คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : C H A P T E R 15 [100%]
C H A P T E R 15
โอฟีเรียเปิดเปลือกตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่บนเตียงของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
แต่กลับยืนอยู่ภายในห้องของบ้านหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยกองขยะและเศษซากอารยะธรรมอันไม่น่ามอง
ดวงตาสีมรกตสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาบางเบา
ความเจ็บปวดทางร่างกายที่เธอได้รับก่อนหน้านี้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
องค์หญิงน้อยดีใจที่เธอไม่ต้องทนรับความทรมาณเหล่านั้นในตอนนี้
เพราะสถานการณ์ที่เธอกำลังในตอนนี้นั้นจะสร้างความรู้สึกอันยากจะบรรยายให้กับเธอ
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวข้ามกองขยะเหล่านั้นและตรงไปยังชั้นสองของบ้าน
ท่าทางของเธอราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เมื่อก้าวขึ้นมาถึงชั้นสองเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็เดินไปยังส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของบ้าน
ตรงนั้นเป็นห้องนอนขนาดใหญ่
ประตูห้องนอนถูกเปิดแบบแง้มๆ
อยู่ เสียงบางอย่างดังลอดออกมาจากด้านใน
เธอไม่ต้องมองเข้าไปก็รู้ว่าเสียงเหล่านั้นเกิดมาจากใครและพวกเขาด้านในกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่
แต่ถึงเธอจะรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน โอฟีเรียก็ยังคงมองเข้าไปด้านใน
เงาร่างของบุรุษเพศและสตรีกำลังกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนุ่มอย่างสนุกสุดเหวี่ยง
เสียงร้องครางด้วยความสุขสมนั้นสร้างความรู้สึกสะอิดสะเอียนให้กับเธอเป็นที่สุด
เด็กหญิงมองหนึ่งชายหนึ่งหญิงบนเตียงแล้วได้แต่หัวเราะ
เบ้ริมฝีปากด้วยความรังเกียจ
กึก...
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหลังของโอฟีเรีย
เด็กหญิงไม่ได้หันไปมอง เธอรู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ด้านหลัง
ตุบ!
หลังจากเสียงฝีเท้าก็เป็นเสียงของหล่นที่ตามมา
ส้มผลหนึ่งกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงปลายเท้าของโอฟีเรีย
องค์หญิงน้อยก้มลงมองมันเล็กน้อยก่อนย่อกายเก็บมันขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ
นัยน์ตามองไปยังมนุษย์สี่คนที่หยุดยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าราวกับเจอเรื่องน่าหวาดผวา
สามในสี่คนคือมนุษย์ที่เธอรู้จักดีที่สุด
พวกเขาคืออดีตครอบครัวของเธอ...
