คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : C H A P T E R 10
C H A P T E R 10
องค์หญิงน้อยมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ในฝ่ามือข้างขวามีขนมไดฟุกุไส้ถั่วที่ถูกกัดไปแล้วครึ่งอัน
ส่วนมือขวามีแก้วน้ำชากุหลาบ โอฟีเรียยกขนมในมือซ้ายขึ้น
ยัดที่เหลือครึ่งหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเนิบนาบ
เธอเบื่อ...เบื่อมาก!
หลายวันมานี้ท่านพ่อสั่งห้ามไม่ให้เธอเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน ห้ามออกไปนอกระเบียงชมจันทร์อีก
หากว่าเธอทำ ไฮรอสจะย้ายตัวเองมานอนเป็นเพื่อนเธอ
โอฟีเรียแสนจะงงงวยกับคำสั่งที่ดูเหมือนไร้สาระนี่ พอเธอถาม อีกฝ่ายก็ตอบมาสั้นๆ
ว่าเป็นห่วงเธอมาก
เป็นห่วง...?
แค่ระเบียงห้องมันมีอะไรน่าเป็นห่วงกัน
หือ...
หรือว่าท่านพ่อจะรู้เรื่องเจ้าหมานั่น?
พอคิดถึงตรงนี้ขนมในปากก็พลันหมดรสชาติไปเสียดื้อๆ
โอฟีเรียกลืนไดฟุกุลงคอแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
ไม่มีทางอ่ะ ท่านพ่อเป็นคนประเภทขี้โวยวาย
ถ้าเขารู้ว่ามีคนแอบมาหาเธอล่ะก็...ไม่มีทางที่เขาจะปิดเงียบหรอก
อีกอย่าง...เรื่องมันก็ผ่านมาหลายวันแล้วด้วย
บางทีไฮรอสคงจะกลัวว่าเธอจะเป็นไข้เพราะตากลมตอนกลางคืนมาเกินไปล่ะมั้ง
องค์หญิงน้อยจิบน้ำชากุหลาบพลางมองแสงแดดด้านนอกห้องไปพลาง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงวันแล้ว
บนโต๊ะกลมที่มักจะมีเพียงแค่ขนมและกาน้ำชาตอนนี้มีตะกร้าเข็มและด้ายเพิ่มเข้ามา
สาเหตุมาจากท่านพ่อเริ่มให้เธอเรียนหลักสูตรเจ้าหญิง
หลักสูตรเจ้าหญิงคืออะไร
ก็คือการฝึกองค์หญิงให้กลายเป็นยอดหญิง เก่งตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
เป็นหญิงแกร่งที่แสนจะน่ายกย่อง
แน่นอนว่ายิ่งเก่งกล้ามากมายเท่าไหร่ก็ยิ่งเนื้อหอม
โอฟีเรียไม่ได้สนใจเรื่องเนื้อหอมหรือไม่ แต่เธอสนใจตรงที่ว่า
ภายในหลักสูตรเจ้าหญิงมีวิชาต่อสู้เพื่อป้องกันตัวด้วย!
แค่ได้ยินเธอก็ตาวาวแล้ว!
แต่มันน่าจี๊ดใจตรงที่หลักสูตรเจ้าหญิงนั้นจะต้องค่อยๆ ปลดล็อคไปทีละวิชา
พอผ่านวิชาแรกถึงจะได้เรียนวิชาที่สอง ไม่มีการเรียนพร้อมๆ กัน หรือกระโดดข้ามไปข้ามมา
ดังนั้นหากเธออยากจะเรียนวิชาต่อสู้
มีทางเดียวคือต้องพิชิตวิชาอื่นให้ครบตามเงื่อนไข
แล้วรู้อะไรมั้ย
วิชาต่อรู้เพื่อป้องกันตัวน่ะ มันคือวิชาสุดท้ายของหลักสูตรเลยล่ะ
นั่นหมายความว่าเธอจะต้องเรียนวิชางานบ้านงานเรือน การปกครอง การค้าขาย
บลาๆ อะไรพวกนั้นให้หมดก่อน...
