ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #17 : C H A P T E R 16 : เพื่อนคนแรกขององค์หญิง(?)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 64


    C H A P T E R 16

    เพื่อนคนแรกขององค์หญิง(?)

     

            ฮิคาริไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือที่กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างอมนุษย์และมนุษย์อย่างยาวนานหลายพันปีด้วยใบหน้าราบเรียบ นัยน์ตากลมโตกวาดมองตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วน เด็กชายเพิ่งจะค้นพบได้ไม่กี่วันว่าเขาค่อนข้างชอบการสู้รบอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่ออ่านไปถึงประวัติการออกรบอย่างยิ่งใหญ่ของแม่ทัพนายพล เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ

     

                ศึกที่ราชาไฮรอสเป็นผู้นำทัพ เนื้อหาส่วนนั้นตราตรึงใจเขามากจริงๆ

     

                ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา ประเทศนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้มีความสามารถ เหนือสิ่งอื่นใดคือกษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนเต็มไปด้วยความเก่งกล้าทางด้านใดด้านหนึ่งเสมอ อย่างราชาไฮรอสก็ถนัดการสู้รบและการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับเวทมนต์ ในยุคการปกครองปัจจุบันประเทศฟีโอน่านับได้ว่าเป็นช่วงยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็ว่าได้

               

                อย่างไรก็ตาม...ประเทศนี้ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก

     

                อย่างเช่นความเหลื่อมล้ำทางฐานะของผู้คน

     

                ยกตัวอย่างได้ง่ายๆ ก็อย่างเช่นพวกชนชั้นสูงกับชนชั้นรากหญ้า ในอดีตเคยเป็นมาอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นมาแบบนั้น

     

                เด็กชายถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เรื่องบางอย่างยากจะแก้ไขภายในเวลาไม่กี่ปี เขาหวังว่าในอนาคตราชาไฮรอสจะสามารถแก้ไขในเรื่องนี้ได้ หรือไม่...

     

                ฮิคาริคิดไปถึงเจ้าของรอยยิ้มมั่นใจและนัยน์ตาสีมรกตที่ดึงดูดเขาคู่นั้น โอฟีเรียเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เห็นได้จากการที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันมากมาย ถ้าหากไม่ใช่คนรักความยุติธรรม เขาก็ไม่รู้ว่าจะคิดไปในทางไหน

     

                โอฟีเรียไม่จำเป็นจะต้องสร้างเรื่องมาช่วยเขาเพื่อเป็นบุณคุณอะไร อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงหนึ่งเดียวของประเทศ มีอะไรบ้างที่ไม่เคยได้ ไม่เคยสัมผัส จะต้องมาสนใจสานสัมพันธ์อะไรกับลูกนอกสมรสที่ครอบครัวไม่ได้ใยดีแบบเขากัน

     

                ใช่ ฮิคาริคิดถูก โอฟีเรียทำไปเพียงเพราะเกลียดการรังแกคนอ่อนแอเท่านั้น แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่องค์หญิงน้อยจะรู้ตัวตนของเขา

     

                โอ้ สวัสดีขอรับ คุณชายฮิคาริ บรรณารักษ์ชราเจ้าของแว่นตาทรงกลมและดวงตายับย่นเอ่ยขึ้น เขาเดินออกมาจากหลังชั้นหนังสือ ในมือมีหนังสือเล่มหนาอยู่สามสี่เล่ม วันนี้ก็ยังคงอ่านหนังสืออย่างขยันขันแข็ง

     

                ฮิคาริมองหน้าชายผู้ดูแลห้องสมุดหลวงนาม เมคิล พลางยิ้มทักทาย สวัสดีครับ คุณเมคิล เขาว่าพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องสมุดที่ร้างผู้คนแบบผิดปกติ วันนี้คนเงียบมากเลยนะครับ

     

                ขอรับ วันนี้ทุกคนไปเยี่ยมองค์หญิงกันน่ะขอรับ ชายชรายิ้มพราย แบกหนังสือหายไปหลังเคาร์เตอร์อยู่สักพักก็เดินกลับมา

     

                ลมหายใจของฮิคาริสะดุด

     

                องค์หญิงไม่สบายงั้นเหรอครับ?

