คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : C H A P T E R 08
C H A P T E R 08
โอฟีเรียไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
ไม่ใช่ว่าเธอจะได้เจอคารอสตอนที่อายุสิบขวบเหรอ
เพราะว่าตอนอายุสิบขวบโอฟีเรียจะต้องเข้าสถานศึกษาของประเทศ
ทำให้บิดาอย่างไฮรอสเพิ่มองครักษ์ขึ้นมาหนึ่งคนเพื่อติดตามโอฟีเรียไปยังสถานศึกษานอกพระราชวังหลวง
และนั่นจะเป็นการพบกันครั้งแรกขององค์หญิงและองครักษ์
แต่นี่ไม่ใช่ว่ามันเร็วไปเหรอ...เร็วจนเธอตั้งรับไม่ทัน
“โอฟีเรียคะ เป็นอะไรไปคะ
ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” ไฮรอสก้มมองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นกังวล
ใบหน้าของโอฟีเรียซีดเซียวจนแทบจะไร้สีเลือด แถมริมฝีปากสั่นระริก
จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ปะ เปล่าค่ะ
หนูแค่รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ” โอฟีเรียกะพริบตา
ปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันไปตอบพ่อด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนชอบกล
ก่อนจะหันกลับไปมองว่าที่องครักษ์ของตัวเองที่ยืนมองฟ้ามองน้ำด้วยสายตานิ่งสนิท
เมื่อกี้เธอตกใจไปไม่น้อย
ตอนนี้พอปรับอารมณ์ได้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมา
คารอสในตอนนี้ต่างจากความทรงจำของเธอไปมากจริงๆ
คารอสในความทรงจำของโอฟีเรียคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปี
ร่างสูงใหญ่กว่าไรเซลผู้เป็นบิดาบุญธรรมไปมากโข
ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นไม่ได้หวานใสเหมือนคุณชายวินสตัน
แต่กลับคมเข้มจนพาลให้ใจสั่น โอฟีเรียเองก็ติดใจในใบหน้าคมเข้มแบบนั้นของเขาเหมือนกัน
ถึงได้เลือกเล่นรูทคารอสก่อนเป็นรูทแรก
แต่ดูตอนนี้สิ
เขาไม่เหมือนมนุษย์น้ำแข็งในเกมคนนั้นเลยสักนิดเดียว ทรงผมไม่เป็นระเบียบ
สายตาเหม่อลอย แม้ว่าใบหน้าจะราบเรียบอยู่บ้างแต่ให้ความรู้สึกเหมือนคนไม่สนโลกมากกว่าพวกเย็นชา
คารอสตอนนี้กลายเป็นพวกเฉื่อยแฉะไปเสียแล้ว
“คุณพ่อไม่น่าพาหนูมาด้วยเลย
ถ้ารู้สึกไม่ดีบอกคุณพ่อเลยนะคะ รู้มั้ย?” ไฮรอสทาบมือลงบนหน้าผากของบุตรสาวแล้วพบว่ามีไอร้อนบางๆ
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแล้วตำหนิตัวเองในใจ เขาไม่น่าพาโอฟีเรียออกมาจากห้องเลย
ทั้งๆ ที่สนามฝึกองครักษ์มีทั้งแดดและลม ถ้าหากว่าโอฟีเรียเกิดป่วยเป็นไข้ขึ้นมา
เขาก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ” โอฟีเรียตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
