คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : C H A P T E R 16 : เพื่อนคนแรกขององค์หญิง(?)
C H A
P T E R 16
เพื่อนคนแรกขององค์หญิง(?)
ฮิคาริไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือที่กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างอมนุษย์และมนุษย์อย่างยาวนานหลายพันปีด้วยใบหน้าราบเรียบ
นัยน์ตากลมโตกวาดมองตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เด็กชายเพิ่งจะค้นพบได้ไม่กี่วันว่าเขาค่อนข้างชอบการสู้รบอยู่พอสมควร
โดยเฉพาะเมื่ออ่านไปถึงประวัติการออกรบอย่างยิ่งใหญ่ของแม่ทัพนายพล
เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ศึกที่ราชาไฮรอสเป็นผู้นำทัพ
เนื้อหาส่วนนั้นตราตรึงใจเขามากจริงๆ
ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา
ประเทศนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้มีความสามารถ เหนือสิ่งอื่นใดคือกษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนเต็มไปด้วยความเก่งกล้าทางด้านใดด้านหนึ่งเสมอ
อย่างราชาไฮรอสก็ถนัดการสู้รบและการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับเวทมนต์
ในยุคการปกครองปัจจุบันประเทศฟีโอน่านับได้ว่าเป็นช่วงยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม...ประเทศนี้ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก
อย่างเช่นความเหลื่อมล้ำทางฐานะของผู้คน
ยกตัวอย่างได้ง่ายๆ
ก็อย่างเช่นพวกชนชั้นสูงกับชนชั้นรากหญ้า ในอดีตเคยเป็นมาอย่างไร
ปัจจุบันก็ยังคงเป็นมาแบบนั้น
เด็กชายถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
เรื่องบางอย่างยากจะแก้ไขภายในเวลาไม่กี่ปี เขาหวังว่าในอนาคตราชาไฮรอสจะสามารถแก้ไขในเรื่องนี้ได้
หรือไม่...
ฮิคาริคิดไปถึงเจ้าของรอยยิ้มมั่นใจและนัยน์ตาสีมรกตที่ดึงดูดเขาคู่นั้น
โอฟีเรียเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์
เห็นได้จากการที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันมากมาย ถ้าหากไม่ใช่คนรักความยุติธรรม
เขาก็ไม่รู้ว่าจะคิดไปในทางไหน
โอฟีเรียไม่จำเป็นจะต้องสร้างเรื่องมาช่วยเขาเพื่อเป็นบุณคุณอะไร
อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงหนึ่งเดียวของประเทศ มีอะไรบ้างที่ไม่เคยได้ ไม่เคยสัมผัส
จะต้องมาสนใจสานสัมพันธ์อะไรกับลูกนอกสมรสที่ครอบครัวไม่ได้ใยดีแบบเขากัน
ใช่ ฮิคาริคิดถูก
โอฟีเรียทำไปเพียงเพราะเกลียดการรังแกคนอ่อนแอเท่านั้น
แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่องค์หญิงน้อยจะรู้ตัวตนของเขา
“โอ้ สวัสดีขอรับ
คุณชายฮิคาริ”
บรรณารักษ์ชราเจ้าของแว่นตาทรงกลมและดวงตายับย่นเอ่ยขึ้น เขาเดินออกมาจากหลังชั้นหนังสือ
ในมือมีหนังสือเล่มหนาอยู่สามสี่เล่ม “วันนี้ก็ยังคงอ่านหนังสืออย่างขยันขันแข็ง”
ฮิคาริมองหน้าชายผู้ดูแลห้องสมุดหลวงนาม
‘เมคิล’ พลางยิ้มทักทาย “สวัสดีครับ คุณเมคิล” เขาว่าพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
ห้องสมุดที่ร้างผู้คนแบบผิดปกติ “วันนี้คนเงียบมากเลยนะครับ”
“ขอรับ
วันนี้ทุกคนไปเยี่ยมองค์หญิงกันน่ะขอรับ” ชายชรายิ้มพราย
แบกหนังสือหายไปหลังเคาร์เตอร์อยู่สักพักก็เดินกลับมา
ลมหายใจของฮิคาริสะดุด
“องค์หญิงไม่สบายงั้นเหรอครับ?”
เมคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลังเลว่าอาการป่วยของโอฟีเรียใช่สิ่งที่ควรพูดหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมา
อย่างไรเรื่องนี้คนในวังก็รู้กันทั่วอยู่แล้ว แถมมันก็ไม่ใช่โรคแปลกหรือหายากอะไร
เป็นอาการปกติที่สามารถพบได้ในยักษ์จึงพยักหน้าตอบ
“ได้ยินว่าพลังเวทมนต์ปะทุน่ะขอรับ” เขาเดินไปตรงชั้นหนังสือพลางกวาดสายตามอง เมื่อเห็นเล่มไหนไม่สมบูรณ์หรือมีรอยถลอกก็จะหยิบออกมา
“แต่องค์หญิงมีพลังเวทมนต์มากกว่ายักษ์ปกติ
การปะทุก็เลยรุนแรงเป็นอย่างมาก
ข้าได้ยินมาจากพวกสาวใช้ว่าเมื่อวันก่อนอาการขององค์หญิงทรุดลงจนน่ากลัว
หากว่าฝ่าบาทไม่ได้ยามา...”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดต่อ
ฮิคาริก็พอจะรู้อยู่บ้าง
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
ทั้งๆ ที่หลายวันมานี้เขาก็อยู่ภายในรั้วราชวังตลอด
เขาเพิ่งจะรู้สึกว่านิสัยไม่ชอบใส่ใจรอบข้างเป็นปัญหาก็วันนี้
ถ้าหากเขารู้ข่าวเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะไปเยี่ยมโอฟีเรียบ้างแล้วเหมือนกัน
“ขอบคุณที่บอกนะครับ
คุณเมคิล” ฮิคาริหยิบที่คั่นหนังสือมาสอดเอาไว้แล้วปิดหนังสือที่ตนอ่านอยู่
เขาวางมันลงบนชั้นหนังสือแล้วหันไปบอกบรรณารักษ์หลวง “วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ”
“โชคดีขอรับ
คุณชายฮิคาริ”
เด็กชายไม่ได้กลับไปที่บ้าน เขาเดินตรงไปยังพระราชวังส่วนในที่เป็นที่พักของราชวงศ์และที่ว่างานราชการของเหล่าขุนนางรวมไปถึงหน่วยงานสำคัญใกล้ชิดขององค์ราชา
ปกติแล้วเขาไม่ควรจะเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้ในส่วนนี้
หากแต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็นอยู่บ้าง
อาการป่วยของโอฟีเรียทำเอาฮิคาริไม่สบายใจ
องค์หญิงคือผู้มีพระคุณของเขา เขายังไม่ทันได้เอ่ยคำขอบคุณหรือตอบแทนพระคุณของเธอเลย
ถ้าหากว่าโอฟีเรียเป็นอะไรไปทั้งๆ แบบนี้เขาคงจะเจ็บใจไปชั่วชีวิตที่เหลืออยู่
ทหารยามหน้าประตูมองไปยังเด็กชายร่างเล็กที่ยืนหยุดนิ่งตรงหน้าพวกเขาด้วยแววตาฉงนทั้งใบหน้านิ่ง
แม้จะสงสัยแต่ความกดดันก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด
“เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่ที่เล่น” ยามคนหนึ่งพูด
ฮิคาริเม้มริมฝีปาก
ตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมมาเยี่ยมองค์หญิงครับ”
