ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #13 : C H A P T E R 12

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 62


    C H A P T E R 12

     

            โอฟีเรียมองพวกเด็กเปรตทั้งหลายที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างสะบักสะบอมที่เต็มไปด้วยฝุ่นของฮิคาริและเด็กผู้ชายผมสีเหลืองทองที่มีดาบไม้อยู่ในฝ่ามือ เขาคือคู่กรณีของฮิคาริที่เธอเห็นจะๆ กับตาว่าเอาดาบไม้ไล่ฟาดอีกฝ่ายอย่างเมามันส์

     

                พวกนายทำอะไรกันน้ำเสียงของโอฟีเรียเรียบนิ่ง เด็กหญิงตัวน้อยก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮิคาริอย่างเชื่องช้า ฝีเท้าขององค์หญิงยักษ์มั่นคงแต่เงียบกริบ ไม่ต่างจากบรรยากาศที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

     

                เงียบสงบ ดั่งทะเลที่ไร้คลื่นลม

     

                แต่ใครเล่าจะรู้ ว่าทะเลที่สงบคือสัญญาณบ่งบอกถึงพายุที่กำลังจะมา

     

                กระหม่อมเพียงแค่ซ้อมประลองพะย่ะค่ะคนที่ตอบคือเด็กผู้ชายผมสีน้ำเงิน โอฟีเรียหรี่สายตาลง เธอเห็นเด็กคนนี้นั่งอยู่ตรงโต๊ะเดียวกับแฝดนรกของตระกูลวินสตัน ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนกับสองแฝด แต่คิดว่าคงจะดีไม่น้อยเลยเชียว

     

                ซ้อมประลอง? ฮึ เป็นการซ้อมประลองที่ยุติธรรมยิ่งโอฟีเรียหัวเราะเบาๆ ประโยคนั้นขององค์หญิงทำให้แผ่นหลังของบรรดาลูกขุนนางเย็นวาบ แม้กระทั่งอาโออิก็ยังรู้สึกขนลุก เขาไม่เห็นจะรู้เลยว่าองค์หญิงที่ทำตัวเหมือนพวกไม่เอาอ่าวในวันนั้นจะมีท่าทางแบบนี้ได้

     

                ตอนแรกที่เห็นโอฟีเรีย เขาก็กาหัวเอาไว้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้อย่างดีก็คงมีสมองกว่าพวกลูกขุนนางคนอื่นนิดหน่อย แต่ถ้าต่ำตมเลยก็เป็นพวกโง่งม

     

                แต่พอมาเห็นท่าทางในวันนี้แล้วอาโออิก็รู้สึกว่าเขาตัดสินโอฟีเรียเร็วเกินไป ผู้หญิงคนนี้มีเรื่องที่เขาไม่รู้อยู่เต็มไปหมด

     

                น่าสนใจชะมัด...

     

                ฮิคาริก้มหน้านิ่ง เขาเห็นรองเท้าสีชมพูหยุดอยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่ภายในหัวของเขากลับไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้ฟังเสียงรอบข้าง

     

                องค์หญิง...โอฟีเรียน่ะหรือ?

     

                ท่าทางของโอฟีเรียในวันนั้นก็บ่งบอกได้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่สักแห่ง แต่เขาไม่เคยคิดจริงๆ ว่าโอฟีเรียจะเป็นถึงองค์หญิงเพียงหนึ่งของประเทศ ผู้เป็นดวงใจของพระราชา

     

                ในเช้าวันนั้นก่อนจะเจอโอฟีเรีย โคฮาร์ทก็เรียกเขาไปทานข้าวร่วมกันในยามเช้า แถมยังพูดถึงว่าวันนี้พระราชากับองค์หญิงจะมาที่บ้าน ขอให้พวกเขาทำตัวกันดีๆ แต่ดูเหมือนว่าภรรยาของโคฮาร์ทคนนั้นจะไม่พอใจ เพราะเธอสั่งให้เขาอยู่แต่ในเรือนเล็ก ห้ามออกมาเผ่นพ่านเด็ดขาด