เธอพูดให้พ่อสบายใจอีกสองสามประโยคก็ชวนกลับมาเรื่ององครักษ์
คิดว่าจะโน้มน้าวให้ไฮรอสไปเลือกคนอื่นขึ้นมาแทน แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
“อ้อ เป็นเจ้านี่เอง
บุตรชายบุญธรรมของไรเซลใช่หรือไม่” ไฮรอสมองใบหน้าของเด็กหนุ่มมากฝีมือแล้วอมยิ้ม
เขารู้มาว่าไรเซลรับบุตรชายบุญธรรมมาได้หลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้เห็นตัวชัดๆ สักที
แต่ได้ยินพวกทหารพูดว่าเป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจเกินวัย
“เป็นกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ” คารอสแม้จะมีท่าทีเหม่อลอยแต่ก็ได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกตลอด
เขาตอบรับเมื่อไฮรอสถามถึงเรื่องของตน ก่อนจะแนะนำตัวเองออกไป “กระหม่อมมีชื่อว่าคารอสพะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ายินดีจะมารับใช้องค์หญิงมั้ย”
คารอสกะพริบตาอยู่สองสามครั้งแล้วก็โค้งศีรษะ “หากเป็นรับสั่งของฝ่าบาท”
ไรเซลได้ยินคำตอบของบุตรชายแล้วคล้ายได้ยินเรื่องแปลกประหลาด
ใบหน้าของเขาถึงได้กึ่งยินดีกึ่งงุนงงแบบนั้น
ต้องรู้ว่าบุตรชายคนนี้มีนิสัยไม่ใคร่จะปกติเท่าไหร่นัก
วันๆ เอาแต่นอนเหม่อมองฟ้า ราวกับว่ามันมีอะไรน่าดูหนักหนา
จะพูดออกมาแต่ละคำได้ก็ต้องง้างปากจนเหนื่อยทั้งสองฝ่าย
แถมเวลาขอความคิดเห็นหรือสั่งให้ทำอะไรเขาก็จะทำหน้ามึนใส่ บอกปัดและเดินหนีไปเลย
เขาเคยถามครั้งหนึ่งว่าทำไมถึงชอบปฏิเสธเขานัก
เจ้าลูกชายก็ตอบมาคำเดียวว่า ‘ยุ่งยาก!’
เป็นลูกชายที่ดีเหลือเกิน!
ในการคัดเลือกองครักษ์ประจำตัวองค์หญิงลำดับที่หนึ่งนั้น
โอฟีเรียได้แต่นั่งยิ้มและฟังพ่อของตัวเองกับว่าที่องครักษ์คุยกัน
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่ปล่อยให้ผู้ชายได้คุยกันไปสักพัก โอฟีเรียก็ได้บทสรุปมาว่า
คารอสจะกลายเป็นองครักษ์ของเธอ
ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนต้องมีคารอสไปด้วย และคารอสจะเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้น
โอฟีเรียกลับห้องมาด้วยสภาพร่อแร่เต็มที
พอปิดประตูห้องและลงกลอนเรียบร้อยแล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็ทิ้งกายลงบนเตียงนุ่นนิ่มแทบจะทันที
ใบหน้าฝังลงบนหมอนขนเป็ดราคาสูงลิบแล้วกรีดร้องออกมาเสียงดัง
แต่เสียงที่ออกมาก็ได้ยินแค่อู้อี้
วันนี้เธออยากจะบ้าตายสุดๆ
ไม่รู้ว่าพักนี้มันดวงตกหรือไงชีวิตของเธอถึงได้วนเวียนอยู่ใกล้เจ้าพวกตัวหลักชนิดระยะเผาขนแบบนี้!
