ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Killer สุดป่วนก๊วนโจรสลัด

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 นิทานพื้นบ้าน และ คำทำนายพิศวง

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 55


     Chapter 8 นิทานพื้นบ้าน และ คำทำนายพิศวง

                    วิ่งเล่นไปเสียทั่ว  ดวงไฟสว่างแต่งแต้มถนนให้สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ   อากาศร้อนจากความเนืองแน่นของผู้คน  ผิดกับอากาศภายนอก  ทำให้ในวันที่หนาวเย็นนี้อบอุ่นขึ้นทันตา   บรรดาของเล่นมากมายที่ไม่อาจได้เคยสัมผัสอาหารเลิศรสที่ไม่เคยได้กิน  สิ่งที่เคยได้แต่เพียงยืนมองจากที่ไกลๆ  วันนี้ดูเหมือนผมจะได้กลายเป็นเด็กธรรมดาๆเสียที ตอนนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน….

    “โหววววว   ดูโชว์นั่นสิ  เจ๋งเป็นบ้าเลย”  ผมระริกระรี้กับการแสดงบนเวทีประกวดอย่างออกนอกหน้า

    “อ๋อ  ไอ่ที่หมุนจานบนปลายไม้นั่นหน่ะนะ  ถ้าชอบก็ลองของให้เจ้าไนท์สอนให้สิ”  แอลที่วันนี้ต้องมาเป็นพี่เลี้ยง(นำเที่ยว)ของผมเอ่ยขึ้น

    “เอ๋  ไนท์คุงแบบนั้นได้ด้วยเหรอ  สุดยอดดดด!!!”  แอลเกาหัวแล้วตอบกลับมาว่า

    “อ่า..ถ้าจะพูดแบบนั้น  มันก็ใช่อยู่หรอก”

    “อยากจะขอเป็นลูกศิษย์จัง”

    “ก็เอาสิ  เดี๋ยวกลับเรือไปก็ขอซะสิ”

    “กลับเรือ?  ยังไง  ผมไม่เข้าใจ”  ผมงงนี่แอลพยายามจะสื่อสารอะไรกับผม

    “ก็นั่นมันเจ้าไนท์ไง  ดูไม่ออกเหรอ..

    “ห๊า!!  พูดจริง!?!?”  ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อคนๆนั้นหน้าไม่เห็นเหมือนไนท์คุงเลอะ..เลยเดี๋ยวสิ  ไนท์คุงเค้า…….

    “ไนท์คุงปลอมตัวมาหรอกเหรอครับ”  ผมเอ๊ะใจถามไป

    “อ่าหมอนั่นแหละ   อันที่จริงหมอนั่นปลอมตัวมาแสดงในโชว์ต่างๆวันนี้รวมแล้วมากกว่า7คนแล้ว   แถมชนะเลิศทุกงานอีกต่างหาก เป็นนักล่ารางวัลเลยหล่ะ”  แอลอธิบายอย่างกับไม่ได้มาด้วยกัน   เพราะผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย

    “เอ๋อย่างขี้โกงอ่ะ   แต่….สุดยอดไปเลยนะครับ”

    “อ่า  หมอนั่นหน่ะ  สุดยอดจริงๆแหละ”

    “เอ๋  แปลกใจที่มีคนโดนชมจากปากแอลด้วยนะเนี่ย”

    “ก็นะ   แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆแหละ   หมอนั่นขึ้นเรือมาก่อนนายได้ไม่นาน  แต่ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของกำลังรบของเดอะคิลเลอร์อย่างรวดเร็ว  อาจไม่ถึงกับที่สุด  แต่หมอนั่นก็ใก้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบมาก”

    “สมบูรณ์แบบ?”