มนุษย์สามในสี่คนนั้นคือแม่และน้องชายของเธอ
ส่วนอีกคนก็คือเธอ และพวกที่เหมือนกับกำลังอยู่ในฤดูผสมพันธุ์ในห้องก็คือพ่อบัดซบและหญิงชู้ของเขา
มันเป็นความทรงจำดำมืดที่โอฟีเรียอยากจะลืมมากที่สุด
ครอบครัวของเธอไม่ได้สวยงาม
พ่อมีชู้ ในขณะที่แม่รับไม่ได้อย่างรุนแรงและขอหย่า
เรื่องมันควรจะจบที่พวกเราสี่คนแม่ลูกออกมาจากชีวิตของผู้ชายคนนั้น
แต่ไม่...แม่ได้พบรักกับผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายคนนั้นเป็นมนุษย์อยู่ได้ไม่กี่เดือนก็กลายร่างเป็นเดรัจฉาน
ภาพตรงหน้าของโอฟีเรียเริ่มบิดเบี้ยวและแตกสลายเหมือนกับสายหมอก
ส้มในมือของเธอระเหยไปในอากาศ เพียงแค่พริบตาเดียวภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นห้องมืดๆ
ห้องหนึ่ง
เด็กหญิงไม่ได้ตกใจอะไร
เธอเพียงแค่มองห้องนี้ด้วยสายตาเย็นชา
และอารมณ์กรุ่นโกรธก็เริ่มปะทุอย่างรุนแรงเมื่อร่างของใครคนหนึ่งถูกเตะลอยไปกระแทกกำแพงอย่างแรง
“ไอ้เวร!” เธอได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กตัวน้อยวัยไม่เกินสิบสองปี
เด็กผู้หญิงคนนั้นมีน้ำตาอาบย้อมทั่วใบหน้าและแก้มกลม
อีกฝ่ายวิ่งเข้าใส่ชายร่างสูงโปร่งด้วยสีหน้าโกรธแค้นราวกับลูกกระสุน
ร่างของเธอกระแทกเต็มๆ ที่กลางหน้าท้องของเขา
เหตุการณ์ตรงหน้ามันคือความทรงจำของเธอ
ชีวิตเลวร้ายที่ต้องทนถูกทุบตีโดยสามีคนใหม่ของแม่
โอฟีเรียไม่โกรธแม่ที่โหยหาความรักครั้งใหม่
แต่เธอโกรธที่แม่รักเขามากจนลืมมองไปถึงพฤติกรรมเลวทรามที่ได้กระทำกับลูกของตนเอง
ไอ้ผู้ชายสารเลวนี่ก็แค่แสร้งเป็นคนดีและแอบกระทืบพวกเราลับหลัง
นี่คือสาเหตุที่เธอเกลียดการรังแกคน...
การที่เธอได้ช่วยฮิคาริเอาไว้ในวันนั้นอาจจะเพราะว่าภาพของน้องชายในวันนี้มันซ้อนทับกับเขาในวันนั้น
สภาพที่ต้องยอมจำนนต่อผู้ที่ตัวเองไม่สามารถจะต่อกรได้
ต้องยอมให้อีกฝ่ายทุบตีจนกว่าจะหนำใจ
สภาพที่เหมือนกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อของเขาทำให้เธอขยับตัว
เธอมองไปยังภาพที่เด็กหญิงตัวน้อยพยายามรัวกำปั้นใส่ชายที่นอนบนพื้นด้วยความสะใจลึกๆ
น้องชายสองคนของเธอนั่งกอดกันกลมอยู่ที่มุมห้อง
พวกเขาคนหนึ่งมีบาดแผลเต็มตัวกับอีกคนที่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ
เหตุการณ์หลังจากนั้นคือแม่กลับมาเจอพวกเธอกำลังทุบตีสามีรัก
เธอโกรธพวกเรามากจนถึงขนาดไล่ออกจากบ้าน
อย่างไรก็ตาม...โอฟีเรียก็ไม่คิดจะอยู่กับพ่อเลี้ยงประสาทๆ
กับแม่คลั่งรักอีกต่อไปอยู่แล้ว
แต่การที่เด็กสามคนจะออกไปอยู่ข้างนอกโดยลำพังมันไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน...
เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหอบน้องๆ
สองคนไปหาพ่อ ขอให้เขาช่วยเรื่องย้ายออกจากบ้านของแม่
ถึงพ่อจะเป็นผู้ชายสำส่อนและเจ้าชู้ แต่อย่างน้อยๆ
เขาก็มีความรับผิดชอบพอต่อการทำหน้าที่เป็นพ่อ เขาหาบ้านให้เธอ
มอบเงินเลี้ยงดูให้ในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นชีวิตของเธอจึงนับว่าหลุดพ้น
โอฟีเรียมองภาพที่ค่อยๆ
บิดเบี้ยวอีกครั้ง
ความทรงจำพวกนี้ยังคงฝังลึกอยู่ภายในสมองของเธอราวกับว่าพวกมันเป็นกาวเหนียวแน่น
จะลบอย่างไรก็ไม่ยอมออกไป
ทุกครั้งที่หวนนึกถึงเธอก็ยังเจ็บปวดกับมันอยู่เหมือนเดิม
มันยากที่จะลืมความเลวร้ายเหล่านั้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ภาพที่บิดเบี้ยวค่อยๆ
ก่อเป็นรูปร่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับแตกต่างจากสองครั้งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
เพราะสถานที่แห่งนี้โอฟีเรียไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหยาดฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว
เสียงคำรามของท้องฟ้าพร้อมกับแสงที่สว่างวาบสลับกันไปมานั้นให้บรรยากาศราวกับพายุลูกใหญ่กำลังโจมตีเมือง
โอฟีเรียมองน้ำฝนที่ตกลงบนใบหน้าของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
ดวงตาสีมรกตกวาดตามองไปยังรอบกายของตัวเอง มันมีแผ่นหินสลักมากมายอยู่ ณ
ที่แห่งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเดาว่ามันคือที่ไหน
สุสาน
ใช่
คงจะไม่มีที่ไหนมีแผ่นหินสลักและไม้กางเกงมากไปกว่าสุสานหรอก
แต่ที่โอฟีเรียไม่เข้าใจคือทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่
ครอบครัวของเธอยังไม่มีใครตาย
เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปกับพื้นแฉะๆ
ดังขึ้น ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในชุดสูทและร่มคันใหญ่สีขาวของเขาปรากฏสู่สายตาเมื่อเด็กหญิงหันไปมองยังด้านหลังของตัวเอง
โอฟีเรียไม่เห็นใบหน้าของเขา รับรู้ลางๆ เพียงว่าอีกฝ่ายคงจะมีเงินมากไม่ใช่น้อย
ชายคนนั้นถือช่อดอกไม้อยู่
เขาเดินตรงมาเรื่อยๆ และหยุดอยู่ที่ป้ายหลุมศพป้ายหนึ่ง
อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้นดินแฉะอย่างไม่สนใจว่ามันทำให้สูทของเขาเปื้อนโคลนหรือไม่
ร่มในมือถูกวางทิ้งเอาไว้ข้างกาย และตอนนั้นเองที่ใบหน้าของเขาเผยออกมา
แปร๊บ!
ในเวลาเดียวกับที่โอฟีเรียกำลังจะได้เห็นใบหน้าของเขา
ร่างกายของเธอก็รู้สึกผิดปกติ
ความเจ็บปวดที่คล้ายกับการถูกฟ้าผ่าลงมายังกลางร่างกายทำให้เธอถึงกับเข่าทรุด
หัวใจปวดหนึบจนยากจะเอาอากาศเข้าปอด ดวงตาของเธอพร่ามัวพร้อมกับสติที่กำลังจะดับลง
อึก...
โอฟีเรียครางออกมาเสียงเบา
ฝ่ามือบีบหน้าอกที่ร้อนผ่าวของตัวเองแน่น ความสับสนและไม่เข้าใจฉายชัดเต็มใบหน้า
เธอพยายามคงสติเอาไว้เพื่อจะมองภาพตรงหน้าให้ชัดๆ แต่มันกลับยากเหลือเกินเมื่อยิ่งฝืนเธอยิ่งทรมาณ
และในท้ายที่สุด
องค์หญิงน้อยก็ไม่อาจฝืนทนต่อความทรมาณได้
โอฟีเรียกัดริมฝีปากของตัวเองจนเลือดซิบ
และค่อยๆ ปล่อยให้สติดับวูบไป
.
.
.
.
.
