คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : C H A P T E R 07 : องครักษ์ของโอฟีเรีย
C H A P T E R 07
องครักษ์ของโอฟีเรีย
วันนี้โอฟีเรียไม่ได้นั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องของตัวเองเหมือนทุกวัน
เพราะว่าไฮรอสนั้นพาเธอมายังสนามฝึกราชองครักษ์หลวงที่ตั้งอยู่ทางท้ายวัง
ภาพของเด็กหนุ่มไปจนถึงชายหนุ่มในชุดเกราะยกดาบขึ้นฟาดฟันกันนั้นเป็นอะไรที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเธอได้เป็นอย่างดี
โอฟีเรียที่เกาะแขนของพ่ออยู่ข้างหนึ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
ประดายวิบวับของโลหะที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์และเสียงกระทบกันยามที่ดาบสองเล่มปะทะกันก้องอยู่ภายในหูของเธอ
เส้นประสาทตัวร่างคล้ายจะสั่นสะท้านขึ้นมา
เธอแย้มริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นกระหน่ำ คล้ายจะเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา
อยากจะลองฝึกดาบเหลือเกิน!
เมื่อก่อนโอฟีเรียเคยมีความฝันอยู่อย่างหนึ่งคือการฝึกดาบ
หรือศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นแขนงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘เคนโด้’
เธอมีความชื่นชอบในการใช้ดาบอยู่เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะเห็นว่าเท่ห์ระเบิด
จึงอยากจะลองฝึกกับเขาดูสักครั้ง
แต่ความฝันนั้นก็ต้องพับเก็บลงหีบไปเพราะปัญหาทางบ้าน
สุดท้ายแล้วเธอก็ลืมเลือนมันไปในที่สุด
ไฮรอสก้มลงมองบุตรสาวที่มองเหล่าองครักษ์ฝึกด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับก็ให้รู้สึกเอ็นดูนัก
เผ่าพันธุ์ยักษ์แต่เดิมก็เป็นนักสู้อยู่แล้ว
ไม่ว่าจะชายหรือหญิงมักจะมีความชื่นชอบในด้านการใช้กำลังมากเป็นพิเศษ
ตอนแรกเขาก็กังวลเกี่ยวกับบุตรสาวของตนเหมือนกันว่าเธอแลดูนิ่งผิดกับสายเลือด
แต่พอได้เห็นโอฟีเรียมองการฝึกตาเป็นประกายเช่นนี้ก็วางใจได้
ยักษ์อย่างไรก็คือยักษ์
ต่อให้สงบเสงี่ยมแต่ก็ยังเป็นนักสู้!
“สนใจเหรอคะ โอฟีเรีย”
เธอเงยหน้ามองบิดา พยักหน้ารับทั้งสายยิ้ม “ค่ะ
หนูอยากลองฝึกดาบบ้าง!”
“ได้สิคะ แต่เอาไว้วันหลังนะคะ วันนี้คุณพ่อพาลูกมาเลือกองครักษ์ค่ะ”
ไฮรอสหัวเราะเบาๆ
แล้วลูบหัวบุตรสาวสองสามครั้งด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะบอกจุดประสงค์ในการมาเยือนสนามฝึกขององครักษ์ในครั้งนี้
โอฟีเรียได้ยินแล้วก็หน้าฟีบลงทันที
โธ่ ไอ้เรารึก็นึกว่าจะให้มาเรียนดาบกับพวกทหาร...น่าเสียดาย
โอฟีเรียไม่ได้รับรู้เลยสักนิดว่าที่ไฮรอสพาเธอมาเลือกองครักษ์ในครั้งนี้เพราะนึกเคืองเคืองเจ้าพวกคนตระกูลวินสตันที่บังอาจทิ้งบุตรสาวของเขาเอาไว้ตามลำพังทั้งๆ
ที่ก็รู้ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
ต่อให้เป็นพระราชวังหลวงที่การคุ้มครองแน่นหนามากก็ตาม
แต่เจ้าพวกน่าตายเหล่านั้นกลับกล้าปล่อยโอฟีเรียเอาไว้ แม้อยากจะจับพวกนั้นมาเชือดทิ้งให้หมดแต่ก็ทำไม่ได้
อย่างไรตระกูลวินสตันก็รับใช้ประเทศมาหลายรุ่นแล้ว เพียงแต่ว่ารุ่นนี้เหมือนสมองจะมีน้อยเกินไปสักนิด
ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนคิดอะไรอยู่
ถึงได้ยอมให้งูเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างโคฮาร์ทขึ้นมาเป็นหัวหน้าตระกูลได้
สงสัยคงโดนเจ้าหมอนี่วางยาจนตาบอดทั้งสองข้างเป็นแน่แท้เชียว
ไฮรอสไม่ได้ลงโทษอะไรพวกตระกูลวินสตันมากมายนัก
เพียงแค่ค้านทุกโครงการที่เจ้าหมอนั่นเสนอมาในที่ประชุม
เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นโครงการไร้ประโยชน์แถมยังดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ด้วย
ทำแค่นี้เจ้าหมอนั่นก็ลำบากแล้ว
เพราะใครที่สายตายังดีอยู่...ดูอย่างไรก็รู้ว่าตระกูลวินสตันถูกพระราชาหมางเมินไปเสียแล้ว
ไฮรอสถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งพอคิดถึงเจ้างูแก่นั่น
เขาล่ะเกลียดใบหน้ากระหายอำนาจของมันจริงๆ!