    “ใช่  ไม่ว่าเรื่อศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ   ฝีมือดาบ  ฝีมือการยิงปืน   ฝีมือด้านดนตรี   ฝีมือด้านทำอาหาร   การปลอมตัว  การคาดคะเน  ความรู้วิทยาการ ความรู้ด้านกายภาพมนุษย์  วิชาแพทย์  วิชาการซ่อมบำรุง  ถึงไม่ใช่ที่สุดแต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา หรือจะให้พูดรวมๆคือ  ทั้งสมรรถนะ  ทั้งทักษะ  และไหวพริบก็ล้วนเหนือกว่าคนธรรมดามากนัก  เก่งรอบตัวเสียทุกด้าน   แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าสมบูรณ์แบบไม่ได้หรอก”

    “เอ๋!!!!  นี่ไนท์คุงเก่งขนาดนั้นเลย!!ÒДó

    “อืม  เก่งจนน่ากลัวเลยล่ะ  ว่าคนแบบนี้ขึ้นเรือมาทำไม”  ในประโยคนี้แอลพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง

                    เราเองก็อยากมีประโยชน์กับกลุ่มคิลเลอร์แบบนั้นมั่งจัง  นั่นเป็นความคิดที่แว็บเข้ามาในหัวของผม  และทำให้รู้สึกอยากจะพยายามให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก

    “ไง  ทั้งสองคน  ไปเที่ยวกันมาทั่วรึยัง!! (   = ̅ ∀  ̅=   )”  พูดถึงโจโฉ  โจโฉก็มา  ไนท์เองครับตอนนี้กลับร่างเดิมเข้ามาทักพวกเรา

    “ยังเลยครับ   ยังเที่ยวได้ไม่ถึงครึ่งงานเลย..”  ผมตอบไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  แต่ในใจก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องในความคิดเมื่อครู่

    “เอ๋  ดูไม่ร่าเริงเลย  มาเที่ยวทั้งที  เอานี่ชั้นให้จะได้อารมณ์ดี”  ไนท์กล่าวและยิ้มให้พร้อมส่งลูกกรวดแท่งโตให้ผมมาหนึ่งก้าน

    “ขอบคุณฮะ   แล้วนี่ไนท์คุงจะไปไหนต่อเหรอ”  ผมถามกลับไป

    “ตามหาคุณมิบุนะสิ….ตอนนี้เจ้าพัตเตอร์พาไปเที่ยวไหนแล้วฟร้าÒ[]ó”  พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรมีอันไฟลุกพรึ๊บทุกที

    “อ่า  ถ้างั้นชั้นไปหาของรางวัลบ้างล่ะ  ขี้เกียจเจอเจ้บ่นเหมือนกัน”  แอลตัดบทพร้อมเดินจากไป  ซึ่งแน่ล่ะผมก็ต้องรีบตามไปเช่นกัน

    “งั้นไปก่อนนะไนท์คุงแล้วเจอกัน”  ผมโบกมือลาให้ไนท์ที่กำลังยืนมองดูพวกเราเดินจากไป

                    อยู่ๆเราก็เดินมาจนสุดงานอย่างไม่ทันรู้ตัว  แต่ท่าแปลกคือ ณ ตอนนี้สมาชิกเรือก็มากันสียเกือบครบ

    “เอาล่ะๆ  ได้เวลาอีเวนท์พิเศษแล้ว  นั่นคืองานพิสูจน์ความกล้า!!  กติกานั้นง่ายมาก  เพียงจับคู่ชายหญิงแล้วใช้เส้นทางป่านี้ไปเอาโคมไฟกลับมาให้ได้คนแรกก็พอ!!!!  เป็นไงน่าสนใจใช่ไหมเราก็จะร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน!!”  อาเจ้ซิลลฟี่ร่าเริงอย่างออกนอกหน้าทีเดียว

    “เฮ้ย  แกหน่ะถอยไปนะ” เสียงไนท์กำลังมีน้ำโหกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

    “ถอยให้โง่สิ  คุณมิบุชั้นจะพาไปเอง  แกนั่นแหละที่ต้องถอยไป”  พัตเตอร์นั่นเองครับ  คู่นี้กัดกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอกกันเลย 

     และในขณะที่ทั้งคู่กำลังเข้าห้ำหั่นเพื่อแย่งชิงตัวคุณมิบุนั้น  กำปั้นเพชฌฆาตของเจ้ซิลฟี่ก็ฟาดลงกลางกระหม่อมทั้งคู่ลงไปนอนกับพื้น

    “พวกแกนี่เสียงดังหน้ารำคาญซะจริง!!!”  อาเจ้เองก็สียงดังใช่ย่อยนะครับ = =

    “เอางี้  เดี๋ยวชั้นจับคู่ให้  มิบุเธอไปกับซีกเกอร์แล้วกันนะ”