     

                เมคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลว่าอาการป่วยของโอฟีเรียใช่สิ่งที่ควรพูดหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมา อย่างไรเรื่องนี้คนในวังก็รู้กันทั่วอยู่แล้ว แถมมันก็ไม่ใช่โรคแปลกหรือหายากอะไร เป็นอาการปกติที่สามารถพบได้ในยักษ์จึงพยักหน้าตอบ

     

                ได้ยินว่าพลังเวทมนต์ปะทุน่ะขอรับ เขาเดินไปตรงชั้นหนังสือพลางกวาดสายตามอง เมื่อเห็นเล่มไหนไม่สมบูรณ์หรือมีรอยถลอกก็จะหยิบออกมา แต่องค์หญิงมีพลังเวทมนต์มากกว่ายักษ์ปกติ การปะทุก็เลยรุนแรงเป็นอย่างมาก ข้าได้ยินมาจากพวกสาวใช้ว่าเมื่อวันก่อนอาการขององค์หญิงทรุดลงจนน่ากลัว หากว่าฝ่าบาทไม่ได้ยามา...

     

                แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดต่อ ฮิคาริก็พอจะรู้อยู่บ้าง

     

                เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่หลายวันมานี้เขาก็อยู่ภายในรั้วราชวังตลอด เขาเพิ่งจะรู้สึกว่านิสัยไม่ชอบใส่ใจรอบข้างเป็นปัญหาก็วันนี้ ถ้าหากเขารู้ข่าวเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะไปเยี่ยมโอฟีเรียบ้างแล้วเหมือนกัน

     

                ขอบคุณที่บอกนะครับ คุณเมคิล ฮิคาริหยิบที่คั่นหนังสือมาสอดเอาไว้แล้วปิดหนังสือที่ตนอ่านอยู่ เขาวางมันลงบนชั้นหนังสือแล้วหันไปบอกบรรณารักษ์หลวง วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ

     

                โชคดีขอรับ คุณชายฮิคาริ

     

                เด็กชายไม่ได้กลับไปที่บ้าน เขาเดินตรงไปยังพระราชวังส่วนในที่เป็นที่พักของราชวงศ์และที่ว่างานราชการของเหล่าขุนนางรวมไปถึงหน่วยงานสำคัญใกล้ชิดขององค์ราชา ปกติแล้วเขาไม่ควรจะเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้ในส่วนนี้ หากแต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็นอยู่บ้าง

     

                อาการป่วยของโอฟีเรียทำเอาฮิคาริไม่สบายใจ องค์หญิงคือผู้มีพระคุณของเขา เขายังไม่ทันได้เอ่ยคำขอบคุณหรือตอบแทนพระคุณของเธอเลย ถ้าหากว่าโอฟีเรียเป็นอะไรไปทั้งๆ แบบนี้เขาคงจะเจ็บใจไปชั่วชีวิตที่เหลืออยู่

     

                ทหารยามหน้าประตูมองไปยังเด็กชายร่างเล็กที่ยืนหยุดนิ่งตรงหน้าพวกเขาด้วยแววตาฉงนทั้งใบหน้านิ่ง แม้จะสงสัยแต่ความกดดันก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด

     

                เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่ที่เล่น ยามคนหนึ่งพูด

     

                ฮิคาริเม้มริมฝีปาก ตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมมาเยี่ยมองค์หญิงครับ

     

                เจ้าเป็นอะไรกับองค์หญิง ชายในชุดเกราะหรี่นัยน์ตามองด้วยความเคลือบแคลง

     

