คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : C H A P T E R 17
C H A P T E R 17
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงบนเตียงค่อยๆ หุบลงเมื่อประตูปิดไปแล้ว นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหม่อมองไปรอบห้องนอนของตัวเองอย่างครุ่นคิด ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดช่วงเวลานี้ฉายชัดขึ้นในความทรงจำ
ดูเหมือนว่าเธอจะไป ‘ตก’ ตัวละครสำคัญมาได้คนหนึ่ง...
คิดได้แบบนั้นแล้วเธอก็รู้สึกอยากจะขยุ้มหัวของตัวเองสักหลายๆ ทีหน่อย เผื่อความคิดฟุ้งซ่านในหัวจะกระจายออกไปพร้อมกับอากาศที่ไหลเวียนอยู่ภายในห้องตอนนี้
วันนี้โอฟีเรียค้นพบแล้วว่า ‘ยิ่งหนียิ่งเจอ’ คือสถานการณ์แบบไหน
ไม่ว่าองค์หญิงน้อยจะหลบหลีกพวกตัวเองของเกมนี้ขนาดไหนก็ยังต้องมาพานพบประจบเจอหน้ากันอยู่เรื่อยไป วางแผนเอาไว้เสียมากมายว่าจะหนีเจ้าพวกตัวปัญหาตัวน้อยเหล่านั้นให้พ้นทางแล้วใช้ชีวิตเป็นเจ้าหญิงน้อยของประเทศต่อไปอย่างสบายใจ สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่า
เพราะเด็กผู้ชายแสนจะน่ารักที่เธอช่วยเหลือเอาไว้คนนั้น
ฮิคาริคนนั้น...ดันเป็นนายเอกของเกม!
นี่มันแย่ยิ่งกว่าเธอได้เป็นคู่หมั้นของเจ้าเด็กแฝดนรกนั่นอีก!
ใครจะไปคิดว่าเด็กมนุษย์ตัวน้อยแสนอ่อนแอจะเป็นนายเอกเกมกันเล่า ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะคลับคล้ายคลับคลากับตัวเองในเกมก็เถอะ แต่ปกติเขาไม่มีใครจำหน้าตาตัวเอกหรอกนะ เพราะส่วนใหญ่ก็จะจำเฉพาะเป้าหมายการจีบเท่านั้นแหละ!
อ่า โอฟีเรียไม่คิดจริงๆ ว่านายเอกของเกมจะไม่มีอัตลักษณ์ของเผ่าพันธุ์พ่ออยู่เลยสักนิดเดียว ก็จริงว่าเหมือนในเกมจะบอกเอาไว้ว่านายเอกเป็นลูกผสมที่เหมือนจะเป็นมนุษย์เสียมากกว่า แต่นี่มันไม่ใช่เกมนี่นา ถ้าเกิดว่าตัวละครจะแตกต่างสักหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาใช่มั้ยล่ะ
ยอมรับจากใจจริงๆ ว่าเธอคิดน้อยไปหน่อย ทั้งๆ ที่ถ้าเกิดวิเคราะห์ดูจริงๆ แล้วฮิคาริก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ หากว่าเธอเป็นคนที่คิดมากกว่านี้หน่อยก็คงจะพอเดาได้ตั้งนานแล้วว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับเจ้าแฝดสองสีนั่น
“อ้า ทำไมรู้สึกว่าชีวิตจะไม่ค่อยสงบสุขยังไงก็ไม่รู้” โอฟีเรียไหลตัวนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าห่อเหี่ยว เธอตัดสินใจไปแล้วว่าจะเป็นมิตรกับตัวเอก เพราะตอนนี้เธอหนีไม่พ้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องดึงคนที่ทรงพลังที่สุดในเรื่องนี้มาอยู่กับตัวเอง
ถ้าเกิดว่าเธอกับฮิคาริเป็นเพื่อนกันได้ ถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าแฝดสองสีนั่นอยากจะกระซวกท้องเธอให้เป็นรูก็คงจะต้องมองหน้าฮิคาริก่อนจะทำ ยังไงก็ต้องเกรงใจต่อสถานะ ‘เพื่อนเพียงหนึ่งเดียว’ ของฮิคาริที่ประดับเอาไว้บนหัวของเธอด้วย
โอ้ ส่วนเรื่องคารอสเธอไม่กังวลสักนิด ถ้าเกิดเขารักชอบอะไรฮิคาริขึ้นมา เธอก็แค่สนับสนุนในฐานะเจ้านายที่ดีก็พอแล้ว ไม่เข้าไปขัดขวาง ไม่ทำตัวเป็นก้างขวางคอ เท่านี้ก็เพียงพอที่เธอจะรอดจุดจบอันน่าอนาถใจในรูทเขาได้แล้วล่ะ
แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเอาไว้ ภายในใจของเธอก็ยังรู้สึกหวาดระแวงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
เพราะเธอรู้ ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน
เธอกลัวว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างจะจบลงเหมือนกับในเกม
โอฟีเรียกลัวที่จะต้องตาย...
