ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #9 : C H A P T E R 08

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.41K
      356
      9 ธ.ค. 62

    C H A P T E R 08

     

              โอฟีเรียไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าเธอจะได้เจอคารอสตอนที่อายุสิบขวบเหรอ

     

                เพราะว่าตอนอายุสิบขวบโอฟีเรียจะต้องเข้าสถานศึกษาของประเทศ ทำให้บิดาอย่างไฮรอสเพิ่มองครักษ์ขึ้นมาหนึ่งคนเพื่อติดตามโอฟีเรียไปยังสถานศึกษานอกพระราชวังหลวง และนั่นจะเป็นการพบกันครั้งแรกขององค์หญิงและองครักษ์

     

                แต่นี่ไม่ใช่ว่ามันเร็วไปเหรอ...เร็วจนเธอตั้งรับไม่ทัน

     

                โอฟีเรียคะ เป็นอะไรไปคะ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าไฮรอสก้มมองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นกังวล ใบหน้าของโอฟีเรียซีดเซียวจนแทบจะไร้สีเลือด แถมริมฝีปากสั่นระริก จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

     

                ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆโอฟีเรียกะพริบตา ปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันไปตอบพ่อด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนชอบกล ก่อนจะหันกลับไปมองว่าที่องครักษ์ของตัวเองที่ยืนมองฟ้ามองน้ำด้วยสายตานิ่งสนิท

     

                เมื่อกี้เธอตกใจไปไม่น้อย ตอนนี้พอปรับอารมณ์ได้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมา

     

                คารอสในตอนนี้ต่างจากความทรงจำของเธอไปมากจริงๆ คารอสในความทรงจำของโอฟีเรียคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปี ร่างสูงใหญ่กว่าไรเซลผู้เป็นบิดาบุญธรรมไปมากโข ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นไม่ได้หวานใสเหมือนคุณชายวินสตัน แต่กลับคมเข้มจนพาลให้ใจสั่น โอฟีเรียเองก็ติดใจในใบหน้าคมเข้มแบบนั้นของเขาเหมือนกัน ถึงได้เลือกเล่นรูทคารอสก่อนเป็นรูทแรก

     

                แต่ดูตอนนี้สิ เขาไม่เหมือนมนุษย์น้ำแข็งในเกมคนนั้นเลยสักนิดเดียว ทรงผมไม่เป็นระเบียบ สายตาเหม่อลอย แม้ว่าใบหน้าจะราบเรียบอยู่บ้างแต่ให้ความรู้สึกเหมือนคนไม่สนโลกมากกว่าพวกเย็นชา คารอสตอนนี้กลายเป็นพวกเฉื่อยแฉะไปเสียแล้ว

     

                คุณพ่อไม่น่าพาหนูมาด้วยเลย ถ้ารู้สึกไม่ดีบอกคุณพ่อเลยนะคะ รู้มั้ย?ไฮรอสทาบมือลงบนหน้าผากของบุตรสาวแล้วพบว่ามีไอร้อนบางๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแล้วตำหนิตัวเองในใจ เขาไม่น่าพาโอฟีเรียออกมาจากห้องเลย ทั้งๆ ที่สนามฝึกองครักษ์มีทั้งแดดและลม ถ้าหากว่าโอฟีเรียเกิดป่วยเป็นไข้ขึ้นมา เขาก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

     

                ไม่เป็นไรค่ะโอฟีเรียตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น เธอพูดให้พ่อสบายใจอีกสองสามประโยคก็ชวนกลับมาเรื่ององครักษ์ คิดว่าจะโน้มน้าวให้ไฮรอสไปเลือกคนอื่นขึ้นมาแทน แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว

     

                อ้อ เป็นเจ้านี่เอง บุตรชายบุญธรรมของไรเซลใช่หรือไม่ไฮรอสมองใบหน้าของเด็กหนุ่มมากฝีมือแล้วอมยิ้ม เขารู้มาว่าไรเซลรับบุตรชายบุญธรรมมาได้หลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้เห็นตัวชัดๆ สักที แต่ได้ยินพวกทหารพูดว่าเป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจเกินวัย

