ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend Of Harn

    ลำดับตอนที่ #1 : การเดินทางอันแท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 49


     ฮาน  240 ปีต่อมาในยุคสมัยของจักรพรรดิผู้ทรงมีพระชนม์มายุน้อยที่สุดในราชวงศ์เมื่อครั้งขึ้นครองราช  พระนามของพระองค์ คือองค์จักรพรรดิ คาร์ซาร์ฟ  พระองค์ทรงขึ้นครองราชเมื่อมีอายุเพียง 14 พรรษา  แต่ก็ได้ด้วยสายเลือดกษัตริย์ทีมีอยู่เต็มเปี่ยมในกายของพระองค์ทำให้พระองค์เป็นนักปกครองที่ดี  ที่สำคัญพระองค์ยังมีราชินีผู้ฉลาดและเก่งกาจอย่างนาเดเรยาร์ หญิงสาวผู้เลอโฉม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหญิงสาวถือเพศสายกลางหรือเป็นพวกเผ่าพันธ์ แห่งเมอีซอล ผู้ซึ่งจะมีชีวิตนิรันดร์  หากแต่นางละทิ้งพรที่พระเจ้าทรงประทานให้ ชีวิตนิรันดรที่ผู้คนต่างเรียกหา  นางปัดมันทิ้งด้วยเหตุผลของความรัก 

    นางจักอยู่ค้ำฟ้าได้อย่างไรหากคนที่นางรักต้องแก่และตายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง  แม้มนุษย์จะเป็นเผ่าพันธ์สุดท้ายที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ขึ้นมาบนโลกนี้และถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ  แม้มนุษย์จะไม่สามารถยืนอยู่ค้ำฟ้า แต่พรทีพระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ก็คือ  ความรัก  แม้ว่าเผ่าพันธ์อื่นจะมีคำว่าความรักบัญญัติอยู่ในภาษาแต่ก็ไม่มีความรักของเผ่าพันธุ์ใดลึกซึ้งได้เท่าความหมายของคำว่ารักภาษามนุษย์  มนุษย์มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน  มีมากเสียกว่าที่ธรรมชาติบันดาลให้เสียด้วยซ้ำ

    ประชาชนไพร่ฟ้าอยู่อย่างสงบร่มเย็น  แม่ว่าอัญมณีแห่งความรักที่พระเจ้าประทานให้กับมหานครฮานตั้งแต่ครั้งบรรพกาลจะสูญหายไป  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของที่นี่ลดลง  เพราะชาวเมืองยังคงศรัทธาในตัวจักรพรรดิของพวกเค้าและยังคงจงรักภักดี  แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปความภักดีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิทุกพระองค์ในแผ่นดินที่ดูแลราษฎรอย่างดี

    แม้ยามศึกสงครามจักรพรรดิก็จักเป็นผู้ออกทัพด้วยตนเองเสมอไม่เคยให้ไพร่ฟ้าต้องขาดกำลังใจ

    หลังจากองค์จักรพรรดิทรงขึ้นครองราชได้ 10  ปี  ราชินีเดรียาร์ก็ให้กำเนิดพระโอรสฝาแฝดและทรงประทานนามให้กับราชบุตรทั้ง 2 ว่าเจ้าชายชารีฟ และเจ้าชายลูอีส  ทั้งสองพระองค์อยู่ในตำแหน่งมหาอุปราชย์ทั้งคู่  ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อครั้งองค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟสิ้นสละบัลลังก์ เจ้าชายทั้งสองจะต้องขึ้นครองราชย์ และถูกสถาปนาเป็นจักรพรรดิทั้งคู่

     

    เจ็ดปีให้หลังทารกน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดู  และเป็นที่รักของพระบิดามาก  หลังจากที่ทารกทั้งสอง ถือกำเนิดขึ้น  มหานครฮานยิ่งสงบร่มเย็นกว่าเก่าก่อนมาก ไม่มีศึกสงครามบ่อยครั้งเหมือนก่อนจนองค์กษัตริย์ คาร์ซาร์ฟต้องออกไปนำทัพรบราฆ่าฟันเหมือนก่อน

