คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : การเดินทางอันแท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว
ฮาน 240 ปีต่อมาในยุคสมัยของจักรพรรดิผู้ทรงมีพระชนม์มายุน้อยที่สุดในราชวงศ์เมื่อครั้งขึ้นครองราช พระนามของพระองค์ คือองค์จักรพรรดิ คาร์ซาร์ฟ พระองค์ทรงขึ้นครองราชเมื่อมีอายุเพียง 14 พรรษา แต่ก็ได้ด้วยสายเลือดกษัตริย์ทีมีอยู่เต็มเปี่ยมในกายของพระองค์ทำให้พระองค์เป็นนักปกครองที่ดี ที่สำคัญพระองค์ยังมีราชินีผู้ฉลาดและเก่งกาจอย่างนาเดเรยาร์ หญิงสาวผู้เลอโฉม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหญิงสาวถือเพศสายกลางหรือเป็นพวกเผ่าพันธ์ แห่งเมอีซอล ผู้ซึ่งจะมีชีวิตนิรันดร์ หากแต่นางละทิ้งพรที่พระเจ้าทรงประทานให้ ชีวิตนิรันดรที่ผู้คนต่างเรียกหา นางปัดมันทิ้งด้วยเหตุผลของความรัก
นางจักอยู่ค้ำฟ้าได้อย่างไรหากคนที่นางรักต้องแก่และตายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง แม้มนุษย์จะเป็นเผ่าพันธ์สุดท้ายที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ขึ้นมาบนโลกนี้และถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ แม้มนุษย์จะไม่สามารถยืนอยู่ค้ำฟ้า แต่พรทีพระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ก็คือ ความรัก แม้ว่าเผ่าพันธ์อื่นจะมีคำว่าความรักบัญญัติอยู่ในภาษาแต่ก็ไม่มีความรักของเผ่าพันธุ์ใดลึกซึ้งได้เท่าความหมายของคำว่ารักภาษามนุษย์ มนุษย์มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน มีมากเสียกว่าที่ธรรมชาติบันดาลให้เสียด้วยซ้ำ
ประชาชนไพร่ฟ้าอยู่อย่างสงบร่มเย็น แม่ว่าอัญมณีแห่งความรักที่พระเจ้าประทานให้กับมหานครฮานตั้งแต่ครั้งบรรพกาลจะสูญหายไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของที่นี่ลดลง เพราะชาวเมืองยังคงศรัทธาในตัวจักรพรรดิของพวกเค้าและยังคงจงรักภักดี แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปความภักดีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิทุกพระองค์ในแผ่นดินที่ดูแลราษฎรอย่างดี
แม้ยามศึกสงครามจักรพรรดิก็จักเป็นผู้ออกทัพด้วยตนเองเสมอไม่เคยให้ไพร่ฟ้าต้องขาดกำลังใจ
หลังจากองค์จักรพรรดิทรงขึ้นครองราชได้ 10 ปี ราชินีเดรียาร์ก็ให้กำเนิดพระโอรสฝาแฝดและทรงประทานนามให้กับราชบุตรทั้ง 2 ว่าเจ้าชายชารีฟ และเจ้าชายลูอีส ทั้งสองพระองค์อยู่ในตำแหน่งมหาอุปราชย์ทั้งคู่ ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อครั้งองค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟสิ้นสละบัลลังก์ เจ้าชายทั้งสองจะต้องขึ้นครองราชย์ และถูกสถาปนาเป็นจักรพรรดิทั้งคู่
