ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #5 : C H A P T E R 04

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 62


    C H A P T E R 04

     

              อย่าไปแตะพวกมันจะดีกว่านะ บุตรแห่งยักษ์

     

              โอฟีเรียชะงักมือที่กำลังจะสัมผัสลูกบอลแสงแล้วเงยหน้ามองตามทิศทางของเสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ บนกิ่งหนึ่งของต้นบ๊วยมีร่างสูงโปร่งที่ใส่เพียงกางเกงฮากามะสีเทาเข้มเพียงตัวเดียว ท่อนบนเปล่าเปลือยโชว์เนื้อหนัง โอฟีเรียไม่ได้อยากจะมองจนเสียมารยาทหรอกนะ แต่หน้าท้องของเขามีซิกแพ็คด้วย

     

                นัยน์ตาสีมรกตสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันที่จ้องลงมา คิ้วของเธอเลิกขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นว่าบนศีรษะของเขามีใบหูสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีเส้นผมของเขาที่ยาวมากจนถึงสะโพก หางฟูๆ ของอีกฝ่ายขยับไปมาในอากาศหลายครั้งทำเอาโอฟีเรียนึกถึงสุนัขของคนข้างบ้านในชาติก่อน ใบหน้าของคนบนต้นไม้มีรอยยิ้มประดับเอาไว้ ซึ่งองค์หญิงน้อยมองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่กวนอวัยวะเบื้องล่างของเธอไม่น้อยเลย

     

                นายเป็นใคร?โอฟีเรียขยับกายถอยห่างจากบอลสีแล้วยกแขนขึ้นกอดอกด้วยท่าทางเอาแต่ใจ ไม่รู้เหมือนว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกหมั่นไส้เจ้าคนบนต้นไม้ขนาดนี้ ยิ่งมองใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นแล้วหงุดหงิด จนอยากจะเขวี้ยงอะไรสักอย่างใส่ให้หนำใจ

     

                 หรือนี่จะเป็นนิสัยของนางร้ายกัน...? หมั่นไส้คนไปทั่วอะไรแบบนั้น

     

                ข้ารู้จักเจ้านะ ยักษ์จิ๋วหมาบนต้นไม้ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ อีกฝ่ายสะบัดหางไปมาสองสามครั้งแล้วหยุดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้น โอฟีเรียคิ้วกระตุกที่ถูกอีกฝ่ายปัดคำถามทิ้ง เธอเบ้ปากใส่หมาสิงต้นไม้ด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินเข้าไปใกล้กิ่งของต้นบ๊วยเพื่อดูดอกของมันให้ชัดๆ

     

                ยามที่เธอเดินเข้าไปใกล้กิ่งบ๊วย พวกบอลแสงที่พากันเกาะอยู่ก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว พวกมันลอยห่างออกไปแล้วจับกิ่งใหม่ที่อยู่ไกลออกไป โอฟีเรียมองแล้วเอียงคอเล็กน้อย ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าพวกมันก็คงจะเป็นแมลงชนิดหนึ่งคล้ายๆ หิ่งห้อยในโลกเก่า ไวต่อสิ่งเร้ารอบตัว  

     

                ปลายนิ้วอมชมพูสัมผัสบนดอกบ๊วยอย่างแผ่วเบาก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อยามที่แตะปลายกลีบคล้ายมีสายฟ้าช็อตที่ปลายนิ้วผ่านไปทั่วฝ่ามืออย่างรุนแรง เด็กน้อยกุมมือที่สั่นระริกและชาของตนเอง คิ้วทั้งสองข้างตกลง นัยน์ตาฉายแววไม่เข้าใจปนตกตะลึง

     

                เจ้าไม่รู้รึว่ายักษ์กับบ๊วยไม่ถูกกัน

               

    โอฟีเรียเม้มปาก แทบจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายว่าถ้ารู้แล้วจะแตะรึไง

     

                แต่เพราะว่าเขาเตือนแล้วเธอไม่ได้ฟัง มันเป็นความผิดที่เธอไม่ฟังคำเตือนของหมาเฝ้าต้นบ๊วยเอง แถมโอฟีเรียยังไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเขาเท่าไหร่ นอกจากนั้น องค์หญิงแห่งยักษ์ยังชอบพวกดอกไม้สีสวยเหล่านี้อีกด้วย

     

                หึๆ ถ้าจะจ้องหน้าข้าปานจะดื่มเลือดขนาดนั้นก็ไม่ต้องเงียบหรอกปลายหางจิ้งจอกที่ห้อยลงกระดิกอยู่เหนือศีรษะของโอฟีเรีย เด็กน้อยเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้จนสุดจะทนจึงคว้าจับมันไว้แน่นแล้วกระชากจนสุดแรงเกิด

