คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : C H A P T E R 04
C H A P T E R 04
“อย่าไปแตะพวกมันจะดีกว่านะ บุตรแห่งยักษ์”
โอฟีเรียชะงักมือที่กำลังจะสัมผัสลูกบอลแสงแล้วเงยหน้ามองตามทิศทางของเสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ
บนกิ่งหนึ่งของต้นบ๊วยมีร่างสูงโปร่งที่ใส่เพียงกางเกงฮากามะสีเทาเข้มเพียงตัวเดียว
ท่อนบนเปล่าเปลือยโชว์เนื้อหนัง โอฟีเรียไม่ได้อยากจะมองจนเสียมารยาทหรอกนะ
แต่หน้าท้องของเขามีซิกแพ็คด้วย
นัยน์ตาสีมรกตสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันที่จ้องลงมา
คิ้วของเธอเลิกขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นว่าบนศีรษะของเขามีใบหูสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีเส้นผมของเขาที่ยาวมากจนถึงสะโพก
หางฟูๆ
ของอีกฝ่ายขยับไปมาในอากาศหลายครั้งทำเอาโอฟีเรียนึกถึงสุนัขของคนข้างบ้านในชาติก่อน
ใบหน้าของคนบนต้นไม้มีรอยยิ้มประดับเอาไว้ ซึ่งองค์หญิงน้อยมองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่กวนอวัยวะเบื้องล่างของเธอไม่น้อยเลย
“นายเป็นใคร?” โอฟีเรียขยับกายถอยห่างจากบอลสีแล้วยกแขนขึ้นกอดอกด้วยท่าทางเอาแต่ใจ
ไม่รู้เหมือนว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกหมั่นไส้เจ้าคนบนต้นไม้ขนาดนี้ ยิ่งมองใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นแล้วหงุดหงิด
จนอยากจะเขวี้ยงอะไรสักอย่างใส่ให้หนำใจ
หรือนี่จะเป็นนิสัยของนางร้ายกัน...?
หมั่นไส้คนไปทั่วอะไรแบบนั้น
“ข้ารู้จักเจ้านะ ยักษ์จิ๋ว”
หมาบนต้นไม้ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ อีกฝ่ายสะบัดหางไปมาสองสามครั้งแล้วหยุดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้น
โอฟีเรียคิ้วกระตุกที่ถูกอีกฝ่ายปัดคำถามทิ้ง
เธอเบ้ปากใส่หมาสิงต้นไม้ด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินเข้าไปใกล้กิ่งของต้นบ๊วยเพื่อดูดอกของมันให้ชัดๆ
ยามที่เธอเดินเข้าไปใกล้กิ่งบ๊วย
พวกบอลแสงที่พากันเกาะอยู่ก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว
พวกมันลอยห่างออกไปแล้วจับกิ่งใหม่ที่อยู่ไกลออกไป โอฟีเรียมองแล้วเอียงคอเล็กน้อย
ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าพวกมันก็คงจะเป็นแมลงชนิดหนึ่งคล้ายๆ หิ่งห้อยในโลกเก่า
ไวต่อสิ่งเร้ารอบตัว
ปลายนิ้วอมชมพูสัมผัสบนดอกบ๊วยอย่างแผ่วเบาก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อยามที่แตะปลายกลีบคล้ายมีสายฟ้าช็อตที่ปลายนิ้วผ่านไปทั่วฝ่ามืออย่างรุนแรง
เด็กน้อยกุมมือที่สั่นระริกและชาของตนเอง คิ้วทั้งสองข้างตกลง
นัยน์ตาฉายแววไม่เข้าใจปนตกตะลึง
“เจ้าไม่รู้รึว่ายักษ์กับบ๊วยไม่ถูกกัน”
โอฟีเรียเม้มปาก
แทบจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายว่าถ้ารู้แล้วจะแตะรึไง
แต่เพราะว่าเขาเตือนแล้วเธอไม่ได้ฟัง
มันเป็นความผิดที่เธอไม่ฟังคำเตือนของหมาเฝ้าต้นบ๊วยเอง
แถมโอฟีเรียยังไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเขาเท่าไหร่ นอกจากนั้น
องค์หญิงแห่งยักษ์ยังชอบพวกดอกไม้สีสวยเหล่านี้อีกด้วย
“หึๆ
ถ้าจะจ้องหน้าข้าปานจะดื่มเลือดขนาดนั้นก็ไม่ต้องเงียบหรอก” ปลายหางจิ้งจอกที่ห้อยลงกระดิกอยู่เหนือศีรษะของโอฟีเรีย
เด็กน้อยเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้จนสุดจะทนจึงคว้าจับมันไว้แน่นแล้วกระชากจนสุดแรงเกิด
คราแรกโอฟีเรียเพียงแค่อยากจะกระตุกมันเบาๆ เป็นการแก้แค้น
แต่เธอคงจะลืมเสียสนิทว่าตนเองมีพละกำลังมากมายมหาศาลขนาดไหน
และด้วยไม่ได้ยั้งแรงเลยสักนิด ร่างที่นั่งบนกิ่งไม้กวนอารมณ์เธอจึงตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
“อ๊ะ” องค์หญิงแห่งเผ่ายักษ์ร้องเสียงหลง
ถอยห่างจากหมาตกต้นไม้มาสามก้าวแล้วค่อยยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเสียงเบาอย่างมีจริตมารยา
สมน้ำหน้าจริง!