ในตอนที่โอฟีเรียตื่นขึ้นมา
รอบกายของเธอก็เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นคิมสัน เมริมและเมอริน ท่านพ่อของเธอและยังไม่นับรวมบรรดาคนรับใช้กว่าครึ่งที่พากันยืนแน่นล้อมรอบเตียงของเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
กระทั่งคารอสที่แทบจะไม่แสดงสีหน้าอะไรยังขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นโบว์ องค์หญิงน้อยกะพริบดวงตาด้วยความอ่อนล้าก่อนจะขยับริมฝีปาก
“ทุกคน...” ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
ไม่ทันที่โอฟีเรียจะได้กล่าวให้จบประโยคดี
ไฮรอสที่นั่งใกล้บุตรสาวมากที่สุดก็โผกายกอดรัดร่างน้อยเอาไว้แน่น
นัยน์ตาสีมรกตแดงก่ำและมีน้ำสีใสกลิ้งกลอกไปมา
ชายหนุ่มกดใบหน้าลงบนศีรษะนุ่มของลูกสาวแล้วผ่อนลมหายใจออกมา
“โอฟีเรีย...โอฟีเรียของพ่อ” ชายหนุ่มพูดกระซิบเสียงเบาด้วยความดีใจ
“ในที่สุดหนูก็ตื่น คุณพ่อนึกว่าจะเสียหนูไปแล้ว”
ยักษ์ตัวน้อยไม่สามารถทำความเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้
เธอรับรู้เพียงแต่ว่าทุกคนภายในห้องมีสีหน้าผ่อนคลายลงมากเมื่อเธอกวาดสายตามองไปยังพวกเขา
เด็กหญิงค่อยๆ ยกฝ่ามือที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองขึ้นกอดผู้เป็นพ่อ
ซุกใบหน้ากับอกกว้าง
อ้อมกอดของไฮรอสอบอุ่นสำหรับเธอเสมอ
“อะแฮ่ม ฝ่าบาท
ในเมื่อองค์หญิงทรงฟื้นแล้วก็ให้ท่านหมอได้ตรวจดูหน่อยจะดีกว่านะพะย่ะค่ะ” คิมสันเอ่ยขึ้นขัดจังหวะหวานชื่นของสองพ่อลูกอย่างไม่เกรงกลัวต่ออารมณ์ที่กำลังพุ่งถึงขีดสุดขององค์ราชา
ชายหนุ่มขยับแว่นสายตาของตนเองแล้วเชิญแพทย์หลวงที่ยืนรอยู่แล้วเข้ามา
ไฮรอสเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเสนาบดีข้างกาย
เขาผละออกจากอ้อมแขนของบุตรสาวแล้วพยักหน้ารับ
หมอหลวงชราที่ผมทั้งหัวเป็นสีเทาแซมด้วยสีดำขยับกายเข้ามาข้างเตียงองค์หญิงน้อยฝีเท้าแผ่วเบา
ใบหน้าเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนใจดีไม่ต่างจากผู้เฒ่าในนิทานของเด็กน้อย
ชายชราสะบัดมือวูบหนึ่ง วงแหวนเวทมนต์สีเขียวก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างของโอฟีเรีย
โอฟีเรียมองวงแหวนเวทบนร่างกายของตัวเองด้วยความสนใจ
เธอไม่ได้เห็นการใช้เวทมนต์บ่อยๆ เพราะเผ่ายักษ์ส่วนมากล้วนฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อเพราะว่าพวกเขามั่นใจในร่างกายของตัวเองมาก
จึงมียักษ์จำนวนน้อยที่สามารถใช้เวทมนต์ได้
วงแหวนสีเขียวประกายแสงเรืองรองอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ
จางหายไป หมอชราหันไปมองไฮรอสแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ร่างกายขององค์หญิงสมดุลดีแล้วพะย่ะค่ะ
พลังที่ปะทุอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ก็เบาบางลงแล้ว