เจ็ดปีให้หลังทารกน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดู และเป็นที่รักของพระบิดามาก หลังจากที่ทารกทั้งสอง ถือกำเนิดขึ้น มหานครฮานยิ่งสงบร่มเย็นกว่าเก่าก่อนมาก ไม่มีศึกสงครามบ่อยครั้งเหมือนก่อนจนองค์กษัตริย์ คาร์ซาร์ฟต้องออกไปนำทัพรบราฆ่าฟันเหมือนก่อน
ท้องพระโรงยามค่ำคืน แสงจากเล่มเทียนนับพันที่วางไว้ทั่วบริเวณส่องประกาย องค์จักรพรรดิหนุ่มวัย 31 ซึ่งจัดว่าเป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่พระองค์กลับดูกร้านมากกว่าอายุ กว่า17 ปีแล้วที่พระองค์ทรงปกครองราษฎรอย่างสงบร่มเย็น แม้ยามศึกสงครามก็ไม่เคยมีทหารเมืองใดที่สามารถทำลายมหานครฮานได้ หากแต่ฮานได้ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆจนมีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล จากลอยแผลแห่งความบากบั่น จะเห็นซึ่งความเป็นตัวพระองค์อยู่ในนั้น ดวงตาดุดันดุจดั่งเหยี่ยววัยหนุ่มพร้อมที่จะโฉบลูกไก่ได้ตลอดเวลา แสงเทียนสะท้อนใบหน้าเรียวของพระองค์ พระองค์ไม่ถูกจัดว่าเป็นชายที่หล่อเหลา หากแต่ก็มีใบหน้าที่พอดีเหมาะเจาะ สันจมูกของพระองค์ตั้งชันเข้ากับคิ้วและริมฝีปากบางที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆเหนือขึ้นไปบนริมฝีปากบนด้านขวา จากการทำสงครามครั้งแรกของพระองค์เมื่อมีพระชนมพรรษา 15 พรรษา และพระองค์ก็ ชนะทุกครั้งตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ดวงตาของจักรพรรดิผู้กร้านโลกมองดูนางข้า ซึ่งเป็นเครื่องบรรดาการจากแคว้นซูเดียทางตอนใต้ หญิงสาวผู้เลอโฉม เป็นครั้งแรกที่มีนางข้าเข้าถวายตัวกับองค์จักรพรรดิและบรรดาเหล่าขุนนางในวังต่างมองกันเป็นตาเดียว นางงามดั่งเทพธิดาแห่งวารี ดุจกวีบางท่านเคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่นมนาน ถึงหญิงนางหนึ่งที่งดงามดุจดั่งดวงจันทร์เพ็ญ
นางงามดุจดั่งจันทร์เฉิดฉาย
ดวงตาเปล่งประกายแจ่มจรัส
ผิวขาวนวลดุจดังแสงจันทรา
งามสง่าดุจดังเทพธิดาแห่งวารี
นางมีนามว่าว่าเจรีอาร์ นางเป็นหญิงสาวที่มีดวงตาที่ใครจ้องมองแล้วราวกับจะถูดดูดกลืนให้สิ้นชีวี ดวงตาโศกและแจ่มใสในห้วงเวลาเดียวกัน นั้น ช่างน่าฉงนใจให้ชายชาตินักรบใคร่เข้าไปค้นหา
เรือนผมยาวของนางสะท้อนแสงเมื่อต้องแสงไฟในท้องพระโรงยามที่นางเดินเข้ามาช้าๆและคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักต์ขององค์จักรพรรดิหนุ่มที่ทรงมองนางอย่างเมตตาปราณีแฝงความรักอยู่ภายใน แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้พบกับนางหากแต่พระองค์ทรงสัมผัสว่าหญิงงามนางนี้พระเจ้าทรงประทานมาให้อยู่คู่กับพระองค์ หญิงสาวผู้นี้เกิดมาเพื่อมาเป็นคู่ชื่นของพระองค์หาใช่ชายอื่นไม่