คิดแล้วก็เครียด...เธอเป็นเจ้าหญิงนะ ถึงจะเป็นองค์หญิงคนเดียวของประเทศ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะได้ขึ้นครองราชย์สักหน่อย! ให้เรียนกันเยอะแยะแบบนี้เนี่ย...ฆ่ากันชัดๆ
สมัยก่อนเธอก็ไม่ใช่พวกหัวดีอยู่แล้ว
พอคิดว่าต้องมาเจอแต่ละวิชาที่ชวนให้คนอยากวิ่งไปกระโดดน้ำตายวันละหลายๆ
รอบก็รู้สึกหน้ามืดไปเป็นแถบ
อยากจะกอดขาอ้อนวอนท่านพ่อผู้แสนจะรักและหลงลูกก็เป็นไปได้ยากเพราะฝ่ายนั้นยื่นคำขาด
หากว่าเธอไม่ตั้งใจเรียนหลักสูตรเจ้าหญิงล่ะก็...เขาจะส่งเธอออกไปศึกษานอกประเทศ
นั่นก็หมายความว่าเธอต้องไปอยู่ต่างเมือง!
ซึ่งโอฟีเรียยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด! ไปอยู่ต่างเมืองก็หมายถึงชีวิตอันแสนสุขสบายของเธอจะหายไป
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ใช่คนรวย ไม่ได้เป็นคุณหนู
อดมื้อกินมื้อก็เคยมาแล้ว แต่พอมาอยู่ในร่างโอฟีเรียนานๆ เข้า
ความสะดวกสบายก็ครอบงำเธอไปทั้งตัว
ตอนนี้บอกได้เลยว่าหากต้องอดข้าวสักครึ่งมื้อก็พอจะทำให้โอฟีเรียดิ้นแล้ว
ในที่สุดโอฟีเรียก็ไม่สามารถทานทนต่อความน่าเบื่อหน่ายภายในห้องของตัวเองได้อีกต่อไป
เด็กหญิงวางแก้วชาที่เหลือน้ำชาอยู่เกือบครึ่งลงบนโต๊ะกลม
นัยน์ตาเหลือบมองตะกร้าเข็มและด้ายสำหรับฝึกวิชาเย็บปักครั้งหนึ่งแล้วส่ายหน้า
คืนนี้เธอค่อยเริ่มถักผ้าพันคอไหมพรมก็แล้วกัน
อย่างน้อยถึงหัวของเธอจะไม่ดี
แต่เรื่องงานฝีมือ โอฟีเรียก็พอจะอวดชาวบ้านเขาได้อยู่บ้างล่ะ...
ดังนั้นเธอคงจะผ่านวิชาเย็บปักไปอย่างไม่ยากเย็นนัก
องค์หญิงน้อยสำรวจเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองครั้งหนึ่ง
ยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ชี้ฟูเล็กน้อยสองสามครั้งก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกมีเพียงแค่องครักษ์อย่างคารอสคนเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มปัดเส้นผมที่บดบังสายตาของตัวเองไปมาด้วยใบหน้าเหม่อลอย
ราวกับว่าวิญญาณของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ สายตาจับจ้องไปยังเพดานสูงอยู่ตลอดเวลา
โอฟีเรียมองท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณของคารอสด้วยสายตาเคยชิน
เธอเดินเข้าไปใกล้องครักษ์ของตัวเองแล้วสะกิดที่แขนของเขาอย่างแผ่วเบา
เพียงแค่นั้นสายตาเลือนลอยก็ดูมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น
เด็กหนุ่มเบนสายตามองเจ้านายร่างเล็กที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวแล้วค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ?”
องค์หญิงน้อยผุดรอยยิ้มสดใส “เราอยากไปที่อุทยาน
เราได้ยินพวกเมริมพูดว่าท่านพ่อให้นำดอกไม้ลงแปลง”
ตอนเช้าที่เมริมและเมอรินเข้ามาเพื่อเก็บกวาดและช่วยเธอแต่งตัวพวกเขาก็พูดถึงดอกไม้ชนิดใหม่ที่ไฮรอสเพิ่งนำเข้ามาจากต่างเมือง
โอฟีเรียเห็นแว๊บว่าสีมันสวยดี เป็นสีน้ำเงินที่สวยมากๆ ดังนั้นจึงอยากจะไปดู
แถมเมอรินยังโฆษณาเสียดิบดีว่ากลิ่นมันหอมสุดๆ
หอมมากๆ
หอมจนชวนให้หลงใหล
บอกเลยว่าโอฟีเรียเชื่อแบบครึ่งๆ
แต่ถ้ามันหอมแบบนั้นก็น่าลอง
เกิดเป็นความจริงขึ้นมาเธอจะได้ให้พวกเขาเอามันไว้ในห้อง
หรือไม่ก็เอาไว้ในตู้เสื้อ เสื้อผ้าจะได้มีกลิ่นหอม
คารอสมองรอยยิ้มสดใสร่าเริงของเจ้านายตัวน้อยครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มย่อกายลงแล้วคว้าร่างขององค์หญิงขึ้นอุ้ม โอฟีเรียไม่ได้ตกใจอะไรกับท่าทางของเขา
เพราะมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่คารอสพาเธอออกไปข้างนอกห้อง เธอชินแล้ว
ครั้งแรกก็มีตกใจจนร้องเสียงหลงบ้าง
แต่พอเจอบ่อยๆ มันก็กลายเป็นความเคยชินน่ะ
เธอเคยถามนะว่าทำไมถึงต้องอุ้มแบบนี้ทุกครั้ง
ฝ่ายนั้นกรอกตาคิดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงค่อยตอบเธอว่า
‘ข้าคิดว่าแบบนี้มันเร็วกว่า...’