    “เอ๋?!?!? ” x3  เป็นการประสานเสียงที่พร้อมเพรียงกันมากของไนท์ พัตเตอร์และวายจัง  รายหลังออกแนวอาฆาตเบาๆ

    “แล้วเนลเธอคู่กับวายจังนะ(ไม่มีใครรู้หลอกว่าชายคู่ชาย)  ส่วนพวกแกใครก็ได้มาคู่กับชั้นคนนึง!!” คำสั่งกัปตันนออกมาแล้ว  พาบรรยากาศมาคุอย่างยิ่ง

    “ชั้นจะไปเล่นไพ่หาตังก่อนแล้วกัน” และผู้ทำลายบรรยากาศความเงียบคนแรกก็คือแอลแถมตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปแล้ว  เหลือเพียงไนท์และพัตเตอร์ยืนจังก้ากันอยู่สองคน

    “อ่าว   ว่าไงเร็วสิงใครก็ได้หนึ่งในสองคนนั้น”  เจ้ซิลฟี่เริ่มหงุดหงิด

    “ผมไปเองครับ”  ไนท์ยกมืออาสาและนั่นทำให้พัตเตอร์รอดตัวไปโดยปริยาย

    “เอ่อ  ถ้างั้นชั้นไปเที่ยวงานก่อนนะ  ฮ่าๆ”  พัตเตอร์จากไปพร้อมเสียงหัวเราะเยาะเย้ย

    “เอาล่ะ  ได้ทีมกันแล้ว….

    “เดี๋ยวก่อนครับกัปตัน!!”  อยู่ๆไนท์ก็ขัดขึ้นมา  หนำซ้ำยังทำหันรีหันขวาง  เหมือนจะหาอะไรบางอย่าง

    “ขอสลับคู่ได้ไหมครับ  สลับตัวผมกับเนลได้รึเปล่าครับ”  อยู่ๆไนท์ก็เสนอแปลกๆขึ้น

    “เอจะว่าได้ก็ได้อยู่หรอก   แต่ทำไมรึ”  เจ้ซิลฟี่ได้แต่งุนงง  และทันใดนั้นไนท์ก็ลากวายจังไปซุบซิบบางอย่าง  ซึ่งวายจังเองก็ดูสนใจมากทีเดียว

     เอ๋อ!!!  ผมเข้าใจล่ะ  ต้องเป็นแผนสลับคู่แน่ๆ  สองคนนั่นต้องพยายามไล่ตามคู่คุณมิบุกับซีกเกอร์คุงแล้วทำการสลับคู่  เป็นซีกเกอร์คู่วายจัง  และไนท์คุงคู่คุณมิบุ  หนอยเจ้าเล่ห์นักนะไนท์คุง

    “เอาล่ะๆ  ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ  งั้นพอโฆษกงานประกาศเริ่มก็วิ่งเลยนะ”  เฮ้ยเจ้ นั่นไม่ใช่งานพิสูจน์ความกล้าแล้วนั่นมันแข่งวิ่งกีฬาสีชัดๆ ผมได้แต่เถียงในใจ….

                    และแล้วงานก็เริ่มขึ้น  ซึ่งก็เป็นอย่างที่เจ้แกบอกจริงๆ  พอเขาให้เริ่มเดินทางปุ๊บเจ้แกก็ฉุดลากผมเข้าป่าด้วยความเร็วสูงทันที  คบเพลิงในมือแทบจะหรี่ดับด้วยแรงลมจากการวิ่ง(ของเจ้ซิลฟี่)  และด้วยความเร็วขนาดนี้รางวัลชนะเลิศก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร  ยกเว้นเสียแต่ว่า…..

