รอวันที่มีเธอ
แป้งสาวนักเรียนนอก เดินทางกลับมาเพื่อทวงในสิ่งที่เป็นของเธอเอง
ผู้เข้าชมรวม
183
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
การเดินทางมาครั้งนี้ของเมทิตาไม่เหมือนกับการกลับมาเมืองไทยครั้งก่อนของเธอเพระครรั้งนี้มีเรื่อวราวมากมายที่เธอจะต้องจัดการแก้ไขในสิ่งที่ค้างคามาแล้วนับตั้งแต่เวลาผ่านไปสี่ปีที่เธอเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ
เมทิตาเดินออกมาทางผู้โดยสารขาเดข้าพร้อมกับรถเข็ญการะเป๋าใบโตถึงสามใบ เธอมาในเสื้อผ้าที่เก๋ไก๋และแปลกตาไปมากจากเดิมมาก จากหญิงงสาวที่เรียบร้อยตระกูลผู้ดีเก่าอย่างตระกูลกิตติพันกรที่ต้องอยู่ในระเบียบทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สาวน้อยผมยาวสลวยตั้งแต่ก่อนนั้นหายไปอยู่ที่ไหนซะแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่มันรวมถึงจิตใจของเธอที่แข็งแกร่งขึ้นมากอีกด้วย
รัฐภูมิคนขับรถรุ่นราวคราวเดียวกันกับเมทิตามายืนรออยู่ ในมือของเค้าถือป้ายกระดาษเขียนว่า “คุณแป้ง” เมื่อเมทิตาเห็นป้ายจึงเดินเข้าไปหาเค้าในทันทีเพราะเข้าใจว่าเป็นคนที่ที่บ้านส่งมารับ การกลับมาแก้แค้นของเมทิตาครั้งนี้ดูเหมือนจะเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
“คุณแป้งใช่มั๊ยครับ” รัฐภูมิคนขับรถในชุดเสื้อเชิตผูกเนคไทด์เรียบร้อย
การที่ที่เมทิตาจะเดินทางไปเมืองนอกเพื่อตั้งใจจะลืมเรื่องการเสียชีวิตของมารดาอย่างกระทันหันในอุบัติเหตุที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
หลังจากการจากไปของคุณหญิงแม่เพียงไม่เท่าไหร่ วีรยุทธก็เที่ยวระรานกับเมทิตาอย่างเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนั้นเธอเธอเพิ่งเรียนอยู๋ชั้นมอหกเท่านั้น ซี่งการจากไปคุณแม่ได้ทิ้งมรดกทั้งหมดให้กับวีรยุทธทั้งหมด รวมทั้งสิทธิในการดูแลเมทิตาด้วย
จนในที่สุดเมทิตาก็ทนไม่ไหวเพราะเธอพลาดถ้าให้กับนายวีรยุธร ซึ่งเป็นความอับอายที่จะติดตัวเธอตลอดไป หลังจากนั้นเพียงหนึ่งอาทิตย์เธอก็จัดแจงส่งเรื่องเรียนต่อที่อังกฤษและเดินทางทันทีโดยการดูและขอลุงวินัยซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อของเธอซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเจ็ดปีก่อน เรื่องที่เธอถูงนายวีรยุทธข่มเหงถูงต่างๆนานาเก็บเป็นความลับเรื่อยมาเพราะความอับอาย แต่บัดนี้ความอับอายถูกเปลี่ยนเป็นความแค้นที่ฝังลึกในจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่มันจะไม่มีทางลบเลือนไปจากใจดวงนั้นที่เริ่มทีรอยดำเพิ่มขึ้นทุกวันด้วยความแค้น
“เราเป็นคนขับรถคนใหม่ของที่บ้านเหรอ แล้วน้าผินทำไมไม่มารับฉัน” เมทิตากล่าวกับรัฐภูมิ น้ำเสียงของเธอธรรมดาจนเกือบเป็นคนใจดีไม่เปรี้ยวจี๊ดเหมือนการแต่งตัวของเธอแม้แต่น้อย
“น้าผินแกเสียไปตั้งแต่ปีที่แล้วครับ” รัฐภูมิกล่าวน้ำเสียงธรรมดาแล้วก็มองหน้าของหญิงสาวที่มีท่าสลดใจอยู่เหมือนกัน เค้ามองหน้าเธออยู่ครู่เดียวก็หันมาเข็ญรถกระเป๋า
“แล้วเราเข้ามาทำงานนานแล้วเหรอ” เมทิตาพูดเมื่อรถออกมาติดอยู่กลางถนนที่อากาศค่อนข้างร้อน
“ไม่นานหรอกครับ ผมไม่ได้อยู่ประจำเดี๋ยวนี้คนขับรถดีดีน่ะหาอยากครับคุณผมจะมาก็เป็นครั้งคราวที่ป้ายุพินเค้าเรียกใช้เท่านั้นแหละครับ นี่พอส่งคุณเสร็จแล้วผมก็มีงานต่อเลย” รัฐภูมิตอบพลางมองหญิงสาวที่ถอดเสื้อตัวนอกออกเผยให้เห็นลำคอและต้นแขนขาวผ่านทางกระจกส่องหลัง
“เรานี่คุยดีเหมือนกัน มาเป็นคนขับรถให้ฉันเอามั๊ย ฉันจ่ายเยอะนะ เพราะหลังจากนี้ของทุกอย่างที่เป็นของกิตติพันกรจะกลับมาเป็นของฉันเหมือนเดิม ฉันต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆ” เมทิตาพูดพลางมองออกไปด้านนอกมองถึงความเบียดเสียดของเมืองใหญ่อบ่างหงุดหงิดใจ
“คุยมาต้องนาน เรายังไม่บอกฉันเลยว่าเราชื่ออะไร” เมทิตาหันกลับมามองไปที่กระจกส่องหลังให้นายรัฐภูมิเจ้าใจว่าเธอกำลังพูดอยู่กับเค้า
“ผมชื่อ เออ ถวิลครับ เรียกหวินเฉยๆก็ได้ผมไม่ถือ” รัฐภูมิตอบทำสีหน้าซื่อจนหญิงสาวถึงกับหัวเราะขึ้นมาถึงชื่อที่แสนโบราณของชายหนุ่มคนขับรถ
“อย่าโกรธชั้นเลยนะ มันขำจริงๆ” เมทิตาพูดทั้งๆที่หัวเราะอยู่
“ดีจังเลยนะครับที่แค่ชื่อของผมก็ทำให้คุณหัวเราะได้” รัฐภูมิกล่าว
เมื่อขับรถมาถึงที่บ้านป้ายุพินก็เดินออกมมารับเมทิตา เธอสวมกอดป้ายุพินแน่น รัฐภูมิเอากระเป๋าสามใบลงจากรถ ป้ายุพิณส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มอย่างสนิทสนม
“ป้ายุครับผมต้องไปก่อนนะครับ” รัฐภูมิกล่าวก่อนจะขับรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์7 สีบลอนออกไป
“เป็นหลานป้ายุเหรอคะ” เมทิตาถามป้ายุพินเมื่อรถชายหนุ่มคนขับรถลับตาไป
“ค่ะ หลานป้าเองมาจากนครศรีฯ” ป้ายุพิณยิ้มก่อนจะเรียกเด็กในบ้านมายกกระเป๋าของเมทิตาเข้าไปในห้องของเมทิตาเองที่ป้ายุพิณตกแต่งคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง
เมทิตาเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นแล้วรวบขมวดผมเอาไว้เผยให้เห็นต้นคอที่ยาวสลวยกับเรียวขาที่เรียวขาวเธอเดินลงมาที่ครัวเหมือนเคยที่เธอมักชอบมานั่งเล่นช่วยป้ายุพินทำอาหารตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“มีอะไรให้ทานบ้างคะป้ายุพิณ” เมทิตาพูดพลางนั่งลงข้างๆป้ายุพิณที่กำลังตำน้ำพริกปลาทูของโปรดของเมทิตาอยู่ เมทิตาไม่รอช้าที่จะดึงเอามาตำเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงรถของใครบางคนเข้ามาเธอจึงหยุดตำแล้วถามป้ายุพิณ
“รถคุณผู้หญิงกับคุณหนูอ้นค่ะ” ป้ายุพินกล่าวพลางมองดวงตากลมของสาวน้อยที่มีแววสงสัยถึงชื่อสองชื่อที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
“คุณผู้หญิงไหนคะ” เมทิตาย้ำคำ
“คุณวีรยุทธฌค้าแต่งงานใหม่หลังจากที่คุณไปได้ไม่ถึงสามเดือนดีเลยค่ะ แล้วคุณหนูอ้นก็เป็นลูกของคุณผู้หญิงอรนุชกับคุณวีรยุทธ” เสียงแจ๋วของคิมอัมภา สาวใช้ลูกสาวของป้าเบียบที่อายุอ่อนกว่าเมทิตาสองปีซึ่งกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหงปีสองกล่าวพลางมานั่งข้างเมทิตาอย่างดีใจ
“โฮ้โหยายคิม โตเป็นสาวแล้วฉันเกือบจำไม่ได้เลย” เมทิตาสวมกอดหญิงสาวผิวคล้ำตาคมในชุดนักศึกษาซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ
“คุณแป้งก็เหมือนกัน ดูสิสวย สวยมากเลยผมเป็นหลอดเหมือนกับตุ๊กตาบาร์บีของคุณแป้งเลย” คิมอำภาหัวเราะแล้วจับเส้นผมหลอดที่รวบเอาไว้อย่างง่ายๆอย่างพึงพอใจ
ที่โต๊ะอาหารคุณอรนุชเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมกับหนูอ้นวัยสามขวบเศษที่กำลังน่ารัก เมื่อมานั่งรอที่โต๊ะอาหารเธอก็ยิ้มถามคิมอัมภาเมื่อเห็นจัดโต๊ะอาหารสี่ที่
“วันนี้คุณท๊อปจะมาทานข้าวด้วยเหรอคิม” คุณอรนุชกล่าว ซึ่งหมายถึงคุณรัฐภูมิลูกชายของนายวีรยุทธที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาและไม่เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ และไม่ยอมไปทำงานที่บริษัทอีกด้วย
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณผู้หญิง คุณแป้งเธอกลับมาจากอังกฤษเมื่อกลางวันค่ะ” คิมอัมภาพูกพลางยิ้มที่มุมปากมองปากที่เบะของคุณอรนุชที่มีท่าทางไม่พอใจขึ้นมาเล็กๆ
ขณะที่นายวีรยุทธกลับเข้ามาพอดี “ไหนตาอ้นมาให้พ่อหอมแก้มหน่อยสิลูก” นายวีรยุทธเรียกหนูอ้นให้เข้ามาหาแล้วหอมแก้มกันชุดใหญ่
“อ้าวนายท็อปจะมาทานข้าวด้วยเหรอจัดเอาไว้ตั้ง4” นายวียุทธมองหน้าภรรยา แต่เธอยังไม่ทันตอบเมทิตาในชุดกางเกงขาสั้นชุดเดิมกับตอนเย็นก็เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารจนนายวีรยุทธมองยิ้มอย่างดีใจ
“หนูแป้ง กลับมาเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกอา มามาทานข้าว อาคิดถึงหนูแป้งจริงๆ” นายวีรยุทธวิ่งเข้ามาโอบเอวหญิงสาวไปนั่งที่เก้าอี้ติดกับตนเอง เมทิตามองหน้าคุณอรนุชพลางนิ้มที่มุมปากใส่ทำให้เธอไม่พอใจยิ่งขึ้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อนข้างตึงเครียดเมื่อท่าทางนายวีรยุทธดูจะสนใจเมทิตาเอาแบบออกหน้าออกตาเอามากๆ เช่นเดียวกับที่เมทิตาก็ตักอาหารให้กับนายวีรยุทธอย่างไม่สนใจว่ามีคุณอรนุชนั่งอยู่ด้วย ไม่นานคุณอรนุชก็ทนไม่ไหวขอตัวออกจากโต๊ะอาหาร โดยที่หนูอ้นวิ่งตามไปติดๆ
“คุณแป้งมีแผนทำอะไรคะทำเป็นเล่นหูเล่นตากับคุณท่าน ดูคุณผู้หญิงไม่พอใจเอามากๆ” คิมอัมภากล่าวเมื่อเข้ามานอนกับเมทิตาตามคำชวน เพราะปกติก่อนที่เมทิตาจะไปเรียนที่อังกฤษคิมอัมภาก็ชอบมานอนด้วยอยู่แล้ว
“นี่มันบ้านฉันนะคิม ฉันจะทำอะไรก็ได้”
“แต่มันก็เป็นสิทธิของคุณแป้งอยู่แล้วตอนนี้คุณก็บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยไม่เห็นคุณจะต้องทำอไร คุณก็แสดงตัวต่อทนายความว่าคุณกลับมาแล้วและคุณก็พร้อมที่จะดูแลทุกอย่างที่เป็นของคุณแล้วด้วย” คิมอัมภากล่าวอย่างคนมีความรู้เพราะเธอกำลังเรียนนิติศาสตร์อยู่
“ถ้าเอากันง่ายๆก็ไม่ใช่นายวีรยุทธน่ะสิคิม มันมีเรื่องอะไรอีกหลายเรื่องที่ลึกไปกว่านั้นไว้สักวันเธอจะเข้าใจว่าฉันกำลังจะทำอะไรต่อไป” เมทิตากล่าวด้วยสายตาที่เครียดแค้นกับชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ
“คุณแป้งจะทำอะไรต้องห่วงตัวเองมากๆนะคะ ยังไงหนูก็อยู่ข้างคุณแป้งอยู่แล้ว” คิมอำภากล่าวพลางดึงมือของเมทิตามากุมแน่น
ทั้งสองนอนคุยเล่นกันจนดึกเพราะจากกันไปนานมีเรื่องคุยเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย เกี่ยวกับเรื่องในบ้าน เรื่องประเทศอังกฤษที่เมทิตาไปใช้ชีวิตอยู่ เรื่องที่มหาวิทยาลัยของคิมอำภา และเหตุการหลายอย่างที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่เมทิตาอยู่ที่อังกฤษ รวมทั้งเรื่องลูกชายของนายวีรยุทย์ที่ชื่อรัฐภูมิที่เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อปลายปีก่อนที่คิมอำภาเรียกอย่างสนิทสนมว่าคุณท๊อป และยังสาธยายว่าเค้าเป็นคนนิสัยดี เป็นกันเอง และที่สำคัญยังรูปหล่อมากอีกด้วย
“ป้ายุพินคะ คิมไปไหนคะ” เมทิตาเดินมาที่สวนหลังบ้านในชุดกางเกงยีนขายาวเข้ารูปกับเสื้อแขนยืดคอกลมแขนสั้นทรงทันสมัยมาหา ป้ายุพินที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
“วันนี้เค้าบอกว่าเค้าต้องไปทำงานบ้านเพื่อนน่ะค่ะค่ำๆถึงจะกลับ”