“เจ้าชื่ออันใด” จักรพรรดิกล่าวน้ำเสียงของพระองค์นุ่มนิ่งและเปี่ยมด้วยเมตตา ไม่เคยที่พระองค์จะแสดงความสนอกสนใจนางข้ามากขนาดนี้
นางข้าที่เป็นบรรณาการจะมีศักดิ์ต่ำสุดในบรรดาชายาทั้งหลายขององค์จักรพรรดิทั้งหลาย ในราชวงศ์ก่อนๆ ในแผ่นดินนี้มีองค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟเพียงพระองค์เดีวยเท่านั้นที่มีเพียงชายาเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์สนใจที่จะเอ่ยถามต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่อยู่รวมกันในห้องโถงราชวัง
เจรีอาร์เป็นชื่อของนาง หญิงสาวกล่าวเบาๆ นางไม่แม้แต่จะชำเลืองตามององค์จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ น้ำเสียงของนางค่อนข้างสั่นเครือ นางคงไม่ใคร่จะเต็มใจกับการมาเป็นของบรรณาการให้กับใคร ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีหญิงใดในโลกที่จะพึงใจอยากจะเป็น
องค์ราชินีเดเรยาร์ยิ้มมองหน้าบุตรชายทั้งสอง เจ้าชายลูอีสหลับตาพริ้มอย่างเหน็ดเหนื่อย วันนี้ทั้งเจ้าชายชารีฟและเจ้าชายลูอีสเล่นกันทั้งวันเหมือนเคย จะเหนื่อยมากก็ตรงที่พระมารดาเดเรยาร์ทรงอนุญาติให้องค์ชายวัยเจ็ดพรรษาคู่นี้ได้ลงเล่นน้ำในลำธารสายเล็กท้ายวัง ส่วนเจ้าชายชารีฟดูเหมือนว่าจะหลับไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ วันนี้สนุกมากก็จริง และเจ้าชายก็ได้แผลที่ขาขวามาอีกหนึ่งแผลเพราะความซุกซนเล่พิเลนกว่าลูอีสผู้น้อง เจ้าชายองค์โตนอนร้องไห้จนหลับในอ้อมอกพระมารดา
เดเรยาร์ลูบปอยเส้นผมดำขลับของเจ้าชายชารีฟ ก่อนที่จะซับน้ำตาที่ยังคงเอ่อออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นางมีเจ้าชายองค์น้อยทั้งคู่ความสำคัญขององค์จักรพรรดิก็ดูเหมือนจะลดความสำคัญลง นางสนใจจะอยู่กับราชบุตรทั้งสองทั้งวันมากกว่าไปนั่งอยู่เบื้องข้างสามีในการถกปัญหาบ้านเมืองและสงครามเช่นครั้งก่อน ๆ เรื่องนี้ทำให้ทั้งคู่ห่างกันไปบ้าง
บ่อยครั้งที่เดเรยาร์ไม่ได้พบหน้าสวามีของนางทั้งวัน แต่นางก็ไม่ได้เหงาใจอะไร เพราะนางจะรู้เสมอองค์จักรพรรดิทรงรักนางเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะพระองค์ไม่เคยมีนางเล็กๆน้อยๆแม้แต่คนเดียว หญิงผู้ที่พระองค์บอกด้วยคำหวานเสมอว่า “เจ้าคือหญิงคนเดียวที่จะอยู่ในในข้า” ก