    ท้องพระโรงยามค่ำคืน  แสงจากเล่มเทียนนับพันที่วางไว้ทั่วบริเวณส่องประกาย  องค์จักรพรรดิหนุ่มวัย 31 ซึ่งจัดว่าเป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น  แต่พระองค์กลับดูกร้านมากกว่าอายุ  กว่า17 ปีแล้วที่พระองค์ทรงปกครองราษฎรอย่างสงบร่มเย็น  แม้ยามศึกสงครามก็ไม่เคยมีทหารเมืองใดที่สามารถทำลายมหานครฮานได้  หากแต่ฮานได้ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆจนมีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล  จากลอยแผลแห่งความบากบั่น  จะเห็นซึ่งความเป็นตัวพระองค์อยู่ในนั้น  ดวงตาดุดันดุจดั่งเหยี่ยววัยหนุ่มพร้อมที่จะโฉบลูกไก่ได้ตลอดเวลา  แสงเทียนสะท้อนใบหน้าเรียวของพระองค์  พระองค์ไม่ถูกจัดว่าเป็นชายที่หล่อเหลา  หากแต่ก็มีใบหน้าที่พอดีเหมาะเจาะ  สันจมูกของพระองค์ตั้งชันเข้ากับคิ้วและริมฝีปากบางที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆเหนือขึ้นไปบนริมฝีปากบนด้านขวา  จากการทำสงครามครั้งแรกของพระองค์เมื่อมีพระชนมพรรษา 15 พรรษา  และพระองค์ก็  ชนะทุกครั้งตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา

    ดวงตาของจักรพรรดิผู้กร้านโลกมองดูนางข้า  ซึ่งเป็นเครื่องบรรดาการจากแคว้นซูเดียทางตอนใต้  หญิงสาวผู้เลอโฉม  เป็นครั้งแรกที่มีนางข้าเข้าถวายตัวกับองค์จักรพรรดิและบรรดาเหล่าขุนนางในวังต่างมองกันเป็นตาเดียว  นางงามดั่งเทพธิดาแห่งวารี ดุจกวีบางท่านเคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่นมนาน  ถึงหญิงนางหนึ่งที่งดงามดุจดั่งดวงจันทร์เพ็ญ

    นางงามดุจดั่งจันทร์เฉิดฉาย 

    ดวงตาเปล่งประกายแจ่มจรัส

    ผิวขาวนวลดุจดังแสงจันทรา

    งามสง่าดุจดังเทพธิดาแห่งวารี

    นางมีนามว่าว่าเจรีอาร์  นางเป็นหญิงสาวที่มีดวงตาที่ใครจ้องมองแล้วราวกับจะถูดดูดกลืนให้สิ้นชีวี  ดวงตาโศกและแจ่มใสในห้วงเวลาเดียวกัน นั้น  ช่างน่าฉงนใจให้ชายชาตินักรบใคร่เข้าไปค้นหา

    เรือนผมยาวของนางสะท้อนแสงเมื่อต้องแสงไฟในท้องพระโรงยามที่นางเดินเข้ามาช้าๆและคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักต์ขององค์จักรพรรดิหนุ่มที่ทรงมองนางอย่างเมตตาปราณีแฝงความรักอยู่ภายใน  แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้พบกับนางหากแต่พระองค์ทรงสัมผัสว่าหญิงงามนางนี้พระเจ้าทรงประทานมาให้อยู่คู่กับพระองค์  หญิงสาวผู้นี้เกิดมาเพื่อมาเป็นคู่ชื่นของพระองค์หาใช่ชายอื่นไม่

    เจ้าชื่ออันใด  จักรพรรดิกล่าวน้ำเสียงของพระองค์นุ่มนิ่งและเปี่ยมด้วยเมตตา  ไม่เคยที่พระองค์จะแสดงความสนอกสนใจนางข้ามากขนาดนี้

     

     

    นางข้าที่เป็นบรรณาการจะมีศักดิ์ต่ำสุดในบรรดาชายาทั้งหลายขององค์จักรพรรดิทั้งหลาย  ในราชวงศ์ก่อนๆ  ในแผ่นดินนี้มีองค์จักรพรรดิคาร์ซาร์ฟเพียงพระองค์เดีวยเท่านั้นที่มีเพียงชายาเดียว 

    นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์สนใจที่จะเอ่ยถามต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่อยู่รวมกันในห้องโถงราชวัง

    เจรีอาร์เป็นชื่อของนาง  หญิงสาวกล่าวเบาๆ  นางไม่แม้แต่จะชำเลืองตามององค์จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ  น้ำเสียงของนางค่อนข้างสั่นเครือ  นางคงไม่ใคร่จะเต็มใจกับการมาเป็นของบรรณาการให้กับใคร  ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีหญิงใดในโลกที่จะพึงใจอยากจะเป็น

     

    องค์ราชินีเดเรยาร์ยิ้มมองหน้าบุตรชายทั้งสอง  เจ้าชายลูอีสหลับตาพริ้มอย่างเหน็ดเหนื่อย  วันนี้ทั้งเจ้าชายชารีฟและเจ้าชายลูอีสเล่นกันทั้งวันเหมือนเคย  จะเหนื่อยมากก็ตรงที่พระมารดาเดเรยาร์ทรงอนุญาติให้องค์ชายวัยเจ็ดพรรษาคู่นี้ได้ลงเล่นน้ำในลำธารสายเล็กท้ายวัง  ส่วนเจ้าชายชารีฟดูเหมือนว่าจะหลับไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่  วันนี้สนุกมากก็จริง  และเจ้าชายก็ได้แผลที่ขาขวามาอีกหนึ่งแผลเพราะความซุกซนเล่พิเลนกว่าลูอีสผู้น้อง  เจ้าชายองค์โตนอนร้องไห้จนหลับในอ้อมอกพระมารดา 

    เดเรยาร์ลูบปอยเส้นผมดำขลับของเจ้าชายชารีฟ  ก่อนที่จะซับน้ำตาที่ยังคงเอ่อออกมาเรื่อยๆ  ตั้งแต่นางมีเจ้าชายองค์น้อยทั้งคู่ความสำคัญขององค์จักรพรรดิก็ดูเหมือนจะลดความสำคัญลง  นางสนใจจะอยู่กับราชบุตรทั้งสองทั้งวันมากกว่าไปนั่งอยู่เบื้องข้างสามีในการถกปัญหาบ้านเมืองและสงครามเช่นครั้งก่อน ๆ เรื่องนี้ทำให้ทั้งคู่ห่างกันไปบ้าง 

    บ่อยครั้งที่เดเรยาร์ไม่ได้พบหน้าสวามีของนางทั้งวัน  แต่นางก็ไม่ได้เหงาใจอะไร  เพราะนางจะรู้เสมอองค์จักรพรรดิทรงรักนางเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะพระองค์ไม่เคยมีนางเล็กๆน้อยๆแม้แต่คนเดียว  หญิงผู้ที่พระองค์บอกด้วยคำหวานเสมอว่า เจ้าคือหญิงคนเดียวที่จะอยู่ในในข้า 

    เวลาที่พ้นผ่านทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  หญิงที่ได้รับพรว่าจะเป็นสาวงามตลอดกาลมองร่างตนเองที่สะท้อนอยู่ในวงเวียนน้ำพุตรงระเบียงห้องของเจ้าชายน้อยทั้งสอง  พรนั้นสูญสลายไปตามที่บรรพบุรุษของนางบอกเอาไว้  นางจะไม่งามค้ำฟ้าเฉกเช่นพวกพ้องของนาง  ที่ขณะนี้คงจะวิ่งล่องไปในป้าขับร้องดนตรีเบาๆ  เต้นระบำร่าเริงอยู่ในทุ่งดอกไม้โล่งใต้แสงจันทรา  ยามจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ นางจะได้นอนอาบแสงจันทร์  ทิ้งร่างอันเปลือยเปล่าลงบนดอกไม้หลากสีที่กู้ร้องต้อนรับขบวนเดินทางของเผ่าพันธุ์ตากีซอล  เผ่าพันธ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่งดงามที่สุดในโลก 

