ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #11 : C H A P T E R 10

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 62


    C H A P T E R 10

     

                องค์หญิงน้อยมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในฝ่ามือข้างขวามีขนมไดฟุกุไส้ถั่วที่ถูกกัดไปแล้วครึ่งอัน ส่วนมือขวามีแก้วน้ำชากุหลาบ โอฟีเรียยกขนมในมือซ้ายขึ้น ยัดที่เหลือครึ่งหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเนิบนาบ

     

                เธอเบื่อ...เบื่อมาก!

     

                หลายวันมานี้ท่านพ่อสั่งห้ามไม่ให้เธอเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน ห้ามออกไปนอกระเบียงชมจันทร์อีก หากว่าเธอทำ ไฮรอสจะย้ายตัวเองมานอนเป็นเพื่อนเธอ โอฟีเรียแสนจะงงงวยกับคำสั่งที่ดูเหมือนไร้สาระนี่ พอเธอถาม อีกฝ่ายก็ตอบมาสั้นๆ ว่าเป็นห่วงเธอมาก

     

                เป็นห่วง...?

     

                แค่ระเบียงห้องมันมีอะไรน่าเป็นห่วงกัน หือ...

     

                หรือว่าท่านพ่อจะรู้เรื่องเจ้าหมานั่น?

     

                พอคิดถึงตรงนี้ขนมในปากก็พลันหมดรสชาติไปเสียดื้อๆ โอฟีเรียกลืนไดฟุกุลงคอแล้วถอนหายใจอีกครั้ง

     

                ไม่มีทางอ่ะ ท่านพ่อเป็นคนประเภทขี้โวยวาย ถ้าเขารู้ว่ามีคนแอบมาหาเธอล่ะก็...ไม่มีทางที่เขาจะปิดเงียบหรอก

     

                อีกอย่าง...เรื่องมันก็ผ่านมาหลายวันแล้วด้วย บางทีไฮรอสคงจะกลัวว่าเธอจะเป็นไข้เพราะตากลมตอนกลางคืนมาเกินไปล่ะมั้ง

               

                องค์หญิงน้อยจิบน้ำชากุหลาบพลางมองแสงแดดด้านนอกห้องไปพลาง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงวันแล้ว บนโต๊ะกลมที่มักจะมีเพียงแค่ขนมและกาน้ำชาตอนนี้มีตะกร้าเข็มและด้ายเพิ่มเข้ามา สาเหตุมาจากท่านพ่อเริ่มให้เธอเรียนหลักสูตรเจ้าหญิง

     

                หลักสูตรเจ้าหญิงคืออะไร ก็คือการฝึกองค์หญิงให้กลายเป็นยอดหญิง เก่งตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เป็นหญิงแกร่งที่แสนจะน่ายกย่อง แน่นอนว่ายิ่งเก่งกล้ามากมายเท่าไหร่ก็ยิ่งเนื้อหอม โอฟีเรียไม่ได้สนใจเรื่องเนื้อหอมหรือไม่ แต่เธอสนใจตรงที่ว่า ภายในหลักสูตรเจ้าหญิงมีวิชาต่อสู้เพื่อป้องกันตัวด้วย!

               

                แค่ได้ยินเธอก็ตาวาวแล้ว!

     

                แต่มันน่าจี๊ดใจตรงที่หลักสูตรเจ้าหญิงนั้นจะต้องค่อยๆ ปลดล็อคไปทีละวิชา พอผ่านวิชาแรกถึงจะได้เรียนวิชาที่สอง ไม่มีการเรียนพร้อมๆ กัน หรือกระโดดข้ามไปข้ามมา ดังนั้นหากเธออยากจะเรียนวิชาต่อสู้ มีทางเดียวคือต้องพิชิตวิชาอื่นให้ครบตามเงื่อนไข

     

                แล้วรู้อะไรมั้ย วิชาต่อรู้เพื่อป้องกันตัวน่ะ มันคือวิชาสุดท้ายของหลักสูตรเลยล่ะ

     

                นั่นหมายความว่าเธอจะต้องเรียนวิชางานบ้านงานเรือน การปกครอง การค้าขาย บลาๆ อะไรพวกนั้นให้หมดก่อน...