พอได้กรีดร้องจนพอใจความขุ่นมัวที่รุมมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าคารอสก็ถูกปัดเป่าออกไป
เด็กหญิงพลิกกายลงจากเตียงแล้วเดินออกไปยังระเบียงนอกห้องนอน
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีหมึก
เปร่งแสงสีนวลออกมาในยามค่ำคืน โอฟีเรียปิดประตูระเบียงอย่างเบามือแล้วแหงนหน้า
หลับตาพริ้มรับลมที่พัดโชยพากลิ่นหอมอ่อนๆ
ของดอกไม้ที่ด้านล่างพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก
วันนี้โอฟีเรียเจอมรสุมมาทั้งวันแล้ว
พอได้รับลมเย็นๆ และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ชื่นชอบก็พาลให้อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
พออารมณ์ดีขึ้นมาก
เรื่องที่ได้คารอสมาเป็นองครักษ์ก็ไม่ใช่ปัญหาหนักใจอยู่แล้ว
อย่างไรเรื่องที่คารอสเป็นทหารองครักษ์ฝีมือดีนั้นก็เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
มีเขาอยู่ข้างตัวโอฟีเรียเองก็ปลอดภัยมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะคล้ายเอาหมาบ้ามาเลี้ยงในห้องนอนที่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งมันจะลุกขึ้นมาขย้ำคอเราตอนไหนก็ตามที
ในอนาคตถ้าหากว่าคารอสคิดจะรักจะชอบใคร
โอฟีเรียก็แค่ช่วยกรุยทางให้เขา ไม่ขัดขวางและสนับสนุนให้เต็มที่ก็พอ
เพียงแค่นี้แบดเอ็นน่าหวาดกลัวพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องไกลตัวไปแล้ว
โอฟีเรียไม่สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อเรื่องของเกมจะเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว
หากว่าการเปลี่ยนเนื้อเรื่องจะช่วยทำให้เธอมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นก็มีคุณค่าพอที่จะเสี่ยง
เธอไม่มีทางยอมทำตัวโง่ๆ เล่นไปตามเนื้อเรื่องเด็ดขาด เพราะการตายในตอนจบไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
ใครหลายคนดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่
แล้วจะให้เธอทิ้งชีวิตไปง่ายๆ โดยที่ไม่ได้ลองพยายามได้อย่างไร
เหมือนเป็นการดูถูกเหล่าคนที่พยายามเพื่อใช้ชีวิตในวันต่อๆ
ไปอย่างยากลำบากพวกนั้น เพราะว่าชีวิตของโอฟีเรียมีพร้อมหมดทุกอย่าง
ไม่ต้องทำงานให้ลำบากลำบนก็สามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อย่างยาวนานแล้ว
ดังนั้นเธอจึงจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า สมกับที่ได้รับมา
เด็กหญิงสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ
ก่อนจะลืมตาขึ้น
แต่ก็ต้องตกใจจนตาค้างเมื่อบนรั้วริมระเบียงมีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่
โอฟีเรียตกใจจนเปล่งเสียงไม่ออก
ร่างนั้นกระโดดลงจากรั้วระเบียง
ก้าวเดินเข้ามาหาเด็กหญิงตัวจ้อยที่สูงเลยช่วงขาอ่อนของเขามาได้เล็กน้อยอย่างเชื่องช้า
ปลายเส้นผมสะบัดพลิ้วในอากาศอยู่ด้านหลัง โอฟีเรียก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตาก็จับจ้องร่างสูงที่ที่ใกล้เข้ามาทุกทีโดยที่ไม่ได้ละสายตาแม้สักเสี้ยววินาที
“ไม่ต้องกลัวข้าขนาดนั้นก็ได้
ยักษ์จิ๋ว”
ร่างสูงหยุดเดินพอดีกับที่แผ่นหลังของโอฟีเรียแนบกับบานประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมเธอก็ผ่อนลมหายใจออกมา พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่สติตอนนี้จะอำนวย
เพราะว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พวกมีร่างเนื้ออย่างเธอ
ตอนนี้โอฟีเรียจึงรู้สึกขนลุกพรึ่บทั่วร่าง
“จะไม่ให้กลัวได้ไง นายไม่ใช่คนนี่!”
เสียงที่ตอบกลับไปแม้จะกระท่อนกระแท่นเพราะความกลัวแต่ก็ยังฟังออกมาเป็นประโยคได้อย่างไม่ตกหล่น
โอฟีเรียควานมือหาลูกบิดประตู เตรียมพร้อมจะเปิดเข้าห้องทันทีที่อีกฝ่ายเผลอ
แต่เด็กหญิงลืมคิดไปนิด
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเป็นผีจริง ต่อให้เธอปิดประตูหนีเขาก็ผ่านเข้ามาในห้องได้ง่ายๆ
ร่างสูงได้ยินคำพูดของบุตรสาวราชายักษ์แล้วเลิกคิ้ว
ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
“หึๆ
เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คน?” ฝ่ายนั้นยื่นลำแขนเปลือยเปล่ามาด้านหน้า
“เจ้าอยากจะลองพิสูจน์มั้ย”
“ไม่!” โอฟีเรียตอบออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดสักนิด
เธอยิ้มออกมาเมื่อสามารถเปิดประตูได้แล้ว
แต่ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยจะได้หลบหนีเข้าห้องนอนของตัวเองตามที่หวังเอาไว้
ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็คว้าแขนของเธอเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรงจนร่างของเธอปะทะเข้ากับกล้ามเนื้อแข็งๆ
ใบหน้าของเด็กหญิงแนบอยู่ตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย
โอฟีเรียยังไม่ทันได้ตกใจดีใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าใบหน้าของตนแนบกับร่างกายของเขา!