จ้ะ งั้นก็ตามใจพ่อเลยจ้ะ
ใช้เวลาไม่นานนัก
ทั้งโอฟีเรียและคารอสก็มาถึงอุทยานภายในพระราชวัง
กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ประดังประเดเข้ามาภายในจมูกของเด็กน้อยตั้งแต่ก่อนที่ปลายเท้าของคารอสจะย่างเข้าสู่บริเวณสวนเสียอีก
โอฟีเรียวางมือบนบ่าขององครักษ์ส่วนตัวแล้วห่อปาก
มองดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ด้วยความชอบใจ
“อู้...” เสียงประหลาดๆ
ถูกพ่นออกมาแผ่วเบา
แต่พวกหูผีอย่างคารอสกลับได้ยินชัดเจนยิ่งกว่ามากระซิบที่ข้างหูเสียอีก
เด็กหนุ่มมองท่าทางตื่นตาตื่นใจขององค์หญิงน้อยแล้วเอียงคอ
เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยสักนิดเดียวว่าแค่ดอกไม้มันน่าสนใจตรงไหนกัน
พวกผู้หญิงหลายคนชอบดอกไม้
แต่เขากลับมองว่ามันไม่มีประโยชน์ แตะนิดแตะหน่อยก็ช้ำไปหมดแล้ว
นอกจากสีสวยและกลิ่นหอม เขาก็ยังไม่เห็นประโยชน์ส่วนไหนของมันสักนิดเดียว
เอาเถอะ...ถ้าองค์หญิงชอบ
ต่อให้เขาเกลียดมันเข้าไส้ก็ต้องพาองค์หญิงมาดูอยู่ดี คิดมากไปก็ปวดสมองเปล่าๆ
เด็กน้อยสูดกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศเข้าปอดลึกๆ รู้สึกดีทุกครั้งที่หายใจเข้า
ปกติการเข้าดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์มาปลูกรวมๆ
กันแบบนี้ย่อมทำให้กลิ่นของมันตีกันไปตีกันมาชวนเวียนหัว
แต่นี่กลิ่นของพวกมันกลับไปในทางเดียวกันหมด
คนจัดสวนมีฝีมือจริงๆ!
โอฟีเรียชอบสวนดอกไม้นี่มากจริงๆ
คารอสพาองค์หญิงในอ้อมแขนเดินตรงไปยังใจกลางของสวนสวยที่มีเก๋งหกเหลี่ยมที่ทำจากหินอ่อนสีขาวสลับดำอยู่
ภายในนั้นมีโต๊ะหินทรงกลมและเก้าอี้อันเล็กทรงเดียวกันอยู่สามตัว
ทำให้ดูไม่แออัดนัก แถมรอบๆ เก๋งยังเป็นดอกไม้สีสวยที่ชวนให้รู้สึกสงบใจ
โอฟีเรียมองตาวาว
เธอรู้แล้วว่าควรเอาตะกร้าเย็บปักถักร้อยของเธอมาทำที่ไหน!