     

                คิดแล้วก็เครียด...เธอเป็นเจ้าหญิงนะ ถึงจะเป็นองค์หญิงคนเดียวของประเทศ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะได้ขึ้นครองราชย์สักหน่อย! ให้เรียนกันเยอะแยะแบบนี้เนี่ย...ฆ่ากันชัดๆ

     

                สมัยก่อนเธอก็ไม่ใช่พวกหัวดีอยู่แล้ว พอคิดว่าต้องมาเจอแต่ละวิชาที่ชวนให้คนอยากวิ่งไปกระโดดน้ำตายวันละหลายๆ รอบก็รู้สึกหน้ามืดไปเป็นแถบ อยากจะกอดขาอ้อนวอนท่านพ่อผู้แสนจะรักและหลงลูกก็เป็นไปได้ยากเพราะฝ่ายนั้นยื่นคำขาด หากว่าเธอไม่ตั้งใจเรียนหลักสูตรเจ้าหญิงล่ะก็...เขาจะส่งเธอออกไปศึกษานอกประเทศ

     

                นั่นก็หมายความว่าเธอต้องไปอยู่ต่างเมือง!

     

                ซึ่งโอฟีเรียยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด! ไปอยู่ต่างเมืองก็หมายถึงชีวิตอันแสนสุขสบายของเธอจะหายไป เป็นความจริงที่ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ใช่คนรวย ไม่ได้เป็นคุณหนู อดมื้อกินมื้อก็เคยมาแล้ว แต่พอมาอยู่ในร่างโอฟีเรียนานๆ เข้า ความสะดวกสบายก็ครอบงำเธอไปทั้งตัว ตอนนี้บอกได้เลยว่าหากต้องอดข้าวสักครึ่งมื้อก็พอจะทำให้โอฟีเรียดิ้นแล้ว

     

                ในที่สุดโอฟีเรียก็ไม่สามารถทานทนต่อความน่าเบื่อหน่ายภายในห้องของตัวเองได้อีกต่อไป เด็กหญิงวางแก้วชาที่เหลือน้ำชาอยู่เกือบครึ่งลงบนโต๊ะกลม นัยน์ตาเหลือบมองตะกร้าเข็มและด้ายสำหรับฝึกวิชาเย็บปักครั้งหนึ่งแล้วส่ายหน้า คืนนี้เธอค่อยเริ่มถักผ้าพันคอไหมพรมก็แล้วกัน

     

                อย่างน้อยถึงหัวของเธอจะไม่ดี แต่เรื่องงานฝีมือ โอฟีเรียก็พอจะอวดชาวบ้านเขาได้อยู่บ้างล่ะ...

     

                ดังนั้นเธอคงจะผ่านวิชาเย็บปักไปอย่างไม่ยากเย็นนัก

     

                องค์หญิงน้อยสำรวจเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองครั้งหนึ่ง ยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ชี้ฟูเล็กน้อยสองสามครั้งก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป คนที่ยืนอยู่ด้านนอกมีเพียงแค่องครักษ์อย่างคารอสคนเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มปัดเส้นผมที่บดบังสายตาของตัวเองไปมาด้วยใบหน้าเหม่อลอย ราวกับว่าวิญญาณของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ สายตาจับจ้องไปยังเพดานสูงอยู่ตลอดเวลา

     

                โอฟีเรียมองท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณของคารอสด้วยสายตาเคยชิน เธอเดินเข้าไปใกล้องครักษ์ของตัวเองแล้วสะกิดที่แขนของเขาอย่างแผ่วเบา เพียงแค่นั้นสายตาเลือนลอยก็ดูมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น เด็กหนุ่มเบนสายตามองเจ้านายร่างเล็กที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวแล้วค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

     

                มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ?

     

                องค์หญิงน้อยผุดรอยยิ้มสดใส เราอยากไปที่อุทยาน เราได้ยินพวกเมริมพูดว่าท่านพ่อให้นำดอกไม้ลงแปลง

     

                ตอนเช้าที่เมริมและเมอรินเข้ามาเพื่อเก็บกวาดและช่วยเธอแต่งตัวพวกเขาก็พูดถึงดอกไม้ชนิดใหม่ที่ไฮรอสเพิ่งนำเข้ามาจากต่างเมือง โอฟีเรียเห็นแว๊บว่าสีมันสวยดี เป็นสีน้ำเงินที่สวยมากๆ ดังนั้นจึงอยากจะไปดู แถมเมอรินยังโฆษณาเสียดิบดีว่ากลิ่นมันหอมสุดๆ

     

                หอมมากๆ หอมจนชวนให้หลงใหล

     

                บอกเลยว่าโอฟีเรียเชื่อแบบครึ่งๆ

     

                แต่ถ้ามันหอมแบบนั้นก็น่าลอง เกิดเป็นความจริงขึ้นมาเธอจะได้ให้พวกเขาเอามันไว้ในห้อง หรือไม่ก็เอาไว้ในตู้เสื้อ เสื้อผ้าจะได้มีกลิ่นหอม