หากให้ทานยาอีกสักสองสามวันก็จะกลับเป็นปกติ” ท้ายประโยคเขาหันไปมองขวดยาที่ถูกวางอยู่ข้างเตียง
ขวดยาขวดนั้นก็คือยาที่ไฮรอสไปเอามาจากแม่มด
มารดาของโอฟีเรียนั่นเอง
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำของหมอหลวงชราแล้วไล่ให้ทุกคนที่ยืนอออยู่ภายในห้องกลับไปทำงานของตัวเองให้เรียบร้อย
เหลือเอาไว้เพียงคนสำคัญไม่กี่คนอย่างเสนาบดีคิมสัน
พ่อบ้านฝาแฝดและองครักษ์ของบุตรสาวอย่างคารอส
“เมริม เมอริน
ต่อจากนี้ให้พวกเจ้าคอยป้อนยาให้นางทุกสามชั่วโมงจนกว่านางจะหายดี” ชายหนุ่มยัดยาใส่มือของพ่อบ้านฝาแฝด จากนั้นก็หันไปสั่งการกับคารอส “เจ้าคอยเฝ้าบุตรสาวของเราเอาไว้ให้ดี
ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนี้นอกจากพวกเรา เข้าใจใช่มั้ย”
ความจริงไฮรอสอยากจะคอยดูแลโอฟีเรียด้วยตัวเองมากกว่า
แต่เพราะว่าเขาทิ้งงานเอาไว้หลายวันทำให้เจ้าพวกตาแก่เฒ่าทั้งหลายเริ่มโวยวายและประท้วงกันอยู่เนืองๆ
จนเขาอยากจะเผาบ้านพวกมันทิ้ง
ถ้าไม่ติดว่าทำแบบนั้นแล้วจะเสียขุนนางฝีมือไปหลายสิบคน
เจ้าพวกแก่ใกล้ลงโลงพวกนั้นคงจะได้พายเรือกลับบ้านเก่าไปแทบจะไม่ทันแล้ว
โอฟีเรียได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ฟังเสียงบิดาคุยกับเหล่าข้ารับใช้ของตัวเอง ตั้งแต่แรกจนตื่นขึ้นมาเต็มตาเธอไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอจำได้ว่าเธอป่วยและกำลังนอนหลับอยู่ จากนั้นก็ฝันแปลกๆ
ที่ค่อนข้างลางเลือนและไม่อาจจะจดจำได้มาก
พอตื่นขึ้นมาทุกคนก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คล้ายว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
หรือว่าอาการของเธอจะแย่มาก?
“ท่านพ่อ...” น้ำเสียงของเธอทั้งแหบและแห้ง
ฟังแล้วเหมือนกับเสียงเป็ดที่ไม่ได้กินน้ำเลยตลอดทั้งวัน
แต่ถึงกระนั้นโอฟีเรียก็ไม่ได้มีเวลาไปสนใจเรื่องราวเหล่านั้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ชายหนุ่มที่กำลังสั่งการกับเหล่าข้ารับใช้หันมายิ้มกว้างให้กับบุตรสาวตัวน้อยบนเตียง
เขาทิ้งสะโพกนั่งลงข้างกายของเธอพลางยกฝ่ามือลูบศีรษะน้อยอย่างรักใคร่ “พลังเวทมนต์ในร่างของโอฟีเรียเกิดปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
ตอนแรกพ่อกังวลแทบตายเพราะไม่ว่าจะหมอคนไหนก็บอกว่าหมดทางรักษา” พอพูดถึงตรงนี้ดวงตาของชายหนุ่มก็ดำมืดลง
เจ้าพวกไร้ความสามารถน่าตายพวกนั้นเอาแต่บอกให้เขาทำใจ
แค่คิดไฮรอสก็รู้สึกอยากจะเหวี่ยงพวกมันไปให้ไกลหูไกลตาแล้ว
“แต่คุณพ่อได้ยาวิเศษมาจากแม่มด ก็เลยช่วยโอฟีเรียเอาไว้ได้ค่ะ” ชายหนุ่มชี้ไปยังยาในมือของพ่อบ้านฝาแฝด นัยน์ตาหลุบลงมองไปยังใบหน้าของบุตรสาวก่อนจะพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นต่อจากนี้โอฟีเรียต้องกินยาจนกว่าจะหายนะคะ”
โอฟีเรียพยักหน้ารับคำของบิดา
แต่ภายในใจหวนคิดไปถึงคำพูดของไฮรอส
แม่มด?
