อย่างไร เรื่องนี้แคลงใจชารีฟตลอดเวลาที่นั่งเล่นจนกระทั่งกลับมานอนที่บ้าน คำพูดของท่านยายทำให้เค้าคิดวนเวียนจนเผลอหลับเข้าตอนไหนเค้ายังไม่รู้ตัว
แสงตะวันจับที่เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตก หยาดน้ำค้างเริ่มเหือดแห้ง ยามราตรีพ้นผ่านไปอีกหนึ่งกาล หากแต่ตะวันโผล่พ้นให้เห็นเส้นแสงเพียงที่เส้นหุบเขาด้านนอกกำแพงมหานครเท่านั้น นานแสนนานเหลือเกินที่มหานครแห่งนี้ต้องอยู่ในความมืด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น แต่บัดนี้วิถีชีวิตของคนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว ชนชาติเผ่าพันธ์นักคิดถูกแปลผันเป็นเพียงแค่กำลังของราชสำนักเท่านั้น
ไพร่ฟ้าประชากรมีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากทาสเมื่อครั้งสมัยนานกาลก่อน ทุกคนอยู่ใต้อำนาจการปกครองของขุนนางที่กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ใต้เงามือเหล่าคนโฉดในราชสำนักหาประโยชน์ใส่ตนมิสนใจความเป็นอยู่ของราษฎร แล้วองค์จักรพรรดิไปอยู่ที่แห่งหนใดเล่า ไพร่ฟ้าวิงวอน เนินนานเหลือเกินที่เหล่าปวงชนมิได้ยลโฉมขององค์จักรพรรดิผู้เก่งกล้าสามารถและรักไพร่ฟ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด
ระบบการปกครองของฮานเปลี่ยนไปมาก ประชาชนต้องทำงานเพื่อแลกกับความสงบสุข การใช้ชีวิตในเมืองแสนจะยากลำบาก ไม่มีแม้เวลาที่จะคิดแม้จะทำการอันใด ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของราชสำนัก เป็นของผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนพวกชาวเมืองไม่ต้องพูดถึง เรื่องความสุขสบายทางกาย ประชาชนมีอยู่บ้าง แต่ทางใจนั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น
“รีฟ” เสียงลูอิสแผ่วเบาแหบแห้งมือตะเกียกตะกายหาบางสิ่งดวงตาของเค้าปิดสนิทคิ้วขมวดแน่น
โลลิตามองใบหน้าขาวซีดของลูอิสน้ำตาคลอ นางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะกุมมือที่ไขว่คว้าของลูอิสเอาไว้
นานมากแล้วที่ลูอิสต้องอยู่ในสภาพนี้ โลลิตาน้ำตานองหน้าเช่นนี้ทุกวันเช่นกัน
“รีฟอยู่แห่งหนใดกัน” นางคิดอย่างปวดร้าว เกือบครึ่งปีแล้วที่ชารีฟจากไป ไม่มีข่าวคราวเลยสักครั้ง นางจะคิดวกวนเช่นนี้ทุกวัน ยิ่งอาการของลูอีสหนักขึ้นเท่าไหร่ นางยิ่งคิดถึงชารีฟมากขึ้น ไม่มีใครที่จะปกป้องนาง ดูแลนางได้ดีเท่าชารีฟและลูอีส พี่น้องที่เล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่โลลิตาลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ เด็กชายสองคนที่คอยดูแลปกป้องไม่เคยมีเด็กเกเรระแวกบ้านคนใดจะมาแกล้งน้องสาวของเด็กชายทั้งคู่ต้องเจ็บช้ำ รอยยิ้มจางๆของชารีฟและลูอีสในทุ่งหญ้าหลังหุบเขาที่เคยแอบไปวิ่งเล่นกันบ่อยๆยังตราตรึงอยู่ในใจของนางเสมอ โลลิตาดุจดั่งเจ้าหญิงที่มี่เจ้าชายผู้กล้าหาญปกป้องดูแลอย่างดี
ค่ำวันนั้น โลลิตาจำได้ดี ลูอีสถูกหามเข้ามาในบ้านร่างการของเค้าเต็มไปด้วยเลือด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเพื่อนๆไปพบเค้าอีกครั้งก็เกือบพลบค่ำ ชารีฟโกรธจัดเดินไปหาเรื่องกับพวกวัยเดียวกันที่มักเรื่องกันอยู่เสมอๆ พวกนักเลงรุมทำร้ายชารีฟจนเจ็บหนักและกลับบ้านมาพร้อมกับคำปฏิเสธ
ลูอีสได้สติครั้งสุดท้ายในคืนนั้น เค้าลืมตาขึ้นมา ดวงตาอันนิ่งงันนของลูอีสเบิกโตราวกับเค้าเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เค้าไม่สมควรจะเห็น ริมฝีปากของลูอีสพร่ำเรียกแต่ชื่อของชารีฟเท่านั้น แม้ว่ารอบกายของเค้าจะมีแต่คนที่เราเค้า แต่เสียงนั้นมีเพียงแต่ชื่อของชารีฟเท่านั้น
ปกติแล้วชารีฟกับลูอีสจะมีอะไรหลายย่างที่เหมือนกันมาก หากแต่มีอย่างหนึ่งที่ชารีฟแต่งต่างจากน้องชายคือความอ่อนโยน เค้าเป็นคนอ่อนไหวกับหลายสิ่งหลายอย่างง่ายดายกว่าลูอีส
ชารีฟมองหน้าน้องชายนิ่งพลางกุมมือเค้าเอาไว้ ลูอีสหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามันเป็นก้อนหินก้อนเล็กกลมเกรี้ยงสีดำสนิท ชารีฟมองก้อนหินนั้นอย่างประหลาดใจไม่มีใครสามารถบอกชารีฟได้ในตอนนั้นว่าสิ่งที่เค้าเห็นคืออะไร เสียงของลูอีสแผ่วเบาก่อนที่จะหายใจหอบถี่ คำพูดสุดท้ายคือชื่อของชายา”เจรีอาร์”
ความคิดเห็น