    “หลงทางสินะ”  ผมพูดขึ้นและดูเหมือนจะแทงใจดำอาเจ้แกมากด้วย

    “หุบปากไปเลยนะ  เจ้าเด็กใหม่  ก็มาหาว่ากัปตันผู้ข้ามน้ำข้ามทะเลทั่ว 4 ดินแดนสมุทรว่าหลงทางเร๊อะ ÒДó

    “ก็หลงไม่ใช่เร๊อะ” Σ (   = ̅   ̅=   )

    “ใครเขาเรียกว่าหลง  แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน  เราจะไปไหน  ทิศไหนทิศเหนือ  ก็แค่นั้น (   = ̅ ω  ̅=   )

    “หลงทางอย่างสมบูรณ์แบบเลยสินะ   =  =

    “ทำไงดีล่ะเนี่ย บ้าที่สุดดดดดด”  แล้วเจ้ซิลฟี่ก็ออกอาการโวยวายเหมือนเด็กอีกแล้ว

    “อ๊ะ  นั่นดาวตกนี่”  ผมเห็นดาวตกสีฟ้าวิ่งตัดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว  แต่ก็ไม่เร็วพอที่ผมจะอธิฐานได้เสร็จ

    “นายทำอะไรหน่ะเนล”  เจ้ซิลฟี่ถามผมด้วยใบหน้าสงสัยอย่างที่สุด

    “ก็อธิฐานไงครับ  เค้าว่ากันว่าถ้าเห็นดาวตกและอธิฐานสามครั้ง  คำอธิฐานจะเป็นจริง”

    “จริงเหรอ  งั้นตอนนี้จะยังทันมั๊ย  ไม่สิ”  เธอพูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็รีบอธิฐานเพราะคงกลัวจะไม่ทัน

    “ปรกติเค้าให้อธิฐานทันทีที่เห็นนะครับ  ว่าแต่อยากจะอธิฐานอะไรหรือครับ”

    “ขอให้วิญญาณลูกหมาป่าไม่โดดเดี่ยวหน่ะ”

    “วิญญาณลูกหมาป่า?” ผมย้อนประโยคนั้นด้วยความสงสัย

    “เธอไม่เคยได้ยินนิทานพื้นเมืองของทะเลแถบเหนือหรอกหรือ  มันเป็นเรื่องเล่าที่น่าเศร้า”

                    ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมรู้สึกถึงความเศร้าที่หมองหม่นเสียยิ่งกว่าความมืดมิดในค่ำคืนนี้สะท้อนออกมาจากดวงตาสีดำอมเขียวนั่น  มันพยายามทอความรู้สึกอันแสนเศร้านี้ออกมาราวกับจะสัมผัสได้ด้วยผิวกาย

    “มันเป็นเรื่องของหมาป่าสีขาวตัวหนึ่งที่ถูกฝูงแกะเก็บมาเลี้ยงด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน  
    และดูเหมือนว่าเจ้าหมาป่าน้อยตัวนั้นก็คิดว่าตนเองคือแกะป่าเฉกเช่นเดียวกับตัวอื่นๆ  
    แต่อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีหมาป่าฝูงหนึ่งบุกเข้าโจมตีฝูงแกะนั้น 
    บรรดาแกะน้อยใหญ่ต่างวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตแต่ก็มีแกะน้อยพึ่งเกิดใหม่ตัวหนึ่งที่หนีไม่ทันและดูเหมือนจะต้องตกเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าหมาป่าเสียเป็นแน่ 
    ทันใดนั้นเจ้าหมาป่าขาวตัวน้อยก็กระโจนออกมาจากฝูง  แยกเขี้ยวเล็บข่มขู่อริด้วยสัญชาตญาณ 
    แต่นั่นทำให้หมาป่าน้อยรู้สึกตัวว่าตน
    แตกต่าง
    ศัตรูที่อยู่ตรงหน้ากลับมีรูปร่างเหมือนตนไม่ใช่แกะที่เลี้ยงดูมา  แกคือหมาป่า
    ความจริงอันโหดร้ายเข้าประดังหมาป่าน้อย  หัวหน้าฝูงเห็นว่าหมาป่าน้อยเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน  จึงคิดชวนเข้าฝูงและจะพาออกล่าแกะด้วยกัน  
     แต่หมาป่าน้อยผูกพันเกินกว่าจะทำร้าย
    ครอบครัวแม้จะไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงก็ตาม  
    หมาป่าน้อยจึงเข้าห้ำหั่นกับฝูงหมาป่า 
    และในที่สุดฝูงหมาป่าก็ล่าถอยไป  หมาป่าน้อยทั้งที่ควรจะกลับไปอย่างวีรบุรุษแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น 
    สายตาแกะตัวอื่นๆที่มองเขาแปลกไป  ตอนนี้เขาอยู่ในฝูงแกะในฐานะหมาป่า  แกะตนอื่นๆเข้าใจเช่นนั้น 
    แม้ว่าเจ้าหมาป่าจะคอยขอบไล่สัตว์ตนอื่นๆให้แต่ด้วยความไม่ไว้ใจ  ทุกคนจึงเริ่มตีตัวออกห่างจากหมาป่าน้อย 
    และไม่นานต่อมาแกะก็เริ่มหายไปทีละตัว  อาจเพราะถูกหมาป่าดักทำร้าย  แต่แกะตนอื่นๆกลับคิดว่าเป็นฝีมือของหมาป่าน้อยจึงจับหมาป่าน้อยแขวนคอ
     
