ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #3 : C H A P T E R 02

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 62


    C H A P T E R 02

     

              นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหม่อมองท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างห้องนอนซึ่งชั้นที่สามของปราสาท ในมือขององค์หญิงหนึ่งเดียวแห่งฟีโอน่ามีหนังสือประวัติศาสตร์ซึ่งกล่าวถึงการก่อตั้งอาณาจักรเล่มหนาเปิดค้างเอาไว้ที่กึ่งกลางของเล่มพอดิบพอดี เส้นผมสีชมยาวจรดสะโพกสะบัดไปมาเบาๆ ในอากาศเมื่อสายลมพัดโชยเข้ามาจากทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้

     

                โอฟีเรียปิดเปลือกตารับลมที่พัดเข้ามาเล็กน้อย ก่อนจะสอดที่คั่นหนังสือเอาไว้ในระหว่างหน้าที่อ่านค้างและวางมันลงบนโต๊ะน้ำชาตัวเล็กสีขาวแล้วขยับกายเดินตรงไปยังระเบียงห้องที่ประตูถูกเปิดเอาไว้อย่างเชื่องช้าด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม

     

                แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาในช่วงสายของวันนั้นไม่แรงมากนักอาจจะเพราะว่าสองสามวันมานี้ฝนตกทำให้กลุ่มเมฆค่อนข้างหนา โอฟีเรียสูดอากาศสดชื่นที่หาจากในชาติก่อนไม่ได้เข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วเบนสายตามองไปยังเนินเขาที่อยู่ห่างจากปราสาทไปเล็กน้อย

     

                ตรงนั้นเป็นเนินเขาที่สูงขึ้นมา ตรงกลางเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ทีกำลังผลิดอกสวยงามราวกับรอให้ผู้คนไปชื่นชม รอบๆ นั้นเป็นทุ่งดอกไม้สีฟ้าสด มองจากที่ไกลๆ แล้วคล้ายกับอัญมณีไม่น้อยยามที่พวกมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เธอชอบมากเลยล่ะ

     

                อยากออกไปนอกปราสาทจังเลยน้า~” โอฟีเรียบ่นพึมพำเสียงเบา

     

                หลังจากวันนั้นที่ตื่นขึ้นมาก็ผ่านมาได้เกือบครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว บาดแผลบนศีรษะของเธอเองก็ดีขึ้นมากจนสามารถถอดผ้าพันแผลและตัดไหมได้แล้ว น่าเสียดายที่มันจะเป็นรอยแผลเป็นไปตลอดชีวิตไม่มีทางหาย อย่างมากก็แค่จางลงเท่านั้นเอง

     

                ซึ่งมันค่อนข้างจะส่งผลร้ายอย่างรุนแรงในเรื่องของการแต่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ภายในประเทศนี้นั้นไม่มีใครต้องการเจ้าสาวที่มีรอยแผลบนร่างกายหรอก ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงเพียงหนึ่งเดียวของประเทศก็เถอะ

     

                แน่นอนว่าโอฟีเรียไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ไม่มีใครอยากแต่งด้วยก็ไม่เห็นจะต้องแต่งเลย ซึ่งท่านพ่อเองก็ยังสนับสนุนความคิดนี้ เขาเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีที่โอฟีเรียบอกว่าจะไม่แต่งงาน

     

                พอมาคิดดูแล้ว เขาเป็นคุณพ่อที่หวงลูกสาวสุดๆ ไปเลยล่ะ

     

    แต่จะว่าไปแล้ว...ต้นตรงเนินนั่น ต้นบ๊วยใช่รึเปล่านะ?สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเฟียอยู่นั้น เธอได้เห็นต้นบ๊วยแค่จากในรูปภาพเท่านั้นเอง แม้ว่าจะมีการปลูกบ๊วยภายในประเทศแต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสไปดูให้เห็นกับตา เธอจึงไม่แน่ใจนักว่ามันจะใช่ต้นบ๊วยมั้ย

               

                จากที่ศึกมาพอสมควรนั้น ดอกบ๊วยนั้นมีหลากหลายสายพันธ์และมีหลายสีด้วยเช่นกัน ตั้งแต่สีแดง ชมพู และสีขาว ที่จีนนั้นจะเรียกว่า เหมย ส่วนที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า อุเมะ ผลของบ๊วยนั้นใช้ทำได้หลายอย่างตั้งแต่อาหารการกินไปยันเครื่องดื่มหลากหลายรสชาติ แถมดอกบ๊วยยังมีกลิ่นหวานๆ อีกด้วย