     

                แถมยังมีการพูดอีกว่าต่อไปองค์หญิงจะมาเป็นคู่หมั้นของอาโออิ

     

                ต่อให้เขาปิดหู และมองแค่ตาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการเอาเรื่องหมั้นหมายมาข่มให้เขารู้สึกแย่ เพราะว่าเขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล หากให้พูดกันตามความจริงแล้ว คนที่ควรจะได้หมั้นกับโอฟีเรียคือเขา แต่กลับเป็นอาโออิแทน แต่ถามเถอะว่าเขาอยากจะหมั้นรึเปล่า

     

                ฮิคาริคร้านจะสนใจ ตอนนั้นขอเพียงแค่ไปให้พ้นๆ โต๊ะอาหารที่แสนจะอึดอัดนั่นเขาก็ยินดีจะทำทุกอย่างแล้ว

     

                แต่พอมาย้อนคิดตอนนี้อีกที เด็กชายรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง

     

                ฮิคาริ เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า? โอฟีเรียย่อตัวลงประคองฮิคาริที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เด็กชายมีการขืนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย หากแต่สุดท้ายก็ยอมผุดกายลุกขึ้นตามแรงประคองขององค์หญิงยักษ์ ข้างขมับของฮิคาริมีรอยเลือดไหลอยู่

     

                โอฟีเรียเห็นแผลบนใบหน้าของเขาแล้วเม้มริมฝีปาก เธอโกรธเด็กพวกนี้จริงๆ ดูก็รู้ว่าฮิคาริอ่อนแอบอบบางขนาดไหน ทำไมพวกเขาถึงไม่ยั้งมือกันบ้าง รังแกคนที่อ่อนแอกว่าแบบนี้มันสนุกรึยังไงกัน

     

                เธอเกลียดจริงๆ คนประเภทนี้!

     

                เลือดออกนี่...โอฟีเรียล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเล็กๆ ที่ชายกระโปรงขึ้นมาซับรอยเลือดที่ไหลตามกรอบหน้าของฮิคาริอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีมรกตของเธอคล้ายมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมายามมองไปทางพวกเด็กน้อยทั้งหลายที่ต่างนั่งเงียบ

     

                องค์หญิง...ฮิคาริกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตามองใบหน้าของโอฟีเรียที่มีทั้งความกังวลใจและกรุ่นโกรธไม่วางตา เขาได้กลิ่นดอกบ๊วยมาจากผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดอยู่ตามกรอบหน้า มันเป็นกลิ่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าที่โอฟีเรียให้เขามาในวันนั้น

     

                องค์หญิง...นี่มัน?เสียงของคารอสคล้ายเป็นดั่งระฆังช่วยชีวิต บรรยากาศน่าอึดอัดที่ลอยวนอยู่รอบตัวของโอฟีเรียคลายลงหลายส่วน เด็กหญิงตัวน้อยมององครักษ์ของตัวเองที่มาพร้อมกับพ่อบ้านด้วยรอยยิ้มบาง

     

                พวกนายมาก็ดีแล้ว พาเขาทำแผลหน่อยสิโอฟีเรียดันร่างของฮิคาริไปหาพ่อบ้านฝาแฝดของตัวเองเบาๆ เมริมกับเมอรินมองเด็กชายที่มีคราบเลือดอยู่บนใบหน้าและเสื้อที่ยับยู่ยี่ของเขาแล้วก็พอจะเดาเรื่องได้บ้าง แต่ที่ไม่เข้าใจสุดๆ คือทำไมองค์หญิงถึงได้รู้จักเด็กคนนี้

     

                ก็องค์หญิงมีเพื่อนกับเขาเสียเมือไหร่...