     

                เป็นกระหม่อมเองพะย่ะค่ะคารอสแม้จะมีท่าทีเหม่อลอยแต่ก็ได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกตลอด เขาตอบรับเมื่อไฮรอสถามถึงเรื่องของตน ก่อนจะแนะนำตัวเองออกไป กระหม่อมมีชื่อว่าคารอสพะย่ะค่ะ

     

                แล้วเจ้ายินดีจะมารับใช้องค์หญิงมั้ย

     

                คารอสกะพริบตาอยู่สองสามครั้งแล้วก็โค้งศีรษะ หากเป็นรับสั่งของฝ่าบาท

     

                ไรเซลได้ยินคำตอบของบุตรชายแล้วคล้ายได้ยินเรื่องแปลกประหลาด ใบหน้าของเขาถึงได้กึ่งยินดีกึ่งงุนงงแบบนั้น

     

                ต้องรู้ว่าบุตรชายคนนี้มีนิสัยไม่ใคร่จะปกติเท่าไหร่นัก วันๆ เอาแต่นอนเหม่อมองฟ้า ราวกับว่ามันมีอะไรน่าดูหนักหนา จะพูดออกมาแต่ละคำได้ก็ต้องง้างปากจนเหนื่อยทั้งสองฝ่าย แถมเวลาขอความคิดเห็นหรือสั่งให้ทำอะไรเขาก็จะทำหน้ามึนใส่ บอกปัดและเดินหนีไปเลย

     

                เขาเคยถามครั้งหนึ่งว่าทำไมถึงชอบปฏิเสธเขานัก เจ้าลูกชายก็ตอบมาคำเดียวว่า ยุ่งยาก!’

     

                เป็นลูกชายที่ดีเหลือเกิน!

     

                ในการคัดเลือกองครักษ์ประจำตัวองค์หญิงลำดับที่หนึ่งนั้น โอฟีเรียได้แต่นั่งยิ้มและฟังพ่อของตัวเองกับว่าที่องครักษ์คุยกัน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่ปล่อยให้ผู้ชายได้คุยกันไปสักพัก โอฟีเรียก็ได้บทสรุปมาว่า

     

                คารอสจะกลายเป็นองครักษ์ของเธอ ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนต้องมีคารอสไปด้วย และคารอสจะเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้น

     

                โอฟีเรียกลับห้องมาด้วยสภาพร่อแร่เต็มที พอปิดประตูห้องและลงกลอนเรียบร้อยแล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็ทิ้งกายลงบนเตียงนุ่นนิ่มแทบจะทันที ใบหน้าฝังลงบนหมอนขนเป็ดราคาสูงลิบแล้วกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่เสียงที่ออกมาก็ได้ยินแค่อู้อี้

     

                วันนี้เธออยากจะบ้าตายสุดๆ ไม่รู้ว่าพักนี้มันดวงตกหรือไงชีวิตของเธอถึงได้วนเวียนอยู่ใกล้เจ้าพวกตัวหลักชนิดระยะเผาขนแบบนี้!

     

                พอได้กรีดร้องจนพอใจความขุ่นมัวที่รุมมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าคารอสก็ถูกปัดเป่าออกไป เด็กหญิงพลิกกายลงจากเตียงแล้วเดินออกไปยังระเบียงนอกห้องนอน

     

                ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีหมึก เปร่งแสงสีนวลออกมาในยามค่ำคืน โอฟีเรียปิดประตูระเบียงอย่างเบามือแล้วแหงนหน้า หลับตาพริ้มรับลมที่พัดโชยพากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ด้านล่างพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก

     

                วันนี้โอฟีเรียเจอมรสุมมาทั้งวันแล้ว พอได้รับลมเย็นๆ และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ชื่นชอบก็พาลให้อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

     

                พออารมณ์ดีขึ้นมาก เรื่องที่ได้คารอสมาเป็นองครักษ์ก็ไม่ใช่ปัญหาหนักใจอยู่แล้ว

                                                                                                                                       