“อึก...นี่เจ้า!”
จิ้งจอกหนุ่มยกมือขึ้นกุมหลังศีรษะที่ปวดหนึบเบาๆ ใบหูบนศีรษะกระดิกไปมาหลายครั้งยามจับจ้องรอยยิ้มและใบหน้าถือดีของเจ้าหญิงแห่งยักษ์ตรงหน้า
เขาผุดกายลุกขึ้นแล้วทำท่าจะกระโจนใส่เด็กน้อยหากว่าไม่มีเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน
“โอฟีเรียคะ!”
โอฟีเรียละความสนใจจากหมาสิงต้นไม้แล้วหันไปตามเสียงเรียก
เธอเห็นขบวนทหารในชุดเกราะถือไฟฉายเดินตรงมาทางนี้ไม่ต่ำกว่าสิบคน
ซึ่งผู้เดินนำหน้าขบวนทหารมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พระราชาของประเทศนี้
ท่านพ่อของโอฟีเรียเอง
“ท่านพ่อ...” เด็กหญิงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบา มือทั้งสองกอบกุมอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
ใบหน้าก้มต่ำเพราะรู้ตัวดีว่ามีความผิดเสียเต็มประตู
ไฮรอสวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าบุตรสาวที่ก้มหน้านิ่งพลางหอบหายใจเล็กน้อย
เขาคลายผ้าไหมที่ผูกคอเสื้อออกเพื่อให้หายใจสะดวก
ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอนั้นเรียบตึงจนคนรอบข้างลอบกลั้นหายใจ
พวกเขาไม่ได้เห็นพระราชาไฮรอสโกรธมานานมากแล้ว
ครั้งล่าสุดที่เห็นก็คงจะเป็นเมื่อ...สองร้อยปีก่อนล่ะมั้ง
“โอฟีเรีย ฟีโอน่า
ไรเซ็น” น้ำเสียงเย็นเยียบที่ดังขึ้นเหนือศีรษะยิ่งทำให้โอฟีเรียใจแฟบกว่าเดิม
เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ ไฮรอสกล่าวต่อ “ลูกคิดว่าคำสั่งของพระราชาอย่างพ่อนั้นไม่สำคัญหรืออย่างไร?
ถึงได้ฝ่าฝืนและลอบหนีออกจากปราสาทเช่นนี้?”
ทหารที่มาพร้อมกันโอดครวญเสียงแผ่ว
พวกเขาแทบจะอยากปลิวหายไปกับอากาศเหลือเกิน
พวกเขาไม่ได้อยากจะมายืนดูละครพ่อลูกทะเลาะกันเลยสักนิดเดียว
แถมบรรยากาศรอบข้างก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จากแรงโกรธของท่านไฮรอสด้วย
หากไม่ติดภาพทหารเกราะหนักแสนจะน่าเกรงขามของประเทศ พวกเขาคงวิ่งแผล่วกลับปราสาทไปก่อนแล้ว
คิมสัน
เสนาบดีที่อยู่ข้างกายราชาไฮรอสมานานกระแอมเสียงดังเพื่อเรียกสติของเจ้านายที่กำลังจะมอดดับให้กลับมา
ชายหนุ่มดันแว่นขึ้นบนสันจมูกพลางเดินเข้าไปใกล้สองพ่อลูกที่กำลังก่อสงครามกันเงียบๆ
อย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้เองก็มืดมากแล้ว
หากว่าองค์หญิงยังคงยืนตากน้ำค้างอยู่เช่นนี้ต่อไป อาจจะเป็นหวัดได้นะพะย่ะค่ะ”
ไฮรอสกระพริบตาปริบหลายครั้งก่อนจะมองท้องฟ้าที่มืดสนิทเป็นสีน้ำหมึกแล้วค่อยก้มมองลูกสาวที่ยืนหน้านิ่ง
สุดท้ายชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เขาคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมแล้วยกดายบุตรสาวขึ้นอุ้มแนบอก
โอฟีเรียพอถูกอุ้มก็ร้องเสียงหลง
เด็กหญิงผวากอดคอผู้เป็นพ่อเสียแน่นก่อนจะลอบมองใบหน้าของไฮรอสที่แม้ไม่ได้เรียบตึงเหมือนครั้งแรก