“แย่จังเลยค่ะนึกว่าวันอาทิตย์คิมจะอยู่บ้านว่าจะชวนไปข้างนอกซื้อของใช้เล็กๆน้อยๆหน่อย เออป้ามีเบอร์โทรศัพท์นายถวิลหรือเปล่าคะ” เมทิตากำลังหมายถึงนายรัฐภูมิที่มาส่งเธอเมื่อวันที่กลับจากอังกฤษ ป้ายุพินเงียบเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดก่อนที่จะบอกเบอร์โทรศัพท์ของนายรัฐภูมิตามที่เมทิตาขอ
เมทิตาเดินเข้าไปใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหานายรัฐภูมิที่เธอเข้าใจว่าเป็นนายถวิลคนขับรถหลายชายของป้ายุพินอย่างที่เค้าบอกเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรก
“สวัสดีครับ” รัฐภูมิรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงงัวเงียเต็มทีเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ตามปกติแล้วเค้าจะนอนยาวจนเกือบเที่ยง ที่สำคัญเมื่อคืนเค้าเพิ่งเคลียร์งานไตรมาสแรกของบริษัทเสร็จเรียบร้อยกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตี 4 แล้ว
“นายถวิลเหรอ นี่ฉันเองนะ” เสียงใสที่ปลายสายทำให้ชายหนุ่มตาเบิกโพลง เพราะมีอยู่คนเดียวที่เค้าบอกให้เรียกว่านายถวิลคือเมทิตา
“ฉันน่ะใครล่ะครับ” รัฐภูมิลุกขึ้นนั่งพลางสลัดผ้าห่มลุกขึ้นเปิดม่านหน้าต่างคอนโด ซึ่งเค้าอยู่บนชั้นยี่สิบสามของอาคาร แสงสว่างแทงเข้าตาจนเค้าต้องหยีตาเล็ก ก่อนที่จะปรับแสงได้ในเวลาเพียงครู่
“คับ คุณแป้งจะให้ไปรับกี่โมงครับ อะไรนะครับตอนนี้ กว่าผมจะไปถึงคงอีกเกือบชั่งโมงครับ ได้ครับ อีกหนึ่งชั่วโมงผมไปถึงบ้านคุณแป้งแน่นอนครับ เออคุณแป้งช่วยมายืนรอผมหน้าบ้านเลยได้หรือเปล่าครับ คือผมไม่อยากเข้าไปข้างในป้ายุพิณชอบเรียกผมเข้าไปทานอะไรก่อนมันจะช้านะครับ ครับแค่นี้นะครับสวัสดีครับ”
รัฐภูมิรับปากหญิงสาวก็รีบอาบน้ำแต่งตัวธรรมดาแค่เสื้อยืดคอกลมแขนยาวสีแดงกับกางเกงยีนสีซีดเท่านั้น ไม่ถึงชั่วโมงเค้าก็มาถึงที่หน้าบ้านตระกูลกิตติพันกร เมทิตายืนรอเค้าอยู่แล้วทั้งๆทีอากาศร้อนมาก แต่เธอก็ยังมายืนรอตามคำขอของรัฐภูมิ ทำให้เค้าคิดว่าเมทิตาไม่ใช่คนที่เรื่องมากอย่างที่เค้าเจ้าสมจในตอนแรกๆ เมื่อรถจอดเธอวิ่งไปเปิดประตูด้านข้างคนขับด้วยตัวเอง แทนที่จะรอให้รัฐภูมิเปิดประตูด้านหลังให้
รัฐภูมิยิ้มเมื่อหญิงสาวเข้ามานั่งข้างๆ
“สวัสดีครับคุณแป้ง”
“วันนี้วันอาทิตย์แท้ๆคงเป็นวันพักผ่อนของเราน่ะสิ ฉันขอโทษทีนะที่รบกวน” เมทิตาแสดงความขอโทษที่รบกวนเวลาวันว่างของชายหนุ่มหลังจากที่ดูจากการแต่งตัวไม่ได้อยู่ในชุดผูกไทด์เหมือนเมื่อครั้งที่เจอกันครั้งแรก
“ส่งฉันที่ห้างใกล้ๆก็แล้วกัน รู้สึกเกรงใจจริงๆ” เมทิตากล่าว
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมมาส่งคุณผมก็ได้เงินใช้ นี่มันงานพิเศษผมนะครับ” รัฐภูมิกล่าว
“งานพิเศษ แล้วปกติเราทำงานอะไร” สีหน้าของเมทิตามีแววสงสัยขึ้น
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ เป็นพนักงานธรรมดาเงินเดือนน้อยก็หางานพิเศษทำ”
“งานธรรมดา ไม่น่าธรรมดานะ มีรถบีเอ็มรุ่นใหม่ขับเนี่ย”
“ไม่หรอกคุณ พอดีมีเพื่อนรวย มันซื้อเงินสดแล้วก็ให้ผมทำผ่อนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก ว่าแต่คุณจะไปซื้ออะไรบ้างล่ะผมจะได้พาไปถูก” รัฐภูมิยิ้ม
“ก็ของใช้ส่วนตัว แล้วก็อยากหาอะไรอร่อยๆทานหน่อย ไปอยู่ที่โน่นนาน อาหารก็ไม่คอยถูกปากเท่าไหร่”
“แล้วคุณไปอยู่ทำไมไกลบ้านจะตาย สาขาบริหารที่คุณเรียนเมืองไทยก็เยอะแยะให้เลือกได้ทั่ว”
เมทิตาเงียบมองหน้ารัฐภูมิ
“นี่เรารู้เรื่องของฉันเยอะจังเลยนะ” เมทิตายิ้ม
“ป้ายุพิณแกชอบพูดถึงคุณ แกบอกว่าเหงาตอนที่คุณไม่อยู่ แต่ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอกครับ ก็เล็กๆน้อยๆ”
ทั้งคู่คุยกันหลายเรื่อง รัฐภูมิถามเรื่องราวต่างๆของเมทิตาเธอก็เต็มใจเล่าเพราะเห็นเป็นหลานของป้ายุพิณเธอจึงเห็นว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแถวบางกะปิ
เมทิตาก้าวลงจากรถแล้วส่งเงินให้กับรัฐภูมิ1000บาท แต่เค้ากลับยิ้มแล้วเดินลงไปจากรถ
“ปิดประตูสิครับคุณผมจะล็อครถ”
รัฐภูมิยิ้ม สรุปว่าเค้าอาสาที่เป็นสารถีให้กับเมทิตาในวันนี้
เมทิตาซื้อของไม่มากนัก ส่วนมากก็จะเป็นพวกของใช้ที่จำเป็นเสียมากกว่า เมทิตาเป็นคนเลือกของเก่ง เธอใช่เวลาไม่มากนักในการเลือกของ และเธอก็ใช้ของราคาไม่แพง ถึงแม้ว่าเธอจะมีเงินมากมายก่ายกองก็ตาม เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่เมทิตาก็เลือกของเสร็จเรียบร้อย
“ที่นี่มีอะไรอร่อยๆทานหรือเปล่านายหวิน มื้อนี้ฉันเลื้ยงเราก็แล้วกัน”
เมทิตายิ้มเมื่อหันมาเห็นของที่รัฐภูมิถือมีหลายถุง
“หาอะไรเบาๆทานหน่อยเดียวดีมั๊ยครับ แล้วผมจะพาไปหาอะไรทานข้างนอกที่บรรยากาศดีๆ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เมทิตานั่งรอรัฐภูมิเพียงครู่เค้าก็เดินกลับมาพร้อมแมคโดนัลสองชุดสำหรับตัวเค้าเองแล้วก็เมทิตา และทั้งสองก็พากันออกมาจากห้างสรรพสินค้า รัฐภูมิขับรถขึ้นทางด่วนออกมาอีกฝั่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เมทิตาคุยจ้อยอยู่เพียงพักเดียวก็เผลอหลับไป