                อย่างไรเรื่องที่คารอสเป็นทหารองครักษ์ฝีมือดีนั้นก็เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ มีเขาอยู่ข้างตัวโอฟีเรียเองก็ปลอดภัยมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะคล้ายเอาหมาบ้ามาเลี้ยงในห้องนอนที่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งมันจะลุกขึ้นมาขย้ำคอเราตอนไหนก็ตามที

     

                ในอนาคตถ้าหากว่าคารอสคิดจะรักจะชอบใคร โอฟีเรียก็แค่ช่วยกรุยทางให้เขา ไม่ขัดขวางและสนับสนุนให้เต็มที่ก็พอ เพียงแค่นี้แบดเอ็นน่าหวาดกลัวพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องไกลตัวไปแล้ว

     

                โอฟีเรียไม่สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อเรื่องของเกมจะเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว หากว่าการเปลี่ยนเนื้อเรื่องจะช่วยทำให้เธอมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นก็มีคุณค่าพอที่จะเสี่ยง เธอไม่มีทางยอมทำตัวโง่ๆ เล่นไปตามเนื้อเรื่องเด็ดขาด เพราะการตายในตอนจบไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา

     

                ใครหลายคนดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ แล้วจะให้เธอทิ้งชีวิตไปง่ายๆ โดยที่ไม่ได้ลองพยายามได้อย่างไร

     

                เหมือนเป็นการดูถูกเหล่าคนที่พยายามเพื่อใช้ชีวิตในวันต่อๆ ไปอย่างยากลำบากพวกนั้น เพราะว่าชีวิตของโอฟีเรียมีพร้อมหมดทุกอย่าง ไม่ต้องทำงานให้ลำบากลำบนก็สามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อย่างยาวนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า สมกับที่ได้รับมา

     

                เด็กหญิงสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องตกใจจนตาค้างเมื่อบนรั้วริมระเบียงมีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่

     

                โอฟีเรียตกใจจนเปล่งเสียงไม่ออก ร่างนั้นกระโดดลงจากรั้วระเบียง ก้าวเดินเข้ามาหาเด็กหญิงตัวจ้อยที่สูงเลยช่วงขาอ่อนของเขามาได้เล็กน้อยอย่างเชื่องช้า ปลายเส้นผมสะบัดพลิ้วในอากาศอยู่ด้านหลัง โอฟีเรียก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตาก็จับจ้องร่างสูงที่ที่ใกล้เข้ามาทุกทีโดยที่ไม่ได้ละสายตาแม้สักเสี้ยววินาที

     

                ไม่ต้องกลัวข้าขนาดนั้นก็ได้ ยักษ์จิ๋ว

     

                ร่างสูงหยุดเดินพอดีกับที่แผ่นหลังของโอฟีเรียแนบกับบานประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมเธอก็ผ่อนลมหายใจออกมา พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่สติตอนนี้จะอำนวย

     

                เพราะว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พวกมีร่างเนื้ออย่างเธอ ตอนนี้โอฟีเรียจึงรู้สึกขนลุกพรึ่บทั่วร่าง

     

                จะไม่ให้กลัวได้ไง นายไม่ใช่คนนี่!” เสียงที่ตอบกลับไปแม้จะกระท่อนกระแท่นเพราะความกลัวแต่ก็ยังฟังออกมาเป็นประโยคได้อย่างไม่ตกหล่น โอฟีเรียควานมือหาลูกบิดประตู เตรียมพร้อมจะเปิดเข้าห้องทันทีที่อีกฝ่ายเผลอ

     

                แต่เด็กหญิงลืมคิดไปนิด ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเป็นผีจริง ต่อให้เธอปิดประตูหนีเขาก็ผ่านเข้ามาในห้องได้ง่ายๆ

     

                ร่างสูงได้ยินคำพูดของบุตรสาวราชายักษ์แล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ

     

                หึๆ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คน?ฝ่ายนั้นยื่นลำแขนเปลือยเปล่ามาด้านหน้า เจ้าอยากจะลองพิสูจน์มั้ย

     

                ไม่!” โอฟีเรียตอบออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดสักนิด เธอยิ้มออกมาเมื่อสามารถเปิดประตูได้แล้ว แต่ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยจะได้หลบหนีเข้าห้องนอนของตัวเองตามที่หวังเอาไว้ ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็คว้าแขนของเธอเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรงจนร่างของเธอปะทะเข้ากับกล้ามเนื้อแข็งๆ

     

                ใบหน้าของเด็กหญิงแนบอยู่ตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย โอฟีเรียยังไม่ทันได้ตกใจดีใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าใบหน้าของตนแนบกับร่างกายของเขา!

