คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : C H A P T E R 03 : องค์หญิงผู้ชื่นชอบดอกไม้
C H A P T E R 03
องค์หญิงผู้ชื่นชอบดอกไม้
“ว้าว สวยจังเลย!” โอฟีเรียยกมือขึ้นป้องแสงแดดพลางมองไปยังทุ่งดอกไม้สีฟ้าที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องนอน
ดวงตาสีมรกตของเธอประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีเมื่อมองไปยังดอกไม้ที่ขึ้นเต็มเนินเขา
เลยไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางเนินเขา
เด็กน้อยหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาพลางหัวเราะออกมาเสียงเบาด้วยความสุขใจ
หลังจากที่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ภายในปราสาทโดยที่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ออกนอกปราสาทเป็นเวลากว่าสามอาทิตย์เต็มๆ
ในที่สุดเธอก็สามารถสูดอากาศได้เต็มปอดกับเขาเสียที
โอฟีเรียทิ้งตัวลงนอนกลางทุ่งดอกไม้อย่างหมดมาดองค์หญิงที่เคยมีเมื่ออยู่ต่อหน้าข้ารับใช้
ชุดเดรสสีชมพูซากุระเข้ากับสีผมเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีฟ้าที่ร่วงโรยจากแรงกระแทกของเธอ
แขนของเด็กหญิงกางออกสุดความกว้าง แผ่ออกอย่างสบายอกสบายใจ
เด็กน้อยเหม่อมองท้องฟ้าที่ปลอดโปล่งกว่าเมื่อวานมากแล้วผลิรอยยิ้ม
เธอชอบแสงแดด สายลมที่พัดเย็นๆ ตลอดทั้งวันของที่นี่มาก แม้ว่าแดดจะเปรี้ยงตลอดทั้งวันแต่กลับไม่ร้อนจนแสบผิว
แถมยังมีสายลมโฉยตลอดวันทำให้อาการไม่ร้อนมาก ออกแนวอบอุ่นเบาๆ
“สบายจังเลย~ อยากให้ท่านพ่อได้สัมผัสอะไรแบบนี้บ้างจังเลยนะ” โอฟีเรียพลิกตัวครั้งหนึ่งพลางบ่นพึมพำออกมา
ก่อนจะต้องหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อนหากว่าพระบิดารู้เรื่องที่เธอลอบแอบออกจากปราสาทแบบนี้
คงจะไม่มีอารมณ์มาชมวิว มองดอกไม้แน่นอน
แค่คิดภาพว่าเขารู้
โอฟีเรียก็ขนลุกแล้ว
เธอเคยได้ยินมาว่าพวกผู้ชายใจดีเวลาโกรธนั้นเหมือนสิงโตคลั่ง
เขาจะกินหัวได้ทุกคนที่มีส่วนเอี่ยวด้วย
โดยเฉพาะตัวการของเรื่องที่จะได้รับเสียงบ่นอย่างต่อเนื่อง
และแน่นอนว่าไฮรอสนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย การันตีโดยโอฟีเรีย
ผู้ชายคนนั้นเขารักโอฟีเรียและตามใจอย่างสุดหัวใจ
เขาจะไม่มีทางรุนแรงกับเธอเด็ดขาด
แต่องค์หญิงก็คิดถึงท่าทางยามโกรธของเขาได้เลวร้ายที่สุด!
ยิ่งพวกเราเป็นเผ่ายักษ์ด้วยแล้ว
เวลาโกรธจะต้องน่ากลัวแน่นอน!
โอฟีเรียหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม
ยังไงก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
ตอนนี้เธอขอดื่มด่ำกับบรรยากาศนอกปราสาทให้สมใจก่อน
แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยคิดหาวิธีแก้ไขกันอีกทีละกัน...