แต่ก็ไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นดั่งช่วงเวลาปกติ
“ขอโทษนะคะท่านพ่อ
ครั้งหน้าจะไม่หนีออกมาแบบนี้อีกแล้ว” เธอกล่าวเสียงแผ่วเบาข้างใบหูของผู้เป็นพ่อ
ใบหน้าเนียนฉายแววสำนึกผิดไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้ถูกดุอะไรมากมาย
แต่โอฟีเรียกลับใจเสียไม่น้อยเลยที่อีกฝ่ายมึนตึงใส่กันแบบนี้
เพราะว่าปกติไฮรอสเป็นคนอารมณ์ดีมาก
แต่พอเงียบใส่แล้ว...น่ากลัวมาก
ไฮรอสมองบุตรสาวเพียงคนเดียวในอ้อมแขนที่กล่าวขอโทษเสียงเบาหวิวด้วยความรู้สึกโกรธไม่น้อย
แต่พอได้เห็นใบหน้าเนียนใสที่หมองลงไม่เหมือนเดิมก็ทำใจแข็งต่อไปไม่ไหว
กอดรัดร่างของบุตรสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นพลางซุกหน้าลงกับหน้าท้องของเด็กน้อย
“ทีหลังอย่าทำให้คุณพ่อเป็นห่วงแบบนี้อีกนะคะ”
โอฟีเรียหลุบตาลงอย่างคนรู้สึกผิด
ยกแขนเล็กๆ
ทั้งสองข้างขึ้นโอบศีรษะของผู้เป็นพ่อพลางตอบรับคำขอของเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ค่ะ
จะไม่ทำให้เป็นห่วงแบบนี้อีกแล้ว ลูกสัญญา”
นายทหารที่ติดตามพระราชามาถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เห็นพ่อลูกคืนดีกันอย่างง่ายดาย
บอกตามตรงว่าพวกเขาไม่สบายใจเลยยามเห็นพระราชาและองค์หญิงทะเลาะกันแบบนี้
เพราะโดยปกติแล้วพ่อลูกคู่นี้รักกันดีจะตายไป
คิมสันเป็นอีกคนที่พลอยถอนหายใจไปกับเขาด้วย
แม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาดั่งเช่นนายทหารคนอื่น
แต่ความจริงเสนาบดีหนุ่มเองก็กลุ้มใจไม่น้อยเหมือนกัน
เขาไม่อยากจะให้ราชาที่อารมณ์ดีคนนี้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ....
ตราบใดที่องค์หญิงโอฟีเรียยังอยู่ตรงนี้
ราชาไฮรอสก็จะยังคงเป็นพระราชาที่อบอุ่นและใจดีแบบนี้ตลอดไป...
โอฟีเรียที่กลับมาคืนดีกับคุณพ่อด้วยความรวดเร็วหันกลับไปมองบนต้นบ๊วยที่ด้านหลัง
เพราะว่ามีราชาไฮรอสมากะทันหันทำให้เธอลืมเจ้าหมาสิงต้นไม้ไปเสียสนิท แต่พอมองกลับไปแล้วเด็กหญิงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ที่ต้นบ๊วยนั้น...ไร้เงาของสิ่งมีชีวิต
เด็กหญิงรีบหันหน้ากลับทันควัน
แขนที่โอบรอบคอของบิดาสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าสิ่งที่ตนคุยอยู่เป็นพักใหญ่ๆ
นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเขามองเห็นกัน
มีหลายสิ่งที่โอฟีเรียกลัว
แน่นอนว่ารวมพวกสิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้พวกนี้ด้วยเหมือนกัน....
เด็กหญิงได้แต่โอดครวญในใจ
ทั้งโลกนี้คงจะไม่มีใครโชคร้ายไปกว่าเธอแล้วล่ะ
นอกจากจะได้เกิดใหม่มาเป็นนางร้ายในเกมส์
BL ที่ผู้ชายกินกันเองแล้วยังจะต้องมาเห็นผีอีก...!
ฮือ...เฟียอยากจะบ้าตาย
ความคิดเห็น