     

                ร่างกายของข้าอุ่นหรือไม่ ยักษ์จิ๋วน้ำเสียงออกร่างสูงเจือมาด้วยความหยอกล้อและเสียงหัวเราะจางๆ โอฟีเรียเม้มริมฝีปากแน่น ถอยห่างจากร่างของคนนิสัยเสีย แต่ถอยได้ไม่มากนักเพราะว่าท่อนแขนของเธอถูกเขากำเอาไว้เสียแน่น

     

                โอฟีเรียมองข้อมือที่ถูกกำเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

     

                ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ผีอย่างที่เข้าใจมาตลอด ดังนั้นเธอสามารถทุบตีเขาอย่างไรก็ได้ และแน่นอนว่าเธอย่อมทบต้นทบดอกให้คุ้ม ไม่ใช่เพียงแค่ดึงหากเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเมื่อครั้งก่อนนู้น

     

                โอฟีเรียขมวดคิ้ว...ตอนนั้นเธอก็ดึงหางเขาลงมาจากต้นไม้ได้นี่นา

     

                ชายหนุ่มหัวเราะขำกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนตรงหน้า ตอนแรกที่เห็นก็ทำท่ากลัวจนแทบจะวิ่งหนี หลังจากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าเขินอายผสมโกรธเคือง แต่ตอนนี้กลับทำหน้าเคร่ง ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว

     

                ว่าอย่างไร ร่างกายของข้าอุ่นดีหรือไม่

     

                ปล่อยข้อมือของฉันได้แล้ว เจ็บ!” โอฟีเรียไม่ตอบคำถามของคนตรงหน้าแต่เปลี่ยนเป็นบิดข้อมือออกจากฝ่ามือของเขาแทน ซึ่งชายหนุ่มก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายอมปล่อยข้อมือของโอฟีเรียโดยที่ไม่คัดค้านอะไร

     

                เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ

     

                โอฟีเรียกรอกตา อุ่น! พอใจหรือยัง

     

                ก็แค่นั้นเขายักไหล่ขึ้น ทำราวกับไม่สนใจเท่าไหร่นัก แต่เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าหางของเขาปัดป่ายไปมาเหมือนพวกหมาที่ชอบกระดิกหางเวลาได้รางวัล

     

                โธ่...ที่แท้ก็ขี้เก๊กด้วยนี่เอง

     

                นายมาที่นี่ทำไม ไม่ใช่ว่าต้นบ๊วยนั่นเป็นที่สิงสถิตของนายเหรอ

     

                ชายหนุ่มเอียงคอ นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นอะไรถึงได้สิงสถิตในต้นบ๊วยแก้มนิ่มของโอฟีเรียถูกเจ้าคนนิสัยแย่จับดึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ร้องออกมาได้แค่ครึ่งคำแก้มของเธอก็ถูกบีบจนเป็นรอยแดงเสียแล้ว นอกจากจะบอกว่าข้าไม่ใช่คนแล้ว เจ้ายังหาว่าข้าเป็นพวกภูติขี้เมาพวกนั้นด้วยหรือ

     

                โอฟีเรียไม่เข้าใจที่เขาพูดเท่าไหร่นัก แต่ก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเท่าไหร่นัก

     

                อ่อยเอี่ยวอี้อะ!” เด็กหญิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้พลางแกะมืออีกฝ่ายจากแก้มของตัวเอง แต่แกะเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับสักนิดเดียว แงะอยู่เป็นนานสองนาน กว่าที่อีกฝ่ายจะเลิกขย้ำแก้มเธอเล่น ก้อนเนื้อสองข้างก็รู้สึกระบมไปหมดแล้ว