“ร่างกายของข้าอุ่นหรือไม่ ยักษ์จิ๋ว” น้ำเสียงออกร่างสูงเจือมาด้วยความหยอกล้อและเสียงหัวเราะจางๆ
โอฟีเรียเม้มริมฝีปากแน่น ถอยห่างจากร่างของคนนิสัยเสีย
แต่ถอยได้ไม่มากนักเพราะว่าท่อนแขนของเธอถูกเขากำเอาไว้เสียแน่น
โอฟีเรียมองข้อมือที่ถูกกำเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ
ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ผีอย่างที่เข้าใจมาตลอด
ดังนั้นเธอสามารถทุบตีเขาอย่างไรก็ได้ และแน่นอนว่าเธอย่อมทบต้นทบดอกให้คุ้ม
ไม่ใช่เพียงแค่ดึงหากเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเมื่อครั้งก่อนนู้น
โอฟีเรียขมวดคิ้ว...ตอนนั้นเธอก็ดึงหางเขาลงมาจากต้นไม้ได้นี่นา
ชายหนุ่มหัวเราะขำกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนตรงหน้า
ตอนแรกที่เห็นก็ทำท่ากลัวจนแทบจะวิ่งหนี
หลังจากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าเขินอายผสมโกรธเคือง แต่ตอนนี้กลับทำหน้าเคร่ง
ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“ว่าอย่างไร
ร่างกายของข้าอุ่นดีหรือไม่”
“ปล่อยข้อมือของฉันได้แล้ว เจ็บ!” โอฟีเรียไม่ตอบคำถามของคนตรงหน้าแต่เปลี่ยนเป็นบิดข้อมือออกจากฝ่ามือของเขาแทน
ซึ่งชายหนุ่มก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เขายอมปล่อยข้อมือของโอฟีเรียโดยที่ไม่คัดค้านอะไร
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ”
โอฟีเรียกรอกตา “อุ่น! พอใจหรือยัง”
“ก็แค่นั้น” เขายักไหล่ขึ้น
ทำราวกับไม่สนใจเท่าไหร่นัก
แต่เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าหางของเขาปัดป่ายไปมาเหมือนพวกหมาที่ชอบกระดิกหางเวลาได้รางวัล
โธ่...ที่แท้ก็ขี้เก๊กด้วยนี่เอง
“นายมาที่นี่ทำไม
ไม่ใช่ว่าต้นบ๊วยนั่นเป็นที่สิงสถิตของนายเหรอ”
ชายหนุ่มเอียงคอ “นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นอะไรถึงได้สิงสถิตในต้นบ๊วย”
แก้มนิ่มของโอฟีเรียถูกเจ้าคนนิสัยแย่จับดึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ร้องออกมาได้แค่ครึ่งคำแก้มของเธอก็ถูกบีบจนเป็นรอยแดงเสียแล้ว “นอกจากจะบอกว่าข้าไม่ใช่คนแล้ว
เจ้ายังหาว่าข้าเป็นพวกภูติขี้เมาพวกนั้นด้วยหรือ”
โอฟีเรียไม่เข้าใจที่เขาพูดเท่าไหร่นัก
แต่ก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“อ่อยเอี่ยวอี้อะ!” เด็กหญิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้พลางแกะมืออีกฝ่ายจากแก้มของตัวเอง
แต่แกะเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับสักนิดเดียว แงะอยู่เป็นนานสองนาน
กว่าที่อีกฝ่ายจะเลิกขย้ำแก้มเธอเล่น ก้อนเนื้อสองข้างก็รู้สึกระบมไปหมดแล้ว
“อ่า...