     

                คราแรกโอฟีเรียเพียงแค่อยากจะกระตุกมันเบาๆ เป็นการแก้แค้น แต่เธอคงจะลืมเสียสนิทว่าตนเองมีพละกำลังมากมายมหาศาลขนาดไหน และด้วยไม่ได้ยั้งแรงเลยสักนิด ร่างที่นั่งบนกิ่งไม้กวนอารมณ์เธอจึงตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง

               

    อ๊ะองค์หญิงแห่งเผ่ายักษ์ร้องเสียงหลง ถอยห่างจากหมาตกต้นไม้มาสามก้าวแล้วค่อยยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเสียงเบาอย่างมีจริตมารยา

     

    สมน้ำหน้าจริง!

     

    อึก...นี่เจ้า!” จิ้งจอกหนุ่มยกมือขึ้นกุมหลังศีรษะที่ปวดหนึบเบาๆ ใบหูบนศีรษะกระดิกไปมาหลายครั้งยามจับจ้องรอยยิ้มและใบหน้าถือดีของเจ้าหญิงแห่งยักษ์ตรงหน้า เขาผุดกายลุกขึ้นแล้วทำท่าจะกระโจนใส่เด็กน้อยหากว่าไม่มีเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน

     

    โอฟีเรียคะ!”

     

    โอฟีเรียละความสนใจจากหมาสิงต้นไม้แล้วหันไปตามเสียงเรียก เธอเห็นขบวนทหารในชุดเกราะถือไฟฉายเดินตรงมาทางนี้ไม่ต่ำกว่าสิบคน ซึ่งผู้เดินนำหน้าขบวนทหารมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พระราชาของประเทศนี้ ท่านพ่อของโอฟีเรียเอง

     

    ท่านพ่อ...เด็กหญิงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบา มือทั้งสองกอบกุมอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าก้มต่ำเพราะรู้ตัวดีว่ามีความผิดเสียเต็มประตู

     

    ไฮรอสวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าบุตรสาวที่ก้มหน้านิ่งพลางหอบหายใจเล็กน้อย เขาคลายผ้าไหมที่ผูกคอเสื้อออกเพื่อให้หายใจสะดวก ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอนั้นเรียบตึงจนคนรอบข้างลอบกลั้นหายใจ พวกเขาไม่ได้เห็นพระราชาไฮรอสโกรธมานานมากแล้ว

     

    ครั้งล่าสุดที่เห็นก็คงจะเป็นเมื่อ...สองร้อยปีก่อนล่ะมั้ง

     

    โอฟีเรีย ฟีโอน่า ไรเซ็นน้ำเสียงเย็นเยียบที่ดังขึ้นเหนือศีรษะยิ่งทำให้โอฟีเรียใจแฟบกว่าเดิม เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ ไฮรอสกล่าวต่อ ลูกคิดว่าคำสั่งของพระราชาอย่างพ่อนั้นไม่สำคัญหรืออย่างไร? ถึงได้ฝ่าฝืนและลอบหนีออกจากปราสาทเช่นนี้?

     

    ทหารที่มาพร้อมกันโอดครวญเสียงแผ่ว พวกเขาแทบจะอยากปลิวหายไปกับอากาศเหลือเกิน

     

    พวกเขาไม่ได้อยากจะมายืนดูละครพ่อลูกทะเลาะกันเลยสักนิดเดียว แถมบรรยากาศรอบข้างก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จากแรงโกรธของท่านไฮรอสด้วย หากไม่ติดภาพทหารเกราะหนักแสนจะน่าเกรงขามของประเทศ พวกเขาคงวิ่งแผล่วกลับปราสาทไปก่อนแล้ว

     

    คิมสัน เสนาบดีที่อยู่ข้างกายราชาไฮรอสมานานกระแอมเสียงดังเพื่อเรียกสติของเจ้านายที่กำลังจะมอดดับให้กลับมา ชายหนุ่มดันแว่นขึ้นบนสันจมูกพลางเดินเข้าไปใกล้สองพ่อลูกที่กำลังก่อสงครามกันเงียบๆ อย่างรวดเร็ว

     

    ตอนนี้เองก็มืดมากแล้ว หากว่าองค์หญิงยังคงยืนตากน้ำค้างอยู่เช่นนี้ต่อไป อาจจะเป็นหวัดได้นะพะย่ะค่ะ

     