    สายลมหวิวพัดผ่านโสตของนางพาเอาเสียงเพลงในครั้งวัยเยาว์ให้หวนคืนมาอีกครา  ภาพของทุ่งหญ้าแดนเหนือปรากฎอยู่ในห้วงคิดของนางอีกครั้ง  เจ้าชายวัยยี่สิบเศษ บนอาชาสีนิลเคลื่อนผ่านร่างของนางไปอย่างรวดเร็วใต้แสงจัทราอันหอมหวนด้วยกลิ่นของชายป่าทางเหนือที่หนาวเหน็บ

    หญิงเมอีซอลผู้พลัดหลงจากขบวนการเดินทางสู่ทะเลทางทิศเหนือ  เจ้าชายจ้องมองนางด้วยดวงตาแห่งไมตรีก่อนที่จะถอดเอาผ้าที่คลุมกำบังความหนาวของพระองค์เองคลุมให้กับเมอีซอลสาว  อากาศเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางเมอีซอลสาวอย่างเดเรยาร์ในยามนั้นรู้สึกอันใด  หากแต่เมื่อได้รับไมตรีจากเจ้าชายแปลกหน้าความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปจนทั่วร่างกายและจิตใจของนาง  และนั่นก็ทำให้นางเข้าใจคำว่าความรักในภาษาของพวกมนุษย์ว่ามีค่ามากมายเพียงใด

    เจ้าชายหนุ่มขันอาสาจะไปส่งนาง  แม้ว่าเพิ่งจะเสร็จละจากศึกสงครามที่ทำให้กายของพระองค์อ่อนล้าไม่ใช่น้อย  สู่ดินแดนทะเลเหนือที่พวกพ้องของนางมุ่งหน้าไป ผ่านทุ่งหญ้าทุ่งแล้วทุ่งเล่า  ผ่านแสงจันทราและค่ำคืนอันมืดมิด จนกระทั่งถึงดินแดนทะเลเหนือ  พวกพ้องของนางกำลังร่าเริงสนุกสนานอยู่ที่นั่น  หามีผู้ใดสนใจการพลัดหลงของนางไม่  เจ้าชายหนุ่มอุ้มประคองร่างในผ้าคลุมของพระองค์ลงจากอาชาสีนิลอย่างเบามือ รอยยิ้มอันแสนดีของพระองค์ช่างเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ

    ก่อนพระองค์จะไป นางเมอีซอลรั้งแขนพระองค์เอาไว้  พระองค์อยู่เป็นแขกของนางในค่ำคืนนั้น  พี่น้องของนางไม่พอใจกับการมาของนางและมนุษย์เจ้าชายผู้นี้

      คืนนั้นนางบอกกับทุกคนว่านางตัดสินใจจะเดินทางสู่โลกกว้างกับชายผู้นี้  ชายผู้เปี่ยมด้วยความรัก นางเรียกเค้าเช่นนั้น  ท่ามกลางเสียงปรามของทุกคน  นางไม่สนใจที่จะฟังผู้ใด

      กระทั่งรุ่งสางร่างของเจ้าชายหนุ่มนอนอยู่บนพื้นทราย  เบื้องข้างมีเพียงหญิงสาว ในผ้าคลุมเดิมของพระองค์นั่งอยู่  ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่าราวกับเมื่อคืนวานไม่มีงานรื่นเริงอันใดเกิดขึ้น 

    พวกพ้องของนางจากไปแล้ว  นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้เห็นพวกเค้า  แต่เมื่อนางเห็นหน้าชายที่นอนอยู่เบื้องข้าง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเสียไปนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย  เมื่อเทียบกับเจ้าชายที่ร่างกายโทรมไปด้วยเสื้อผ้าที่เปื้อนเปรอะ  ใบหน้าที่มีรอยแผลแห่งการฝ่าฟันภยันตรายในการศึก ใบหน้าอันครุ่นคิดแม้ในยามหลับไหล  และนั่นเป็นใบหน้าเดียวที่นางสามารถจดจำได้ แม้ในยามฟ้าไม่มีแสงประกายของดาวให้เห็น