อยู่ท่ามกลางของสวยๆ งามๆ ความคิดคงจะแล่นพล่านแน่
คารอสวางร่างองค์หญิงน้อยในเก๋งหกเหลี่ยมอย่างเบามือ
เด็กหนุ่มมองท่าทางที่หันซ้ายแลขวาของโอฟีเรียแล้วก้มลงพูดกับเจ้านาย
“ให้กระหม่อมไปบอกเมริมเลยหรือไม่ว่าองค์หญิงจะรับมือเที่ยงที่นี่”
โอฟีเรียละสายตาจากการสำรวจรอบๆ
ตัวมามององครักษ์ที่แสนจะรู้หน้าที่ของตัวเอง “ได้ แล้วก็เอาตะกร้าเย็บปักของเรามาด้วยนะ”
รับคำสั่งเสร็จร่างสูงของคารอสก็เดินออกไปจากบริเวณอุทยานด้วยความรวดเร็วชนิดที่โอฟีเรียมองตาค้าง
มันไม่ได้เร็วขนาดที่ตาไม่ทันเห็น
แต่เป็นแบบกะพริบครั้งหนึ่งคารอสก็ไปยืนอยู่หน้าสวนแล้วอะไรแบบนั้น
ซึ่งเด็กหญิงมั่นใจว่าเขาคงจะเร็วได้มากกว่านี้ในอนาคต
เมื่อไร้เงาขององครักษ์
โอฟีเรียก็เดินออกจากเก๋งหกเหลี่ยมและสำรวจไปทั่ว ตอนแรกเธอก็เดินดูแค่รอบๆ
เก๋งแล้วกลับไปนั่งรอด้านในเหมือนเดิม แต่เวลาผ่านไปสักพักคารอสก็ยังไม่กลับมา
เธอเองก็เริ่มเบื่อที่ไม่มีอะไรทำจึงเริ่มสำรวจไกลออกมาเรื่อยๆ
เธอเห็นพวกคนงานกำลังนำดอกไม้สีน้ำเงินลงดินกันอย่างขยันขันแข็งจึงไม่ได้เดินเข้าไปก่อกวน
เพียงยืนมองจากที่ไกลๆ เงียบๆ แล้วถอยห่างออกมา ยิ่งเดินเธอก็ยิ่งรู้ว่าอุทยานหลวงกว้างใหญ่มากแค่ไหน
มันกว้างขนาดที่คงจะสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่เท่ากับคฤหาสน์ของตระกูลวินสตันได้หลายหลังเลยเชียวล่ะ
โอฟีเรียที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมนกชมไม้ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากที่ใกล้ๆ
นี้ เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองผ่านพุ่มไม้ไป
เสียงร้องตะโกนดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้ เจ้าหญิงตัวน้อยไม่รอช้า
สาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าใครเข้ามาร้องโวยวายภายในพระราชวังแบบนี้
ไม่ได้อยากเสือกเลยจริงๆ
นะ...
โอฟีเรียก็พอจะรู้มาบ้างว่าบางส่วนของพระราชวังอนุญาตให้พวกเด็กๆ
ของชนชั้นสูงเข้ามาเล่นได้ แบบ...เข้ามาจัดงานเล็กๆ เพื่อพบปะอะไรแบบนี้
แน่นอนว่าพวกเขาเข้ามากันแทบจะทุกวัน ส่วนเหตุผลต่อให้ตาบอด หูดับ ก็เดาได้ไม่ยากเลย
เผื่อฟลุคเจอราชวงศ์ไง...
ถ้าเกิดว่าได้เจอเข้ากับเชื้อพระวงศ์
อย่างมากพวกเขาจะได้สานมิตร หากเป็นพระสหายได้ชีวิตก็มีแต่รุ่งเรือง
รุ่งโรจน์ไม่มีดับ แถมอำนาจยังล้นมืออีกต่างหาก ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาอ้างว่าตัวเองเป็นเพื่อนกับองค์ชายองค์หญิงก็พอให้ประชาชนกลัวหัวหดแล้ว
แต่ถึงจะไม่ได้ประสานมิตรแต่อย่างน้อยก็ได้แสดงตัวให้เชื้อพระวงศ์เห็น
อืม...ก็เป็นความคิดที่สมกับพวกขุนนางดีนะ
แต่สำหรับโอฟีเรียแล้ว
เธอไม่เอาด้วยหรอกไอ้การประสานมิตรกระชับมิตรกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายพวกนั้นน่ะ
คิดดูนะ พวกเขาคือเชื้อพระวงศ์ใช่มั้ย แล้วจะต้องหยิ่งเบอร์ไหน เอาแต่ใจเบอร์ไหน
ถามจริงเธอจะได้เป็นเพื่อนหรือคนรับใช้
ต้องคอยรองรับอารมณ์เจ้าประคุณขนาดไหนก็ยังไม่รู้เลย แค่คิดเล่นๆ
ก็ขอโบกมือลาก่อนแหละ
องค์หญิงแหวกพงหญ้าแล้วแทรกใบหน้ามองผ่านรู
เธอเห็นเด็กผู้ชายสี่ห้าคนกำลังนั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่ทางฝั่งขวา และสองในห้าก็ดันมีคนรู้สึกของเธอปะปนอยู่ด้วย
ฝาแฝดนรกของตระกูลวินสตัน
อาโออิกับอาคาริ
อืม...นรกสุดๆ
เลยล่ะ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโอฟีเรียตายขึ้นมากะทันหันเมื่อเห็นใบหน้าของสองแฝดนรกที่เธอไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้เลยสักนิดเดียว
เจ้าสองแฝดมันเป็นพวกวิปริตผิดมนุษย์มนา
ต่อให้มีคนยื่นเงินมาให้สักร้อยล้านแล้วบอกว่ากรุณาเป็นเพื่อนกับเจ้าสองแฝดนั่นที
เธอยังเมินแล้วกระโดดตบคนยื่นเงินด้วยซ้ำ
เอาชีวิตไปเสี่ยงกับแฝดนรกมันไม่ใช่เรื่องสนุก!