เวลาเกือบสองชั่วโมงเมทิตาตื่นขึ้นมามองออกไปนอกกระจกรถก็ยิ้ม “นึกว่าจะพามาขายซะแล้วนะเนี่ย” เธอทำเสียงล้อเล่นกับรัฐภูมิ
“ก็ว่าจะขายเหมือนกันแหละครับ แต่เสียดายเก็บเอาไว้เองดีกว่า” รัฐภูมิกล่าวเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ทำให้เมทิตาถึงกับหน้าแดงไม่หันกลับมานั่งตรงๆพักใหญ่
“ที่นี่มีร้านอร่อยเยอะครับ เวลาว่างๆผมชอบมานั่งเล่น” รัฐภูมิพูดเมื่อเลี้ยวเข้ามาที่ร้านอาหารที่อยู่ติดริมชายหาด
ทั้งคู่เดินเข้ามาด้านในซึ่งเป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว ภายในร้านประดับตกแต่งอย่างง่ายๆ แต่บรรยากาศดีเอามากๆ ทั้งคู่เลือกนั่งที่โต๊ะด้านในสุดที่มองเห็นทะเลได้ชัดเจน
รัฐภูมิสั่งอาหารกับพนักงานที่ดูจะยิ้มให้กับชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง
”ดูท่าเราจะมาที่นี่บ่อยสิพนักงานยิ้มเชียว”
ชายหนุ่มยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่มองไปที่ชายฝั่งอย่างสบายใจ
“น่าเสียดายมาไม่บอกกันอย่างนี้ไม่ได้เตรียมตัวมาเล่นน้ำซะด้วย
เมทิตาพูดลอยๆ
อาหารมาเสริฟอย่างไม่รอช้า ซี่งมีอาหารเพียงสองสามอย่างที่รัฐภูมิ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นอาหารโปรดของหญิงสาวไปเสียทุกอย่าง อาหารมื้อนั้นทั้งคู่คุยเรื่องราวต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่รัฐภูมิไม่เคยพูดหรือเล่าเรื่องส่วนตัวของเค้าให้เมทิตาฟังเลย เว้นแต่เรื่องเล่าสนุกสนุกทั่วไป
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยทั้งคู่ก็มานั่งคุยกันอยู่ที่ชายหาด ซึ่งถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันแต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเข้ากันได้ดีคุยกันได้หลายเรื่องแล้วชอบอะไรที่คล้ายๆกัน ชอบดูหนัง วาดภาพ แล้วก็สะสมโปสการ์ด
ก่อนกลับทั้งคู่แวะเดินเล่นที่ตลาดตอนเย็นสักครู่ เมทิตาหยิบข้อมือเปลือกหอยสีครีมออกมุกๆขึ้นมาดู ท่าทางเธอพอใจมันมาก แล้วก็วางมันลง
“ไม่เอาเหรอครับมันเหมาะกับคุณนะผมว่า” รัฐภูมิพูด
“ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์ลงมาจากบนรถยังไม่เอาหรอก เดี๋ยวคราวหน้าถ้ามาอีกค่อยซื้อก็ได้” เมทิตาพูดแล้วก็หันไปหยิบชิ้นอื่นดูไปเรื่อยๆ
เมื่อเมทิตาสนใจชิ้นอื่นรัฐภูมิก็หยิบเอาข้อมือเปลือกหอยอันนั้นขึ้นมาดู เค้าก็ชอบมันมากเช่นกันเค้าจึงจัดการซื้อมันเสียเลย
ในที่สุดรัฐภูมิก็พาเมทิตามาส่งที่หน้าบ้านเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม ก่อนที่เมทิตาจะลงจากรถ เธอไม่ลืมที่จะจ่ายค่าจ้างขับรถให้กับเธอในวันนี้เป็นเงิน 3000 บาท รัฐภูมิรับเงินเอาไว้แล้วส่งข้อมือเปลือกหอยที่เมทิตาสนใจเมื่อเย็นให้กับเธอ เมทิตารับไว้พลางยิ้มให้กับเค้าอย่างไม่มีความหมายอะไร
รัฐภูมิขับรถออกไป แต่ภายในบ้านมีใครคนหนึ่งที่ไม่เป็นอันกินอาหารเย็นเพราะห่วงว่าเมทิตาออกไปไหนกับใคร นั่นก็คือนายวีรยุทธที่เต้นเป็นเจ้าเข้าเมื่อรู้ว่าเมทิตาไม่อยู่บ้านในวันนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนวันเดียวของเค้าทั้งอาทิตย์ และมันก็เป็นวันสุดสัปดาห์ที่เค้ารอคอยมานานตั่งแต่รู้ว่าเมทิตากลับมา ความเปลี่ยนแปลงในการกลับมาในครั้งนี้ของหญิงสาววัยยี่สิบสองปีที่ยังเป็นสาวรุ่นที่กำลังเบ่งบานดุจดอกไม้แรกแย้ม
“หนูแป้งไปไหนมาจ๊ะอาเป็นห่วงแทบแย่” นายวีรยุทธเดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเธอตามเคยเหมือนกับทุกวันตั้งแต่วันที่เธอกลับมา
“ไปซื้อของมาค่ะแล้วก็ไปทานข้าวกับเพื่อนค่ะ” เมทิตากล่าวพลางส่งยิ้มให้กับพ่อเลี้ยงที่มีท่าทางหลงไหลในตัวเธอเอามากๆต่อหน้าภรรยาที่นั่งขบเขี้ยวมองสามีอย่างขุ่นเคื่อง ซึ่งท่าทางอย่างนี้ยิ่งทำให้เมทิตารู้สึกมีความสุขมากเมื่อเริ่มเห็นความแตกร้าวของครอบครัวนายวีรยุทธตัวรายที่ทำลายชีวิตเธอจนไม่เหลือชิ้นดี
“อ้าวกลับมาแล้วคุณก็มาทานข้าวซักทีสิคุณวี” อรนุชกล่าวพลางมองเมทิตาด้วยสายตาที่ส่อแววเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
“นี่รอแป้งเหรอคะ ขอโทษทีนะคะ แป้งยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์เลยไม่ได้โทรกลับมาบอกว่าจะไม่กลับมาทาน” เมทิตากล่าวพลางแสยะยิ้มใส่อรนุชแล้วยิ้มให้กับวีรยุทธอย่างเปิดเผย “คุณอาไม่โกรธแป้งนะคะที่ไม่ได้บอกก่อน ขอตัวก่อนนะคะ” เมทิตาพูดจยก็ยิ้มหวานให้กับนายวีรยุทธอีกครั้งแล้วทำท่ายักคิ้วให้กับอรนุชก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่สนใจใคร
วันนี้คิมอำภาไม่ได้มานอนกับเมทิตาเช่นทุกวันตั้งแต่เธอกลับมา ซึ่งก็ทำให้เสือแก่อย่างนายวีรยุทธมีโอกาสที่จะเข้ามาใกล้ๆกับเมทิตามากกว่าทุกวัน
เกือบเที่ยงคืนแล้ว เมทิตายังไม่นอนเธอจับข้อมือสานเปลือกหอยมองไปมองมาแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียวหน้าโต๊ะเครื่องแป้งจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมทิตารู้แน่ว่าเป็นนายวีรยุทธที่หาโอกาสมาหลายคืนแล้วแต่ไม่มีโอกาสซักครั้งเพราะว่าคิมอำภามานอนเป็นเพื่อนเธอทุกวัน และเธอก็ระวังตัวเอาไว้ดีที่ช็อตไฟฟ้าอยู่ที่ใต้หมอนเรียบร้อย