     

    ยามราตรีอันเงียบเหงา มีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่เคียงข้างชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมลำธารสายยาวที่มีชื่อว่าธารน้ำแห่งยูเรติส  ซึ่งเป็นต้นของแม่น้ำสายยาวที่ไหลลงผ่านดินแดนต่างๆ  รวมถึงมหานครฮาน  แม่น้ำสายนี้ถือเป็นแม่น้ำศักดิสิทธิ์ที่เชื่กันว่าพระเจ้าประทานให้กับโลกนี้  ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้

    ธารน้ำแห่งยูเรติส  อยู่ทางตอนตะวันออกดินแดนแห่งเทพเจ้าที่ให้แสงสว่างแก่เหล่าสิ่งมีชีวิตด้านหลังเทือกเขาโอเมน  ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามเพราะเชื่อกันว่าเป็นดินแดนของเทพเจ้า  เป็นเขตหวงห้ามที่มนุษย์ไม่ควรย่างกายเข้าไป

    ชารีฟ  เสียงแผ่วเบาไพเราะดุจเสียงดนตรี กระทบที่โสตหูของชายหนุ่มผิวขาวนวลที่นั่งมองสายน้ำไหลเอื่อย  เค้ากระพริบตาก่อนจะหันมาตามเสียงแลเห็นร่างหญิงสาวผิวผ่องดั่งแสงจันทรนวลยืนตัวเปลือยเปล่า  แม้วันนี้ดวงจันทร์อับแสง แต่ใบหน้าของนางกลับส่องประกายให้เค้าเห็นได้อย่างชัดเจน  ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย 

    ค่ำวานเค้าเพิ่งจะได้พบกับหญิงงามผู้นี้  เค้าไม่สามารถบรรยายให้ผู้ใดรู้ได้เลยว่าเค้าจะเปรียบความงามของนางดุจดังสิ่งใดในดินแดนของมนุษย์ จึงจะสามารถบอกได้หมดว่านางงามมากเพียงใด

    น้ำค้างลงแล้ว ไม่ดีกระมังที่เจ้าจะนั่งอยู่อย่างนี้  ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง  หญิงสาวนั่งลงเบื้องข้างเค้าก่อนจะสัมผัสผ้ฃิวกาายที่มีบาดแผลขีดข่วนอยู่เล็กน้อย

    เดลซ่าเจ้าอย่าสนใจข้านักเลย  ไปเล่นร้องเพลงกับพวกพ้องของเจ้าเถิด ข้าสบายดี  ชารีฟพูด  ดวงตาของเค้าค่อนข้างเซื่องซึม  ฤทธิยาของพวกเมอีซอลนี่ช่างแสนวิเศษสุด  ร่างกายของชารีฟถูกรักษาเยียวยาอย่างดี  หากแต่จิตใจเค้ากลับนิ่งงันไร้ความรู้สึก 

    ว่ากันว่าเสียงดนตรีแห่งเมอีซอลสามารถรักษาความเศร้าทั้งมวลได้  แต่มันไม่อาจทำให้สิ่งที่อุดอู้อยู่ในใจของหนุ่มรูปงามผู้มีเชื่อสายแห่งจักรพรรดิผู้นี้รู้สึกร่าเริงขึ้นมาได้ 

    นางเมอีซอลสาวมองลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทของชารีฟ  ความเศร้าโศกภายในมีอยู่เต็มเปี่ยมพร้อมที่จะประทุออกมาตลอดเวลาจนทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก  เรื่องราวมากมายแฝงอยู่บนใบหน้าเยาว์วัย  ดวงตาผู้กล้าส่องประกายแฝงด้วยความปวดร้าวมากที่สุดเท่าที่นางเคยพบพาน  สิ่งใดในโลกแห่งนี้ที่จะทำให้ความเศร้าของหนุ่มผู้นี้จางหายไปได้นางใคร่รู้เสียเหลือเกิน