     

                อ่า... เห็นแก่เจ้าโมจิที่น่าสงสารพวกนี้ ข้าจะยอมบอกแล้วกันว่าข้ามาทำไมฝ่ามือลูบไล้ที่แก้มแดงก่ำของเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมกับกลั้นขำ เขายกฝ่ามือหนีเมื่อโอฟีเรียฟาดลงมา แน่นอนว่ามันไม่โดนเขาหรอก นั่นทำให้แก้มของเด็กน้อยมีรอยฝ่ามือจางๆ ปรากฏอยู่ด้วย

     

                โอฟีเรียด่าคนตรงหน้าในใจไปหลายคำ ทั้งยังสรรเสริญไปถึงบรรพบุรุษของอีกฝ่ายด้วยที่เลี้ยงให้เขามีนิสัยแบบนี้ กวนประสาทไม่พอยังชอบรังแกผู้หญิง! ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ในสังคมมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน ไม่โดนคนเขาด่าโครตด่าเง้าหรือไง!

     

                สรุปนายมาทำไม ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่คือที่ไหนเด็กหญิงนวดแก้มที่ระบมของตัวเองทั้งน้ำตาคลอเบ้า เธอสูดน้ำมูกที่ทำท่าจะไหลครั้งหนึ่ง เกิดเป็นเสียงที่ฟังดูแล้วน่าขำ

     

                รู้สิ ที่นี่คือวังหลวงชายหนุ่มผลิรอยยิ้ม หางของเขาสะบัดไปมาอย่างคนอารมณ์ดี เขาทำท่าจะพูดต่อแต่เงียบเสียงลงพร้อมด้วยใบหน้าที่เรียบสนิท หูทั้งสองข้างบนศีรษะกระดิกอยู่ไม่กี่ครั้งชายหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา

     

                ข้าว่าข้าควรรีบสักหน่อย ก่อนที่คนของเจ้าจะมาเจอโอฟีเรียเอียงคอ กำลังจะอ้าปากถามฝ่ายนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปาก

     

                เจ้าไม่ต้องเอ่ยอะไร ฟังข้าอย่างเดียวก็พอ เข้าใจหรือไม่เด็กหญิงอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่เข้าใจสักนิด แต่ก็จำใจพยักหน้ารับไป

     

                ดี ถ้างั้นฟังข้าเอาไว้ให้ดีนะยักษ์จิ๋ว จงระวังบุตรชายตระกูลวินสตันเอาไว้

     

                ครานี้โอฟีเรียไม่สามารถเงียบเสียงได้อีกต่อไป เด็กหญิงขมวดคิ้วแล้วพูดออกไป

     

                คนพี่หรือคนน้อง

     

                คนพี่ชายหนุ่มกลับไปยืนบนรั้วระเบียงอีกครั้ง เขาแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าครั้งหนึ่งก่อนกวักมือเรียกโอฟีเรียให้เดินมาหา

     

                โอฟีเรียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่นัก เรื่องที่เขาบอกมันเป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว พวกตระกูลวินสตันคือพวกตัวเอก ถ้าหากไม่จำเป็นเธอจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน

     

                คล้ายว่าเห็นเธอชักช้าไม่ได้ดั่งใจ ชายหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาก่อนที่เขาจะยกนิ้วขึ้นปัดในอากาศสองสามครั้ง ร่างของโอฟีเรียก็ลอยหวือ พุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้

     

                ว้าย!”