เวลาที่พ้นผ่านทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หญิงที่ได้รับพรว่าจะเป็นสาวงามตลอดกาลมองร่างตนเองที่สะท้อนอยู่ในวงเวียนน้ำพุตรงระเบียงห้องของเจ้าชายน้อยทั้งสอง พรนั้นสูญสลายไปตามที่บรรพบุรุษของนางบอกเอาไว้ นางจะไม่งามค้ำฟ้าเฉกเช่นพวกพ้องของนาง ที่ขณะนี้คงจะวิ่งล่องไปในป้าขับร้องดนตรีเบาๆ เต้นระบำร่าเริงอยู่ในทุ่งดอกไม้โล่งใต้แสงจันทรา ยามจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ นางจะได้นอนอาบแสงจันทร์ ทิ้งร่างอันเปลือยเปล่าลงบนดอกไม้หลากสีที่กู้ร้องต้อนรับขบวนเดินทางของเผ่าพันธุ์ตากีซอล เผ่าพันธ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่งดงามที่สุดในโลก
สายลมหวิวพัดผ่านโสตของนางพาเอาเสียงเพลงในครั้งวัยเยาว์ให้หวนคืนมาอีกครา ภาพของทุ่งหญ้าแดนเหนือปรากฎอยู่ในห้วงคิดของนางอีกครั้ง เจ้าชายวัยยี่สิบเศษ บนอาชาสีนิลเคลื่อนผ่านร่างของนางไปอย่างรวดเร็วใต้แสงจัทราอันหอมหวนด้วยกลิ่นของชายป่าทางเหนือที่หนาวเหน็บ
หญิงเมอีซอลผู้พลัดหลงจากขบวนการเดินทางสู่ทะเลทางทิศเหนือ เจ้าชายจ้องมองนางด้วยดวงตาแห่งไมตรีก่อนที่จะถอดเอาผ้าที่คลุมกำบังความหนาวของพระองค์เองคลุมให้กับเมอีซอลสาว อากาศเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางเมอีซอลสาวอย่างเดเรยาร์ในยามนั้นรู้สึกอันใด หากแต่เมื่อได้รับไมตรีจากเจ้าชายแปลกหน้าความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปจนทั่วร่างกายและจิตใจของนาง และนั่นก็ทำให้นางเข้าใจคำว่าความรักในภาษาของพวกมนุษย์ว่ามีค่ามากมายเพียงใด
เจ้าชายหนุ่มขันอาสาจะไปส่งนาง แม้ว่าเพิ่งจะเสร็จละจากศึกสงครามที่ทำให้กายของพระองค์อ่อนล้าไม่ใช่น้อย สู่ดินแดนทะเลเหนือที่พวกพ้องของนางมุ่งหน้าไป ผ่านทุ่งหญ้าทุ่งแล้วทุ่งเล่า ผ่านแสงจันทราและค่ำคืนอันมืดมิด จนกระทั่งถึงดินแดนทะเลเหนือ พวกพ้องของนางกำลังร่าเริงสนุกสนานอยู่ที่นั่น หามีผู้ใดสนใจการพลัดหลงของนางไม่ เจ้าชายหนุ่มอุ้มประคองร่างในผ้าคลุมของพระองค์ลงจากอาชาสีนิลอย่างเบามือ รอยยิ้มอันแสนดีของพระองค์ช่างเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ
ก่อนพระองค์จะไป นางเมอีซอลรั้งแขนพระองค์เอาไว้ พระองค์อยู่เป็นแขกของนางในค่ำคืนนั้น พี่น้องของนางไม่พอใจกับการมาของนางและมนุษย์เจ้าชายผู้นี้
คืนนั้นนางบอกกับทุกคนว่านางตัดสินใจจะเดินทางสู่โลกกว้างกับชายผู้นี้ ชายผู้เปี่ยมด้วยความรัก นางเรียกเค้าเช่นนั้น ท่ามกลางเสียงปรามของทุกคน นางไม่สนใจที่จะฟังผู้ใด
กระทั่งรุ่งสางร่างของเจ้าชายหนุ่มนอนอยู่บนพื้นทราย เบื้องข้างมีเพียงหญิงสาว ในผ้าคลุมเดิมของพระองค์นั่งอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่าราวกับเมื่อคืนวานไม่มีงานรื่นเริงอันใดเกิดขึ้น