ต่อให้เธอเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เลย ทุกความรู้สึกในตอนนั้นยังคงตามหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา
องค์หญิงน้อยหลับตาขณะผ่อนลมหายใจออกของตัวเอง พยายามปัดภาพความทรงจำที่ฉายวาบเข้ามาภายในหัวสมองของตัวเองไปให้พ้นทาง ปิดกั้นเสียงกรีดร้องของ ‘โอฟีเรีย’ ที่ดังลั่นอยู่ภายในสมองของตัวเอง
ไม่เป็นอะไรหรอก ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน
ใช่ เธอจะไม่เป็นไร เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคุณพ่อและทุกคนอยู่
ไม่เป็นอะไร...
.
.
.
.
.
อาการป่วยของโอฟีเรียหายในอีกสองวันต่อมา
ไฮรอสยอมรับว่ายาของแม่มดได้พ้นดีมากจริงๆ เพียงแค่ให้ลูกกินไม่ครั้งก็หายแล้ว ราวกับว่าก่อนหน้านี้โอฟีเรียไม่ได้เป็นอะไร แต่ถึงแม้ว่ายานี้จะรักษาโอฟีเรียจนหายดีเป็นปลิดทิ้ง ไฮรอสก็ยังไม่ละความคิดว่ายัยแม่มดนั่นไม่สมควรเป็นแม่คน
ผู้หญิงคนนั้นไม่จำเป็นต่อโอฟีเรีย ดังนั้น เขาจะไม่บอกเรื่องของรีรัสให้ลูกฟัง
ชายหนุ่มรู้ดีว่าการกระทำของเขาช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน ต่อให้รีรัสจะแย่แค่ไหนเขาก็ควรบอกกล่าวแก่โอฟีเรียสักคำ เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจจะทนเห็นลูกเสียใจได้
เขาไม่อยากให้ลูกรู้ว่าตัวเองเกิดมาจากความผิดพลาดและไม่ได้เป็นที่ต้องการ
แน่นอนว่า...ตอนแรกเขาก็ไม่ต้องการด้วยเช่นกัน
“ท่านพ่อคะ?” เสียงหวานที่เอ่ยเรียกเขาฉุดเรียกสติที่ปลิวกลับไปยังห้วงแห่งความทรงจำกลับมา ชายหนุ่มขยับนัยน์ตามองลูกสาวตัวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะตัวเล็กในอุทยานหลวงแล้วครี่รอยยิ้มกว้าง ไฮรอสขยับตัวเล็กน้อยแล้วตอบลูกสาวกลับไป
“ว่าไงคะ โอฟีเรีย”
องค์หญิงหยัดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าเล็ก แก้มกลมของเธอมีสีเลือดฝาดผิดกับเมื่อวานลิบลับชวนให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกอุ่นใจ “ไม่มีอะไรค่ะ พอดีหนูเห็นท่านพ่อเหม่อก็เลยเรียกเฉยๆ” เธอว่าเอื้อมมือไปหยิบขนมที่วางเอาไว้บนโต๊ะกิน
นัยน์ตากลมสีเขียวมรกตเหมือนกับผู้เป็นพ่อช้อนสายตามองพลางเอียงใบหน้า “แล้วท่านพ่อมีเรื่องอะไรให้คิดงั้นเหรอคะ หรือว่าช่วงนี้งานยุ่ง...หรือว่ามีปัญหากับพวกนั้น” ท้ายประโยคเด็กน้อยเบาเสียงลงจนแทบจะเป็นกระซิบ
ไฮรอสกะพริบตามองลูกสาวตัวน้อยของตนเองแล้วก็หลุดหัวเราะ ‘พวกนั้น’ ที่โอฟีเรียว่าก็คงจะเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ที่พักนี้โยนงานมากมายมหาศาลมาให้เขาทำ โดยเฉพาะงานไร้ประโยชน์จำพวกสรรหาผู้หญิงส่งเข้ามาในวัง