                ผมเป็น...เป็นเพื่อนกับองค์หญิงครับ ฮิคาริตอบไปก็หวั่นใจ เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าโอฟีเรียจะยอมรับเขาเป็นเพื่อนหรือเปล่า  

     

                เพื่อน? อย่ามาโกหก องค์หญิงไม่มีเพื่อน!” ทหารตอบกลับเสียงดัง เขาอยู่ดูแลวังนี้ตั้งแต่ก่อนองค์หญิงเกิดเสียอีก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์หญิง โอฟีเรียไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน นอกจากพ่อบ้านแฝดและองครักษ์แล้วก็ไม่สนิทสนมกับใคร

     

                ถอยออกไปเจ้าหนู ถ้าเกิดยังไม่ฟังกันล่ะก็...คงจะต้องไปนอนเล่นในคุกสักคืน!” ทหารอีกคนตอบรับเป็นลูกคู่ ความจริงบทลงโทษก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่พวกเด็กๆ ต้องขู่ให้กลัวเอาไว้ก่อน จะได้ไม่มายุ่งย่ามมากจนเกินไป

     

                ฮิคาริกัดปาก กำหมัดแน่น เขาอยากเข้าไปเยี่ยมโอฟีเรีย ไปให้เห็นกับตาว่าผู้มีพระคุณของเขาสบายดี แต่ปัญหาตรงนี้เขาก็ไม่รู้จะแก้ยังไงดีเหมือนกัน นอกจากคำพูดแล้วเขาก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงตัวตน

     

                เดี๋ยวนะ หลักฐานแสดงตัวตนงั้นเหรอ?

     

                ฮิคาริล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าที่โอฟีเรียใช้พันแผลให้เขาก่อนหน้านี้ออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ทหารยามทั้งสองดูด้วยรอยยิ้ม ผมเป็นเพื่อนกับองค์หญิงจริงๆ นะครับ ดูนี่สิ องค์หญิงเคยให้ผ้าเช็ดหน้ากับผมด้วย

     

                ทหารยามทั้งสองมีสีหน้าแข็งค้าง หนึ่งในนั้นคว้าผ้าเช็ดหน้ามาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้สึกได้ถึงหายนะลางเลือน เขาไม่ได้กลัวอะไร เพียงแค่คิดว่าถ้าเกิดองค์ราชารู้ว่าองค์หญิงน้อยเคยมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น

     

                โอ้ เจ้าเด็กนี่ซวยแน่

     

                แล้วผม...เข้าไปเยี่ยมองค์หญิงได้มั้ยครับ? ฮิคาริมองทั้งสองด้วยสายตาคาดหวัง

     

                ยัง เจ้าไปแจ้งกับท่านองครักษ์ ทหารยามยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเพื่อนร่วมหน้าที่ก่อนจะหันมาถามฮิคาริว่า เจ้าชื่ออะไร?

     

                เด็กชายที่เริ่มเห็นถึงความหวังเลือนลางกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ส่งเสริมให้ใบหน้าสดใสน่าเอ็นดูมากขึ้นเป็นเท่าตัว ฮิคาริครับ ฮิคาริ วิสตัน!”

     

                เจ้ารีบไปบอกท่านองครักษ์เถอะ ได้เรื่องยังไงค่อยกลับมา เขาว่ากับสหายก่อนจะพูดกับฮิคาริต่อว่า “-ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์หญิง

     

                ฮิคาริพอใจเป็นอย่างมาก เด็กชายยืนรออย่างว่าง่าย

     

                เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ทหารยามที่เดินเข้าไปแจ้งกลับมาพร้อมกับสีหน้าแปลกๆ ยามมองฮิคาริ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมกลับมาให้พร้อมกับคำพูด

     

                องค์หญิงอนุญาตให้เจ้าเข้าพบ ตามมา

     