เห็นแก่เจ้าโมจิที่น่าสงสารพวกนี้ ข้าจะยอมบอกแล้วกันว่าข้ามาทำไม” ฝ่ามือลูบไล้ที่แก้มแดงก่ำของเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมกับกลั้นขำ
เขายกฝ่ามือหนีเมื่อโอฟีเรียฟาดลงมา แน่นอนว่ามันไม่โดนเขาหรอก
นั่นทำให้แก้มของเด็กน้อยมีรอยฝ่ามือจางๆ ปรากฏอยู่ด้วย
โอฟีเรียด่าคนตรงหน้าในใจไปหลายคำ
ทั้งยังสรรเสริญไปถึงบรรพบุรุษของอีกฝ่ายด้วยที่เลี้ยงให้เขามีนิสัยแบบนี้
กวนประสาทไม่พอยังชอบรังแกผู้หญิง! ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ในสังคมมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน
ไม่โดนคนเขาด่าโครตด่าเง้าหรือไง!
“สรุปนายมาทำไม ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่คือที่ไหน” เด็กหญิงนวดแก้มที่ระบมของตัวเองทั้งน้ำตาคลอเบ้า
เธอสูดน้ำมูกที่ทำท่าจะไหลครั้งหนึ่ง เกิดเป็นเสียงที่ฟังดูแล้วน่าขำ
“รู้สิ ที่นี่คือวังหลวง” ชายหนุ่มผลิรอยยิ้ม หางของเขาสะบัดไปมาอย่างคนอารมณ์ดี เขาทำท่าจะพูดต่อแต่เงียบเสียงลงพร้อมด้วยใบหน้าที่เรียบสนิท
หูทั้งสองข้างบนศีรษะกระดิกอยู่ไม่กี่ครั้งชายหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา
“ข้าว่าข้าควรรีบสักหน่อย
ก่อนที่คนของเจ้าจะมาเจอ” โอฟีเรียเอียงคอ
กำลังจะอ้าปากถามฝ่ายนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปาก
“เจ้าไม่ต้องเอ่ยอะไร
ฟังข้าอย่างเดียวก็พอ เข้าใจหรือไม่” เด็กหญิงอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่เข้าใจสักนิด
แต่ก็จำใจพยักหน้ารับไป
“ดี
ถ้างั้นฟังข้าเอาไว้ให้ดีนะยักษ์จิ๋ว จงระวังบุตรชายตระกูลวินสตันเอาไว้”
ครานี้โอฟีเรียไม่สามารถเงียบเสียงได้อีกต่อไป เด็กหญิงขมวดคิ้วแล้วพูดออกไป
“คนพี่หรือคนน้อง”
“คนพี่” ชายหนุ่มกลับไปยืนบนรั้วระเบียงอีกครั้ง
เขาแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าครั้งหนึ่งก่อนกวักมือเรียกโอฟีเรียให้เดินมาหา
โอฟีเรียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่นัก
เรื่องที่เขาบอกมันเป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว
พวกตระกูลวินสตันคือพวกตัวเอก
ถ้าหากไม่จำเป็นเธอจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน
คล้ายว่าเห็นเธอชักช้าไม่ได้ดั่งใจ
ชายหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาก่อนที่เขาจะยกนิ้วขึ้นปัดในอากาศสองสามครั้ง
ร่างของโอฟีเรียก็ลอยหวือ พุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้
“ว้าย!”