พอโอฟีเรียป่วยหนักและทำท่าจะไม่ดีขึ้นเลย เจ้าพวกนั้นก็คิดอยากจะส่งบุตรสาวหลานสาวของตัวเองเข้ามาเพื่อผลิตทายาท แถมพากันอ้างเสียสารพัดอย่าง ตั้งแต่โอฟีเรียเป็นองค์หญิง ไม่เหมาะที่ครองราชน์ในอนาคตบ้างล่ะ หรือโอฟีเรียป่วยครั้งนี้อาจจะไม่รอด ต้องรีบเตรียมทายาทคนต่อไปเพื่อที่บัลลังค์จะได้มั่นคง
แต่ละอย่างที่ฟังมาก็ทำให้เขาอยากถลกหนังพวกมันมาทำพรมเช็ดเท้าแล้ว กล้าดียังไงถึงได้มาสาปแช่งลูกสาวของเขากัน
ถ้าหากเป็นเขาเมื่อก่อนหน้านี้ก็คงจะทำแบบนั้นไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นพ่อที่มีลูกสาว เขาจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับโอฟีเรีย จะทำตัวบ้าเลือดที่เอะอะก็เชือดทิ้งแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้น ระหว่างที่โอฟีเรียป่วยเขาก็เลยได้สถาปนาตัวเองเป็นพ่อสื่อรายใหญ่ให้กับตระกูลขุนนางว่างงาน
ในเมื่ออยากได้งานมงคลกันมากนัก ได้เลย พระราชาจัดให้!
หลังจากประทานสมรสไปสามสี่คู่ จิ้งจอกหน้าโง่พวกนั้นก็เลยพากันเก็บหางซ่อนเขี้ยวเสียมิด งานบนโต๊ะตอนนี้ก็เลยลดลงจนสามารถหาเวลามานั่งเล่นเป็นเพื่อนโอฟีเรียได้ แถมยังเป็นการฉลองเล็กๆ ที่โอฟีเรียหายป่วยด้วย
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ คุณพ่อแค่คิดว่าไหนๆ โอฟีเรียก็หายป่วยแล้ว เราจะฉลองกันที่ไหนดีเท่านั้นเอง”
“จำเป็นต้องฉลองด้วยเหรอคะ หนูว่าเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้วนะ” โอฟีเรียเลิกคิ้ว ปกติเธอก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบงานรื่นเริงอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว พอหายป่วยก็เลยไม่มีความคิดที่จะจัดงานฉลองอะไรพวกนี้เลยสักนิดเดียว
ชายหนุ่มมองหน้าลูกสาวแล้วส่ายหัวเบาๆ “ไม่ได้สิคะ การจัดงานฉลองเองนอกจากจะเป็นการแสดงความยินดีที่โอฟีเรียหายป่วยแล้ว ยังเป็นการประกาศให้ประชาชนได้รู้ด้วยว่าโอฟีเรียของพ่อแข็งแรงมาก”
องค์หญิงน้อยมุ่ยหน้าลงเล็กน้อยระหว่างยกแก้วน้ำชาของตัวเองขึ้นดื่ม เอาเถอะ เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วกับการจัดงานเฉลิงฉลองพวกนี้ ถ้าเกิดว่าท่านพ่อพอใจจะจัดก็ปล่อยให้ท่านทำไปเถอะ เพื่อความสบายใจของท่านล่ะนะ
“ก็ได้ค่ะ แต่ไม่ต้องใหญ่มากได้มั้ยคะ ขอแบบเป็นงานเล็กๆ หน่อย” คิดถึงพวกงานเลี้ยงของราชวงศ์ในอนิเมะหรือหนังที่เคยเห็นมาแล้วเธอก็ขนลุกไปทั้งตัว
“เอาตามที่โอฟีเรียว่าก็ได้ค่ะ”
พ่อกับลูกสาวคุยเล่นกันอีกสักพักหนึ่ง คิมสันก็วิ่งหอบมาตามไฮรอสด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว ดูเหมือนว่าจะมีงานเข้ามากระทันหัน ราชาแห่งยักษ์งอแงเล็กน้อยที่ถูกขัดขวางการใช้เวลากับลูกสาวสุดที่รัก แต่สุดท้ายก็ต้องไปทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้