     

                คารอสมองรอยยิ้มสดใสร่าเริงของเจ้านายตัวน้อยครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มย่อกายลงแล้วคว้าร่างขององค์หญิงขึ้นอุ้ม โอฟีเรียไม่ได้ตกใจอะไรกับท่าทางของเขา เพราะมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่คารอสพาเธอออกไปข้างนอกห้อง เธอชินแล้ว

     

                ครั้งแรกก็มีตกใจจนร้องเสียงหลงบ้าง แต่พอเจอบ่อยๆ มันก็กลายเป็นความเคยชินน่ะ

     

                เธอเคยถามนะว่าทำไมถึงต้องอุ้มแบบนี้ทุกครั้ง ฝ่ายนั้นกรอกตาคิดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงค่อยตอบเธอว่า

     

                ข้าคิดว่าแบบนี้มันเร็วกว่า...

     

                จ้ะ งั้นก็ตามใจพ่อเลยจ้ะ

     

                ใช้เวลาไม่นานนัก ทั้งโอฟีเรียและคารอสก็มาถึงอุทยานภายในพระราชวัง กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ประดังประเดเข้ามาภายในจมูกของเด็กน้อยตั้งแต่ก่อนที่ปลายเท้าของคารอสจะย่างเข้าสู่บริเวณสวนเสียอีก โอฟีเรียวางมือบนบ่าขององครักษ์ส่วนตัวแล้วห่อปาก มองดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ด้วยความชอบใจ

     

                อู้...เสียงประหลาดๆ ถูกพ่นออกมาแผ่วเบา แต่พวกหูผีอย่างคารอสกลับได้ยินชัดเจนยิ่งกว่ามากระซิบที่ข้างหูเสียอีก เด็กหนุ่มมองท่าทางตื่นตาตื่นใจขององค์หญิงน้อยแล้วเอียงคอ เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยสักนิดเดียวว่าแค่ดอกไม้มันน่าสนใจตรงไหนกัน

     

                พวกผู้หญิงหลายคนชอบดอกไม้ แต่เขากลับมองว่ามันไม่มีประโยชน์ แตะนิดแตะหน่อยก็ช้ำไปหมดแล้ว นอกจากสีสวยและกลิ่นหอม เขาก็ยังไม่เห็นประโยชน์ส่วนไหนของมันสักนิดเดียว

     

                เอาเถอะ...ถ้าองค์หญิงชอบ ต่อให้เขาเกลียดมันเข้าไส้ก็ต้องพาองค์หญิงมาดูอยู่ดี คิดมากไปก็ปวดสมองเปล่าๆ

     

                เด็กน้อยสูดกลิ่นหอมที่ลอยมาในอากาศเข้าปอดลึกๆ รู้สึกดีทุกครั้งที่หายใจเข้า ปกติการเข้าดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์มาปลูกรวมๆ กันแบบนี้ย่อมทำให้กลิ่นของมันตีกันไปตีกันมาชวนเวียนหัว แต่นี่กลิ่นของพวกมันกลับไปในทางเดียวกันหมด

     

                คนจัดสวนมีฝีมือจริงๆ!

     

                โอฟีเรียชอบสวนดอกไม้นี่มากจริงๆ

     

                คารอสพาองค์หญิงในอ้อมแขนเดินตรงไปยังใจกลางของสวนสวยที่มีเก๋งหกเหลี่ยมที่ทำจากหินอ่อนสีขาวสลับดำอยู่ ภายในนั้นมีโต๊ะหินทรงกลมและเก้าอี้อันเล็กทรงเดียวกันอยู่สามตัว ทำให้ดูไม่แออัดนัก แถมรอบๆ เก๋งยังเป็นดอกไม้สีสวยที่ชวนให้รู้สึกสงบใจ

     

                โอฟีเรียมองตาวาว เธอรู้แล้วว่าควรเอาตะกร้าเย็บปักถักร้อยของเธอมาทำที่ไหน!