                ฮิคาริดีใจจนเนื้อเต้น ใบหน้าของเด็กชายแดงซ่านด้วยสีเลือดฝาด เขาบอกขอบคุณกับนายทหารยามทั้งสองเร็วๆ แล้วก้าวเดินหลังพวกเขาเข้าไปในพระราชวังชั้นใน ดวงตากวาดมองรอบๆ เพียงครั้งเดียวก็สนใจเพียงแค่ทางเดินด้านหน้า

     

                สมแล้วที่เป็นพระราชวังของกษัตริย์ แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความขลัง เขารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และหรูหราแม้จะไม่ได้ประดับด้วยเพชรนิลจินดาเหมือนกับคฤหาสน์ตระกูลวิสตัน เด็กชายมองเครื่องลายครามทั้งหลายที่ตั้งตกแต่งตามมุมห้องแซมกับแจกันดอกไม้แล้วได้แต่ยิ้ม รสนิยมของราชวงศ์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

     

                เขาเคยอาศัยอยู่ในสลัม เคยทำงานมาหลายอย่าง ทักษะหนึ่งที่ควรมีก็คือการมองของมีค่า สายตาของพวกเขาต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนคือของคุณภาพสูงและอันไหนคือคุณภาพต่ำ ถึงจะไม่ใช่ทักษะความสามารถที่น่าภูมิใจนัก แต่เพราะมีมันฮิคาริจึงแยกแยะอะไรได้หลายอย่าง

     

                พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงห้องหนึ่ง ที่หน้าห้องมีองครักษ์หนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งและดวงตาเหม่อลอยยืนอยู่ ฮิคาริมองใบหน้านั้นอยู่สักพักก็จำ อีกฝ่ายคือองครักษ์ประจำตัวของโอฟีเรีย เขารู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรชายบุญธรรมของหัวหน้าองครักษ์หลวง

     

                ได้ยินว่าเก่งมาก...

     

                พวกข้ามาส่งได้แค่นี้ ทหารยามทั้งสองบอกกับฮิคาริแล้วก็เดินกลับไป ทิ้งเด็กชายให้ยืนมองหน้ากับองครักษ์หนุ่มหน้าห้อง คารอสมองเด็กครึ่งยักษ์ที่เจ้านายน้อยเคยช่วยไว้ กวาดมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วค่อยเปิดปากพูด

     

                องค์หญิงอยู่ด้านใน เด็กหนุ่มพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป แต่อีกสักพักก็เอ่ยเสริม เข้าไปได้เลย

     

                อ้อ...ครับ ขอบคุณ ฮิคาริพยักหน้ารับครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินไปเคาะประตูตามมารยาท แม้ว่าจะได้รับอนุญาตแล้วแต่เขาก็ไม่ควรจะเปิดพรวดพราดเข้าไป เอ่อ กระหม่อมฮิคาริพะย่ะค่ะ องค์หญิง

     

                เข้ามาได้เสียงด้านพูดตอบรับกลับมาไม่ได้สดใสเหมือนเมื่อหลายวันก่อน มันทั้งแหบและเบา

     

                แกร๊ก

     

                ฮิคาริเปิดประตูห้องเข้าไป ภายในห้องของโอฟีเรียสว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าที่ถูกเปิดเอาไว้ เตียงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้องมีองค์หญิงน้อยนั่งพิงหัวเตียงอยู่ บนตักของเธอมีหนังสือเล่มหนาวางเอาไว้ ผ้าม่านรอบเตียงมัดเก็บกับเสาอย่างเรียบร้อย เขาจึงสามารถเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

     

                เด็กชายมองใบหน้าไร้สีเลือดของโอฟีเรียแล้วใจหายวาบ รู้สึกวูบโหวงแบบแปลกๆ

     

                ถวายพระพรองค์หญิงพะย่ะค่ะ ฮิคาริโค้งกาย ก้มศีรษะลงต่ำ

     

                โอฟีเรียที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงครี่รอยยิ้ม บอกอย่างมีเมตตา ไม่ต้องมากพิธีหรอก หยิบเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเราสิ

     