ช่างเป็นคุณพ่อที่งานยุ่งจริงๆ เลย
โอฟีเรียโบกมือลาคุณพ่อที่ทำหน้าเศร้า คิ้วตกอย่างน่าสงสารด้วยรอยยิ้มหวาน แถมยังบอกอีกว่าวันนี้จะไปนอนเป็นเพื่อนท่านพ่อที่ห้อง ประโยคนั้นทำเอาไฮรอสหน้าบาน พร้อมจะทำงานบนโต๊ะโดยที่คิมสันไม่จำเป็นต้องขอร้องสักคำ
เมื่อไร้เงาของท่านพ่อไปแล้ว องค์หญิงน้อยก็เอนกายพิงพนักของเก้าอี้สานตัวน้อยที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษอย่างเกียจคร้าน เพราะว่าร่างกายเพิ่งจะหายป่วยมาเมื่อไม่นานนี้ โอฟีเรียจึงรู้สึกเพลียๆ อยู่เล็กน้อย แต่เธอก็เบื่อเกินกว่าจะนอนแหง็กอยู่ในห้อง
“คารอส เราอยากไปเดินในอุทยานสักหน่อย” เธอว่าพร้อมกับกระโดดลงจากเก้าอี้ วันนี้พ่อบ้านฝาแฝดของเธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเหมือนปกติ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหน แต่ดูเหมือนว่าจะมีงานพิเศษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้างกายของเธอจึงมีแค่คารอสคนเดียว
เด็กหนุ่มที่ตอนแรกทำตัวกลมกลืนไปกับต้นไม้ด้านหลังขยับกายมายืนข้างเจ้านายตัวเล็ก นัยน์ตาที่ปกติมักจะเลื่อนลอยเสมอขยับมองไปยังโอฟีเรีย “งั้นกระหม่อมจะเตรียมตัว” เขาเอ่ยพร้อมกับย่อกายลง เตรียมอุ้มเจ้านายเช่นเคย
โอฟีเรียส่ายหน้า ยกมือห้ามเขาเอาไว้
“ไม่ต้อง เราแค่อยากเดินเล่นคนเดียว นายไม่จำเป็นต้องตามเราไป”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แววตาเข้มขึ้น “องค์หญิง กระหม่อมเป็นองครักษ์ของพระองค์พะย่ะค่ะ”
“เรารู้แล้วว่านายเป็นองครักษ์ของเรา แต่วันนี้เราแค่อยากเดินเล่นคนเดียว แบบที่ไม่มีใครเดินตามหลัง” องค์หญิงน้อยกล่าวแล้วถอนหายใจ มองดวงตาเฉียบคอมของคารอสแล้วก็ได้แต่ยู่ปาก “ก็ได้ เข้าใจแล้ว ตามมาก็ได้ แต่ว่าต้องตามมาห่างๆ นะ อย่าให้เรารู้นะว่านายตามเราอยู่”
พอตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอฟีเรียก็เดินไปยังอุทยานหลวงอีกแห่งที่อยู่ติดกับป่าด้านหลังวัง อุทยานส่วนนั้นไม่ค่อยมีคนไปเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะว่าหากเดินเลยจากอุทยานก็จะกลายเป็นป่าใหญ่ โอฟีเรียเองก็ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปสำรวจป่านั้นสักครั้ง เพราะว่าท่านพ่อบอกว่ามันอันตราย
ซึ่งความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาในโลกนี้ เธอก็ไม่เคยออกจากรั้วพระราชวังด้วยซ้ำ
อ้อ ไม่นับตอนหนีออกไปนะ
แถมป่านี้มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก เพราะว่าสนามฝึกราชองครักษ์หลวงก็อยู่ใกล้ๆ นี้