    ชารีฟถอนหายใจเบาๆสามครั้งก่อนจะจับเอาก้อนหินใสสีชมพูอ่อนขึ้นมาจากสร้อยสีเงินที่คล้องคออยู่  เค้ามองแสงอ่อนจนเกือบจะจางหาย  เหมือนกับร่างกายและจิตใจของเค้าที่บอบช้ำ  ผ่านเรื่องราวมากมาย  การเดินทางอันยาวนาน  แต่มันก็จบลงด้วยความสูญเสีย

    แสงแห่งความหวังยังส่องประกาย  ข้ารู้ดีเด็กน้อย  เดลซ่าจุมพิตที่หน้าผากของชายหนุ่มก่อนจะส่งยิ้มแล้วยืนขึ้นลูบปอยผมสีดำขลับของชายหนุ่มเบา

    แต่ความหวังของข้าดับลงไปแล้ว  ชารีฟเงยมองหน้าของหญิงเมอีซอล  แสงจันทราโผล่ออกมาจากหมู่เมฆแล้วทำให้เค้าเห็นใบหน้านางได้ชัดเจนมากขึ้น  ภาพของพระมารดาปรากฏอยู่ในห้วงคิด  หญิงที่สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่นางรัก  และท้ายที่สุดนางก็ได้รับสิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่สิงสถิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นการตอบแทน

    ความหวังของเจ้ายังมี มารดาเจ้า  นางทิ้งทุกสิ่งไป  เพราะนางมีรักเจ้าเห็นหรือไม่ว่าแสงแห่งรักยังอยู่กับเจ้า  แม้มารดาเจ้าจะจากไป แต่นางไม่เคยทิ้งเจ้าไปอยู่แห่งหนใด  เดลซ่ากล่าวพลางช้อนมือขึ้น  ก้อนหินใสสีดำสนิทที่คล้องคู่อยู่กับหินสีชมพูที่คอของชารีฟหลุดลอยออกมาอยู่เหนือมือของนางเมอีซอลสาว

    ข้าไม่เคยเข้าใจคำว่ารักในภาษามนุษย์  ต่างจากมารดาเจ้าที่นางหาความหมายนางจนเจอแม้จะต้องเจ็บแต่ข้าว่านางตัดสินใจถูกที่นางได้ค้นพบว่าความสุขอันแท้จริงของชีวิตนางเป็นเช่นไร  มารดาเจ้ามีรัก  มารดาเจ้าจึงพบกับความรัก  เฉกเช่นเจ้าที่มีความหวังเจ้าก็จะได้พบกับความหวัง  และเมื่อเจ้ามีความหวังเจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าหวังเมื่อมันเป็นความจริง  เจ้าจะได้พบสุขที่ยิ่งใหญ่เหมือนมารดาเจ้า  เดลซ่าวางหินใสสีดำบนอุ้งมือของชารีฟ 

    เมื่อเจ้ามีหวัง  แสงแห่งความหวังจึงส่องประกาย  เมื่อเจ้ามีรัก แสงแห่งรักจะส่องประกายเช่นกัน  แม้หินนี้จะยังมืดบอด แต่เมื่อเจ้าพบรักแท้ เจ้าจะเห็นว่าหินนี้งดงามเพียงใด

    ชารีฟจ้องมองหินก้อนนั้น 

    ความรักของข้ายังมืดบอด  เค้าคิดอยู่ในใจ

    พรุ่งนี้ข้าต้องไปตามทางของพวกพ้องข้า  เราต้องจากกันอีกแล้วสินะเดรียาร์น้อยเอ๋ย  เดลซ่าลูบไร้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายมารดา  ขนตายาวเหยียดที่ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยมี  นางยังจำได้ดี  เดรียาร์ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่เดลซ่าเคยเห็นเมื่อครั้งจากกัน  และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เดลซ่าได้เห็นหน้าน้องสาวของตนเอง

    ชารีฟมองหน้าเดลซ่าอย่างฉงนใจ แต่ก็ไม่คิดปริปากถาม  เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เค้าสมควรรู้นางก็น่าจะเป็นผู้บอกเค้าเอง  