                ฮิคาริยังคงเก้กังอยู่บ้างตอนได้ยินโอฟีเรียพูดออกมาแบบนั้น แต่สักพักเขาก็เดินไปหยิบเก้าอี้กลมมานั่งข้างเตียงขององค์หญิงน้อย แน่นอนว่าเว้นระยะห่างประมาณหนึ่งเพื่อความสบายใจของตัวเอง

     

                กระหม่อมได้ยินว่าพระองค์ป่วย เอ่อ ก็เลยมาเยี่ยมพะย่ะค่ะ เด็กชายพูดเสียงอ้อมแอ้ม เขาไม่ค่อยถนัดคำราชาศัพท์สักเท่าไหร่ แม้ว่าช่วงนี้จะได้เรียนรู้จากอาจารย์มาบ้างแล้วแต่ฮิคาริก็ยังคงไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก

     

                อ้อ ตอนนี้เราไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ องค์หญิงน้อยฉีกรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าคมดูเปล่งปรั่งขึ้นมาเมื่อเรียวปากขยับขึ้น ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะ อ้อ แล้วก็คำราชาศัพท์น่ะไม่ต้องก็ได้ เราฟังจนเบื่อแล้ว พูดธรรมดาๆ เถอะ

     

                ฮิคาริทำท่าจะเอ่ยท้วง แต่โอฟีเรียก็กล่าวขึ้นต่ออย่างรู้ทัน ห้ามปฏิเสธ นี่คือคำสั่ง

     

                เด็กชายรู้สึกไม่ยิมยอมอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็สบายใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ฮิคาริยังคงต้องไว้ซึ่งเกียรติขององค์หญิงและเชื้อพระวงศ์จึงบอกกับโอฟีเรียว่า ถ้าเช่นนั้นเอาไว้พูดตอนที่พวกเราอยู่เพียงแค่สองคนดีหรือไม่พะย่ะค่ะ?

     

                โอฟีเรียกะพริบดวงตาเร็วๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น เอาแบบนั้นก็ได้

     

                เข้าใจแล้วครับ เขาระบายรอยยิ้มโล่งอก จากนั้นจึงพูดถึงอีกเหตุผลหนึ่งที่เขามาพบโอฟีเรีย ความจริงแล้วนอกจากจะมาเยี่ยมองค์หญิง ผมยังมาขอบคุณด้วยครับ นัยน์ตากลมสวยสีน้ำหมึกมองไปยังผู้มีพระคุณอย่างซาบซึ้ง แถมยังแฝงไปด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี

     

                ขอบคุณ?

     

                เรื่องที่องค์หญิงช่วยผมเอาไว้เมื่อวันก่อน ฮิคาริหวนคิดไปถึงความรู้สึกดำมืดของตัวเองแล้วก็หยัดรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ถ้าไม่ได้องค์หญิงช่วยเหลือ ตอนนั้นผมก็คงแย่แน่ๆ

     

                โอฟีเรียมองใบหน้าที่แม้จะมีรอยยิ้มแต่ก็ยังมีร่อยรอยของความรู้สึกอับจนราวกับถูกสังคมหันหลังให้ของเขาแล้วก็รู้สึกสงสาร คล้ายเห็นเงาของน้องชายซ้อนทับจึงเอ่ยปลอบใจไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่ต้องคิดมากหรอก มีเราอยู่ ไม่ว่าใครจะรังแกนายไม่ได้!”