โอฟีเรียร้องเสียงหลงเมื่อร่างกายของเธออยู่ๆ
ก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายที่ริมระเบียงโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้สักนิดเดียว
เด็กหญิงหลับตาปี๋เตรียมตัวรับแรงปะทะ
แต่ผ่านไปสักพักหนึ่งก็ยังไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดสักนิด จึงค่อยๆ
ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
ภาพตรงหน้าทำเอาเธอผงะกายด้วยความตกใจ
ใบหน้าของชายหนุ่มห่างจากเธอไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ
แสงจากดวงจันทร์ทำให้ใบหน้าของคนตรงหน้ามืดไปด้านหนึ่ง
ให้ความรู้สึกลึกลับและงดงามไปพร้อมๆ กัน
นี่เป็นครั้งแรกที่โอฟีเรียได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนขนาดนี้
โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอำพันที่คล้ายจะเรืองแสงได้คู่นั้น
มองแล้วมันช่างสวยงามจับใจจริงๆ
“นะ นายทำอะไร” โอฟีเรียหลุบสายตามองปลายเท้าก็พบว่าร่างของเธอลอยขึ้นเหนือพื้น
คิดไปคิดมาในหัวก็พบว่าเรื่องที่หนังสือบอกเอาไว้น่าจะเป็นความจริง ที่ว่าพวกจิ้งจอกสวรรค์เชี่ยวชาญการใช้มนตรามากเป็นพิเศษ
แถมยังเจ้าเล่ห์!
“ข้าก็แค่อยากได้ค่าแรงเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยักไหล่
ลอยหน้าลอยตาพูดเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโอฟีเรียแล้วมันไม่ใช่
ค่าแรงบ้าบออะไร! เธอไม่เคยไปตกลงอะไรกับเขาไว้สักหน่อย!
“ค่าแรงบ้าบออะ...!” พูดยังไม่ทันได้จบประโยคดี
อีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลง จุมพิตลงบนหน้าผากของเด็กหญิงไปเสียแล้ว
โอฟีเรียแข็งค้าง
ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ
จับจ้องใบหน้าของคนที่ก่อนหน้านี้เธอเรียกในใจว่าหมาสิงต้นไม้กลายเป็นหมาบ้าหน้าไม่อาย
ก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะค่อยๆ เห่อร้อนขึ้นอย่างเชื่องช้าตามสติที่ยังไม่สมประกอบดี
ไอ้เจ้าหมาโรคจิต!
เด็กหญิงยกฝ่ามือ
กะว่าจะฟาดเขาสักทีแต่กลับพบว่าร่างสูงของเขาไม่ได้อยู่ตรงรั้วระเบียงแล้ว
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นที่เหนือศีรษะ
โอฟีเรียตวัดตามองร่างของหมาหน้าไม่อายที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความไม่พอใจ
“ถือว่าเป็นราคาที่...สมน้ำสมเนื้อดี”
พูดจบร่างนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา โอฟีเรียอัดอั้นตันใจ
อยากจะฟาดคนสักทีก็ฟาดไม่ได้
จะให้กรีดร้องระบายความไม่พอใจก็กลัวเหลือเกินว่าจะปลุกชาวบ้านในตื่นขึ้นมาดึกๆ
ดื่นๆ สุดท้ายจึงได้ฟึดฟัดกับตัวเองเท่านั้น
โอฟีเรียฮึดฮัดด้วยความหงุดหงิดใจ
เธอเปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ไม่มีอารมณ์จะมาชมจันทร์ตากลมอีกต่อไป!
แต่พอคิดถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่ประทับบนหน้าผากความหงุดหงิดในใจก็เบาบางลง
แทนที่ด้วยความเขินอายจนหน้าร้อนฉ่า ต่อให้ไม่ต้องส่องกระจกดู โอฟีเรียก็รับรู้ได้ไม่ยากว่าใบหน้าของเธอจะต้องแดงก่ำไม่ต่างจากมะเขือเทศแน่ๆ
แกรก...
ประตูห้องนอนของเด็กหญิงถูกเปิดออกอย่างเบามือ
เป็นจังหวะเดียวกับที่โอฟีเรียเพิ่งจะงับบานประตูระเบียงให้เรียบร้อย เธอมองไปทางประตูที่ตนเข้าใจว่าลงกลอนเป็นอย่างดีแล้วด้วยความไม่ใจเท่าไหร่หลังจากที่เจอเหตุการณ์โดนบุกห้องเมื่อสักครู่นี้
แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ผลิรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ...”