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของโอฟีเรียเข้า เธอเอ่ยอนุญาตเสียงไม่ดังนักโดยที่ไม่ต้องหันไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าในระยะเวลานี้จะมีใครมาเยือนยังห้องนี้บ้าง

     

                ขออนุญาตพะย่ะค่ะเสียงร้องขอดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออก โอฟีเรียผละตัวออกจากระเบียงหน้าต่างกลับเข้ามาภายในห้องนอนพร้อมกับยกยิ้มให้กับเด็กหนุ่มสองคนที่เข็นรถชาและของว่างสำหรับบ่ายนี้ด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขาว่า

     

                สวัสดียามบ่าย เมริม เมอริน

     

                เมริม ไฮล์ แฝดผู้พี่ไม่ได้ตอบขานคำทักทายของผู้เป็นนาย เขาเข็นรถเข้ามาใกล้โต๊ะน้ำชาของโอฟีเรียและจัดแจงวางของว่างและชากาใหม่ลงบนนั้นอย่างคล่องแคล่วสมกับเป็นเด็กที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อรับใช้ราชวงศ์ ผิดกับผู้เป็นน้องชายอย่างเมอรินที่ยิ้มร่า สไลด์ตัวไปหาองค์หญิงทันที

     

                สวัสดียามบ่ายครับ องค์หญิง~” ฝ่ามือขาวเนียนราวกับเกล็ดหิมะแรกถูกคว้าจับเอาไว้โดยฝีมือของคนหน้าทะเล้น เมอรินจุมพิตบนหลังมือของเด็กหญิงวัยห้าขวบเศษแล้วฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะร้องออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อสันมือของพี่ชายฟาดเข้าเต็มกลางกระหม่อม

     

                ทำบ้าอะไรเนี่ยเมริม...อั๊ก!” เด็กหนุ่มหันไปแหวใส่พี่ชายฝาแฝดตาเขียว แต่กลับถูกอีกฝ่ายกดหัวเสียต่ำแถมยังขัดขืนไม่ได้ เมริมผู้เป็นพี่ก้มหัวให้เจ้านายพร้อมกับเอ่ยขออภัยเสียงดัง

     

                โอฟีเรียอมยิ้มขำ เธอไม่ได้โกรธกับการกระทำของเมอรินเลยแม้แต่น้อย ออกจะขบขันเสียมากกว่าที่อีกฝ่ายดันมาอ่อยเด็กอายุห้าขวบแบบนี้

     

                แถมเธอยังค่อนข้างชอบผู้ชายขี้เล่น เลยไม่คิดจะถือสาท่าทางทะเล้นเกินควรของเขา

     

                ไม่เป็นอะไรหรอก เราไม่ได้คิดมากโอฟีเรียเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ แล้วก็ต่อไปนี้ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับเราหรอก ฟังแล้วมันจั๊กจี้หูชอบกล

     

                สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ชินกับการเป็นโอฟีเรียคือ คำราชาศัพท์

     

                อย่างไรก็ตาม ข้ารับใช้ทุกคนที่เห็นเธอนั้นปฏิบัติกับเด็กสาวราวกับว่าอีกฝ่ายคือเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ จะแตะต้องมากเกินไปก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะแปดเปื้อน หากแต่จะปล่อยปละละเลยนั้นก็ไม่ได้เช่นกัน เหมือนกับว่าถ้าคาดสายตาจากเธอไปสักสามวิ เธอจะกลายเป็นฟองอากาศแล้วลอยหายไปอย่างไรอย่างนั้น

     

                คนที่พูดกับเธอแบบปกติคือ ท่านพ่อและเมอริน มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นเอง

     

                “แต่ว่า...เมริมขมวดคิ้วมุ่น ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักกับรับสั่งขององค์หญิง หากแต่กลับพูดได้เพียงแค่สองคำฝ่ายนั้นก็แย้งขึ้นมาก่อน

     

                ไม่มีแต่ เพราะนี่คือคำสั่ง

     