“เจ้าเป็นอะไรกับองค์หญิง” ชายในชุดเกราะหรี่นัยน์ตามองด้วยความเคลือบแคลง
“ผมเป็น...เป็นเพื่อนกับองค์หญิงครับ” ฮิคาริตอบไปก็หวั่นใจ เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าโอฟีเรียจะยอมรับเขาเป็นเพื่อนหรือเปล่า
“เพื่อน? อย่ามาโกหก
องค์หญิงไม่มีเพื่อน!” ทหารตอบกลับเสียงดัง
เขาอยู่ดูแลวังนี้ตั้งแต่ก่อนองค์หญิงเกิดเสียอีก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์หญิง
โอฟีเรียไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน นอกจากพ่อบ้านแฝดและองครักษ์แล้วก็ไม่สนิทสนมกับใคร
“ถอยออกไปเจ้าหนู
ถ้าเกิดยังไม่ฟังกันล่ะก็...คงจะต้องไปนอนเล่นในคุกสักคืน!” ทหารอีกคนตอบรับเป็นลูกคู่
ความจริงบทลงโทษก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่พวกเด็กๆ ต้องขู่ให้กลัวเอาไว้ก่อน
จะได้ไม่มายุ่งย่ามมากจนเกินไป
ฮิคาริกัดปาก กำหมัดแน่น เขาอยากเข้าไปเยี่ยมโอฟีเรีย
ไปให้เห็นกับตาว่าผู้มีพระคุณของเขาสบายดี แต่ปัญหาตรงนี้เขาก็ไม่รู้จะแก้ยังไงดีเหมือนกัน
นอกจากคำพูดแล้วเขาก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงตัวตน
เดี๋ยวนะ หลักฐานแสดงตัวตนงั้นเหรอ?
ฮิคาริล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าที่โอฟีเรียใช้พันแผลให้เขาก่อนหน้านี้ออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ทหารยามทั้งสองดูด้วยรอยยิ้ม
“ผมเป็นเพื่อนกับองค์หญิงจริงๆ นะครับ ดูนี่สิ
องค์หญิงเคยให้ผ้าเช็ดหน้ากับผมด้วย”
ทหารยามทั้งสองมีสีหน้าแข็งค้าง
หนึ่งในนั้นคว้าผ้าเช็ดหน้ามาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้สึกได้ถึงหายนะลางเลือน
เขาไม่ได้กลัวอะไร เพียงแค่คิดว่าถ้าเกิดองค์ราชารู้ว่าองค์หญิงน้อยเคยมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น
โอ้ เจ้าเด็กนี่ซวยแน่
“แล้วผม...เข้าไปเยี่ยมองค์หญิงได้มั้ยครับ?” ฮิคาริมองทั้งสองด้วยสายตาคาดหวัง
“ยัง
เจ้าไปแจ้งกับท่านองครักษ์” ทหารยามยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเพื่อนร่วมหน้าที่ก่อนจะหันมาถามฮิคาริว่า
“เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายที่เริ่มเห็นถึงความหวังเลือนลางกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ส่งเสริมให้ใบหน้าสดใสน่าเอ็นดูมากขึ้นเป็นเท่าตัว “ฮิคาริครับ
ฮิคาริ วิสตัน!”