เป็นไฮรอสที่เปิดประตูเข้ามา
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเดี๋ยวกับเมื่อตอนกลางวัน แต่ไม่ได้เรียบร้อยมาก
ติดจะยับยู่ยี่ด้วย ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้เหมือนปกติ
แต่นัยน์ตากับฉายแววบางอย่างที่ทำให้โอฟีเรียรู้สึกหายใจไม่ค่อยทั่วท้องเท่าไหร่
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะ
เด็กน้อยของคุณพ่อ” ไฮรอสกวาดสายตามองรอบห้องของบุตรสาวครั้งหนึ่งแล้วก้มลงพูดกับเด็กน้อยที่มองเขาอยู่
ชายหนุ่มยกร่างของลูกสาวขึ้นอุ้ม กดจมูกลงบนแก้มกลมแล้วชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนที่จะพาร่างเล็กไปยังเตียงนอน
“หนูออกไปดูพระจันทร์ที่ระเบียงมาค่ะ” โอฟีเรียเอนหลังนอนลงบนเตียงตามที่ผู้เป็นพ่อต้องการ
ปัดเป่าความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับสายตาของบิดาเมื่อกี้ออกไปจนหมดสิ้น
แล้วยกยิ้มหวานหยดให้กับเขา
“เหรอคะ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว
ถึงเวลาที่เด็กดีต้องนอนแล้วค่ะ” ไฮรอสอมยิ้ม เอ็นดูกับความน่ารักของบุตรสาวยอดดวงใจ
เขาก้มลงจุมพิตบนหน้าผากของบุตรสาวครั้งหนึ่งแล้วลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน
โอฟีเรียเองเมื่อได้ยินคำของบิดาก็พยักหน้า รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที จึงค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน
ไฮรอสมองบุตรสาวที่นอนหลับตาพริ้ม
ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กน้อยของเขาเข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เลือนหายไป
เหลือเพียงความราบเรียบที่ชวนให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
นัยน์ตาสีเขียวมรกตเรืองรองในความมืดหรี่ลง
จับจ้องไปยังบริเวณหน้าผากเนียนของบุตรสาว ก่อนที่ชายหนุ่มจะจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ
มีไอ้บ้าไม่รักชีวิตคนหนึ่งบังอาจมายุ่มย่ามกับองค์หญิงน้องของเขา!
ตอนที่นั่งทำงานอยู่ภายในห้อง อยู่ๆ ที่ห้องของโอฟีเรียก็มีกลิ่นอายไม่คุ้นเคยเพิ่มเข้ามา
ไฮรอสไม่สนใจงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่สักนิด
ทิ้งมันแล้วเดินออกมาจากห้องโดยที่ไม่ฟังคำทัดท้านของคิมสันที่อยู่ช่วยเขาทำงานสักประโยค
หัวใจของเขามันร้อนรุ่มไปด้วยความกังวลจนแทบบ้า
แต่พอมาถึงห้องของบุตรสาว
กลิ่นอายแปลกประหลาดนั่นก็หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยให้ตาม
นับว่าเจ้านั่นพอมีฝีมืออยู่บ้าง
ไฮรอสกำฝ่ามือแน่น
นัยน์ตามองตรงไปยังต้นบ๊วยที่อยู่บนเนินไกลออกไปด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
แต่ถึงจะพอมีฝีมืออยู่นิดหน่อย
แต่ยังไงก็เป็นแค่เด็กกำลังโตเท่านั้น...
.
.
.
.
.
.