                น้ำเสียงเด็ดขาดของโอฟีเรียที่แสดงถึงการเอาแต่ใจนั้นทำให้เมริมไม่สามารถกล่าวปฏิเสธได้ เขาก้มศีรษะรับคำสั่งของผู้เป็นนายเสียงเบาแล้วปล่อยมือจากหัวของน้องชาย ก่อนจะเอ่ยแนะนำของว่างและชาในวันนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

     

                วันนี้มีชาดอกมะลิครับกลิ่นของน้ำชาหอมฟุ้งทั่วห้องเมื่อเมริมเทมันลงในแก้วชา โอฟีเรียสูดกลิ่นของชาเบาๆ แล้วเสมองไปยังขนมในจานกลมใบเล็กด้วยความสนใจ จนนัยน์ตาทั้งสองข้างเป็นประกายวิบวับ

     

                เมริมมองสายตาขององค์หญิงแล้วรู้สึกเอ็นดูเล็กน้อย เขาเลื่อนจานมาตรงหน้าเธอ ส่วนของว่างนั้นเป็นไดฟุกุไส้สตรอว์เบอร์รี่ครับ

     

                โอฟีเรียร้องว้าวเบาๆ ก่อนจะหยิบช้อนแล้วตักขนมเข้าปากคำเล็กอย่างมีมารยาท สัมผัสหนุบหนับของเนื้อแป้งและความหวานของถั่วแดงกวนค่อนข้างจะถูกใจเธอไม่น้อย หากแต่ส่วนที่ชอบมากคงจะเป็นรสเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รี่ที่เข้ามาตัดกับความหวานของถั่วไม่ให้เลี่ยนมากเกินไป

     

                “อื้ม~ อร่อยจังเลย~” แก้มเนียนของโอฟีเรียขยับพองเข้าออกราวกับกระต่ายตัวเล็ก นัยน์ตาทั้งสองหยีลงจนคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวอย่างมีความสุข มือข้างหนึ่งของเธอทาบเอาไว้บนแก้ม เรียกความเอ็นดูจากพ่อบ้านฝาแฝดได้เป็นอย่างดี

     

                น่าระ...

     

                หากองค์หญิงชอบ ผมจะบอกกับพ่อครัวให้ครับเมริมกระแอมเสียงเบากลบคำพูดไม่ควรของน้องชายเสียมิด โอฟีเรียหันไปมองพ่อบ้านผู้เคร่งครัดของตนแล้วฉีกยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับสองสามครั้ง แล้วหันไปสนใจกับขนมว่างในวันนี้ของตนต่อ

     

                อยากให้วันเวลาอันสงบสุขแบบนี้อยู่ไปนานๆ จังเลย

     

                บางครั้งโอฟีเรียก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเธอนั้นจะต้องประสบพบกับชะตากรรมอันแสนจะโหดร้ายอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้ เธอเกือบจะลืมไปแล้วจริงๆ ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่เฟียที่ใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้อย่างอิสระ แต่เป็น โอฟีเรีย ฟีโอน่า ไรเซ็น องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของประเทศและนางร้ายตัวเอ้ในเกมที่เคยเล่น

     

                ใช่ ตอนนี้เธอไม่ใช่เฟียอีกแล้ว...

     

                นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงเล็กน้อย มองภาพสะท้อนของตนเองในแก้วชาพลางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง พ่นความกังวลทั้งหมดให้หายไปพร้อมกับลมหายใจในครั้งนี้

     

                อย่างไรก็ตาม...โอฟีเรียนั้นเป็นคนที่มองปัจจุบันมากกว่าอนาคต เธอจึงดื่มด่ำกับไดฟุกุแสนอร่อยโดยปัดความกังวลในอนาคตทิ้งไปได้อย่างรวดเร็ว

     

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------

    เขียนเรื่องนี้แล้วเพลินมากก เขียนเพลินกว่าเลรี่อีก ฮาาา

    เรื่องนี้เนื้อเรื่องจะเดินค่อนข้างช้า (ในความคิดเรา) 

    นางเอกจะเป็นพวกสนใจปัจจุบันมากกว่าอนาคต 

    ไม่ถูกจริตใครก็ขอโทษด้วยนะคะ ส่วนเรื่องพระเอกนั้น เดี๋ยวก็เจอค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×