     

                ฮิคาริฟังคำพูดขององค์หญิงน้อยแล้วก็รู้สึกชุ่มฉ่ำในใจ เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนจะมาปกป้องเขา ตลอดมามีแต่เขาที่ต้องปกป้องตัวเอง

     

                ในตอนที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตื้นตันใจโอฟีเรียถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองเผลอไปเสียแล้ว เด็กหญิงกระแอมเสียงเบาเรียกสติที่หายไปพร้อมกับท่าทางประหนึ่งกระรอกเปียกฝนของอีกฝ่ายแล้วจึงค่อยพูดขึ้น

     

                ถึงเวลากินยาของเราแล้ว

     

                อ๊ะ ถ้าเช่นนั้นผมไม่รบกวนองค์หญิงแล้ว ฮิคาริเข้าใจดี วันนี้เขารบกวนเวลาพักผ่อนขององค์หญิงมาพอสมควร ได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ก่อนจะลุกขึ้นเด็กชายก็ยังไม่วายหันไปมองเจ้าของห้องด้วยดวงตาพราวระยับ ขยับริมฝีปากถาม เอ่อ ผมขอมาเข้าเฝ้าองค์หญิงได้อีกหรือเปล่าครับ?

     

                เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่มีเสียงโครมครามดังอยู่ข้างใบหู ตอนที่ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์วิสตันเขายังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลย...

     

                โอฟีเรียหลุบตามองฝ่ามือซีดเซียวของตัวเองอยู่ราวๆ สิบวินาทีก็พยักหน้า หันไปหยิบแผ่นป้ายสีเงินที่เก็บเอาไว้ในโต๊ะเตี้ยของเตียงแล้วยื่นให้กับอีกฝ่าย นี่เป็นป้ายอนุญาตจากเรา เข้าพบเราได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า

     

                ขอบคุณครับ!” เขารับแผ่นป้ายมาอย่างยินดี แต่ในนาทีต่อมาก็รู้สึกละอาย

     

                เขาบอกว่ามาเยี่ยมองค์หญิงแต่กลับไม่มีของเยี่ยมมาให้ นับว่าเสียมารยาทมากจริงๆ

     

                องค์หญิง ครั้งหน้าผมจะนำของเยี่ยมมาให้นะครับ ฮิคาริเก็บแผ่นป้ายเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อชั้นในอย่างดี โค้งตัวทำความเคารพโอฟีเรียเต็มพิธีการแล้วจึงค่อยเอ่ยลา เช่นนั้น กระหม่อมขอลาพะย่ะค่ะ

     

                ฮิคาริเดินออกจากห้องขององค์หญิงน้อยมาด้วยอารมณ์ดีแบบผิดปกติไปมากโข ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มหวานสดใสขับให้ใบหน้าที่สวยหวานประหนึ่งเด็กผู้หญิงของเขาน่าเอ็นดูมากขึ้นไปหลายเท่า เขาลูบหน้าอกของตัวเองพลางฮัมเพลงในลำคอ

     

                เขาต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมของเยี่ยม ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะชอบอะไรบ้าง...

     

                เด็กชายคิดถึงของขวัญที่เขาจะนำมาพรุ่งนี้แล้วรีบก้าวขาให้ไว้ขึ้น อารมณ์ดีจนมองเห็นภาพตรงหน้าสดใสด้วยสีสัน

     

                ผิดกับองค์หญิงน้อยอย่างสิ้นเชิง...

      ------------------------------------------------------------------------

    มาแล้วค่ะ หลังจากหายไปนาน (มากๆ) ถถถ

    คือจากตอนก่อนที่บอกไว้ค่ะ คือ ตัน!

    สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเราหายจากการเขียนนานมากกกก (2 - 3 เดือนโดยประมาณ)

    คือไม่ได้มานั่งเขียนจริงๆ จังๆ เลย พอเปิดคอมก็ได้แต่นั่งมองหน้าเวิร์ด เจ็บปวดมากค่ะ Y_Y

    แต่ช่วงนี้เริ่มว่างแล้ว งานน้อยลงเยอะ แต่มาปวดหัวกับสอบแทน 

    แต่สอบก็ยังมีเวลากว่าทำงานค่ะ! เพราะฉะนั้นเราจะพยายามเขียนทุกวัน แต่จะลงอาทิตย์จะตอนหรือสองอาทิตย์ตอนค่ะ 

    กลัวเขียนไม่ทัน ถถถถถถถ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×