    ปล่อยให้ตายอย่างโดดเดี่ยว  ไม่มีฝูงหมาป่าไม่มีฝูงแกะ  ไม่มีเลย  หมาป่าตัวย้อยไม่เหลืออะไรเลย….

    “น่าเศร้าใช่ไหมล่ะ”  พอเล่าจบเจ้ซิลฟี่ก็หันมาถามผมอีกครั้ง  ซึ่งตอนนี้ซึมไปแล้ว

    “น่าสงสารหมาป่าตัวนั้นนะครับ  งั้นคราวหน้าผมจะอธิฐานให้หมาป่าตัวนั้นด้วยอีกแรงนะครับ”  ผมแค่อยากให้บรรยากาศดีขึ้น  ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะได้ผลนิดหน่อย

    “โอ้!!  หมาป่าต้องดีใจแน่  งั้นเรากลับกันเถอะ”  เจ้ซิลฟี่สลัดอารมณ์โศกเศร้าเพียงชั่วเสียงดีดนิ้วเท่านั้น

    “อ่าว  แล้วนี่เราจะไม่ไปเอาตะเกียงแล้วเหรอครับ”

    “ป่านนี้พวกซีกเกอร์กับไนท์คุงคงจะได้ไปแล้วล่ะ  เรากลับงานดีกว่านี่งานก็ใกล้จะเลิกเต็มทีละ”

                    จากนั้น  เราก็เดินตามแสงไฟลิบๆที่สว่างมาจากตัวงานเพื่อกลับเข้าตัวงาน  ระหว่างทางบรรยากาศก็น่ากลัวใช้ได้เลยทีเดียว  เพียงแต่ไม่ยักกะเจอใครเข้ามาหลอกตลอดทางเลย  คนพวกนั้นไปไหนกันนะ

                    จากนั้นไม่นานเราก็เดินลัดงานมาจนถึงหน้าทางเข้าฐานพิสูจน์ความกล้ากันออกครั้ง  และแน่นอนเรามาถึงกลุ่มสุดท้าย

    “หา!!!  ว่าไงนะไม่ได้รางวัล!!  พวกนายทำอะไรกันอยู่!!ò[]Ó”  เจ้ซิลฟี่วีนแตกเมื่อทั้งสองกลุ่มกลับมาด้วยมือเปล่า  แต่ที่หน้าแปลกคือ..

    “พอดีเราถูกซุ่มโจมตีหน่ะเลยล่าช้าโทษทีแล้วกัน”  ซีกเกอร์พูดออกมาอย่างเนิบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผิดกับไนท์คุง

    “ใช่ๆ  แปลกจังแฮะ  ผมก็โดนซุ่มโจมตีเหมือนเลย  บังเอิญจริง  ฮ่าๆๆ” 

    รายนี้เละเทะทั้งตัว  ก็พอเดาได้ว่าคนที่ซุ่มโจมตีคุณซีกเกอร์ก็คือไนท์คุงนั้นเอง   ตามแผนสลับคู่สินะ  แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จซะด้วย   แถมยังคอยไล่เก็บคนที่ตามหลอกเพราะกลัวคุณซีกเกอร์จะได้กระหนุงกระหนิงกับคุณมิบุนะซี่  รู้หรอกนะ  เอ๊ะ!! เหมือนหมู่นี้จะฉลาดขึ้นมาหน่อยๆเหมือนกันแฮะเรา….