“เจ้ารีบไปบอกท่านองครักษ์เถอะ
ได้เรื่องยังไงค่อยกลับมา”
เขาว่ากับสหายก่อนจะพูดกับฮิคาริต่อว่า “-ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์หญิง”
ฮิคาริพอใจเป็นอย่างมาก
เด็กชายยืนรออย่างว่าง่าย
เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปไม่นานเท่าไหร่
ทหารยามที่เดินเข้าไปแจ้งกลับมาพร้อมกับสีหน้าแปลกๆ ยามมองฮิคาริ
เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมกลับมาให้พร้อมกับคำพูด
“องค์หญิงอนุญาตให้เจ้าเข้าพบ
ตามมา”
ฮิคาริดีใจจนเนื้อเต้น
ใบหน้าของเด็กชายแดงซ่านด้วยสีเลือดฝาด เขาบอกขอบคุณกับนายทหารยามทั้งสองเร็วๆ
แล้วก้าวเดินหลังพวกเขาเข้าไปในพระราชวังชั้นใน ดวงตากวาดมองรอบๆ
เพียงครั้งเดียวก็สนใจเพียงแค่ทางเดินด้านหน้า
สมแล้วที่เป็นพระราชวังของกษัตริย์
แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความขลัง
เขารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และหรูหราแม้จะไม่ได้ประดับด้วยเพชรนิลจินดาเหมือนกับคฤหาสน์ตระกูลวิสตัน
เด็กชายมองเครื่องลายครามทั้งหลายที่ตั้งตกแต่งตามมุมห้องแซมกับแจกันดอกไม้แล้วได้แต่ยิ้ม
รสนิยมของราชวงศ์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เขาเคยอาศัยอยู่ในสลัม
เคยทำงานมาหลายอย่าง ทักษะหนึ่งที่ควรมีก็คือการมองของมีค่า
สายตาของพวกเขาต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนคือของคุณภาพสูงและอันไหนคือคุณภาพต่ำ
ถึงจะไม่ใช่ทักษะความสามารถที่น่าภูมิใจนัก
แต่เพราะมีมันฮิคาริจึงแยกแยะอะไรได้หลายอย่าง
พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงห้องหนึ่ง
ที่หน้าห้องมีองครักษ์หนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งและดวงตาเหม่อลอยยืนอยู่
ฮิคาริมองใบหน้านั้นอยู่สักพักก็จำ อีกฝ่ายคือองครักษ์ประจำตัวของโอฟีเรีย
เขารู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรชายบุญธรรมของหัวหน้าองครักษ์หลวง
ได้ยินว่าเก่งมาก...
“พวกข้ามาส่งได้แค่นี้” ทหารยามทั้งสองบอกกับฮิคาริแล้วก็เดินกลับไป
ทิ้งเด็กชายให้ยืนมองหน้ากับองครักษ์หนุ่มหน้าห้อง คารอสมองเด็กครึ่งยักษ์ที่เจ้านายน้อยเคยช่วยไว้
กวาดมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วค่อยเปิดปากพูด
“องค์หญิงอยู่ด้านใน” เด็กหนุ่มพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป แต่อีกสักพักก็เอ่ยเสริม “เข้าไปได้เลย”
“อ้อ...ครับ ขอบคุณ” ฮิคาริพยักหน้ารับครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินไปเคาะประตูตามมารยาท
แม้ว่าจะได้รับอนุญาตแล้วแต่เขาก็ไม่ควรจะเปิดพรวดพราดเข้าไป “เอ่อ กระหม่อมฮิคาริพะย่ะค่ะ องค์หญิง”
“เข้ามาได้” เสียงด้านพูดตอบรับกลับมาไม่ได้สดใสเหมือนเมื่อหลายวันก่อน
มันทั้งแหบและเบา
แกร๊ก
ฮิคาริเปิดประตูห้องเข้าไป
ภายในห้องของโอฟีเรียสว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าที่ถูกเปิดเอาไว้
เตียงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้องมีองค์หญิงน้อยนั่งพิงหัวเตียงอยู่ บนตักของเธอมีหนังสือเล่มหนาวางเอาไว้
ผ้าม่านรอบเตียงมัดเก็บกับเสาอย่างเรียบร้อย
เขาจึงสามารถเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เด็กชายมองใบหน้าไร้สีเลือดของโอฟีเรียแล้วใจหายวาบ
รู้สึกวูบโหวงแบบแปลกๆ
“ถวายพระพรองค์หญิงพะย่ะค่ะ” ฮิคาริโค้งกาย ก้มศีรษะลงต่ำ
โอฟีเรียที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงครี่รอยยิ้ม
บอกอย่างมีเมตตา “ไม่ต้องมากพิธีหรอก หยิบเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเราสิ”
ฮิคาริยังคงเก้กังอยู่บ้างตอนได้ยินโอฟีเรียพูดออกมาแบบนั้น
แต่สักพักเขาก็เดินไปหยิบเก้าอี้กลมมานั่งข้างเตียงขององค์หญิงน้อย
แน่นอนว่าเว้นระยะห่างประมาณหนึ่งเพื่อความสบายใจของตัวเอง
“กระหม่อมได้ยินว่าพระองค์ป่วย
เอ่อ ก็เลยมาเยี่ยมพะย่ะค่ะ” เด็กชายพูดเสียงอ้อมแอ้ม
เขาไม่ค่อยถนัดคำราชาศัพท์สักเท่าไหร่ แม้ว่าช่วงนี้จะได้เรียนรู้จากอาจารย์มาบ้างแล้วแต่ฮิคาริก็ยังคงไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก
“อ้อ ตอนนี้เราไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ” องค์หญิงน้อยฉีกรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าคมดูเปล่งปรั่งขึ้นมาเมื่อเรียวปากขยับขึ้น
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะ อ้อ แล้วก็คำราชาศัพท์น่ะไม่ต้องก็ได้
เราฟังจนเบื่อแล้ว พูดธรรมดาๆ เถอะ”
ฮิคาริทำท่าจะเอ่ยท้วง แต่โอฟีเรียก็กล่าวขึ้นต่ออย่างรู้ทัน
“ห้ามปฏิเสธ นี่คือคำสั่ง”
เด็กชายรู้สึกไม่ยิมยอมอยู่บ้าง
แต่กระนั้นก็สบายใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ฮิคาริยังคงต้องไว้ซึ่งเกียรติขององค์หญิงและเชื้อพระวงศ์จึงบอกกับโอฟีเรียว่า
“ถ้าเช่นนั้นเอาไว้พูดตอนที่พวกเราอยู่เพียงแค่สองคนดีหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
โอฟีเรียกะพริบดวงตาเร็วๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับ
เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น “เอาแบบนั้นก็ได้”
“เข้าใจแล้วครับ” เขาระบายรอยยิ้มโล่งอก จากนั้นจึงพูดถึงอีกเหตุผลหนึ่งที่เขามาพบโอฟีเรีย
“ความจริงแล้วนอกจากจะมาเยี่ยมองค์หญิง ผมยังมาขอบคุณด้วยครับ” นัยน์ตากลมสวยสีน้ำหมึกมองไปยังผู้มีพระคุณอย่างซาบซึ้ง แถมยังแฝงไปด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี
“ขอบคุณ?”
“เรื่องที่องค์หญิงช่วยผมเอาไว้เมื่อวันก่อน” ฮิคาริหวนคิดไปถึงความรู้สึกดำมืดของตัวเองแล้วก็หยัดรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ถ้าไม่ได้องค์หญิงช่วยเหลือ ตอนนั้นผมก็คงแย่แน่ๆ”
โอฟีเรียมองใบหน้าที่แม้จะมีรอยยิ้มแต่ก็ยังมีร่อยรอยของความรู้สึกอับจนราวกับถูกสังคมหันหลังให้ของเขาแล้วก็รู้สึกสงสาร
คล้ายเห็นเงาของน้องชายซ้อนทับจึงเอ่ยปลอบใจไปอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ต้องคิดมากหรอก มีเราอยู่ ไม่ว่าใครจะรังแกนายไม่ได้!”