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้
45 นาที
โอฟีเรียหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจสอบว่าตอนนี้หน้าห้องของเธอปลอดโปล่งโล่งคนสุดๆ
รึยัง
เมื่อเห็นว่าไม่มีแม้แต่เงาของพ่อบ้านฝาแฝดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดอยู่บนใบหน้าขององค์หญิงหนึ่งเดียวแห่งฟีโอน่า
เด็กน้อยปิดประตูห้องแล้วค่อยๆ ย่องเดินลงจากบันไดลงไปยังชั้นล่างสุดของปราสาท
หลังจากที่อยู่มาได้สักพักโอฟีเรียก็สามารถหาช่องทางหลบหนีสายตาของข้ารับใช้ได้ไม่ยาก
เพราะช่วงเวลาตั้งแต่หลังอาหารเช้าจนถึงก่อนเวลาน้ำชายามบ่ายนั้นเธอจะว่างตลอด
หากนับแล้วก็ราวๆ 3 – 4 ชั่วโมงได้ ซึ่งมันมากพอที่จะแอบๆ
ออกไปยังสถานที่ใกล้ๆ ปราสาท
โอฟีเรียหยุดยืนอยู่หลังเสาเพื่อหลบสาวใช้คนหนึ่งที่เดินผ่านมา
หัวคิ้วของเธอขมวดลงเล็กน้อยแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ
เมื่อหญิงรับใช้คนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่คิดจะสงสัยว่ามีใครสักคนแอบอยู่หลังเสา
เด็กหญิงกรุ่นคิดเล็กน้อยก็เดินไปยังประตูทางขวามือ
เมื่อมองจากระเบียงห้องแล้ว
เนินเขานั้นอยู่ค่อนไปทางใต้ของปราสาท
หากจะใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดแล้วก็คงจะไม่พ้นกำแพงฝั่งห้องนอนของเธอ
แต่ว่าแถวนั้นทหารเดินเวรยามค่อนข้างจะถี่
การจะแอบไปโดยไม่ให้ถูกจับได้นั้นค่อนข้างจะยากเอาการ
โอฟีเรียจึงเลือกที่จะไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทางอ้อม หากแต่ทหารยามเดินกันค่อนข้างน้อย
แน่นอนว่ามันคือฝั่งปีกซ้าย!
ฝั่งปีกซ้ายนั้นเป็นสถานที่สำหรับจัดงานและประกอบพิธีต่างๆ
รวมถึงเป็นห้องรับรองแขกด้วย หากว่าไม่มีงานพิธีอะไรก็จะไม่มีใครไปทางฝั่งนั้นมากนนัก
ทำให้ทางโล่งสะดวกสำหรับหลบหนีสุดๆ
โอฟีเรียเขย่งปลายเท้าแล้วก้าวไปตามทางเดินปูกระเบื้องอย่างแผ่วเบา
พยายามไม่ให้เกิดเสียงที่จะเรียกทหารยามที่กำลังเดินสวนกันไปมาให้มาจับเธอโยนกลับเข้าห้องนอนได้
พอสบโอกาสเด็กน้อยก็วิ่งแผล่วไปหลบอยู่ในพุ่มไม้ข้างกำแพงวัง
องค์หญิงแห่งฟีโอน่าย่อตัวลงเพื่อหลบสายตาทหารยาม
เธอเหลือบตามองกำแพงปราสาทที่สูงเกือบสิบเมตรแล้วเลียริมฝีปากอย่างเชื่องช้า
เธอไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถปีนกำแพงออกไปได้ แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มพอที่จะลองเสี่ยงดู
ในหนังสือหลายเล่มที่โอฟีเรียอ่านตั้งแต่มาอยู่ที่โลกนี้นั้นบอกว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์มีความโดดเด่นทางด้านพละกำลังมากกว่าเผ่าอื่นถึงสิบเท่า
แม้ว่าพวกเขาหลายส่วนจะไม่ค่อยฉลาดด้านการปกครองเท่าไหร่นัก แต่ก็เก่งกาจทางการทหารไม่น้อย
เมื่อบริเวณนี้ไร้เงาของทหารยามเด็กน้อยก็เปลี่ยนท่านั่ง
เธอย่อขาลงคล้ายกระต่ายที่เตรียมจะกระโดด ท่องเอาไว้ในหัวว่า ทำได้
โอฟีเรียพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบาครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะดีดตัวขึ้น
พื้นดินที่เคยเหยียบแตกออกดังเปรี๊ยะ มันยุบลงเป็นรอยฝ่าเท้าของเด็กน้อย
โอฟีเรียหวีดร้องเสียงเบาเมื่อร่างกายของเธอกำลังลอยอยู่ในอากาศเหนือกำแพงวังขึ้นมาเล็กน้อย
“ว้าว! โครตเจ๋งเลย!” เธอหลุดร้องด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่หมุนตัวลงพื้นได้โดยไร้รอยขีดข่วน
พละกำลังของยักษ์นั้นแจ่มอย่างที่ในหนังสือบอกเอาไว้จริงๆ ขนาดเธอเป็นแค่เด็กยังทำได้ขนาดนี้
พอโตขึ้นมากกว่านี้คงจะเจ๋งไม่น้อยเลย
โอฟีเรียหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
อย่างน้อยร่างนี้ก็ยังมีส่วนที่ดีนอกจากหน้าตา นับว่าสมกับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งนางร้ายสุดๆ
นัยน์ตาสีเขียวมรกตเปร่งประวิบวับยามกวาดมองยังสถานที่รอบตัว
ทุ่งกว้างยาวสีเขียวขจีคือสิ่งที่เธอเคยเห็นเพียงแค่จากหน้าต่างห้องเท่านั้น
สัมผัสอ่อนนุ่มของใบหญ้าและกลิ่นหอมจางๆ ของดินใต้ฝ่าเท้าเรียกรอยยิ้มสดใสจากเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี
สุดยอดเลย...
โอฟีเรียขยับเท้าก้าวไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของเนินเขาที่เห็นได้จากระเบียงห้องอย่างเชื่องช้า
ดื่มด่ำกับบรรยากาศปลอดโปล่งด้านนอกปราสาทให้เต็มอิ่ม เธอไม่รู้เลยว่าท่านพ่อจะรู้สึกตัวว่าเธอหนีออกมาจากปราสาทตอนไหน
เพราะฉะนั้นควรจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่าที่สุด
ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าที่โอฟีเรียจะมาถึงเนินเขา
เด็กน้อยหอบเบาๆ พลางปาดเหงื่อที่ไหลชุ่มใบหน้า หากไม่ได้ลมที่พัดอยู่ตลอดเข้าช่วย
ปานนี้บางทีโอฟีเรียอาจจะนอนสงบด้วยความเหนื่อยจากเดินที่ไหนสักทีในทุ่งกว้างนี่ก็ได้
“โห...” ริมฝีปากขององค์หญิงเผ่ายักษ์ห่อเป็นรูปตัวโอ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยยามที่เธอมองไปยังทุ่งดอกไม้สีฟ้าสดใสราวอัญมณี
เด็กน้อยวิ่งร่าเข้าไปกลางทุ่งราวกับเจอของเล่นชิ้นโปรด ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนอนโดยไม่กลัวว่าชุดจะเปื้อน
“สุดยอดเลย รู้สึกดีสุดๆ~”
เธอกลิ้งไปมาพลางสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีฟ้าที่เต็มรอบกาย
กลิ่นของมันหอมเย็นๆ เหมือนดอกมะลิลา หากแต่พอดมไประยะหนึ่งกลับให้ความรู้ผ่อนคลาย
คล้ายกับน้ำหอมที่เธอเคยใช้สมัยก่อนเวลานอนไม่ค่อยหลับ
แต่จะว่าไปแล้วพักนี้เธอเองก็ไม่ค่อยได้นอนจริงๆ
เพราะว่าดันอ่านหนังสือเพื่อศึกษาโลกใหม่มากเกินไปจนลืมที่จะนอนไปเสียสนิท
โอฟีเรียปิดปากหาวออกมาหวอดหนึ่ง เธอเหลือบตามองพระอาทิตย์ที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าครั้งหนึ่งแล้วปิดเปลือกตาลง
เหลือเวลาอีกต้องหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาน้ำชายามบ่าย
หากจะงีบสักสิบนาทีคงจะไม่เป็นอะไร
.