    “พวกแก!!  ไม่ล่ารางวัลมาทดแทนที่เสียไปเลยÒДó!!”  เจ้ซิลฟี่วีนแตกไล่ตะเพิดลูกเรือ

    “งั้นผมขอตัวไปหาแอลก่อนนะครับ”  ผมขอแยกตัวออกมาทันที

    “ถ้าคุณแอลหน่ะ  อยู่ตรงโซนคาซิโนนู่น  ไปตามตรงนั้นได้เลย”  ไนท์บอกกับผมมา

                    ผมรีบเดินไปตามเส้นทางที่ไนท์บอกมา  แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่เพราะเสียงเอ๊ะอะในวงไพ่นั้นดังจนหาง่ายเสียเหลือเกิน  

    “นี่แกโกงใช่มั๊ย!!  เล่นมารวม20ตาแล้วแต่ทำไมมีแต่แกคนเดียวที่ได้เอาๆ”  เหมือนจะมีเสียงเดือดดาลดังออกมาจากโต๊ะๆหนึ่งที่มีคนมุงอยู่เยอะมาก

    “เปล่าหรอก   ผมไม่ได้โกงคุณหรอกแต่ถ้าคุณอยากเล่นเกมที่มีทางชนะผมบ้างก็แนะนำให้เล่นเกมที่ใช้ดวงล้วนๆเลยดีกว่า  เกมจิตวิทยาแบบโปกเกอร์หน่ะ  โอกาสชนะไม่ใช่ 50ต่อ50หรอกนะ” เมื่อมองตามเสียงอันคุ้นเคยไปก็พบแอลนั่งอยู่และดูเหมือนกำลังมือขึ้นสุดๆเสียด้วย

    สุดยอดเลย  ตอนนี้แอลดูเหมือนกำลังเป็นราชาในวงนี้เลย  คุมเกมไว้หมดแล้วสินะ’  นั่นคือสิ่งที่ผมคิด  ก่อนการแจกไปรอบต่อไป  คนที่เคยนั่งอยู่ก็ลุกหนีออกไปหมดเหลือแต่ชายที่มีปากเสียงกับแอลเมื่อครู่  เป็นชายร่างใหญ่ดูไม่เหมือนคนชอบเล่นการพนันซักเท่าไหร่  และดูไม่น่าจะมีเงินมากมายเสียด้วย  ถ้าจะให้อธิบายก็คง ชาวไร่ ล่ะมั้ง

    แล้วการแจกไพ่ก็เริ่มอีกครั้ง  โดยครั้งนี้มีผู้เล่นเหลืออยู่แค่สองคน   ในเกมที่ชื่อว่าโปกเกอร์นี้จะทำการจากไพ่ให้ผู้เล่นแต่ละคนถือไว้ในมือ  คนละ2ใบ โดยบนโต๊ะจะมีอีก3ใบและจะค่อยๆเพิ่มมาทีละใบจนครบ5ใบ ระหว่างนั้นก็จะสามารถเพิ่มเดิมพันหรือที่เรียกว่าเกทับกันได้นั่นเอง  วิธีการเล่นคือเราต้องนำไพ่สองใบในมือเราแทนลงไปในชุดไพ่ที่อยู่บนโต๊ะ  เมื่อแทนลงไปแล้วชุดไพ่ใครใหญ่กว่าก็จะชนะ 
                     แต่ไม่ใช่แค่ไพ่ใหญ่กว่าก็ชนะได้ในเกมโปกเกอร์นั่นค่อนไปทางการละเล่นทางจิตวิทยา  หากสามารถทำให้คู่แข่งยอมแพ้หรือที่เรียกว่าหมอบก่อนได้  แม้ไพ่ในมือเราจะเล็กกว่าแต่เราก็จะเป็นฝ่ายชนะ  
                   ในเกมการ์ดนี้จะมีศัพท์เฉพาะอย่างหนึ่งที่ควรรู้คือโปกเกอร์เฟส(
    Poker Face) หมายถึงการไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้ว่าตนเองจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบนั่นเอ  โดยปรกติโปกเกอร์ก็เป็นเกมที่เล่นกันแบบนั้นน่ะนะ  ยกเว้นเสียแต่ว่า…..จะถูกเล่นโดยชายคนนี้