พวกพ้องของนางจากไปแล้ว นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้เห็นพวกเค้า แต่เมื่อนางเห็นหน้าชายที่นอนอยู่เบื้องข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเสียไปนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับเจ้าชายที่ร่างกายโทรมไปด้วยเสื้อผ้าที่เปื้อนเปรอะ ใบหน้าที่มีรอยแผลแห่งการฝ่าฟันภยันตรายในการศึก ใบหน้าอันครุ่นคิดแม้ในยามหลับไหล และนั่นเป็นใบหน้าเดียวที่นางสามารถจดจำได้ แม้ในยามฟ้าไม่มีแสงประกายของดาวให้เห็น
ยามราตรีอันเงียบเหงา มีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่เคียงข้างชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมลำธารสายยาวที่มีชื่อว่าธารน้ำแห่งยูเรติส ซึ่งเป็นต้นของแม่น้ำสายยาวที่ไหลลงผ่านดินแดนต่างๆ รวมถึงมหานครฮาน แม่น้ำสายนี้ถือเป็นแม่น้ำศักดิสิทธิ์ที่เชื่กันว่าพระเจ้าประทานให้กับโลกนี้ ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้
ธารน้ำแห่งยูเรติส อยู่ทางตอนตะวันออกดินแดนแห่งเทพเจ้าที่ให้แสงสว่างแก่เหล่าสิ่งมีชีวิตด้านหลังเทือกเขาโอเมน ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามเพราะเชื่อกันว่าเป็นดินแดนของเทพเจ้า เป็นเขตหวงห้ามที่มนุษย์ไม่ควรย่างกายเข้าไป
“ชารีฟ” เสียงแผ่วเบาไพเราะดุจเสียงดนตรี กระทบที่โสตหูของชายหนุ่มผิวขาวนวลที่นั่งมองสายน้ำไหลเอื่อย เค้ากระพริบตาก่อนจะหันมาตามเสียงแลเห็นร่างหญิงสาวผิวผ่องดั่งแสงจันทรนวลยืนตัวเปลือยเปล่า แม้วันนี้ดวงจันทร์อับแสง แต่ใบหน้าของนางกลับส่องประกายให้เค้าเห็นได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย
ค่ำวานเค้าเพิ่งจะได้พบกับหญิงงามผู้นี้ เค้าไม่สามารถบรรยายให้ผู้ใดรู้ได้เลยว่าเค้าจะเปรียบความงามของนางดุจดังสิ่งใดในดินแดนของมนุษย์ จึงจะสามารถบอกได้หมดว่านางงามมากเพียงใด
“น้ำค้างลงแล้ว ไม่ดีกระมังที่เจ้าจะนั่งอยู่อย่างนี้ ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง” หญิงสาวนั่งลงเบื้องข้างเค้าก่อนจะสัมผัสผ้ฃิวกาายที่มีบาดแผลขีดข่วนอยู่เล็กน้อย
“เดลซ่าเจ้าอย่าสนใจข้านักเลย ไปเล่นร้องเพลงกับพวกพ้องของเจ้าเถิด ข้าสบายดี” ชารีฟพูด ดวงตาของเค้าค่อนข้างเซื่องซึม ฤทธิยาของพวกเมอีซอลนี่ช่างแสนวิเศษสุด ร่างกายของชารีฟถูกรักษาเยียวยาอย่างดี หากแต่จิตใจเค้ากลับนิ่งงันไร้ความรู้สึก
ว่ากันว่าเสียงดนตรีแห่งเมอีซอลสามารถรักษาความเศร้าทั้งมวลได้ แต่มันไม่อาจทำให้สิ่งที่อุดอู้อยู่ในใจของหนุ่มรูปงามผู้มีเชื่อสายแห่งจักรพรรดิผู้นี้รู้สึกร่าเริงขึ้นมาได้
นางเมอีซอลสาวมองลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทของชารีฟ ความเศร้าโศกภายในมีอยู่เต็มเปี่ยมพร้อมที่จะประทุออกมาตลอดเวลาจนทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก เรื่องราวมากมายแฝงอยู่บนใบหน้าเยาว์วัย ดวงตาผู้กล้าส่องประกายแฝงด้วยความปวดร้าวมากที่สุดเท่าที่นางเคยพบพาน สิ่งใดในโลกแห่งนี้ที่จะทำให้ความเศร้าของหนุ่มผู้นี้จางหายไปได้นางใคร่รู้เสียเหลือเกิน
ชารีฟถอนหายใจเบาๆสามครั้งก่อนจะจับเอาก้อนหินใสสีชมพูอ่อนขึ้นมาจากสร้อยสีเงินที่คล้องคออยู่ เค้ามองแสงอ่อนจนเกือบจะจางหาย เหมือนกับร่างกายและจิตใจของเค้าที่บอบช้ำ ผ่านเรื่องราวมากมาย การเดินทางอันยาวนาน แต่มันก็จบลงด้วยความสูญเสีย
“แสงแห่งความหวังยังส่องประกาย ข้ารู้ดีเด็กน้อย” เดลซ่าจุมพิตที่หน้าผากของชายหนุ่มก่อนจะส่งยิ้มแล้วยืนขึ้นลูบปอยผมสีดำขลับของชายหนุ่มเบา
“แต่ความหวังของข้าดับลงไปแล้ว” ชารีฟเงยมองหน้าของหญิงเมอีซอล แสงจันทราโผล่ออกมาจากหมู่เมฆแล้วทำให้เค้าเห็นใบหน้านางได้ชัดเจนมากขึ้น ภาพของพระมารดาปรากฏอยู่ในห้วงคิด หญิงที่สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่นางรัก และท้ายที่สุดนางก็ได้รับสิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่สิงสถิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นการตอบแทน
“ความหวังของเจ้ายังมี มารดาเจ้า นางทิ้งทุกสิ่งไป เพราะนางมีรักเจ้าเห็นหรือไม่ว่าแสงแห่งรักยังอยู่กับเจ้า แม้มารดาเจ้าจะจากไป แต่นางไม่เคยทิ้งเจ้าไปอยู่แห่งหนใด” เดลซ่ากล่าวพลางช้อนมือขึ้น ก้อนหินใสสีดำสนิทที่คล้องคู่อยู่กับหินสีชมพูที่คอของชารีฟหลุดลอยออกมาอยู่เหนือมือของนางเมอีซอลสาว
“ข้าไม่เคยเข้าใจคำว่ารักในภาษามนุษย์ ต่างจากมารดาเจ้าที่นางหาความหมายนางจนเจอแม้จะต้องเจ็บแต่ข้าว่านางตัดสินใจถูกที่นางได้ค้นพบว่าความสุขอันแท้จริงของชีวิตนางเป็นเช่นไร มารดาเจ้ามีรัก มารดาเจ้าจึงพบกับความรัก เฉกเช่นเจ้าที่มีความหวังเจ้าก็จะได้พบกับความหวัง และเมื่อเจ้ามีความหวังเจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าหวังเมื่อมันเป็นความจริง เจ้าจะได้พบสุขที่ยิ่งใหญ่เหมือนมารดาเจ้า” เดลซ่าวางหินใสสีดำบนอุ้งมือของชารีฟ
“เมื่อเจ้ามีหวัง แสงแห่งความหวังจึงส่องประกาย เมื่อเจ้ามีรัก แสงแห่งรักจะส่องประกายเช่นกัน แม้หินนี้จะยังมืดบอด แต่เมื่อเจ้าพบรักแท้ เจ้าจะเห็นว่าหินนี้งดงามเพียงใด”
ชารีฟจ้องมองหินก้อนนั้น
“ความรักของข้ายังมืดบอด” เค้าคิดอยู่ในใจ