.
.
.
.
.
พระจันทร์เต็มดวงทอประกายแสงสีนวลออกมายามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
เด็กน้อยที่หลับตลอดหลายชั่วโมงลืมตาตื่นขึ้นมาพลางมอบรอบกายด้วยความมึนงง
ก่อนที่เธอจะตระหนักได้ว่าตนแอบหนีออกจากปราสาทและเผลองีบในทุ่งดอกไม้ที่เนินเขา
“แย่แล้ว!” โอฟีเรียลูบเปลือกตาพลางมองรอบกายที่มืดสนิท เด็กน้อยผุดกายลุกขึ้นยืน
คิดถึงท่าทางของท่านพ่อที่ตอนนี้คงจะส่งทหารตามหาเธอให้วุ่นแล้วคิ้วตก เธอรู้สึกกลัวท่าทางยามที่เขาโกรธก็จริง
หากแต่องค์หญิงน้อยก็รู้สึกดีที่ได้ออกมานอกปราสาทหลังงาม
ไหนๆ ก็จะต้องโดนโกรธอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นขออีกสักหน่อยก็แล้วกัน...
โอฟีเรียบัดกลีบดอกไม้ที่ติดอยู่บนกระโปรงลวกๆ
แล้วหันไปมองยังกลางเนินเขาที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่
ตรงนั้นเป็นที่เดียวที่สว่างเจิดจ้าไม่มืดมิดเหมือนตรงอื่น เด็กน้อยไม่เข้าใจนักว่าทำไม
แต่ก็ไม่ได้คิดมากให้ปวดสมอง ยังไงซะนี่ก็เป็นโลกแฟนตาซี ถ้าจะมีอะไรแปลกๆ
หน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
ชายกระโปรงสะบัดเบาๆ
ยามเด็กน้อยก้าวเดินไปตามทางเส้นเล็กที่มุ่งไปสู่กลางเนินเขา นัยน์ตากลมโตสีมรกตสะท้อนภาพต้นไม้เรืองแสงสว่างตรงหน้า
ภายในหัวของเธอกำลังเชื่อมโยงมันเข้ากับต้นบ๊วยที่เคยเห็นในรูปถ่าย
พอได้มาเห็นใกล้ๆ แล้ว
โอฟีเรียค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าต้นตรงหน้านี้คือ ต้นบ๊วย
ยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้มากเท่าไหร่แสงที่เห็นก็ยิ่งเปร่งประกาย
หากมองให้ดีแล้วไม่ใช่ว่าต้นไม้นั้นเรืองแสงได้ หากแต่ว่าตามกิ่งต่างๆ ของมันมีบางสิ่งที่คล้ายกับลูกบอลกลมเกลี้ยงสีเหลืองขนาดใหญ่กว่าหัวนิ้วก้อยเพียงเล็กน้อยเกาะอยู่เต็มไปหมด
โอฟีเรียผุดรอยยิ้ม เธอยื่นมือออกไปเพื่อจับเจ้าลูกบอลที่บางส่วนล่องลอยอยู่ในอากาศ
หากแต่ต้องชะงักมือเมื่อมีเสียงแปลกปลอมเอ่ยห้ามขึ้น
“อย่าไปแตะพวกมันจะดีกว่านะ
บุตรแห่งยักษ์”
------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้กำลังคึกค่ะ มีอารมณ์เขียนได้เรื่อยๆ ก็เลยสามารถลงให้อ่านได้บ่อย
ความคิดเห็น