     

                ลองคิดสิว่าถ้าราชาไฮรอสรู้เข้าว่าองค์หญิงมีเพื่อนเป็นเด็กผู้ชาย...เหอะๆ คงจะสนุกพิลึกเลยเชียว

     

                เมริมกับเมอรินมองหน้าโอฟีเรียด้วยความไม่เข้าใจ เมอรินคล้ายอยากจะถามแต่พอเห็นสายตาของเจ้านายตัวน้อยเขาก็หุบปากลงทันควัน ก่อนจะดันหลังฮิคาริให้เดินออกจากสวนไปทำแผล ส่วนเมริมและคารอสยังคงยืนอยู่กับโอฟีเรีย

     

                ฮิคาริเหลียวหลังไปมองโอฟีเรียครั้งหนึ่งอย่างเป็นกังวล ถึงโอฟีเรียจะเป็นเจ้าหญิง มีองครักษ์ แน่นอนว่าไม่มีใครทำอะไรเธอได้ แต่ยังไงซะโอฟีเรียก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุห้าขวบคนหนึ่ง เธอจะจัดการปัญหาพวกนี้ได้จริงๆ เหรอ

     

                เป็นห่วงจริงๆ

     

                เมอรินวางมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งๆ ของฮิคาริอย่างเบามือแล้วบังคับให้เขาหันหน้ากลับมามองทาง เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรไปมากมาย เขาเพียงแค่ยกรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นบนริมฝีปาก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

     

                องค์หญิงไม่เป็นอะไรหรอก

     

                ฮิคาริเองก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น

                .

     

                .

     

                .

     

                .

     

                .

                หลังจากที่ส่งฮิคาริไปกับเมอรินเรียบร้อยแล้ว โอฟีเรียก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยเธอก็สามารถวางใจได้แล้วว่าฮิคาริจะไม่เป็นอันตราย ตราบใดที่เขายังอยู่ภายใต้การดูแลของเมอริน พ่อบ้านของเธอ

     

                ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยที่ตอนนี้สร้างความกดดันให้กับเด็กหลายคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหยุดลงตรงเด็กผู้ชายผมทองและเด็กผู้ชายผมเขียว สองคนนี้คือคนที่เธอเห็นจะๆ เลยว่ากลั่นแกล้งฮิคาริ หลักฐานมันคาตา

     

                พวกนายไม่รู้เหรอว่าทะเลาะวิวาทภายในเขตพระราชวังหลวงมีการลงโทษอย่างไรเสียงสูดลมหายใจดังขึ้น ก่อนมันจะเงียบลงเมื่อมีเด็กคนหนึ่งเอ่ยคำทักท้วงขึ้นมา

     

                พวกกระหม่อมหาได้ทะเลาะวิวาทกันไม่ เพียงแค่ซ้อมประลองเท่านั้นพะย่ะค่ะ ขอองค์หญิงโปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น

     

                เมริมที่ยืนอยู่ด้านหลังโอฟีเรียถึงกับมุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจ เจ้าเด็กนี่มันกล้าดียังไงถึงกล่าวหาว่าองค์หญิงใส่ร้ายพวกมัน!

     

                ฮึ เจ้าพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อยากลองดีนักหรือ เช่นนั้นเขาจัดให้ก็ได้!

     

                แต่ก่อนที่เมริมจะได้ลงมือสั่งสอนลูกขุนนางปากเสียตามที่ใจปรารถนา คารอสก็ยกมือห้ามเขาเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มองครักษ์ส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเห็นดวงตาแวววาวของเมริม เขาชี้ไปที่โอฟีเรียซึ่งยังคงไว้ด้วยรอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สาบนใบหน้าก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

     

                ปล่อยให้องค์หญิงจัดการเถอะ

     

                เมริมเม้มริมฝีปากครั้งหนึ่งจึงค่อยพยักหน้าตกลง เขามองไปยังพวกลูกขุนนางที่นั่งคุกเข่าบนพื้นด้วยสายตาเย็นเยียบ หากว่าพวกมันคนใดบังอาจกล่าววาจาอาจหาญดูหมิ่นองค์หญิงเหมือนเมื่อครู่ ครั้งต่อไปเขาจะไม่อยู่เฉยๆ แน่

     