“อา บรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน” องค์หญิงน้อยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เธอได้กลิ่นชื้นของป่า กลิ่นของดินและต้นไม้ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น “เหมือนไม่ได้ออกมาข้างนอกหลายปีเลย”
การอุดอยู่แต่ในห้องนอนด้วยสภาพปางตายอยู่หลายวันทำเอาเธอแทบจะเฉาตาย แถมวันๆ หนึ่งนอกจากนอนทุกข์ทรมาณอยู่บนเตียงแล้วเธอก็แทบจะไม่ได้ทำอะไร มีอาการดีขึ้นมาเมื่อวันก่อนนู้นที่พอจะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหรือเดินรอบๆ ห้องได้บ้างเล็กน้อย
แค่ย้อนกลับไปคิดเธอก็ไม่อยากจะป่วยอีกแล้ว
โอฟีเรียยืดกายบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าที่เกาะตามกลามเนื้อของตัวเองจนสุดแรง การป่วยไข้รอบนี้ทำเอาเธอเมื่อยตัวไปหมด
สภาพของอุทยานแห่งนี้เงียบร้างไร้ผู้คน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นคนแม้สักคนเดียว กระทั่งข้ารับใช้ก็ไม่ปรากฎตัวอยู่แถวนี้ด้วยซ้ำ องค์หญิงน้อยมองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบผู้ใด ตอนนั้นเองที่บนใบหน้าเล็กปรากฎรอยยิ้มกว้าง แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าคารอสคงจะแอบตามเธออยู่แบบเงียบๆ ตามคำสั่ง แต่ตราบใดที่ไม่เห็นตัวเธอก็จะสรุปว่าตอนนี้ทางสะดวก ทำอะไรไปคงจะไม่มีใครเห็น
คิดได้ดังนั้นแล้วโอฟีเรียก็ทิ้งกายลงนอนบนพื้นหญ้านุ่มๆ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากคนสวน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญ้าและดินลอยเข้ามาในตอนที่เธอสูดลมหายใจเข้า ใบหน้ากลมอิ่มเอมไปด้วยความสุข ร่างในชุดเดรสสีชมพูสดใสกลิ้งไปมาอย่างสนุกสนาน
การได้กลิ้งบนพื้นหญ้าในวันที่อากาศดีและเต็มไปด้วยลมเย็นๆ แบบนี้ช่างเยียวยาจิตใจของเธอได้ดีมากจริงๆ แถมยังช่วยฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนล้าของเธอด้วย
ถึงแม้ว่าโดยเผ่าพันธุ์แล้วโอฟีเรียจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยความรวดเร็ว แต่ทางด้านจิตใจก็ยังคงเหนื่อยล้าอยู่ แถมการป่วยรอบนี้ยังเกี่ยวกับพลังเวทมนต์ผิดปกติอีกต่างหาก แม้ว่าภายนอกจะดูปกติไม่มีอะไร แต่อวัยวะภายในก็ค่อนข้างบอบช้ำอยู่บ้าง
เด็กหญิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างสบายใจ นัยน์ตากลมสีมรกตมองฟ้าครามที่มีเมฆลอยอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย การได้นอนบนพื้นหญ้าใต้ท้องฟ้าเช่นนี้ทำเอาเธอย้อนคิดไปถึงเรื่องในชาติก่อน สมัยที่เธอยังคงเป็นเฟียอยู่
ตอนนั้นเอง...เธอก็ชอบนอนแบบนี้เหมือนกัน