ในเกมไม่ได้มีการกล่าวถึงแม่มดคนไหนทั้งสิ้น
แต่ในตำนานของโลกนี้ก็ยังมีการกล่าวถึงบ้างเล็กน้อย แม่มดเป็นตัวตนที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นสักเท่าไหร่
พวกเขาค่อนข้างเก็บตัวและปลีกวิเวกจากโลกภายห้อง
การจะพบแม่มดครั้งหนึ่งนั้นโดยมากล้วนต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
เพื่อเธอแล้ว...บางทีท่านพ่ออาจจะต้องเสียอะไรสักอย่างไป
โอฟีเรียมองไฮรอสด้วยสายตาซาบซึ้ง
นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ในชาติก่อนความสัมพันธ์ครอบครัวของเธอไม่ดีเข้าขั้นย่ำแย่ชนิดติดลบไม่อาจจะหาทางกลับมาบวกได้อีก
เมื่อมีใครสักคนยื่นฝ่ามือมาหาเธอด้วยความใส่ใจและรักใคร่แล้ว
เธอยอมรับเลยว่ามันดีใจจนตื้นตันไปทั้งหน้าอก
“ขอบคุณนะคะ ท่านพ่อ” โอฟีเรียขยับฝ่ามือวางลงบนฝ่ามือแกร่งของผู้เป็นพ่อแล้วบีบเบาๆ
ริมฝีปากซีดขยับเป็นรอยยิ้มกว้าง
กว้างจนดวงตาทั้งสองข้างหยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว น่ารักน่าเอ็นดูจนหัวใจของผู้เป็นสั่นไหว
แม้ว่าสีหน้าจะซีดเซียวไปบ้าง แต่ก็ยังมีอานุภาพร้ายแรง
ไฮรอสบิดปากยกมือกุมหน้าอก
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงค่อยลูบศีรษะขององค์หญิงน้อย
“มันเป็นหน้าที่ของคุณพ่ออยู่แล้วค่ะ” ชายหนุ่มคลี่รอยยิ้มอ่อนโยน
“ยังไงตอนนี้ก็นอนพักก่อนนะคะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยคุยกันใหม่”
โอฟีเรียมองร่างของผู้เป็นพ่อที่ผุดลุกขึ้นด้วยสายตาละห้อย
อาจจะเพราะว่าตอนนี้เธอกำลังป่วยอารมณ์ก็เลยขึ้นๆ ลงๆ แบบผิดปกติ
ตอนนี้เธอรู้สึกอยากจะอ้อนให้พ่อนอนด้วยกัน องค์หญิงน้อยคว้าจับชายเสื้อของบิดาพลางเอ่ยถามเสียงอ่อน
“คืนนี้นอนกับหนูไม่ได้เหรอคะ?”
องค์ราชาผู้ไม่เคยใจแข็งกับลูกได้เลยสักครั้งมองสายตาละห้อยของโอฟีเรียแล้วก็รู้สึกอ่อนยวบยาบ
สุดท้ายเขาก็ได้แต่หันมองคิมสัน สื่อออกทางสายตาว่างานที่ตั้งใจจะทำในคืนนี้ให้โล้ะไปวันพรุ่งนี้แทนทั้งหมด
คิมสันเองก็ไม่ได้คัดศรัทธาของคุณพ่อลูกอ่อน
พยักหน้ารับด้วยความเข้าใจแล้วปลีกกายออกจากห้องเป็นคนแรก
พ่อบ้านแฝดเองเมื่อเห็นว่าเสนาบดีคิมสันออกไปแล้วก็หันไปโค้งกายให้กับพระราชาแล้วหายออกไปด้วยอีกคน
ส่วนคารอสนั้นตั้งแต่ที่ไฮรอสสั่งงานเสร็จเขาก็ออกไปแล้ว
ทั้งห้องนอนในตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่สองพ่อลูกเท่านั้น
โอฟีเรียยกริมฝีปากขึ้นด้วยความดีใจ
เธอขยับกายให้บิดานอนลงข้างกายแม้ว่าเตียงของโอฟีเรียจะเป็นขนาดใหญ่พิเศษ
แต่เมื่อมีผู้ชายตัวโตๆ
อย่างไฮรอสมานอนข้างกันก็ยังรู้สึกเบียดเสียดอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงน้อยจะพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ไฮรอสวางศีรษะของตัวเองลงบนท่อนแขน
ตะแคงร่างมองบุตรสาวที่ยกยิ้มอย่างสดใสด้วยความสบายใจ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีหลังจากที่ได้นอนกับโอฟีเรียหลังจากที่แยกห้องนอนกัน
ชายหนุ่มวางแขนอีกข้างไว้บนร่างของบุตรสาว กอดเอาไว้หลวมๆ
“ดีใจจังเลยค่ะ” องค์หญิงยักษ์เขยิบกายเข้าหาผู้เป็นบิดา
ร่างกายของไฮรอสอบอุ่นและทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย “เรานอนด้วยกันบ่อยๆ
ได้มั้ยคะ?”