                โอฟีเรียได้ยินคำพูดของลูกขุนนางคนนั้นแล้วก็หัวเราะ เธอเหลือบสายตามองเด็กคนหนึ่งที่ในฝ่ามือของเขายังมีก้อนหินอยู่ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้นเตะหินก้อนหนึ่งที่มีสีของเหลวสีแดงเปื้อนอยู่ด้านหนึ่งไปตรงหน้าตัวเองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คงจะเป็นการซ้อมประลองที่ดุเดือดมากเลยสินะ ก้อนหินมันถึงได้ลอยจากพื้นไปกระแทกหัวคนอื่นได้แบบนี้

     

                หินก้อนนั้นถูกโอฟีเรียหยิบขึ้นมาจากพื้น เด็กหญิงมองมันด้วยสายเยือกเย็นก่อนที่เธอจะบีบมันจนแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย ร่วงกราวลงสู่พื้นดิน

     

                อาโออิกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขารู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวมันหนักจนหายใจแทบไม่ออก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกขังเอาไว้ภายในห้องเย็นๆ ที่ทั้งมืดและเงียบ แถมอากาศก็น้อยเหลือเกิน คนอื่นๆ ตรงนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

     

                อาโออิเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่เข้าเฝ้าองค์ราชาเมื่อครึ่งปีก่อนเพื่อไปคุยเรื่องหมั้นหมาย...

     

                ครั้งนั้น ยามที่นั่งคุกเข่าต่อหน้าราชาไฮรอส เขาก็มีความรู้สึกแบบนี้

     

                สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน

     

                พวกนายเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง? รอยยิ้มบนใบหน้าของโอฟีเรียหุบลง แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่กลับชวนให้คนรู้สึกไม่ดี เหงื่อเย็นไหล่ตามกรอบใบหน้าของพวกเขาแถมเสื้อผ้าก็เริ่มจะเปียกแนบกับลำตัวแล้ว

     

                คารอสโอฟีเรียหันสายตาไปมององครักษ์ของตัวเอง คารอสเลิกคิ้วขึ้น เขาเดินมาหาเด็กน้อยแล้วจึงคุกเข่าลงกับพื้น

     

                พะย่ะค่ะองค์หญิง

     

                ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรักการซ้อมประลองเป็นอย่างมาก รบกวนเจ้านำพวกเขาไปที่สนามประลองหลวงโอฟีเรียวนสายตากลับมา และประโยคสุดท้ายที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากอิ่มก็ทำให้คนจะเป็นลมสลบไปจริงๆ ให้พวกเขาไปซ้อมประลองกับพวกองครักษ์หลวงสักหน่อย พวกเขาคงจะพอใจ

     

                คารอสพยักหน้ารับ พะย่ะค่ะองค์หญิง

     

                โทษนี้เหมือนไม่รุนแรง แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว องครักษ์หลวงมีหน้าที่ในการปกปักษ์ราชวงศ์ พวกเขาเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าทหารปกติตั้งกี่สิบเท่า การฝึกฝนล้วนโหดหินยิ่งกว่านรกเสียอีก แล้วการให้เด็กตัวเล็กๆ ทีอายุยังไม่ถึงสิบขวบพวกนี้ไปซ้อมประลองกับพวกเขา อย่างน้อยๆ ก็คงต้องมีเลือดตกยางออกไปบ้าง

     

                เสียงโอดครวญดังขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงของคารอส เด็กหลายคนมีท่าทางเหมือนอยากจะตายไปให้จบๆ พวกเขาเริ่มจะผุดกายลุกขึ้นไปหาคารอส แต่น้ำเสียงหวานของโอฟีเรียหยุดฝีเท้าของพวกเขาเอาไว้ก่อน

     

                เมริมองค์หญิงไม่ได้เรียกพวกเขาคนใดคนหนึ่ง แม้กระทั่งองครักษ์ก็ไม่ได้เรียก แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันหยุดยืนอยู่นิ่งๆ เพื่อรอฟังว่าโอฟีเรียจะกล่าวเรื่องอะไรกับพ่อบ้านคนสนิทของตัวเอง