    เดินทางไปในดินแดนแห่งดวงตะวันสู่ดินแดนแห่งหนทาง  ดินแดนที่เจ้าเห็นแสงตะวันแรกกระทบแผ่นดิน  ที่นั่นเจ้าจะพบกับคัมภีร์ส่องพิภพ   แสงสว่างอยู่ที่นั่นแล้วเจ้าจะพบคำตอบ  มนุษย์วุ่นวายและชอกช้ำมากเกินพอแล้ว  เดลซ่ายิ้มเย็นๆ  ชารีฟมองนางเช่นกัน  ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวอย่างหน้าประหลาดใจ  หญิงผู้นี้เป็นใคร เค้ารู้แต่เพียงว่าเป็นหญิงเมอิซอลที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเห็นนางหนึ่งผู้งดงามและเปี่ยมด้วยเมตตา   เท่านั้นที่เค้าพอจะนำไปเล่าให้เพื่อนเข้าใจ  เท่านี้ก็คงพอที่จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่านางมีจิตใจที่งดงามเพียงใด   

     

    ชารีฟลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  เค้ายังอยู่ทีเดิมที่ริมธารน้ำแห่งยูเรติส  เค้าพยายามปรับสายตาให้เข้าแสงยามเช้าจนสำเร็จ  ข้างกายของเค้ามีสะเบียงพันมันเป็นห่อให้สามารถพกพาได้สะดวกที่เดลซ่าเตรียมเอาไว้ให้กับห่อเสื้อผ้ากับของสัญอันเก่าที่เอามาเองเมื่อครั้งออกจากฮาน  เค้าลุกขึ้นเหยียดแขนเหยียดขาแล้วล้างหน้าล้างตาตนเองในธารน้ำศักดิ์สิทธิตามที่เชื่อกัน  อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็น  ชายหนุ่มมองใบหน้าตนเองในเงาสะท้อนบนผืนน้ำ  มีเคลาน้อยๆขึ้นมาบนใบหน้าของเค้ายิ่งทำให้ใบหน้าของเค้าดุขึ้นมาเล็กน้อย 

    เดลซ่าไปแล้ว

      เค้ารู้ดีเพราะเมื่อคืนได้กล่าวอำลากัน  และเค้าก็ได้ทำความรู้จักกับ เดลลาเดีย  บุตรชายของเดลซ่าซึ่งเป็นเมอิซอลรูปงามที่กำลังเข้าวัยรุ่นและมีวิสัยผิดเมอิซอลทั่วไป  เค้าใคร่รู้เรื่องชีวิตของมนุษย์เป็นชีวิตจิตใจ  และคนที่เค้านับถือมากก็คือเดรียาร์ นางจากไปเมื่อเดลลาเดียยังเป็นเด็กแต่เค้าก็ประทับใจถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของนาง  เค้าถามทุกเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์กับชารีฟ  ถามโน่นถามนี้  กวนใจจนชารีฟหลับไปตอนไหนเค้าก็ไม่แน่ใจ

    ชารีฟยิ้มเมื่อนึกถึงเจ้าเมอิซอลน้อยรูปงาม  คุยและหัวเราะตลอดเวลา  ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด  ตอนนี้คงกำลังวิ่งไล่แกล้งพวกเมอิซอลสาววัยเดียวกันสนุกสนานในทุกหญ้าที่ใดสักแห่งที่มีลมพัดเย็นๆ แสงตะวันอ่อนๆ

    หลับเป็นตายเลยนะเจ้าน่ะ  เสียงแจ้วแต่ไพเราะดังมาจากที่ไหนสังแห่งจนชารีฟถึงกับสะดุ้ง ชารีฟไม่ต้องคิดนาน  เพาะเพียงเสียววินาทีเงาของเจ้าของเสียงก็ปรากฏอยู่เบื้องข้างเงาของเค้าในธารน้ำ  ใบหน้าร่าเริงแจ่มใสเช่นเคยจนชารีฟหุบยิ้มเพราะเมื่อครู่เค้าเพิ่งนึกถึงเจ้าของเสียงแจ้วนี้