“คนกำลังอารมณ์ดีมาทำให้อารมณ์เสียอีกแล้ว” เมทิตารำพันกับตนเองก่อนที่จะวางข้องมือสานเปลือกหอยที่รัฐภูมิซื้อให้เมื่อเย็นบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินไปเปิดประตู
ไม่ทันที่เธอจะตั้งตัวร่างของนายวีนยุทธก็โถมเข้าใส่เธออย่างสุดแรงจนเธอล้มลงกับพื้นและเค้าก็พยายามซุกไซ้ที่ซอกคอของเธอราวกับคนบ้า เมทิตาพยายามตั้งสติแล้วดันร่างของนายวีรยุทธออกไป
“อย่าใจร้อนสิคะคุณอา วันนี้แป้งขอพักก่อนนะคะไปนั่งรถเล่นกับเพื่อนมาทั้งวันเมื่อยจะตาย” เมทิตาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่เหมือนกับมันจะไม่ได้ผลเพราะเค้ากลับอุ้มร่างของหญิงสาวไปบนเตียงนุ่มของเธอเองเมทิตานอนนิ่งไม่ตอบสนองอะไรเลยเพียงครู่เดียวนายวีรยุทธก็นิ่งแล้วนั่งมองหน้าเมทิตา
“แป้งบอกแล้วไงคะว่าเหนื่อยอยากพักผ่อน อย่าทำอย่างนี้ดีกว่าค่ะดูสิคะคุณอารีบเข้ามาห้องเลยไม่ได้ปิดเลย” เมทิตากล่าวยิ้มๆเมื่อที่ประตูห้องมีคุณอรนุชยืนนิ่งในท่าทางที่โมโหสุดขีดพร้อมที่จะกรีดร้องออกมาในเวลานั้นเลยเชียว
“ว้าวอาผู้หญิงเลยมาเห็นเลยสิคะ คุณอาไม่น่าใจร้อนเลยเห็นมั๊ยทำอะไรไม่รู้จักระวังตัว” เมทิตาเดินลงจากเตียงมาหาคุณอรนุช “คุณอาอย่าไปโกรธคุณอาวีเลยนะคะ แป้งไม่ถือสาหรอกค่ะ คราวหน้าแป้งจะปิดห้องให้ดีก็แล้วกันนะคะ” เมทิตายิ้มก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพราะรู้ว่าอย่างไรเสียคืนนี้ก็ไม่ได้นอนแน่ๆ
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เช้าวันนั้นที่โต๊ะอาหารไม่มีวี่แววของคุณอรนุชและหนูอ้นมาทานอาหารเช้า ที่ใบหน้าของนายวีรยุทธก็มีรอยเชียวช้ำสองสามที่แห่ง
“ว้าว หน้าคุณอาไปโดนอะไรมาคะเขียวเชียว” เมทิตาแกล้งถามทั้งที่รู้ดีว่าเมื่อคืนนายวีรยุทธทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนตอนเช้าคุณอรนุชตัดสินใจออกไปจากบ้าน เธอตักข้าวต้มเข้าปากพลางอมยิ้มอย่างสะใจ
“หนูแป้งจะเข้าทำงานที่บริษัทหรือเปล่า ถ้าจะทำมาเป็นเลขาให้อาก็ดีนะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ จะทำทำไมให้เหนื่อยล่ะคะทำไปทั้งที่ไม่ใช่ของแป้งซักหน่อย สู้ไปเที่ยวแต่งตัวสวยๆยังไงคุณอาก็มีหน้าที่ดูแลแป้งไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว นี่โชคดีที่แป้งไปบอกทนายให้ขอคุณอาให้นะคะเนี่ยว่าแป้งอยากไปเรียนเมืองนอกไม่งั๊นสี่ปีนี้คุณอต้องเหนื่อยไหนจะต้องดูแลแป้งอย่างใกล้ชิด ไหนจะต้องสานงานที่บริษัทแทนคุณแม่ น่าเหนื่อยแล้วก็ปวดหัวมากด้วย แป้งไม่ทำหรอกค่ะเครียดมากเดี๋ยวแก่” เมทิตาพูดให้แทงใจนายวีรยุทธเล่นๆก่อนที่จะผละออกไปจากโต๊ะอาหารอย่างสะใจอีกครั้ง
หลายวันผ่านไปที่บนตึกใหญ่มีเพียงแค่เมทิตากับนายวีรยุทธ แต่โชคดีที่คิมอำภามาอยู่เป็นเพื่อนทุกคืนทำให้เธอปลอดภัยจากนายวีรยุทธมาได้
“ฮัลโหลครับ” รัฐภูมิรับโทรศัพท์ขณะกำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันอยู่กับนายวีรยุทธที่ร้านอาหารแถวสีลมคุยเรื่องที่อรนุชออกไปจากบ้าน
“นายถวิลเหรอ” เพียงได้ยินเสียงนิดเดียวรัฐภูมิก็จำได้ทันทีว่าเป็นเมทิตาเค้าจึงของตัวจากโต๊ะอาหารออกไปด้านนอก
“คุณแป้งเหรอครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ” รัฐภูมิยิ้มอย่างเก็บอาการไม่อยู่เพราะเค้าก็คอยโทรศัพท์จากเธอมาหลายวันหลังจากที่จากกันในค่ำวันนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก นี่เบอร์ฉันนะโทรมาบอกเฉยๆไม่มีอะไร”
“เออ คุณแป้งว่างมั๊ยครับเย็นนี้” รัฐภูมิพูดอย่างอายๆ
“ทำไมเรานี่จะให้ฉันเลี้ยงข้าวอีกเหรอ”
“คราวนี้ผมเลี้ยงคุณแป็งก็ได้นะ แต่คงร้านไม่หรูมาก เลี้ยงแบบติดดินได้หรือเปล่า” รัฐภูมิยิ้ม
“นี่เราเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเหรอ เออเรื่องข้อมือสานเปลือกหอยขอบใจมากนะ”
“ไม่ต้องขอบใจอะไรหรอกครับ เป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า” รัฐภูมิหัวเราะเช่นเดียวกับที่ปลายสายหัวเราะเช่นกัน “เอาเป็นว่าเย็นนี้ห้าโมงผมไปรับคุณแป้งที่หน้าบ้านเหมือนเดิมนะครับ”
เป็นอันว่าเมทิตาตกลงคำเชิญของรัฐภูมิอย่างเต็มใจ และคำตอบตกลงก็ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนไม่อยากกลับเข้าออฟฟิศอีกเลย
เวลาที่รัฐภูมิรอคอยมาถึง เค้าเลทเล็กน้อยกว่าจะมาถึงที่บ้านกิตติพันกร เมทิตารออยู่ที่เดิมในชุดกางเกงยีนขายาวแบบเข้ารูปกับเสื้อแขนยาวคอปาดตัวหลวมจั๊มที่เอว วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่ออาทิตย์ก่อน รัฐภูมิรีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้กับเมทิตาแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้กับเธอ ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบเค้าเช่นกัน
รัฐภูมิพาเมทิตามาเดินเล่นแถวถนนข้าวสารซึ่งเป็นถนนที่มีอะไรแปลกๆแล้วก็อาหารหลายประเภท ตกค่ำแถวนี้จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนหลายเชื้อชาติหลายภาษาที่ต่างมาชุมนุมกันเดินผ่านกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