     

                โอฟีเรียร้องเสียงหลงเมื่อร่างกายของเธออยู่ๆ ก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายที่ริมระเบียงโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้สักนิดเดียว เด็กหญิงหลับตาปี๋เตรียมตัวรับแรงปะทะ แต่ผ่านไปสักพักหนึ่งก็ยังไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดสักนิด จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

     

                ภาพตรงหน้าทำเอาเธอผงะกายด้วยความตกใจ ใบหน้าของชายหนุ่มห่างจากเธอไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ แสงจากดวงจันทร์ทำให้ใบหน้าของคนตรงหน้ามืดไปด้านหนึ่ง ให้ความรู้สึกลึกลับและงดงามไปพร้อมๆ กัน

     

                นี่เป็นครั้งแรกที่โอฟีเรียได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนขนาดนี้ โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอำพันที่คล้ายจะเรืองแสงได้คู่นั้น มองแล้วมันช่างสวยงามจับใจจริงๆ

     

                นะ นายทำอะไรโอฟีเรียหลุบสายตามองปลายเท้าก็พบว่าร่างของเธอลอยขึ้นเหนือพื้น คิดไปคิดมาในหัวก็พบว่าเรื่องที่หนังสือบอกเอาไว้น่าจะเป็นความจริง ที่ว่าพวกจิ้งจอกสวรรค์เชี่ยวชาญการใช้มนตรามากเป็นพิเศษ

     

                แถมยังเจ้าเล่ห์!

     

                ข้าก็แค่อยากได้ค่าแรงเท่านั้นเองชายหนุ่มยักไหล่ ลอยหน้าลอยตาพูดเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโอฟีเรียแล้วมันไม่ใช่

     

                ค่าแรงบ้าบออะไร! เธอไม่เคยไปตกลงอะไรกับเขาไว้สักหน่อย!

     

                ค่าแรงบ้าบออะ...!” พูดยังไม่ทันได้จบประโยคดี อีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลง จุมพิตลงบนหน้าผากของเด็กหญิงไปเสียแล้ว

     

                โอฟีเรียแข็งค้าง ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ จับจ้องใบหน้าของคนที่ก่อนหน้านี้เธอเรียกในใจว่าหมาสิงต้นไม้กลายเป็นหมาบ้าหน้าไม่อาย ก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะค่อยๆ เห่อร้อนขึ้นอย่างเชื่องช้าตามสติที่ยังไม่สมประกอบดี

     

                ไอ้เจ้าหมาโรคจิต!

     

                เด็กหญิงยกฝ่ามือ กะว่าจะฟาดเขาสักทีแต่กลับพบว่าร่างสูงของเขาไม่ได้อยู่ตรงรั้วระเบียงแล้ว เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นที่เหนือศีรษะ โอฟีเรียตวัดตามองร่างของหมาหน้าไม่อายที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความไม่พอใจ

     

                ถือว่าเป็นราคาที่...สมน้ำสมเนื้อดีพูดจบร่างนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา โอฟีเรียอัดอั้นตันใจ อยากจะฟาดคนสักทีก็ฟาดไม่ได้ จะให้กรีดร้องระบายความไม่พอใจก็กลัวเหลือเกินว่าจะปลุกชาวบ้านในตื่นขึ้นมาดึกๆ ดื่นๆ สุดท้ายจึงได้ฟึดฟัดกับตัวเองเท่านั้น

     

                โอฟีเรียฮึดฮัดด้วยความหงุดหงิดใจ เธอเปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ไม่มีอารมณ์จะมาชมจันทร์ตากลมอีกต่อไป!

     

                แต่พอคิดถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่ประทับบนหน้าผากความหงุดหงิดในใจก็เบาบางลง แทนที่ด้วยความเขินอายจนหน้าร้อนฉ่า ต่อให้ไม่ต้องส่องกระจกดู โอฟีเรียก็รับรู้ได้ไม่ยากว่าใบหน้าของเธอจะต้องแดงก่ำไม่ต่างจากมะเขือเทศแน่ๆ

     

                แกรก...

     

                ประตูห้องนอนของเด็กหญิงถูกเปิดออกอย่างเบามือ เป็นจังหวะเดียวกับที่โอฟีเรียเพิ่งจะงับบานประตูระเบียงให้เรียบร้อย เธอมองไปทางประตูที่ตนเข้าใจว่าลงกลอนเป็นอย่างดีแล้วด้วยความไม่ใจเท่าไหร่หลังจากที่เจอเหตุการณ์โดนบุกห้องเมื่อสักครู่นี้ แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ผลิรอยยิ้ม

     

                ท่านพ่อ...