โอฟีเรียมองพ่อที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหน้าบึ้งด้วยความงุนงง
แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเขามากไปกว่าภาพการฝึกเบื้องหน้า
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกดาบได้อย่างที่คาดหวัง
แต่เพราะไฮรอสพูดแล้วว่าเอาไว้ครั้งหน้า เธอจึงยังมีหวังอยู่
“ถวายพระพรองค์ราชาและองค์หญิง
เสด็จมาถึงที่นี่มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ?”
ไฮรอสละสายตาจากลูกสาวตัวน้อยมองไปยังร่างสูงที่วิ่งตรงเข้ามาก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพ
ชายหนุ่มยิ้มให้กับหัวหน้าองครักษ์คนสนิทแล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกไรเซล
พอดีวันนี้เราพาโอฟีเรียมาเลือกองครักษ์”
โอฟีเรียมองคนที่ชื่อไรเซลตาค้าง เขาเป็นองครักษ์คนเดียวกันกับที่เธอเคยเห็นตอนไปคฤหาสน์วินสตันเมื่อวันก่อน
เธอก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเคยเห็นเขาที่ไหน ที่แท้...เขาคือพ่อบุญธรรมของคาลอส
องครักษ์ของโอฟีเรีย!
โอ้ มาย ก็อด!
จะไม่ให้ตกใจขนาดนี้ได้ยังไงกัน
คนที่อยู่เบื้องหลังการตลบแผนของโอฟีเรียก็คือเขาคนนี้!
ท่านพ่อพาเธอมาเจอตัวเป้งเข้าให้แล้ว
คิดแล้วองค์หญิงน้อยก็อยากจะม้วนหัวหลบหลังไฮรอสนัก
สายตาที่จ้องมองมาที่เธอพาลให้รู้สึกคล้ายถูกจ้องจะจับผิด
ถ้าไม่ติดภาพลักษณ์ขององค์หญิงที่แขวนเอาไว้บนหน้า
โอฟีเรียคงจะกระโดดเหยงไปแอบหลังบิดาแล้ว
ความจริงแล้วที่ไรเซลมองโอฟีเรียขนาดนั้นจนอีกฝ่ายคิดไปไกลไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก
เขาเพียงแค่ชอบเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่จนใจที่ตัวไม่มีภรรยา
สุดท้ายจึงรับบุตรชายบุญธรรมมาสืบทอดตระกูลคนหนึ่งเท่านั้น
โอฟีเรียเป็นองค์หญิงหนึ่งเดียวของประเทศ
พระราชาของเขาหวงแม่นางน้อยยิ่งกว่าพยัคฆ์แม่ลูกอ่อนเสียอีก คงอยากจะจับตัวบุตรสาวซุกอกอยู่ตลอดเวลาหากจะทำได้
กระทั่งสายตาที่ส่งให้เขาก็แฝงความไม่พอใจมาด้วย
ไรเซลกะพริบตา
รู้สึกสงสารราชบุตรเขยในใจ
ไม่รู้ว่าบุรุษคนไหนจะได้เป็นราชบุตรเขย
แต่กว่าจะได้เพชรยอดมงกุฎไปครอง คงต้องเหนื่อยจนเหงื่อไหลออกมากลายเป็นสายเลือด
“เช่นนั้นเชิญองค์หญิงทรงเลือกผู้ที่ถูกใจพะย่ะค่ะ”
ไรเซลค้อมกายให้โอฟีเรียหลังจากที่ยืนมองหน้าเธออยู่เกือบห้านาที