     

                ขอรับองค์หญิงคำขานรับของเมริมต่างจากคารอส หนึ่งเป็นเพราะความสนิทสนมมีมากกว่าและสองมันคือคำสั่งของโอฟีเรียโดยตรง

     

                จดรายชื่อของพวกเขา แล้วส่งจดหมายไปตระกูลของพวกเขาให้ครบถ้วนโอฟีเรียหลุบสายตาลง แจ้งว่าตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่สิบเดือนหน้า เราให้พวกเขามาซ้อมกับองครักษ์หลวงทุกวันที่สนามประลองหลวง เนื่องจากประทับใจในความรักการซ้อมประลองของพวกเขาอย่างยิ่ง

     

                เมริมรับคำของโอฟีเรียก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคารอสและขบวนเด็กชายลูกขุนนาง อาโออิที่เดินรั้งท้ายขบวนหันมามองโอฟีเรียครั้งหนึ่งด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับแต่เด็กหญิงไม่ได้สนใจเขาแม้สักนิดเดียว เธอมองเศษหินในมือแล้วถอนหายใจ

     

                เธอไม่รู้ว่าโทษนี้จะรุนแรงไปสำหรับพวกเขาหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็จะทำให้พวกเขาไม่มายุ่งกับฮิคาริไปพักหนึ่ง แถมยังเป็นการประกาศไปสู่ตระกูลขุนนางกลายๆ อีกว่า ฮิคาริคือคนของเธอ จะทำอะไรก็ต้องเกรงใจหน้าใหญ่ของเธอเอาไว้ด้วย

     

                โอฟีเรียรู้ว่าวิธีนี้มีผลเสียอยู่หลายอย่าง เช่น พวกเขาจะมีความสามารถมากขึ้นหลังจากนี้ เพราะถึงแม้ว่าจะเหนื่อยยากแค่ไหนแต่ก็ขึ้นชื่อว่าการฝึกซ้อม อย่างน้อยๆ พวกเขาก็จะมีฝีมือการต่อสู้ที่ดีขึ้นหลังจากผ่านช่วงหนึ่งเดือนนี้ไป แถมไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังคิดรังแกฮิคาริอยู่อีกมั้ย ถึงตอนนั้นการปกป้องฮิคาริเองก็คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย ยังไม่นับเรื่องที่ตระกูลของพวกเขาจะชังน้ำหน้าเธอไปด้วย

     

                แต่จะให้โอฟีเรียลงโทษรุนแรงตามกฎของวังหลวงจริงๆ เธอก็ทำไม่ได้ พวกเขาอายุกันไม่เท่าไหร่เอง ถึงเธอจะโกรธมากแค่ไหน แต่ยังไงพวกเขาก็เป็นแค่เด็กที่อายุไม่ถึงสิบขวบ ลงโทษรุนแรงถึงขนาดจับขังคุก ทุบตี มันไม่ใช่ทางของเธอจริงๆ

     

                โอฟีเรียเป่าลมใส่เศษหินในมือพร้อมกับปิดเปลือกตาลง

     

                ขอให้หลังจากนี้ไม่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกันนะ...

     

                องค์หญิงน้อยพ่นความไม่สบายใจทั้งหมดของตัวเองออกไปพร้อมๆ กับลมหายใจ เธอสะบัดกระโปรงที่มีเศษฝุ่นติดอยู่เล็กน้อยแล้วจึงค่อยเดินกลับไปยังศาลาที่ตัวเองเดินจากมา ตอนนี้ท้องของเธอมันร้องโครกครากประท้วงหาอาหารมาพักหนึ่งแล้ว

     

                อย่างไรก็ตาม ถึงองค์หญิงน้อยจะไม่สบายใจ แต่เรื่องที่เธอกังวลนั้นก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น...

    -------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีปีใหม่จ้าาาา 

    ขอให้มีความสุขกันมากๆ น้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×