สูดกลิ่นอายของดินและหญ้า เงยหน้ามองท้องห้าสดใส ปล่อยจิตใจไปกับสายลมที่พัดผ่านอยู่รอบกาย
ระหว่างที่โอฟีเรียกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบกาย สายลมที่แต่แรกพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยก็พลันรุนแรงขึ้นมา เสียงเสียดสีกันของใบไม้จากป่าด้านหลังชวนให้รู้สึกหวาดระแวง เด็กหญิงผุดกายลุกขึ้นจากพื้นหญ้าขึ้นทันควัน ริมฝีปากอิ่มขยับเรียกองครักษ์ของตนทันที
“คารอส!”
แต่แม้ว่าเธอจะเปล่งเสียงออกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันการ...
จู่ๆ ท้องฟ้าสดใสก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำสนิท สายลมที่พัดอยู่รอบกายของเธอพลันหยุดนิ่งราวกับถูกควบคุมด้วยห้วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่บรรยากาศอันแสนสดใส โอฟีเรียกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กวาดสายตามองรอบกายด้วยความไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมจู่ๆ ทุกอย่างก็นิ่งไปแบบนี้ ราวกับว่า...
“ถูกหยุดเวลาเอาไว้...” เด็กหญิงครางออกมาเสียงเบา
“ใช่แล้วล่ะองค์หญิงน้อย” คำพูดที่แผ่วเบาขององค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของประเทศฟีโอเรียถูกตอบกลับมาด้วยเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมองไปยังต้นเสียงที่ดังมาจากด้านหลังก็พบว่าเป็นผู้หญิงเจ้าของเรือนร่างสูงได้สัดส่วน ใบหน้าเฉียบคมของหล่อนมีรอยยิ้มเคลือบเอาไว้ นัยน์ตาแสนโดดเด่นหรี่ลงเล็กน้อย
แม้ว่าโอฟีเรียจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่ออร่าที่เปล่งออกมารอบตัวของเธอก็สามารถบอกได้ถึงสถานะในตัวเอง
แม่มด...
ผู้ที่มีพลังเวทมนต์เหลือล้น เต็มไปด้วยคาถาอาคม ผู้ที่ใช้เวทมนต์ได้เก่งกาจที่สุดในทุกๆ เผ่าพันธุ์
ทำไมแม่มดถึงได้มาอยู่ที่นี่กัน ในพระราชวัง
โอฟีเรียตกใจจนเกือบจะคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ เธอไม่เคยรับรู้ได้ถึงความเป็นอันตรายอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรกที่โอฟีเรียได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า ‘อันตราย’ ตัวตนทรงอำนาจที่สามารถฆ่าเธอได้โดยใช้แค่นิ้วเดียว
“โอ้ ไม่ต้องตกใจไปหรอก ฉันไม่ทำอันตรายอะไรกับเธอหรอกนะ” หญิงสาวคนนั้นว่าพร้อมขยับมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูละมุนกว่าเดิมเล็กน้อย เธอก้าวขาพาร่างกายภายใต้ชุดเดรสยาวผ่าข้างจนถึงหัวเข่ามาหาโอฟีเรียอย่างเชื่องช้า เมื่อมาถึงตรงหน้าเด็กน้อย เธอก็ย่อกายลง ยกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าอิ่มอย่างอ่อนโยน “เชื่อฉันสิ บนโลกใบนี้ ฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่คิดจะทำร้ายเธอ”