ทางฝั่งขวามือปกติดี บนใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้
หากแต่ดวงตากลับทอแสงพราวระยับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
โอฟีเรียเลื่อนสายตามองตามจุดที่พวกเขาโฟกัสแล้วก็ถึงบางอ้อ กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที
ฝั่งซ้ายมือของเธอคือกลุ่มเด็กผู้ชายสามคนที่ยืนล้อมวงส่งเสียงเชียร์เด็กสองคนที่ถือดาบไม้ฟัดกันอยู่อย่างเมามันส์
เสียงไม้กระทบกันเป็นระยะพร้อมกับเสียงเฮ
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้ชายจะท้าสู้ประลองฝีมือกันเพื่ออวดและข่ม
หากแต่มันคงจะไม่ใช่กับสถานการณ์ตอนนี้แน่ๆ
ทั้งๆ
ที่พวกเขาควรจะสู้อย่างยุติธรรม
แต่พวกเด็กวงนอกกลับพากันยกก้อนหินขึ้นปาใส่เด็กผู้ชายที่โดนไล่บี้อย่างเห็นได้ชัด
โอฟีเรียเห็นท่าทางตอนที่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบดาบไม้ที่พุ่งเข้าหาตัวแล้วก็รู้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่าเขาคงจะบาดเจ็บที่ขาหรือข้อเท้า
เพราะท่าทางการขยับขามันแปลกๆ คล้ายไม่อยากลงน้ำหนักมากนัก
ตอนแรกโอฟีเรียกะว่าจะรอดูท่าทีของพวกเขาต่ออีกสักนิด
แต่พอเห็นชัดๆ ว่าคนที่ถูกไล่บี้เป็นใครก็ลุกพรวดจากการแอบส่อง
กระโดดข้ามพุ่มไม้ไปอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ปรายตามองพวกที่นั่งจิบชาสบายใจเฉิบครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาพวกที่ส่งเสียงเฮโลราวกับเชียร์มวยด้วยใบหน้านิ่งสนิทเหมือนน้ำแข็งพันปี
โอฟีเรียเรียนรู้การทำหน้าเหมือนปลาตายมาจากท่านพ่อที่เคารพเวลาเจอพวกขุนนาง
ใบหน้านิ่งๆ มันจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงไม่ดังไม่เบาดังขึ้น เด็กน้อยทั้งหลายที่พากันส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นสุขหันกลับมาด้วยความไม่พอใจ
พวกเขาหลายคนอ้าปากเตรียมด่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะ แต่พอเห็นสีผมของผู้มาเยือนก็พากันหน้าซีดปากสั่น
ทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้นจนได้เสียงหัวเข่ากระแทกดินอยู่หลายครั้ง
“ถวายพระพรองค์หญิง!”
โอฟีเรียเชิดใบหน้าขึ้น ท่าทางสูงส่องราวกับนางพญา...
เอาล่ะ
มาดูสิ...ว่าเธอจะสอนเจ้าพวกเด็กเปรตพวกนี้ยังไงดี
-------------------------------------------------------------------------------
อย่างแรกคือขอโทษที่ตอนที่แล้วสั้นนะคะ
แล้วก็ตอนนี้เรามีกองเรือหลักอยู่สองกองเรือสินะคะ หนึ่งคือพี่หมาที่ยังไม่ยอมบอกชื่อ และสองคือฮิคาริ ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ เข้ากลีบเมฆ
ถถถถถถ
เรื่องนี้มีพระเอกนะ ไม่ฮาเร็มด้วย !
ความคิดเห็น