เด็กหญิงจึงได้สติขึ้นมา รีบครี่ยิ้มตอบ
“เราเลือกได้เลยหรือ”
“พะย่ะค่ะ
ที่นี่ทหารองครักษ์ทุกนายล้วนมีฝีมือเก่งกาจ แต่หากองค์หญิงต้องการ...กระหม่อมสามารถจัดการประลองเพื่อให้ท่านเลือกได้พะย่ะค่ะ”
เป็นอย่างที่ไรเซลกล่าวออกมาทุกคำ
ทหารองครักษ์ที่นี่ถูกฝึกมาให้เป็นเกราะกำบังสำหรับเชื้อพระวงศ์
การฝึกฝนจึงหนักหน่วงเป็นอย่างมาก คนที่จะอยู่ที่นี่ต่อได้จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดเท่านั้น
“เจ้าไปจัดเตรียมลานประลองเถอะ
เราจะช่วยลูกเลือกองครักษ์” เป็นไฮรอสที่ตอบ
ไรเซลมองหน้านายเหนือหัวแล้วโค้งศีรษะ เดินไปตะโกนบอกให้เหล่าทหารที่ซ้อมกันอยู่ไปเตรียมตั้งแถวเพื่อรับคัดเลือกเป็นองครักษ์ขององค์หญิง
มีนายทหารหลายคนที่มองมาทางนี้
เพียงแต่สบกับดวงตาสีเขียวมรกตคู่โตได้เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็พากันหลบอย่างพร้อมเพรียง
รอยยิ้มบนใบหน้าโอฟีเรียแข็งค้างขึ้นมา
ไม่รู้ว่าหน้าตาของเธอน่ากลัวมากหรืออย่างไร
พวกเขาถึงได้พากันหลบเสียพรึ่บพรับขนาดนั้น
พวกเขาไม่รู้เสียแล้วว่าโอฟีเรียเป็นยักษ์ที่หน้าตาที่ดีมาก
ถ้าได้เห็นยักษ์ในจิตนาการของมนุษย์ในโลกเก่าของเธอ พวกเขาจะรู้ว่าเธอน่ะสวยกว่าร้อยเท่าพันเท่า!
ใช้เวลาไปเพียงไม่เท่าไหร่
ไรเซลก็เดินมาบอกราชากับองค์หญิงของประเทศว่าทุกอย่างได้ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว
โอฟีเรียและไฮรอสนั่งอยู่บนพื้นยกสูงทำให้มองเห็นการประลองได้อย่างชัดเจน
ทหารองครักษ์คู่แล้วคู่เล่าประลองกันอย่างดุเดือด แต่ยังไม่มีใครถูกใจโอฟีเรียเลยสักคน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เก่ง
แต่มันรู้สึกว่าไม่ใช่อ่ะ...
โดยเฉพาะเจ้าหัวหลิ่มที่ทำหน้าประหนึ่งจะถูกเธอเลือกแน่นอนตรงนั้น
หมอนั่นเป็นคนที่เก่งมากเลยล่ะ เก่งขนาดที่ไฮรอสเอ่ยชมไปสองสามคำ
แต่โอฟีเรียกลับรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง
อาจจะเพราะว่าสายตาเจ้าชู้กรุ่มกริ่มที่ส่งมาให้เป็นระยะนั่นไง!
โอฟีเรียไม่โอเคอย่างแรง!
พอหันไปมองบิดาผู้หวงลูกสาวขนาดหนักอย่างไฮรอสก็เห็นว่าเขาเพียงแค่อมยิ้มแล้วก้มลงมาออดอ้อนเธอเล็กน้อย
ไม่ได้มีแววขุ่นเคืองอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ว่าไปถูกใจอะไรเจ้าหัวหลิ่มนั่นกันแน่!