    “ว่างายยยยย   หมอบๆไปเถอะเล่นมาตั้งหลายตาแล้วคิดว่าจะชนะเหรอ  กลับบ้านไปเลี้ยงลูกเถอะ”  แอลทำเสียงกวนประสาทเต็มที่  เกมโปกเกอร์ที่ปกติจะเล่นกันเงียบๆกลายเป็นละครเวทีไปเสียแล้ว

    “เงียบไปเลยนะเจ้าหนุ่ม”  อีกฝ่ายก็พยายามควบคุมอารมณ์เต็มที่

    “งั้นชั้นขอเกทับไปอีก3,000โกล  ไงนั่น  หมดตัวนายเลยไม่ใช่เหรอรีบหมอบแล้วก็กลับไปเถอะ  ลูกไม่สบายไม่ใช่เหรอ”  แอลเกทับไปอย่างเลือดเย็น

    “รู้ได้ยังไง  ว่าลูกชั้นไม่สบาย”  เหมือนว่าชายคนนั้นจะตกใจเอามากๆเลย

    “เอาน่า  เรามาเล่นตานี้ให้จบก่อนเถอะ   รีบๆยอมแพ้ซะเถอะ”  แอลบ่ายเบี่ยงประเด็นออกไป

    “แก  พยายามจะปั่นหัวชั้นใช่มั๊ย  รู้แล้วความจริงไพ่แกไม่ดีเลยคิดจะปั่นหัวให้ชั้นยอมแพ้สินะ  ชั้นทุ่มหมดหน้าตัก!!”  เหมือนชายคนนั้นจะฟิวส์ขาดไปเสียแล้ว

    และผลออกมาอย่างที่คาดหวังเพราะขาดความสุขุมในการตัดสินใจ   แอลชนะในเกมนั้นไป  ทำให้ชายอีกคนนั้นต้องหมดเนื้อหมดตัว 

    “นายหน่ะ  มากับชั้นหน่อยได้มั๊ย?”  อยู่แอลก็เดินเข้าไปหาชายคนนั้นแล้วชักชวนเขาให้ตามไป

                    มันเป็นทางป่าข้างงานเทศกาลเดินเข้ามาไม่ไกลนัก   ผมอดไม่ได้ที่จะตามแอบมาดูแล้วก็เห็นแอลเชื้อเชิญชายอีกคนให้นั่งลงเพื่อเจรจากันซักอย่าง  แต่ก่อนหน้านั้น

    “พอเลยเนล  นายช่วยมานี่หน่อย”  เหมือนแอลจะรู้ตัวแล้วว่าผมตามมา  ซึ่งผมก็เดินไปหาอย่างว่าง่าย

    “ทำไมรึ แอลคุง”  ผมถามไป

    “ช่วยดูรอบๆนี้หน่อยว่ามีใครแอบดูเราอยู่หรือเปล่า”  ด้วยความงุนงแต่ผมก็ทำตามแต่โดยดี

    “ไม่มีใครอยู่เลยแอล”  ผมบอกเขาไป

    “แล้วนี่คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”  ชายคนนั้นเริ่มเปิดประเด็นที่ค้างคาใจ

    “ต้องผ่าตัดหรือเปล่า?”  เป็นคำถามที่ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาหมายความว่าอะไร  แต่ชายอีกคนกลับพยักหน้าเหมือนสื่อสารกันเข้าใจ

    “ลูกคุณเป็นอะไร  พอรู้ไหม”  อ๋อ! ผมเข้าใจแล้วล่ะ  พวกเขากำลังพูดถึงอาการของลูกที่ไม่สบายของชายคนนั้น

    “ไม่รู้ครับ  หมอบอกผมแล้วแต่ผมโง่เกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด   แต่เหมือนว่าเขาจะบอกให้ไปรักษาตัวในเมืองให้แล้วต้องผ่าตัดอะไรกอย่างเนี่ยแหละ”  ชายอีกคนตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

    “แล้วต่อจากนี้คุณจะทำอย่างไร”

    “ผมไม่รู้  ตอนแรกคิดว่าจะหาเงินให้มากพอแล้วจะลองติดต่อหาหมอเถื่อนให้รักษาลูกของผมเพราะคงมีปัญญาแค่นั้น  แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว”  แล้วน้ำตายของชายฉกรรจ์ก็ไหลออกมา