“พรุ่งนี้ข้าต้องไปตามทางของพวกพ้องข้า เราต้องจากกันอีกแล้วสินะเดรียาร์น้อยเอ๋ย” เดลซ่าลูบไร้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายมารดา ขนตายาวเหยียดที่ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยมี นางยังจำได้ดี เดรียาร์ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่เดลซ่าเคยเห็นเมื่อครั้งจากกัน และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เดลซ่าได้เห็นหน้าน้องสาวของตนเอง
ชารีฟมองหน้าเดลซ่าอย่างฉงนใจ แต่ก็ไม่คิดปริปากถาม เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เค้าสมควรรู้นางก็น่าจะเป็นผู้บอกเค้าเอง
“เดินทางไปในดินแดนแห่งดวงตะวันสู่ดินแดนแห่งหนทาง ดินแดนที่เจ้าเห็นแสงตะวันแรกกระทบแผ่นดิน ที่นั่นเจ้าจะพบกับคัมภีร์ส่องพิภพ แสงสว่างอยู่ที่นั่นแล้วเจ้าจะพบคำตอบ มนุษย์วุ่นวายและชอกช้ำมากเกินพอแล้ว” เดลซ่ายิ้มเย็นๆ ชารีฟมองนางเช่นกัน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวอย่างหน้าประหลาดใจ หญิงผู้นี้เป็นใคร เค้ารู้แต่เพียงว่าเป็นหญิงเมอิซอลที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเห็นนางหนึ่งผู้งดงามและเปี่ยมด้วยเมตตา เท่านั้นที่เค้าพอจะนำไปเล่าให้เพื่อนเข้าใจ เท่านี้ก็คงพอที่จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่านางมีจิตใจที่งดงามเพียงใด
ชารีฟลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เค้ายังอยู่ทีเดิมที่ริมธารน้ำแห่งยูเรติส เค้าพยายามปรับสายตาให้เข้าแสงยามเช้าจนสำเร็จ ข้างกายของเค้ามีสะเบียงพันมันเป็นห่อให้สามารถพกพาได้สะดวกที่เดลซ่าเตรียมเอาไว้ให้กับห่อเสื้อผ้ากับของสัญอันเก่าที่เอามาเองเมื่อครั้งออกจากฮาน เค้าลุกขึ้นเหยียดแขนเหยียดขาแล้วล้างหน้าล้างตาตนเองในธารน้ำศักดิ์สิทธิตามที่เชื่อกัน อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็น ชายหนุ่มมองใบหน้าตนเองในเงาสะท้อนบนผืนน้ำ มีเคลาน้อยๆขึ้นมาบนใบหน้าของเค้ายิ่งทำให้ใบหน้าของเค้าดุขึ้นมาเล็กน้อย
“เดลซ่าไปแล้ว”
เค้ารู้ดีเพราะเมื่อคืนได้กล่าวอำลากัน และเค้าก็ได้ทำความรู้จักกับ เดลลาเดีย บุตรชายของเดลซ่าซึ่งเป็นเมอิซอลรูปงามที่กำลังเข้าวัยรุ่นและมีวิสัยผิดเมอิซอลทั่วไป เค้าใคร่รู้เรื่องชีวิตของมนุษย์เป็นชีวิตจิตใจ และคนที่เค้านับถือมากก็คือเดรียาร์ นางจากไปเมื่อเดลลาเดียยังเป็นเด็กแต่เค้าก็ประทับใจถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของนาง เค้าถามทุกเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์กับชารีฟ ถามโน่นถามนี้ กวนใจจนชารีฟหลับไปตอนไหนเค้าก็ไม่แน่ใจ
ชารีฟยิ้มเมื่อนึกถึงเจ้าเมอิซอลน้อยรูปงาม คุยและหัวเราะตลอดเวลา ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด ตอนนี้คงกำลังวิ่งไล่แกล้งพวกเมอิซอลสาววัยเดียวกันสนุกสนานในทุกหญ้าที่ใดสักแห่งที่มีลมพัดเย็นๆ แสงตะวันอ่อนๆ