โอฟีเรียทำอะไรไม่ถูก ภายในห้วงจิตใจของเธอรับรู้ได้ถึงอันตรายจากผู้หญิงคนนี้และกรีดร้องว่าให้เธอหนีไปห่าง แต่อีกใจหนึ่ง...กลับรู้สึกโหยหาอย่างน่าประหลาด อยากจะสัมผัสความอบอุ่นจากฝ่ามือที่แนบอยู่บนแก้มนี้ให้นานสักหน่อย
“โตขึ้นมาเลยนะ โตขึ้นมากจริงๆ” หญิงสาวไล้ฝ่ามือไปตามกรอบหน้าเล็กที่นุ่มนิ่มและเต็มไปด้วยไขมันเด็ก นัยน์ตากลมสีมรกตและเส้นผมสีซากุระของเด็กหญิงสะท้อนอยู่ภายแก้วตาสีน้ำเงินเข้ม แม้ว่าสีผมและสีตาจะเหมือนกับผู้เป็นพระบิดา แต่จมูกและรูปทรงของนัยน์ตากลับคล้ายเธอเหลือเกิน
โอฟีเรีย...โอฟีเรียตัวน้อย
“คุณ...” โอฟีเรียช้อนสายตามองแม่มดสาวตรงหน้าตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดหญิงนางนี้ถึงได้ทำราวกับรู้จักเธอมานาน
รีรัสสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วผุดกายลุกขึ้นยืน นัยน์ตาคมเหลือบมองไปยังทิศทางพระราชวังอย่างดุร้าย หญิงสาวหันไปมององค์หญิงน้อยที่นั่งทำหน้างงผสมกับหวาดระแวงอยู่บนพื้นด้วยรอยยิ้ม ปลายนิ้วชี้ยกขึ้นจิ้มบนหน้าผากเนียนเบาๆ
“ดูเหมือนจะมีตัวปัญหาเข้ามายุ่งล่ะ” ปลายนิ้วชี้ของหญิงสาวปรากฏแสงสีเหลืองนวลวงเล็กๆ ขึ้นมา ตอนที่แสงนั้นสัมผัสบนผิวบางของโอฟีเรียเธอก็พลันรู้สึกมึนงงขึ้นมา ภาพตรงหน้าพร่าเบลอราวกับว่ามองผ่านม่านน้ำ
“นี่คุณ...” องค์หญิงน้อยพยายามคงสติเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนเธอก็ไม่สามารถยื้อสติสุดท้ายได้ เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆ ปิดอย่างเชื่องช้า ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนจะถูกความมืดกลืนกินก็คือรอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าของหญิงสาว
“ไม่เป็นไรนะ โอฟีเรีย” รีรัสมองเด็กหญิงที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนพื้นแล้วจึงค่อยอุ้มร่างเล็กขึ้นมา ประคองแนบกับหน้าอกอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมยาวที่พันกันเล็กน้อยของโอฟีเรีย “จากนี้ไปฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง”
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวลาสั้นก็ตาม...
หายไปนานมากเลย แฮ่ๆ
แบบว่าพอไม่ได้เขียนนิยายนานมาก พอกลับมาเขียนก็เลยเขียนยากมากเลยค่ะ
ถ้าหากว่าตรงไหนไม่ดีหรืออ่านแล้วขัดใจก็อย่าโกรธกันเลยนะคะ ต่อไปจะพยายามปรับปรุงค่ะ
เปิดตัวคุณแม่อย่างเป็นทางการแล้วค่ะ และก็เข้าช่วงส่วนกลางของเนื้อเรื่องเฟสแรกแล้วค่ะ เย้!!
ยังไงก็ฝากติดตาม ติชมกันด้วยนะคะ แต่อย่าเเรงนะ เราจิตใจบอบบางอ่ะ
ความคิดเห็น