    เดลลาเดีย  ชารีฟพูดเบาๆ

    อือ เดลลาเดีย  ชื่อข้า  ขอบใจนะที่จำข้าได้  เดลลาเดียยิ้มก่อนจะวักน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึกแล้วก็กระโดดลงไปในน้ำอย่างสบายใจ

    ทำไมเจ้ายังไม่ไป  หรือว่าเจ้าหลงทาง  ชารีฟพูดสายตาพยายามมองหาว่าร่างเดลลาเดียอยู่ส่วนไหนของธารน้ำ

    เดลลาเดียไม่ตอบ  เค้าเงียบไป  เพียงคู่ก็โผล่หน้าขึ้นบนผิวน้ำเบื้องหน้าชารีฟที่ตกใจจนหงายท้อง

    เดลลาเดียหัวเราะ ไม่ได้หลง

    แล้วเจ้าทำไมยังไม่ไปอีก  ชารีฟขมวดคิ้วขยับนั่งในท่าเดิม

    ก็รอเจ้านั่นแหละ  พวกมนุษย์นี่ตื่นสายอย่างเจ้าทุกคนหรือเปล่าเนี่ย  เดลลาเดียยิ้ม

    รอข้า  ข้าไม่ไปกับพวกเจ้าหรอก  ไม่ต้องรอ  ตายหล่ะถ้าแม่เจ้ารู้แม่เจ้าต้องห่วงแน่  ชารีฟส่ายหน้า

    ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  ข้าหมายความว่าข้าจะไปกับเจ้า  ข้าคุยกับแม่เมื่อคืนว่าข้าจะเดินทางเป็นเพื่อนเจ้า  ข้าบอกตรงๆว่าข้าชอบเจ้ามากๆเลย  เดลลาเดียยิ้มอย่างจริงใจ  ใบหน้าเยาว์ของเค้าช่างไร้เดียงสา  บริสุทธิ์ไร้กลโกงใดๆ

    แต่ข้าไม่ชอบเจ้า  ชารีฟพูดกับตัวเองเบาๆ

    อะไรนะ  เจ้าพูดว่าอะไร  เดลลาเดลยื่นหน้าขึ้นมาจนใกล้กับชารีฟ

    เปล่าไม่มีอะไร  ว่าแต่เจ้าจะเดินทางกับข้าเจ้ารู้เหรอว่าข้าจะไปไหน  ชารีฟอมยิ้มเพราะคิดว่าตนเองหาทางออกได้แล้วว่าจะหาทางเลี่ยงไม่ให้เดลลาเดียเดินทางด้วยอย่างไร

    แล้วเจ้าจะไปไหนล่ะ  เดลลาเดียยิ้ม  ทำใบหน้าซื่อ  แม้ว่าใบหน้าของเค้าจะไร้เดียงสาบริสุทธิ์  แต่เค้าก็ร้ายพอตัวไม่อย่างนั้นคงไม่มานั่งอยู่กับพวกมนุษย์  และก็ผิดแปลกจากพวกเมอีซอลหรอก

    ชารีฟเงียบครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม

    เจ้าไม่รู้จักหรอกน่าที่นั่นนะ น่ากลัวไม่สนุกซักนิด

    เดลลาเดียทำคิ้วตกหน้าละห้อย  น่าเสียดายข้านึกว่าข้าจะมีเพื่อนไปดูแสงตะวันแรกกระทบพื้นดิน  เห็นทีข้าต้องไปคนเดียวซะแล้ว

    ชารีฟก้มหน้าคิ้วตกเมื่อได้ยินคำพูดของเดลลาเดียที่ตอนนี้ยิ้มแล้วผุดดำลงไปในน้ำอีกครั้ง

                เดลลาเดีย  เดลลาเดีย  ชารีฟตะโกนเรียกหลายครั้ง  เดลลาเดียผุดขึ้นมาแล้วเดินขึ้นมาบนฝั่ง

    เห็นทีข้าต้องไปก่อนนะชารีฟ  กว่าจะได้เห็นแสงแรกนี่ข้าคงต้องเดินทางหลายแรมคืน  ลาก่อนนะหวังว่าจะได้เจอเจ้าอีก  เดลลาเดียซ่อนยิ้มเอาไว้

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×