“หลับเป็นตายเลยนะเจ้าน่ะ” เสียงแจ้วแต่ไพเราะดังมาจากที่ไหนสังแห่งจนชารีฟถึงกับสะดุ้ง ชารีฟไม่ต้องคิดนาน เพาะเพียงเสียววินาทีเงาของเจ้าของเสียงก็ปรากฏอยู่เบื้องข้างเงาของเค้าในธารน้ำ ใบหน้าร่าเริงแจ่มใสเช่นเคยจนชารีฟหุบยิ้มเพราะเมื่อครู่เค้าเพิ่งนึกถึงเจ้าของเสียงแจ้วนี้
“เดลลาเดีย” ชารีฟพูดเบาๆ
“อือ เดลลาเดีย ชื่อข้า ขอบใจนะที่จำข้าได้” เดลลาเดียยิ้มก่อนจะวักน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึกแล้วก็กระโดดลงไปในน้ำอย่างสบายใจ
“ทำไมเจ้ายังไม่ไป หรือว่าเจ้าหลงทาง” ชารีฟพูดสายตาพยายามมองหาว่าร่างเดลลาเดียอยู่ส่วนไหนของธารน้ำ
เดลลาเดียไม่ตอบ เค้าเงียบไป เพียงคู่ก็โผล่หน้าขึ้นบนผิวน้ำเบื้องหน้าชารีฟที่ตกใจจนหงายท้อง
เดลลาเดียหัวเราะ “ไม่ได้หลง”
“แล้วเจ้าทำไมยังไม่ไปอีก” ชารีฟขมวดคิ้วขยับนั่งในท่าเดิม
“ก็รอเจ้านั่นแหละ พวกมนุษย์นี่ตื่นสายอย่างเจ้าทุกคนหรือเปล่าเนี่ย” เดลลาเดียยิ้ม
“รอข้า ข้าไม่ไปกับพวกเจ้าหรอก ไม่ต้องรอ ตายหล่ะถ้าแม่เจ้ารู้แม่เจ้าต้องห่วงแน่” ชารีฟส่ายหน้า
”ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่าข้าจะไปกับเจ้า ข้าคุยกับแม่เมื่อคืนว่าข้าจะเดินทางเป็นเพื่อนเจ้า ข้าบอกตรงๆว่าข้าชอบเจ้ามากๆเลย” เดลลาเดียยิ้มอย่างจริงใจ ใบหน้าเยาว์ของเค้าช่างไร้เดียงสา บริสุทธิ์ไร้กลโกงใดๆ
“แต่ข้าไม่ชอบเจ้า” ชารีฟพูดกับตัวเองเบาๆ
“อะไรนะ เจ้าพูดว่าอะไร” เดลลาเดลยื่นหน้าขึ้นมาจนใกล้กับชารีฟ
“เปล่าไม่มีอะไร ว่าแต่เจ้าจะเดินทางกับข้าเจ้ารู้เหรอว่าข้าจะไปไหน” ชารีฟอมยิ้มเพราะคิดว่าตนเองหาทางออกได้แล้วว่าจะหาทางเลี่ยงไม่ให้เดลลาเดียเดินทางด้วยอย่างไร
“แล้วเจ้าจะไปไหนล่ะ” เดลลาเดียยิ้ม ทำใบหน้าซื่อ แม้ว่าใบหน้าของเค้าจะไร้เดียงสาบริสุทธิ์ แต่เค้าก็ร้ายพอตัวไม่อย่างนั้นคงไม่มานั่งอยู่กับพวกมนุษย์ และก็ผิดแปลกจากพวกเมอีซอลหรอก
ชารีฟเงียบครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม
“เจ้าไม่รู้จักหรอกน่าที่นั่นนะ น่ากลัวไม่สนุกซักนิด”
เดลลาเดียทำคิ้วตกหน้าละห้อย “น่าเสียดายข้านึกว่าข้าจะมีเพื่อนไปดูแสงตะวันแรกกระทบพื้นดิน เห็นทีข้าต้องไปคนเดียวซะแล้ว”
ชารีฟก้มหน้าคิ้วตกเมื่อได้ยินคำพูดของเดลลาเดียที่ตอนนี้ยิ้มแล้วผุดดำลงไปในน้ำอีกครั้ง
“เดลลาเดีย เดลลาเดีย” ชารีฟตะโกนเรียกหลายครั้ง เดลลาเดียผุดขึ้นมาแล้วเดินขึ้นมาบนฝั่ง
“เห็นทีข้าต้องไปก่อนนะชารีฟ กว่าจะได้เห็นแสงแรกนี่ข้าคงต้องเดินทางหลายแรมคืน ลาก่อนนะหวังว่าจะได้เจอเจ้าอีก” เดลลาเดียซ่อนยิ้มเอาไว้
ความคิดเห็น