“ถ้าโอฟีเรียชอบ
เรานอนด้วยกันทุกวันเลยก็ได้ค่ะ” ราชาแห่งเผ่าพันธุ์ยักษ์ผู้แข็งแกร่งลูบใบหน้าเล็กเบาๆ
“แต่ยังไงตอนนี้นอนพักก่อนะคะ นอนพักแล้วก็จะได้หายเร็วๆ”
โอฟีเรียพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
แม้ว่าความจริงแล้วเธอจะตื่นมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี แต่เพราะอาการป่วยที่เล่นงานร่างกายของเธอจนพรุนทำให้เด็กน้อยจ่มสู่ห้วงนิทราไปได้อย่างง่ายดาย
ลมหายใจแม้จะยังติดขัดอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องดี
ไฮรอสมองดวงหน้าน้อยที่ซีดเซียวแล้วลูบไล้เบาๆ
ด้วยความรัก ตอนที่สัมผัสได้ถึงพลังเวทมนต์รุนแรงราวกับจะระเบิดออกมาจากร่างของโอฟีเรียทำเอาเขาแทบจะทำอะไรไม่ถูก
ยิ่งตอนได้ยินเจ้าพวกไร้ความสามารถจากสำนักแพทย์หลวงแล้วก็คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมืดลง
ไร้แสงอาทิตย์ให้ความสว่าง
แม้จะไม่อยากยอมรับนัก
แต่เพราะยาที่ได้มาจากรีริสโอฟีเรียถึงรอดมาได้ ถ้าหากว่าไม่มียาตัวนั้นเขาก็คงจะเสียโอฟีเรียไปแล้ว
ชายหนุ่มดึงร่างลูกน้อยมาก่อนแน่น
ฝังใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่ม
กดริมฝีปากลงไปครั้งหนึ่งแล้วจึงค่อยปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า
“ฝันดีนะคะ โอฟีเรีย”
-------------------------------------------------------------------------------
มากกว่างานยุ่งก็คือตัน ถถถถถ
มันไม่ใช่ตันเพราะนึกเนื้อเรื่องไม่ออกนะ แต่แบบ...ตันเพราะไม่รู้จะบรรยายออกมายังไงดีนี่แหละ หนักกว่าคิดเนื้อเรื่องไม่ออกอีก
ก็จะมาแบบเอื่อยๆ ช้าๆ อืดๆ แบบนี้แหละค่า อย่าว่ากันเลยน้า
------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่ะ ถถถถถถถ
ตอนที่แล้วเราบอกว่าพระเอกจะมาใช่มั้ยคะ? สรุปคือไม่มาค่ะ ถถถถถถ
นี่คือของขวัญปีใหม่จากเราค่ะ ถถถถถถ
ถึงจะน้อยไปหน่อยก็อย่าโกรธเคืองกันเลยนะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ
ความคิดเห็น