    ไฮรอสกระพริบตาปริบหลายครั้งก่อนจะมองท้องฟ้าที่มืดสนิทเป็นสีน้ำหมึกแล้วค่อยก้มมองลูกสาวที่ยืนหน้านิ่ง สุดท้ายชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เขาคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมแล้วยกดายบุตรสาวขึ้นอุ้มแนบอก

     

    โอฟีเรียพอถูกอุ้มก็ร้องเสียงหลง เด็กหญิงผวากอดคอผู้เป็นพ่อเสียแน่นก่อนจะลอบมองใบหน้าของไฮรอสที่แม้ไม่ได้เรียบตึงเหมือนครั้งแรก แต่ก็ไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นดั่งช่วงเวลาปกติ

     

    ขอโทษนะคะท่านพ่อ ครั้งหน้าจะไม่หนีออกมาแบบนี้อีกแล้วเธอกล่าวเสียงแผ่วเบาข้างใบหูของผู้เป็นพ่อ ใบหน้าเนียนฉายแววสำนึกผิดไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้ถูกดุอะไรมากมาย แต่โอฟีเรียกลับใจเสียไม่น้อยเลยที่อีกฝ่ายมึนตึงใส่กันแบบนี้

     

    เพราะว่าปกติไฮรอสเป็นคนอารมณ์ดีมาก แต่พอเงียบใส่แล้ว...น่ากลัวมาก

     

    ไฮรอสมองบุตรสาวเพียงคนเดียวในอ้อมแขนที่กล่าวขอโทษเสียงเบาหวิวด้วยความรู้สึกโกรธไม่น้อย แต่พอได้เห็นใบหน้าเนียนใสที่หมองลงไม่เหมือนเดิมก็ทำใจแข็งต่อไปไม่ไหว กอดรัดร่างของบุตรสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นพลางซุกหน้าลงกับหน้าท้องของเด็กน้อย

     

    ทีหลังอย่าทำให้คุณพ่อเป็นห่วงแบบนี้อีกนะคะ

     

    โอฟีเรียหลุบตาลงอย่างคนรู้สึกผิด ยกแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นโอบศีรษะของผู้เป็นพ่อพลางตอบรับคำขอของเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

     

    ค่ะ จะไม่ทำให้เป็นห่วงแบบนี้อีกแล้ว ลูกสัญญา

     

    นายทหารที่ติดตามพระราชามาถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เห็นพ่อลูกคืนดีกันอย่างง่ายดาย บอกตามตรงว่าพวกเขาไม่สบายใจเลยยามเห็นพระราชาและองค์หญิงทะเลาะกันแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วพ่อลูกคู่นี้รักกันดีจะตายไป

     

    คิมสันเป็นอีกคนที่พลอยถอนหายใจไปกับเขาด้วย แม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาดั่งเช่นนายทหารคนอื่น แต่ความจริงเสนาบดีหนุ่มเองก็กลุ้มใจไม่น้อยเหมือนกัน

     

    เขาไม่อยากจะให้ราชาที่อารมณ์ดีคนนี้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ....

     

    ตราบใดที่องค์หญิงโอฟีเรียยังอยู่ตรงนี้ ราชาไฮรอสก็จะยังคงเป็นพระราชาที่อบอุ่นและใจดีแบบนี้ตลอดไป...

     

    โอฟีเรียที่กลับมาคืนดีกับคุณพ่อด้วยความรวดเร็วหันกลับไปมองบนต้นบ๊วยที่ด้านหลัง เพราะว่ามีราชาไฮรอสมากะทันหันทำให้เธอลืมเจ้าหมาสิงต้นไม้ไปเสียสนิท แต่พอมองกลับไปแล้วเด็กหญิงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

     

                ที่ต้นบ๊วยนั้น...ไร้เงาของสิ่งมีชีวิต

     

                เด็กหญิงรีบหันหน้ากลับทันควัน แขนที่โอบรอบคอของบิดาสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าสิ่งที่ตนคุยอยู่เป็นพักใหญ่ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเขามองเห็นกัน

     

                มีหลายสิ่งที่โอฟีเรียกลัว แน่นอนว่ารวมพวกสิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้พวกนี้ด้วยเหมือนกัน....

     

                เด็กหญิงได้แต่โอดครวญในใจ ทั้งโลกนี้คงจะไม่มีใครโชคร้ายไปกว่าเธอแล้วล่ะ

     

                นอกจากจะได้เกิดใหม่มาเป็นนางร้ายในเกมส์ BL ที่ผู้ชายกินกันเองแล้วยังจะต้องมาเห็นผีอีก...!

     

                ฮือ...เฟียอยากจะบ้าตาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×