     

                อยู่ท่ามกลางของสวยๆ งามๆ ความคิดคงจะแล่นพล่านแน่

     

                คารอสวางร่างองค์หญิงน้อยในเก๋งหกเหลี่ยมอย่างเบามือ เด็กหนุ่มมองท่าทางที่หันซ้ายแลขวาของโอฟีเรียแล้วก้มลงพูดกับเจ้านาย

     

                ให้กระหม่อมไปบอกเมริมเลยหรือไม่ว่าองค์หญิงจะรับมือเที่ยงที่นี่”

     

                โอฟีเรียละสายตาจากการสำรวจรอบๆ ตัวมามององครักษ์ที่แสนจะรู้หน้าที่ของตัวเอง ได้ แล้วก็เอาตะกร้าเย็บปักของเรามาด้วยนะ

     

                รับคำสั่งเสร็จร่างสูงของคารอสก็เดินออกไปจากบริเวณอุทยานด้วยความรวดเร็วชนิดที่โอฟีเรียมองตาค้าง มันไม่ได้เร็วขนาดที่ตาไม่ทันเห็น แต่เป็นแบบกะพริบครั้งหนึ่งคารอสก็ไปยืนอยู่หน้าสวนแล้วอะไรแบบนั้น ซึ่งเด็กหญิงมั่นใจว่าเขาคงจะเร็วได้มากกว่านี้ในอนาคต

     

                เมื่อไร้เงาขององครักษ์ โอฟีเรียก็เดินออกจากเก๋งหกเหลี่ยมและสำรวจไปทั่ว ตอนแรกเธอก็เดินดูแค่รอบๆ เก๋งแล้วกลับไปนั่งรอด้านในเหมือนเดิม แต่เวลาผ่านไปสักพักคารอสก็ยังไม่กลับมา เธอเองก็เริ่มเบื่อที่ไม่มีอะไรทำจึงเริ่มสำรวจไกลออกมาเรื่อยๆ

     

                เธอเห็นพวกคนงานกำลังนำดอกไม้สีน้ำเงินลงดินกันอย่างขยันขันแข็งจึงไม่ได้เดินเข้าไปก่อกวน เพียงยืนมองจากที่ไกลๆ เงียบๆ แล้วถอยห่างออกมา ยิ่งเดินเธอก็ยิ่งรู้ว่าอุทยานหลวงกว้างใหญ่มากแค่ไหน มันกว้างขนาดที่คงจะสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่เท่ากับคฤหาสน์ของตระกูลวินสตันได้หลายหลังเลยเชียวล่ะ

     

                โอฟีเรียที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมนกชมไม้ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากที่ใกล้ๆ นี้ เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองผ่านพุ่มไม้ไป เสียงร้องตะโกนดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้ เจ้าหญิงตัวน้อยไม่รอช้า สาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าใครเข้ามาร้องโวยวายภายในพระราชวังแบบนี้

     

                ไม่ได้อยากเสือกเลยจริงๆ นะ...

     

                โอฟีเรียก็พอจะรู้มาบ้างว่าบางส่วนของพระราชวังอนุญาตให้พวกเด็กๆ ของชนชั้นสูงเข้ามาเล่นได้ แบบ...เข้ามาจัดงานเล็กๆ เพื่อพบปะอะไรแบบนี้ แน่นอนว่าพวกเขาเข้ามากันแทบจะทุกวัน ส่วนเหตุผลต่อให้ตาบอด หูดับ ก็เดาได้ไม่ยากเลย

     

                เผื่อฟลุคเจอราชวงศ์ไง...

     

                ถ้าเกิดว่าได้เจอเข้ากับเชื้อพระวงศ์ อย่างมากพวกเขาจะได้สานมิตร หากเป็นพระสหายได้ชีวิตก็มีแต่รุ่งเรือง รุ่งโรจน์ไม่มีดับ แถมอำนาจยังล้นมืออีกต่างหาก ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาอ้างว่าตัวเองเป็นเพื่อนกับองค์ชายองค์หญิงก็พอให้ประชาชนกลัวหัวหดแล้ว แต่ถึงจะไม่ได้ประสานมิตรแต่อย่างน้อยก็ได้แสดงตัวให้เชื้อพระวงศ์เห็น

     

                อืม...ก็เป็นความคิดที่สมกับพวกขุนนางดีนะ

     

                แต่สำหรับโอฟีเรียแล้ว เธอไม่เอาด้วยหรอกไอ้การประสานมิตรกระชับมิตรกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายพวกนั้นน่ะ คิดดูนะ พวกเขาคือเชื้อพระวงศ์ใช่มั้ย แล้วจะต้องหยิ่งเบอร์ไหน เอาแต่ใจเบอร์ไหน ถามจริงเธอจะได้เป็นเพื่อนหรือคนรับใช้ ต้องคอยรองรับอารมณ์เจ้าประคุณขนาดไหนก็ยังไม่รู้เลย แค่คิดเล่นๆ ก็ขอโบกมือลาก่อนแหละ

     

                องค์หญิงแหวกพงหญ้าแล้วแทรกใบหน้ามองผ่านรู เธอเห็นเด็กผู้ชายสี่ห้าคนกำลังนั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่ทางฝั่งขวา และสองในห้าก็ดันมีคนรู้สึกของเธอปะปนอยู่ด้วย