“เป็นไงครับกินแบบติดดินไง” รัฐภูมิพูดเมื่อส่งขวดน้ำพลาสติกให้กับเมทิตาที่ใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆที่ใช้สำหรับเสียบลูกชิ้นอย่างไม่ค่อยถนัดมือ พอคีบจะถึงปากทีไรมันก็หล่นใส่จานโฟมทุกทีจนรัฐภูมิหัวเราะร่า ก่อนที่จะคีบของตนเองป้อนใส่ปากของเมทิตาที่อ้าปากรับอย่างไม่คิดรังเกียจ
“สนุกดีแต่กินยากไปหน่อย” เมทิตาหัวเราะทั้งที่ผัดไทยังเต็มปากอยู่ “อ้าวอ้าปากสินายถวิล” เมทิตาพูดพลางคีบผัดไนในจานโฟมของตนเองจะป้อนใส่ปากให้กับรัฐภูมิ แต่พอเค้าจะอ้าปากมันกลับร่วงใส่ขากางเกงยีนสีซีดที่มีรอยขาดเล็กๆของรัฐภูมิเอง ทั้งสองหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ผมว่าผมหาอะไรง่ายๆให้คุณแป้งกินดีกว่า” รัฐภูมิดึงเมทิตาให้ลุกขึ้นยืนแล้วก็ไม่ปล่อยอีก เค้าจูงมือเธอเดินมาเรื่อยๆทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยจนเดินมาถึงร้านขายน้ำเต้าหู้เต้าฮวยที่อาแปะคนหนึ่งขายอยู่
“กินน้ำขิงดีกว่านะ ดีต่อสุขภาพด้วย” รัฐภูมิยิ้มเมื่อหันไปเห็นที่ข้อมือซ้านของเมทิตาที่พันแขนเสื้อขึ้นสวมข้อมือเปลือกหอยสานที่เค้าซื้อให้เมื่อตอนไปเทียวบางแสนครั้งก่อน เมื่อเห็นสายตาของรัฐภูมิจ้องที่ข้อมือเปลือกหอยสานเธอก็ดีงมืออีกข้างทีเค้ากุมออกมาดึงแขนเสื้อลง
“ขอหวานๆหน่อยนะคะ” เมทิตาทำทีเป็นสั่งน้ำขิงกับอาแป้ะแก้เขินแล้วก็มองไปทางอื่น
เมื่อได้น้ำขิงแล้วทั้งคู่ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆมองดูแสงสีของถนนข้าวสารในค่ำคืนที่มันพลุกพล่านอย่างที่เป็นอยู่ทุกๆคืน
รัฐภูมิส่งเมทิตาที่ประตูหน้าบ้านเหมือนครั้งก่อน
“คุณแป้งครับ เออ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมเลยนะ” รัฐภูมิยิ้มเมื่อเดินมาเปิดประตูรถให้กับ เมทิตา
“ขอบใจมากนะ คืนนี้สนุกมากจริงๆ” เมทิตายิ้มแล้วก็เดินลงจากรถ แต่ก่อนที่จะก้าวต่อรัฐภูมิก็ดึงแขนเธอเอาไว้
“ขอบคุณมากนะครับที่ใส่มัน” ความหมายที่รัฐภูมิพูดก็คือข้อมือเปลือกหอยสานนั่นเอง “ผมจะคิดถึงคุณ”
เมทิตาดึงมือกลับแล้วก็เดินเข้าบ้านด้วยอาการเขินๆ เธอเดินเข้ามายังไม่ทันถึงตัวตึกเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“คุณแป้งครับ ถึงห้องหรือยัง” เสียงที่ปลายสายเป็นเสียงของรัฐภูมิทำให้เมทิตาถึงกับยิ้มเพราะเพิ่งจากกันราวหนึ่งนาทีก่อน
“มีอะไรอีก” เมทิตายิ้มขันในการกระทำของรัฐภูมิ
“กลัวคุณแป้งเหงา กว่าจะถึงห้องนอนคงนานผมจะคุยเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”
“ตามใจ”
เมทิตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินมาจนถึงตัวตึก ซึ่งไฟด้านล่างยังเปิดสว่างอยู่ เธอไม่ได้เอะใจอะไรเดินเข้าไปเปิดไฟในห้องโดยไม่ต้องดูว่าอยู่ตรงไหนเมื่อเธอปิดประตูแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนเธอก็ต้องเบิกตาโตเมื่อนายวีรยุทธเดินไปล็อคประตู เค้าเข้ามารอเธอในห้องตั้งแต่แรกก่อนที่เมทิตาจะกลับมา ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรนายวีรยุทธด้ต่อยเข้าที่ท้องน้อยของเมทิตาจนเธอล้มตัวงอไปกองกับพื้น
ท่าทางของนายวีรยุทธเป็นคนที่กำลังเมาแล้วไร้สติแท้ๆ เค้าพยายามเดินเข้ามาจใกล้ตัวเมทิตาแล้วติ่บเข้าที่ท้องน้อย เธอนอนนิ่งน้ำตาไหลพรากไม่มีเสียงออกมาจากปากเพราะการจู่โจมของนายวีรยุทธครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน
“คุณแป้ง อยู่หรือเปล่าครับ” รัฐภูมิเบรกรถเมื่อเสียงของเมทิตาเงียบไป
วีรยุทธผลักร่างของเมทิตา ท่าทางของเค้าราวกับคนบ้าตัณหาไม่มีวันจบสิ้น เมทิตาพยายามตั้งหลักลุกขึ้น แต่ขาของเธออ่อนแรงลงแล้วเพราะวีรยุทธปล่อนหมัดเข้าใส่ที่หน้าท้องของเธอเต็มแรงอีกครั้งจนเธอนอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนที่นอน
รัฐภูมิบีบแตรรถหลายครั้ง นายสมปองคนรถวิ่งมาเปิดประตูให้กับรัฐภูมิ ท่าทางของนายสมปองแปลกใจมากกับการมาของรัฐภูมิเพราะดึกๆดื่นๆเค้าไม่เคยเข้ามาที่นี่ เช่นเดียวกับป้ายุพิณและคิมอำภาที่วิ่งออกมารับรัฐภูมิ
“คุณท็อปมีธุระอะไรคะมาเสียดึกเชียว” ป้ายุพิณถามไม่ทันจะจบรัฐภูมิก็วิ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่อธิบายอะไร ตามติดด้วยคิมอำภา
“ห้องคุณแป้งอยู่ฝั่งไหน” รัฐภูมิหันมาถามคิมอำภา
“ซ้ายค่ะ” คิมอำภาตอบพลางวิ่งนำมาหยุดที่หน้าห้องของเมทิตา
รัฐภูมิรีบบิดลูกบิด เป็นอย่างที่เค้าคิดจริงๆ ในห้องไม่มีเสียงอะไรเลย “ไปเอากุญแจสำรองมา” รัฐภูมิตะคอกใส่หน้าคิมอำภาจนเธองง
“คุณท่านเก็บกุญแจไว้เองค่ะ” คิมอำภาตอบ รัฐภูมิมีเหงื่อไหลออกมาตามใบหน้าไหลไปตามสันจมูกเค้าตัดสินใจถีบประตูในทันที แต่มันก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออกให้ คิมอำภาวิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมกับลุงสมปองที่ถือขวานเข้ามา รัฐภูมิดึงขวานสับเข้าที่ลูกบิดจนขาดออก แล้วถีบประตูเข้าไปด้านใน
ภาพที่เค้าเห็นคือเมทิตาที่นอนไร้สติอยู่ด้านล่างของเตียงกับนายวีรยุทธที่กำลังนั่งที่ข้างเตียงพร้อมกับเหล้าแก้วโต รัฐภูมิดึงแก้วเหล้าออกจากมือผู้พ่อแล้วปาลงกับพื้น ความศรัทธาในตัวบิดาของเค้าหมดลงในทันทีที่เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้ เค้าเอาผ้าห่มห่อร่างที่ไม่ได้สติของเมทิตาออกมา แต่นายวีรยุทธกลับรั้งแขนของเค้าเอาไว้