     

                เป็นไฮรอสที่เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มอยู่ในชุดเดี๋ยวกับเมื่อตอนกลางวัน แต่ไม่ได้เรียบร้อยมาก ติดจะยับยู่ยี่ด้วย ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้เหมือนปกติ แต่นัยน์ตากับฉายแววบางอย่างที่ทำให้โอฟีเรียรู้สึกหายใจไม่ค่อยทั่วท้องเท่าไหร่

     

                ยังไม่นอนอีกเหรอคะ เด็กน้อยของคุณพ่อไฮรอสกวาดสายตามองรอบห้องของบุตรสาวครั้งหนึ่งแล้วก้มลงพูดกับเด็กน้อยที่มองเขาอยู่ ชายหนุ่มยกร่างของลูกสาวขึ้นอุ้ม กดจมูกลงบนแก้มกลมแล้วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพาร่างเล็กไปยังเตียงนอน

     

                หนูออกไปดูพระจันทร์ที่ระเบียงมาค่ะ โอฟีเรียเอนหลังนอนลงบนเตียงตามที่ผู้เป็นพ่อต้องการ ปัดเป่าความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับสายตาของบิดาเมื่อกี้ออกไปจนหมดสิ้น แล้วยกยิ้มหวานหยดให้กับเขา

     

                เหรอคะ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว ถึงเวลาที่เด็กดีต้องนอนแล้วค่ะไฮรอสอมยิ้ม เอ็นดูกับความน่ารักของบุตรสาวยอดดวงใจ เขาก้มลงจุมพิตบนหน้าผากของบุตรสาวครั้งหนึ่งแล้วลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน โอฟีเรียเองเมื่อได้ยินคำของบิดาก็พยักหน้า รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที จึงค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน

     

                ไฮรอสมองบุตรสาวที่นอนหลับตาพริ้ม ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กน้อยของเขาเข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงความราบเรียบที่ชวนให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ

     

                นัยน์ตาสีเขียวมรกตเรืองรองในความมืดหรี่ลง จับจ้องไปยังบริเวณหน้าผากเนียนของบุตรสาว ก่อนที่ชายหนุ่มจะจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ

     

                มีไอ้บ้าไม่รักชีวิตคนหนึ่งบังอาจมายุ่มย่ามกับองค์หญิงน้องของเขา!

     

                ตอนที่นั่งทำงานอยู่ภายในห้อง อยู่ๆ ที่ห้องของโอฟีเรียก็มีกลิ่นอายไม่คุ้นเคยเพิ่มเข้ามา ไฮรอสไม่สนใจงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่สักนิด ทิ้งมันแล้วเดินออกมาจากห้องโดยที่ไม่ฟังคำทัดท้านของคิมสันที่อยู่ช่วยเขาทำงานสักประโยค หัวใจของเขามันร้อนรุ่มไปด้วยความกังวลจนแทบบ้า

     

                แต่พอมาถึงห้องของบุตรสาว กลิ่นอายแปลกประหลาดนั่นก็หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยให้ตาม นับว่าเจ้านั่นพอมีฝีมืออยู่บ้าง

     

                ไฮรอสกำฝ่ามือแน่น นัยน์ตามองตรงไปยังต้นบ๊วยที่อยู่บนเนินไกลออกไปด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

     

                แต่ถึงจะพอมีฝีมืออยู่นิดหน่อย แต่ยังไงก็เป็นแค่เด็กกำลังโตเท่านั้น...

    .

     

                .

     

                .

     

                .

     

                .

     

                .