     

                ฝาแฝดนรกของตระกูลวินสตัน อาโออิกับอาคาริ

     

                อืม...นรกสุดๆ เลยล่ะ

     

                กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโอฟีเรียตายขึ้นมากะทันหันเมื่อเห็นใบหน้าของสองแฝดนรกที่เธอไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้เลยสักนิดเดียว เจ้าสองแฝดมันเป็นพวกวิปริตผิดมนุษย์มนา ต่อให้มีคนยื่นเงินมาให้สักร้อยล้านแล้วบอกว่ากรุณาเป็นเพื่อนกับเจ้าสองแฝดนั่นที เธอยังเมินแล้วกระโดดตบคนยื่นเงินด้วยซ้ำ

     

                 เอาชีวิตไปเสี่ยงกับแฝดนรกมันไม่ใช่เรื่องสนุก!

     

                ทางฝั่งขวามือปกติดี บนใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้ หากแต่ดวงตากลับทอแสงพราวระยับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ โอฟีเรียเลื่อนสายตามองตามจุดที่พวกเขาโฟกัสแล้วก็ถึงบางอ้อ กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที

     

                ฝั่งซ้ายมือของเธอคือกลุ่มเด็กผู้ชายสามคนที่ยืนล้อมวงส่งเสียงเชียร์เด็กสองคนที่ถือดาบไม้ฟัดกันอยู่อย่างเมามันส์ เสียงไม้กระทบกันเป็นระยะพร้อมกับเสียงเฮ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้ชายจะท้าสู้ประลองฝีมือกันเพื่ออวดและข่ม หากแต่มันคงจะไม่ใช่กับสถานการณ์ตอนนี้แน่ๆ

     

                ทั้งๆ ที่พวกเขาควรจะสู้อย่างยุติธรรม แต่พวกเด็กวงนอกกลับพากันยกก้อนหินขึ้นปาใส่เด็กผู้ชายที่โดนไล่บี้อย่างเห็นได้ชัด โอฟีเรียเห็นท่าทางตอนที่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบดาบไม้ที่พุ่งเข้าหาตัวแล้วก็รู้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่าเขาคงจะบาดเจ็บที่ขาหรือข้อเท้า เพราะท่าทางการขยับขามันแปลกๆ คล้ายไม่อยากลงน้ำหนักมากนัก

     

                ตอนแรกโอฟีเรียกะว่าจะรอดูท่าทีของพวกเขาต่ออีกสักนิด แต่พอเห็นชัดๆ ว่าคนที่ถูกไล่บี้เป็นใครก็ลุกพรวดจากการแอบส่อง กระโดดข้ามพุ่มไม้ไปอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ปรายตามองพวกที่นั่งจิบชาสบายใจเฉิบครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาพวกที่ส่งเสียงเฮโลราวกับเชียร์มวยด้วยใบหน้านิ่งสนิทเหมือนน้ำแข็งพันปี

     

                โอฟีเรียเรียนรู้การทำหน้าเหมือนปลาตายมาจากท่านพ่อที่เคารพเวลาเจอพวกขุนนาง ใบหน้านิ่งๆ มันจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

     

                หยุดเดี๋ยวนี้น้ำเสียงไม่ดังไม่เบาดังขึ้น เด็กน้อยทั้งหลายที่พากันส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นสุขหันกลับมาด้วยความไม่พอใจ พวกเขาหลายคนอ้าปากเตรียมด่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะ แต่พอเห็นสีผมของผู้มาเยือนก็พากันหน้าซีดปากสั่น ทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้นจนได้เสียงหัวเข่ากระแทกดินอยู่หลายครั้ง

     

                ถวายพระพรองค์หญิง!”

     

                โอฟีเรียเชิดใบหน้าขึ้น ท่าทางสูงส่องราวกับนางพญา...

     

                เอาล่ะ มาดูสิ...ว่าเธอจะสอนเจ้าพวกเด็กเปรตพวกนี้ยังไงดี

    -------------------------------------------------------------------------------

    อย่างแรกคือขอโทษที่ตอนที่แล้วสั้นนะคะ 

    แล้วก็ตอนนี้เรามีกองเรือหลักอยู่สองกองเรือสินะคะ หนึ่งคือพี่หมาที่ยังไม่ยอมบอกชื่อ และสองคือฮิคาริ ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ เข้ากลีบเมฆ

    ถถถถถถ

    เรื่องนี้มีพระเอกนะ ไม่ฮาเร็มด้วย ! 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×