ฮิคาริฟังคำพูดขององค์หญิงน้อยแล้วก็รู้สึกชุ่มฉ่ำในใจ
เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนจะมาปกป้องเขา ตลอดมามีแต่เขาที่ต้องปกป้องตัวเอง
ในตอนที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตื้นตันใจโอฟีเรียถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองเผลอไปเสียแล้ว
เด็กหญิงกระแอมเสียงเบาเรียกสติที่หายไปพร้อมกับท่าทางประหนึ่งกระรอกเปียกฝนของอีกฝ่ายแล้วจึงค่อยพูดขึ้น
“ถึงเวลากินยาของเราแล้ว”
“อ๊ะ
ถ้าเช่นนั้นผมไม่รบกวนองค์หญิงแล้ว” ฮิคาริเข้าใจดี
วันนี้เขารบกวนเวลาพักผ่อนขององค์หญิงมาพอสมควร ได้เวลากลับบ้านแล้ว
แต่ก่อนจะลุกขึ้นเด็กชายก็ยังไม่วายหันไปมองเจ้าของห้องด้วยดวงตาพราวระยับ
ขยับริมฝีปากถาม “เอ่อ ผมขอมาเข้าเฝ้าองค์หญิงได้อีกหรือเปล่าครับ?”
เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นมาก
เขาสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่มีเสียงโครมครามดังอยู่ข้างใบหู
ตอนที่ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์วิสตันเขายังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลย...
โอฟีเรียหลุบตามองฝ่ามือซีดเซียวของตัวเองอยู่ราวๆ
สิบวินาทีก็พยักหน้า หันไปหยิบแผ่นป้ายสีเงินที่เก็บเอาไว้ในโต๊ะเตี้ยของเตียงแล้วยื่นให้กับอีกฝ่าย
“นี่เป็นป้ายอนุญาตจากเรา เข้าพบเราได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า”
“ขอบคุณครับ!” เขารับแผ่นป้ายมาอย่างยินดี แต่ในนาทีต่อมาก็รู้สึกละอาย
เขาบอกว่ามาเยี่ยมองค์หญิงแต่กลับไม่มีของเยี่ยมมาให้
นับว่าเสียมารยาทมากจริงๆ
“องค์หญิง ครั้งหน้าผมจะนำของเยี่ยมมาให้นะครับ” ฮิคาริเก็บแผ่นป้ายเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อชั้นในอย่างดี โค้งตัวทำความเคารพโอฟีเรียเต็มพิธีการแล้วจึงค่อยเอ่ยลา
“เช่นนั้น กระหม่อมขอลาพะย่ะค่ะ”
ฮิคาริเดินออกจากห้องขององค์หญิงน้อยมาด้วยอารมณ์ดีแบบผิดปกติไปมากโข
ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มหวานสดใสขับให้ใบหน้าที่สวยหวานประหนึ่งเด็กผู้หญิงของเขาน่าเอ็นดูมากขึ้นไปหลายเท่า
เขาลูบหน้าอกของตัวเองพลางฮัมเพลงในลำคอ
เขาต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมของเยี่ยม
ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะชอบอะไรบ้าง...
เด็กชายคิดถึงของขวัญที่เขาจะนำมาพรุ่งนี้แล้วรีบก้าวขาให้ไว้ขึ้น
อารมณ์ดีจนมองเห็นภาพตรงหน้าสดใสด้วยสีสัน
ผิดกับองค์หญิงน้อยอย่างสิ้นเชิง...
มาแล้วค่ะ หลังจากหายไปนาน (มากๆ) ถถถ
คือจากตอนก่อนที่บอกไว้ค่ะ คือ ตัน!
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเราหายจากการเขียนนานมากกกก (2 - 3 เดือนโดยประมาณ)
คือไม่ได้มานั่งเขียนจริงๆ จังๆ เลย พอเปิดคอมก็ได้แต่นั่งมองหน้าเวิร์ด เจ็บปวดมากค่ะ Y_Y
แต่ช่วงนี้เริ่มว่างแล้ว งานน้อยลงเยอะ แต่มาปวดหัวกับสอบแทน
แต่สอบก็ยังมีเวลากว่าทำงานค่ะ! เพราะฉะนั้นเราจะพยายามเขียนทุกวัน แต่จะลงอาทิตย์จะตอนหรือสองอาทิตย์ตอนค่ะ
กลัวเขียนไม่ทัน ถถถถถถถ
ความคิดเห็น