                ไกลออกจากพระราชวังหลวงอันโออ่า บนเนินสูงที่มีต้นบ๊วยขึ้นเป็นสง่าอยู่ กลิ่นหอมของดอกบ๊วยกระจายออกไปทั่วบริเวณร้างไร้ผู้คน ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงกับลำต้นใหญ่โตของต้นบ๊วยอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากครี่รอยยิ้มออกมาพร้อมกับฮัมเพลงในลำคอเบาๆ

     

                หึๆชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่เพ่งเล็งมาที่เขาอย่างไม่ปิดบังจากทางราชวังหลวงที่เพิ่งจากมา

     

                เขารู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีทางสู้ยักษ์พ่อลูกอ่อนนั่นได้อยู่แล้ว ต่อให้เค้นพลังออกมาจนเลือดตากระเด็นก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะสร้างรอยขีดข่วนบนร่างกายที่ดูไร้กำลังนั่นได้ ฝ่ายนั้นอายุมากกว่าเขาตั้งกี่ร้อยปี มีประสบการณ์รบมาอย่างโชกโชน ถ้าเขาสู้ได้ก็เป็นเรื่องแปลกเกินไปแล้ว

     

                แต่ถึงจะรู้แบบนั้น เขาก็ยังแหย่รังเสือโดยที่ไม่เกรงกลัว ก็ทำไงได้เล่า... เห็นเจ้ายักษ์น้อยแล้วมันหมั่นเขี้ยว

     

                พอคิดถึงกลิ่นหอมกรุ่นจากหน้าผากขาวเนียนนั่นก็ทำให้เขาอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก เด็กยักษ์คนนั้นไม่ได้มีกลิ่นสาบของพวกกระหายเลือดเหมือนพวกยักษ์คนอื่น แต่กลับเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นของดอกบ๊วย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นหอมนี้จากร่างกายเล็กๆ นั่นก็รู้สึกติดใจไม่หาย

     

                เหมือนพวกโรคจิตเลยแหะ

     

                เพราะว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกสวรรค์ ถึงชื่อจะสวยหรูแต่ยังไงก็คือหมา และหมาก็เป็นพวกจมูกไวต่อกลิ่นมากเสียด้วย

     

                ปกติเวลาได้กลิ่นของพวกยักษ์เขาจะหลีกหนีไปให้ไกล เพราะเจ้าพวกนั้นจะมีกลิ่นสาบของเลือดที่ชวนให้คลื่นไส้ เวียนหัว อยากจะเอาจมูกไปซุกถุงหอมเสียตลอดเวลา แต่ทำแบบนั้นมากๆ เข้าจากกลิ่นหอมของดอกไม้ก็จะกลายเป็นเหม็นจะอ้วกอีก

     

                ยิ่งช่วงวันพระจันทร์เต็มดวง ประสาทรับรู้ของเขายิ่งจะดีมากขึ้นไปอีก นั่นทำให้เขาต้องหนีมาซุกตัวอยู่ที่ต้นบ๊วย

     

                ถึงจะต้องทนฟังเจ้าพวกภูติบ๊วยที่มีนิสัยขี้เมาพวกนี้บ่นอยู่ข้างหู เขาก็ไม่สนใจ ข่มตาหลับๆ ไปเสียก็จบ

               

                แต่กลับองค์หญิงยักษ์น้อยคนนั้น นอกจากกลิ่นกายจะหอมติดจมูกแล้ว นิสัยของนางยังน่ารักน่าเอ็นดูอีกด้วย ยิ่งรวมกับใบหน้าและแก้มขาวๆ นั่นก็ชวนให้คนรู้สึกหมั่นเขี้ยวแล้ว

     

                อาจจะเพราะว่าติดใจขนาดนั้น เขาถึงได้ยอมเขาถ้ำเสือ...เตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงนิดหน่อย

     

                แค่นิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่าเด็กคนนั้นเป็นสิ่งพิเศษ เขาอยากจะเก็บเอาไว้ดูเล่นให้นานๆ หน่อย

     

                ชายหนุ่มเหยียดขาที่ตั้งชันของเขาตัวเอง เปิดเปลือกตามองไปยังพระราชวังหลวงที่สว่างไสวแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ

     

                คืนนี้ กลิ่นบ๊วยช่างหอมหวานติดจมูกจริงเชียว...

    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    ช่วงนี้กำลังคึกค่ะ หัวแล่นสุดๆ เลยสามารถเขียนได้เรื่อยๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×