ไกลออกจากพระราชวังหลวงอันโออ่า
บนเนินสูงที่มีต้นบ๊วยขึ้นเป็นสง่าอยู่
กลิ่นหอมของดอกบ๊วยกระจายออกไปทั่วบริเวณร้างไร้ผู้คน
ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงกับลำต้นใหญ่โตของต้นบ๊วยอย่างสบายอารมณ์
ริมฝีปากครี่รอยยิ้มออกมาพร้อมกับฮัมเพลงในลำคอเบาๆ
“หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
เมื่อรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่เพ่งเล็งมาที่เขาอย่างไม่ปิดบังจากทางราชวังหลวงที่เพิ่งจากมา
เขารู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีทางสู้ยักษ์พ่อลูกอ่อนนั่นได้อยู่แล้ว
ต่อให้เค้นพลังออกมาจนเลือดตากระเด็นก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะสร้างรอยขีดข่วนบนร่างกายที่ดูไร้กำลังนั่นได้
ฝ่ายนั้นอายุมากกว่าเขาตั้งกี่ร้อยปี มีประสบการณ์รบมาอย่างโชกโชน
ถ้าเขาสู้ได้ก็เป็นเรื่องแปลกเกินไปแล้ว
แต่ถึงจะรู้แบบนั้น
เขาก็ยังแหย่รังเสือโดยที่ไม่เกรงกลัว ก็ทำไงได้เล่า...
เห็นเจ้ายักษ์น้อยแล้วมันหมั่นเขี้ยว
พอคิดถึงกลิ่นหอมกรุ่นจากหน้าผากขาวเนียนนั่นก็ทำให้เขาอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก
เด็กยักษ์คนนั้นไม่ได้มีกลิ่นสาบของพวกกระหายเลือดเหมือนพวกยักษ์คนอื่น
แต่กลับเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นของดอกบ๊วย
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นหอมนี้จากร่างกายเล็กๆ นั่นก็รู้สึกติดใจไม่หาย
เหมือนพวกโรคจิตเลยแหะ
เพราะว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกสวรรค์
ถึงชื่อจะสวยหรูแต่ยังไงก็คือหมา และหมาก็เป็นพวกจมูกไวต่อกลิ่นมากเสียด้วย
ปกติเวลาได้กลิ่นของพวกยักษ์เขาจะหลีกหนีไปให้ไกล
เพราะเจ้าพวกนั้นจะมีกลิ่นสาบของเลือดที่ชวนให้คลื่นไส้ เวียนหัว อยากจะเอาจมูกไปซุกถุงหอมเสียตลอดเวลา
แต่ทำแบบนั้นมากๆ เข้าจากกลิ่นหอมของดอกไม้ก็จะกลายเป็นเหม็นจะอ้วกอีก
ยิ่งช่วงวันพระจันทร์เต็มดวง
ประสาทรับรู้ของเขายิ่งจะดีมากขึ้นไปอีก
นั่นทำให้เขาต้องหนีมาซุกตัวอยู่ที่ต้นบ๊วย
ถึงจะต้องทนฟังเจ้าพวกภูติบ๊วยที่มีนิสัยขี้เมาพวกนี้บ่นอยู่ข้างหู
เขาก็ไม่สนใจ ข่มตาหลับๆ ไปเสียก็จบ
แต่กลับองค์หญิงยักษ์น้อยคนนั้น
นอกจากกลิ่นกายจะหอมติดจมูกแล้ว นิสัยของนางยังน่ารักน่าเอ็นดูอีกด้วย
ยิ่งรวมกับใบหน้าและแก้มขาวๆ นั่นก็ชวนให้คนรู้สึกหมั่นเขี้ยวแล้ว
อาจจะเพราะว่าติดใจขนาดนั้น
เขาถึงได้ยอมเขาถ้ำเสือ...เตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงนิดหน่อย
แค่นิดหน่อยเท่านั้น
เพราะว่าเด็กคนนั้นเป็นสิ่งพิเศษ เขาอยากจะเก็บเอาไว้ดูเล่นให้นานๆ หน่อย
ชายหนุ่มเหยียดขาที่ตั้งชันของเขาตัวเอง
เปิดเปลือกตามองไปยังพระราชวังหลวงที่สว่างไสวแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ
คืนนี้
กลิ่นบ๊วยช่างหอมหวานติดจมูกจริงเชียว...
------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้กำลังคึกค่ะ หัวแล่นสุดๆ เลยสามารถเขียนได้เรื่อยๆ
ความคิดเห็น