“องค์หญิงถูกใจผู้ใดบ้างมั้ยพะย่ะค่ะ” ไรเซลที่ยืนอยู่ด้านข้างไฮรอสเอ่ยถามด้วยใบหน้าราบเรียบ
โอฟีเรียไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็สายหน้าตอบกลับไป
“ไม่มีใครเข้าตาเราเลย” เสียงที่พูดออกไปไม่เบาเท่าไหร่นัก คาดว่าเจ้าหัวหลิ่มนั่นต้องได้ยินแน่
รอยยิ้มบนใบหน้าถึงได้เฝื่อนลงขนาดนั้น
“หนูไม่ถูกใจใครเลยเหรอคะ
แต่คุณพ่อว่าคนนั้นก็ดีนะ” ไฮรอสอมยิ้มแล้วชี้ไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายสุด
โอฟีเรียมองไม่ค่อยชัดเพราะว่าผู้ชายคนนั้นยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ เห็นเพียงเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งๆ
ชี้ฟูไม่เป็นระเบียบ
ไรเซลมองตามนิ้วชี้ของราชาแล้วก็ลอบยิ้ม
ก้มลงเอ่ยกับนายของตนว่า
“เขาเป็นคนที่มีฝีมือมากที่สุดในหน่วยตอนนี้แล้วพะย่ะค่ะ
หากแต่นิสัย...” ไฮรอสได้ยินคำว่า ‘มีฝีมือ’
ก็คลายลืมเลือนประโยคต่อมาของหัวหน้าองครักษ์จนหมด
ชายหนุ่มฉีกรอยยิ้ม รีบเอ่ยปากว่า
“เราเลือกเขา
คนที่มีฝีมือก็ควรจะมาปกป้องโอฟีเรียของเรา”
โอฟีเรียหน้าเหวอ ท่านพ่อบอกว่าพาเธอมาเลือกองครักษ์
แต่นี่เด็กหญิงยังไม่ทันได้ถูกใจใครคุณพ่อผู้หวงลูกสาวก็ตัดสินใจไปก่อนเสียแล้ว
แบบนี้จะลากเธอออกมาด้วยทำไมเนี่ย!
“โอฟีเรียว่าไงคะ คนนี้ดีมั้ย” โอฟีเรียได้แต่ยิ้ม
พ่อเลือกไปแล้วเธอจะบอกปัดได้หรือ!
“ท่านพ่อว่ายังไง หนูก็ว่ายังงั้นแหละค่ะ”
“ดีค่ะ ไรเซล...ไปตามชายผู้นั้นมาหาเรา” ไฮรอสหันไปสั่งชายผมสีส้มแสด
ไรเซลผู้ชินชากับนิสัยตัดสินใจเร็วปุบปับของไฮรอสแล้วก็ได้ก้มหน้ารับคำ
เดินไปตามคนมาให้เขาได้ดู
ไฮรอสเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เขาชอบคนฝีมือดี ขอเพียงแค่เป็นคนที่เก่งกาจ
ไม่ว่าจะมีนิสัยเหลือรับประทานเพียงแค่ไหนอีกฝ่ายก็ยินดีรับเอาไว้ เพราะฉะนั้นพวกข้าราชการที่สนิทสนมใกล้ชิดกับพระราชาส่วนใหญ่ถึงได้เป็นเจ้าพวกประหลาดพิลึกคน
ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด เห็นที่จะปกติสุดก็คงจะเป็นคิมสัน เสนาบดีคนนั้น
ไรเซลเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตัวสูงเกือบจะเท่าเขาอยู่แล้ว
เรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ นั่นดูเหมาะสมกับการเข้าเฝ้าราชาและองค์หญิงเลยสักนิดเดียว
ดวงตาสีฟ้าสว่างฉายแววเย็นชาไร้ความสนใจต่อสิ่งรอบด้านโดยสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มค้อมกายถวายความเคารพต่อผู้สูงศักดิ์ทั้งสองด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท
เขายกกายขึ้น ปัดเส้นผมด้านของตนออกลวกๆ
เผยให้เห็นเขาเดี่ยวกลางหน้าผากอันเล็กนิดเดียว
โอฟีเรียมองคนตรงหน้าอย่างสำรวจ
คลับคลาอีกฝ่ายอยู่ในใจได้ไม่เท่าไหร่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก
หัวใจเต้นเร็วประหนึ่งว่าเพิ่งจะไปวิ่งรอยพระราชวังมาสักสิบรอบ
ฝ่ามือทั้งสองข้างเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็ง
ภาพความทรงจำไหลบ่าเข้ามาราวกับเขื่อนแตก
เด็กหญิงหน้าซีดปากสั่น เธอนั่งเงียบกริบจนกระทั่งผู้เป็นพ่อถามยังไม่ได้ยิน
เด็กหญิงจิกเล็บลงบนฝ่ามือแน่น พูดชื่อของอีกฝ่ายลอดริมฝีปากที่สั่นระริกของตัวเองออกมาแผ่วเบา
หากว่าไม่เอียงหูฟังให้ดีอาจจะไม่ได้ยินก็เป็นได้
“คารอส...”
ผู้ชายที่ฆ่าเธอได้อย่างเลือดเย็น!!
ความคิดเห็น