“พ่อ พอซักที ไหนพ่อบอกผมว่าเราจะคืนทุกอย่างให้กับเธอเมื่อเธอกลับมา ทุกอย่างพ่อหลอกกัน หลอกกันทั้งหมด” รัฐภูมิวางร่างของเมทิตาลงกับเตียงแล้วหันมาคุยกับบิดาอย่างเป็นกิจลักษณะ
“แกเงียบไปเลยเจ้าท็อป หนูแป้งเป็นเมียพ่อ แกเข้าใจหรือเปล่า” นายวีรยุทธยิ้มเหลือบไปมองร่างไร้สติของเมทิตาพลางหัวเราะ
“พ่อทำอย่างนี้ได้ไง เธอเป็นลูกคุณพ่อเหมือนกัน” รัฐภูมิพูดมองหน้าผู้เป็นพ่อตนเองอย่างผิดหวัง เช่นเดียวกับที่ทุกคนในบ้านตกตะลึง “เรื่องนี้ใช่มั๊ยทำให้แป้งต้องไปอยู่ลอนดอน พ่อทำได้ไง พ่อยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
“ที่พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อแกคนเดียว แต่แกไม่เคยสนใจในสิ่งที่พ่อทำให้กับแก”
“พ่อเลิกพูดเถอะ พ่อทำร้ายแป้งเพื่อผมเหรอ พ่อทำได้ไง ทุกสิ่งทุกอย่างผมไม่ต้องการ ผมบอกพ่อเสมอว่าผมไม่เคยต้องการ” รัฐภูมิพูดจบเค้าก็หันไปอุ้มร่างของเมทิตาเดินออกมาจากห้อง
“คุณแป้งเป็นอย่างไรบ้างคะคุณท็อป” ป้ายุพิณเดินดักหน้าถามรัฐภูมิด้วยความเป็นห่วงและสงสารในชะตากรรมของหญิงสาว
“ผมจัดการดูแลแป้งเอง ฝากดูพ่อด้วยนะครับป้าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะแวะเข้ามา”
รัฐภูมิพาเมทิตามาที่คอนโดของตนเอง เมทิตายังไม่รู้สึกตัวเลย เมื่อวางเมทิตาลงบนโซฟาเค้าก็จัดแจงหาผ้ามาจัดแจงเช็ดตัวให้กับเธอ
“แป้ง” รัฐภูมิกระซิบเบาพลางจับแขนที่เขียวช้ำเป็นรอยมือของผู้เป็นพ่อของตนเองทำให้เค้ายิ่งรู้สึกผิด เค้ามองดูใบหน้าของเมทิตาในความเงียบเมื่อสามชั่วโมงก่อนใยหน้านี้ยังมีรอยยิ้มที่ไม่อาจลืมปรากฏขึ้นอยู่ ขณะที่เค้าคิดอะไรเพลินๆอยู่กับเรื่องราวที่โถมเข้ามาในชีวิตของเธอที่เค้ารับรู้เรื่อยมาอย่างเงียบๆที่ทำให้เค้าเดินทางไปจากอเมริกาไปอังกฤษบ่อยๆเพื่อแอบดูเมทิตาในอิริยาบทต่างๆแล้วถ่ายภาพเก็บมาทุกครั้งเพราะเค้ารู้สึกหลงรักใบหน้าที่หมองเศร้าตั้งแต่แรกเห็นเมื่องานศพของคุณแม่ของเธอเมื่อเกือบห้าปีก่อน แต่เค้าไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวของเธอจะเลวร้ายมากขนาดนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นแสนสาหัสเหลือเกินสำหรับเด็กสาวอายุเท่านี้
“แป้ง พี่ขอโทษ” รัฐภูมิเสยผมของเมทิตาขึ้น น้ำตาของเค้ารินคลอที่ตาทั้งสองข้างอย่างไม่อาจหยุดเอาไว้ได้ “แป้ง พี่รักแป้งนะ แล้วพี่จะเป็นคนปกป้องแป้งเอง พี่สัญญา” เค้ากุมมือเธอแน่น น้ำตาไหลพรากลงมาอาบแก้ม
เสียงโทรศัพท์มือถือของเค้าดังขึ้น
“คุณท็อปคะ คุณท่านรถคว่ำตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลธนบุรีค่ะ” เสียงของคิมอำภาสั่น รัฐภูมิยืนนิ่ง เค้าปาดน้ำตาก่อนจะห่มผ้าให้กับเมทิตาก่อนที่จะออกไปโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ
“อาการเป็นไงบ้างครับหมอ” รัฐภูมิมาถึงโรงพยาบาลนั่งรอเกือบสามชั่วโมงแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดก็ออกมา
“อาการไม่ดีครับ สมองและกระดูกสันหลังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก หมอต้องรอดูอาการก่อนนะครับ” หนึ่งในสามของทีมแพทย์กล่าวกับรัฐภูมิด้วยสีหน้าลำบากใจ
เมทิตาลืมตาขึ้นพบว่ามีคิมอำภานั่งอยู่ข้างๆ
“ตื่นแล้วเหรอคะ” คิมอำภายิ้มแตสีหน้าของเมทิตายังมีอาการหวาดผวาอยู่คิมอำภาจึงดึงเธอเข้ามากอดแน่น
“โชคดีที่คุณท็อปเข้ามาช่วยคุณไว้ทัน คุณไม่ต้องกลัวแล้วนะคะ” คิมอำภาปลอบเมทิตา “ทานโจ๊กหน่อยดีกว่าค่ะ รอแป๊บนึงนะคะ”
เมื่อคิมอำภาผละไปตักโจ๊กให้ เมทิตาก็มองไปรอบๆห้องซึ่งบนผนังด้านหนึ่งมีรูปของใครคนหนึ่งติดอยู่มากมาย เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างแคลงใจ เพราะผู้หญิงในรูปมากมายที่ติดอยู่บนผนังเหล่านั้นล้วนเป็นรูปของเธอเองเมื่อครั้งที่อยู่ที่ลอนดอนในอิริยาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าเดิน ท่านั่ง ด้านหลัง ด้านข้างมุมใกล้มุมไกล แม้กระทั่งภาพที่เธออ้าปากรับประทานอาหารก็ยังมี ยิ่งทำให้เมทิตายิ่งคิดว่าใครที่ตามติดเธอขนาดนี้
“นี่ห้องใคร” เมทิตาพูดทั้งที่ไม่ยอมละสายตาจากรูปบนผนังนั้น
“ห้องคุณท๊อปค่ะ มีอะไรเหรอคะ” คิมอำภาพูดแล้วก็วิ่งมายืนคู่กับเมทิตา ซึ่งทำให้เธอถึงกับตะลึง
“คุณท๊อปเธอเป็นคนแปลกๆไม่เหมือนคุณท่านหรอกค่ะ เธอเป็นคนชอบวาดรูป ชอบดูหนัง อารมณ์ดีเอามากๆ แล้วเค้าก็ชอบมาคุยกับป้ายุพิณบ่อยๆด้วย” คิมอำภาพูดอย่างชื่นชมในตัวของรัฐภูมิ
“ขนาดคุณท่านรถคว่ำตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล เธอยังเป็นห่วงคุณแป้งบอกให้คิมมาดูแลคุณที่นี่”
เมทิตาเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยทีท่าที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่านายท๊อปคือใครกัน ทำไมถึงตามเธอและช่วยเหลือเธอจากเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อคืน แล้วอุบัติเหตุของนายวีรยุทธที่คิมอำภาพูดถึง ซึ่งเธอแอบดีใจเล็กๆที่คำอธิษฐานของเธอเป็นความจริงขึ้นมาได้ แต่เมื่อเธอหันไปที่โต๊ะเล็กด้านข้างโซฟาก็ถึงกับนิ่ง เพราะรูปของนายถวิลที่เธอรู้จักตั้งอยู่ ถ้าทางของเค้าเหมือนกับนายถวิลไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งมันทำให้เธอเข้าใจว่าเธอโดนหลอกให้เชื่อเสียสนิทใจกับความดีจอมปลอมที่เค้าหลอกป้อนให้กับเธอ ซึ่งมันทำลายความหวังในใจของเธออย่างมหาศาล ลำคอของเมทิตาแห้งผากไม่อาจจะกลั้นเสียงพูดออกมาได้ เธอมองหน้าคิมอำภาด้วยสายตาที่พร่ามัวก่อนที่จะหายใจลึกๆ
“เราไปจากที่นี่กันเถอะ” เมทิตาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้อง ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซำว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหนของกรุงเทพฯ
ในที่สุดเมทิตาก็มาถึงโรงพยาบาลธนบุรีหกชั่งโมงการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแต่ยังต้องรอดูอาการ เมทิตายืนมองรัฐภูมิที่นั่งก้มหน้าเอามือกุมขมับ รัฐภูมิหันมามองหน้าเธอนิ่งๆก่อนที่จะก้มกลับไปอย่างเดิม ตอนนี้เค้าไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะมาอธิบายอะไร เพราะนายวีรยุทธถึงจะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังเป็นพ่อของตนที่ลูกต้องดูแลจัดการเพื่อตอบแทนคุณ
หลังจากการตรวจวินิจฉัยออกมาว่านายวีรยุทธเป็นอัมพาตและเป็นผู้ไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทางทนายจึงจัดการทรัพย์สินทุกอย่างให้กับทายาท เพราะที่เหลือคือรัฐภูมิและเมทิตา
“คุณทนายครับผมขอทำเรื่องยกทรัพย์สินทุกอย่างให้กับคุณเมทิตาครับ คุณก็รู้ว่าความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเธอ” รัฐภูมิพูดเมื่อเดินตามทนายออกมาจากห้องที่มีเมทิตานั่งอยู่ด้วยเมื่อครู่
“แต่คุณก็มีส่วนเพราะคุณวีรยุทธเป็นพ่อของคุณ และได้จดทะเบียนสมรสกับคุณเก็จมณีคุณแม่ของคุณเมทิตา”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะ ผมจะไปแล้วคุณอย่ารั้งผมด้วยวิธีนี้เลยผมรู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่ของผมผมไม่ควรรับ”
“ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าคุณมาหาผม”
“ขอเป็นพรุ่งนี้เช้าเลยได้มั๊ยครับ ตอนบ่ายผมจะไปอเมริกาแล้ว ถือว่าผมขอร้อง” รัฐภูมิกล่าว ซึ่งทนายก็รับปากเรื่องสัญญาที่จะรีบร่างให้เสร็จภายในพรุ่งนี้
เมทิตาเดินออกมาพร้อมกับคิมอำภา เธอไม่มองรัฐภูมิแม้แต่ชายตาทำให้เค้ายิ่งวกวนอยู่ในวังวนของความเศร้าที่โถมเข้าใส่พร้อมกันในเวลาเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหลังจากวันนั้น เมทิตาได้รับมรดกทั้งหมดในส่วนของรัฐภูมิรวมถึงรถบีเอ็มดับเบิลยูที่เธอยังใช้ถึงทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้ว
“คุณแป้งคะมาทางนี้เร็ว” คิมอำภาวิ่งมาลากแขนเมทิตาที่พากันเดินทางมาเที่ยวพักผ่อนที่อังกฤษ
“วิวตรงนี้สวยมากอยากถ่ายรูปกับคุณแป้งจังเลยค่ะ”
“มาเดี๋ยวฉันถ่ายให้” เมทิตาดึงกล้องมาจากมือของคิมอำภา
“อยากถ่ายกับคุณแป้งนี่ เดี๋ยวนะ” คิมอำภาวิ่งไปขอให้ชาวสเปนคนหนึ่งมาช่วยถ่ายรูปให้กับเธอแต่ชายคนนั้นไม่อาจพูดภาษาอังกฤษได้ ในขณะที่เธองงอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งสวมแว่นตากับหมวกเดินเข้ามาคุยกับนายสเปนคนนั้นเล็กน้อย
“ผมถ่ายให้ก็ได้ครับคุณ” ชายคนนั้นกล่าวเป็นภาษาไทยแล้วเดินตามคิมอำภามาตรงที่เมทิตายืนรออยู่ คิมอำภาไม่รอช้าที่จะยืนในท่าที่เก็กน่ารักตามสไตล์เธอ ส่วนเมทิตาเพียงแค่ยืนยิ้มธรรมดาเท่านั้น
ชายไทยที่มาถ่ายรูปให้สองสาวไม่ได้ใช้เพียงกล้องของสองสาวถ่ายเท่านั้น เค้ากลับใช้กล้องของตนเองซูมเข้าที่เมทิตาเพียงคนเดียว เมื่อถ่ายเสร็จคิมอำภาวิ่งมารับกล้องคืนพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ชายคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะหันหลังเดินไป
“เป็นคนไทยค่ะท่าทางใจดีมากๆ เมื่อกี๊คิมเจอคนประเทศอะไรไม่รู้คุยกับเค้าไม่รู้เรื่องดีที่ได้พี่เค้ามาช่วย” คิมอำภาคุยแจ้ว แต่เมทิตากลับนิ่งคิด ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของคิมอำภาแม้แต่น้อย เธอวิ่งออกไปข้างหน้าตามชายผู้นั้นไปติดๆ เมื่อมาถึงหัวมุมถนนเธอถึงกับเข่าอ่อนเมื่อไม่เห็นร่างของเค้า เมทิตาเข่าอ่อนเหมือนกับเพิ่งทำสิ่งที่ตนเองตามหาหลุดมือไป น้ำตาของเธอเอ่อล้นออกมาจนไม่อาจกลั้นท่ามกลางผู้คนต่างแดนที่เดินสวนไปมา ที่อังกฤษถึงแม้ว่าเธอจะเคยอยู่มาก่อน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่ว้าเหว่ที่สุดที่เธอเคยอยู่
“ที่นี่หาผัดไทกับนำขิงกินยากจริงๆ” เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นหูถึงแม้ว่าเธอจะได้ยินไม่บ่อยนักแต่มันยังคงสะท้อนในห้วงความเหงาของเธอตลอดเวลาที่เหงา เมทิตาหันกลับไปตามเสียงที่ได้ยิน แล้วครั้งนี้ก็เป็นไปตามที่เธอหวังว่าเธอจะได้พบเค้าอีกซักครั้ง รอยยิ้มทะเล้นเดิมๆของเค้าปรากฎขึ้นพร้อมกับแขนที่อ้ารอรับเธออยู่แค่เอื้อมเท่านั้น
ผลงานอื่นๆ ของ nishi sani ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ nishi sani
ความคิดเห็น