    “เด็กคนนั้นคงสำคัญกับคุณมากนะครับ   นี่ครับน่าจะพอกับค่ารักษาทั้งหมดรวมถึงค่าเดินทางและที่พัก  เอาไปรักษาเค้าซะและขอให้ออกเดินทางคืนนี้เลย  เพราะการมีเงินขนาดนี้ไว้ในครอบครองจะเสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าการปล้นสะดมนะครับ ”   อยู่แอลก็ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อเขามอบเงินทั้งหมดที่ได้ให้ชายคนนั้นไปเสียดื้อๆ

    “ทำไมกัน  ผมรับไว้ไม่ดะไม่สิได้โปรดมอบเงินก้อนนั้นให้ผมเถอะครับผมจำเป็นต้องใช้มัน”  ชายคนนั้นรีบก้มหัวขอร้องแอล  ซึ่งแอลก็รีบพยุงเขาขึ้นอย่างเกรงใจ  ตอนนี้ผมได้รู้แล้วชายคนนั้นแม้จะทำดูเหมือนไม่มีศักศรีแต่ช่างดูยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน  ความรักที่มีต่อคนสำคัญนั่น….

    “อย่าทำแบบนั้นเลยครับ  เอานี่ติดตัวไปด้วยนะครับ  ที่เมืองฮาโมริสไม่ไกลจากเกาะนี้  มีหมอหลวงที่ผมรู้จักอยู่ชื่อแจทเทอร์รีน เอานี่ให้เธอดู  เธอจะช่วยคุณอย่างเต็มที่”  แอลพูดพร้อมหยิบนามบัตรของเขาให้

    “บุญคุณนี้จะไม่ลืมเลย  ต่อจากนี้จะให้ชดใช้ด้วยชีวิตก็ยินดี”

    “เก็บชีวิตไว้ให้คนที่คุณรักและคนที่รักคุณเถอะครับ  ที่ผมต้องการคือในวันข้างหน้าถ้าหากผมต้องประสบเรื่องเดือดร้อนอะไร  ถึงตอนนั้นก็ช่วยช่วยผมด้วยนะครับ”  แอลสุภาพมากต่างจากภาพลักษณ์ราชาในคาสิโนอย่างกับเป็นคนละคน

    “ผมชื่อ อัลเบิร์ต  แอนเดอร์สัน   ขอทราบชื่อผู้มีพระคุณด้วย

    “แอล  เดอะคิลเลอร์ครับ

                    ไม่รู้ว่าทำไมแต่ดูแล้วเท่สาดดดดดดÒ[]ó  นี่สินะผู้มีอิทธิพลของจริง  มิน่าไปไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา   หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันอีกสักพัก  ชายที่ชื่ออัลเบิร์ตก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวเดินทางอย่างที่แอลบอก ทิ้งผมกับแอลไว้เบื้องหลัง

    “นี่แอล  ทำไมถึงรู้ว่าลูกของคนๆนั้นป่วยล่ะ”  ในที่สุดเวลาที่ผมอัดอั้นก็จะได้ระบายซักที

    “คิดเองบ้างสิ  ไม่ฝึกคิดบ่อยๆแล้วจะเก่งได้ยังไง เจ้าโง่!”  แอลกลับมาเป็นคนเดิมเสียแล้ว

    “หรือว่าแอล  แอบไปสืบประวัติของบ้านนนั้นมาแล้ว Ò[]ó  ”

    “ใครจะไปทำฟระ ò[]Ó

    “แล้วรู้ได้ไงอ่ะ”

                   “เฮ้อ..ครั้งนี้จะอธิบายให้แล้วกัน  ชายวัยกลางคนท่าทางลุยๆ  แต่เสื้อกลับไม่มีรอยขาด  แต่เมื่อมองดูดีๆแล้วจะเห็นรอยเย็บอย่างประณีต  เป็นหลักฐานว่าชายคนนั้นมีครอบครัวแล้วยังไงล่ะ 
                  นอกจากนั้นที่บริเวณคอเสื้อกลับมีรอยจางๆของดินสอวาดเป็นรูปการ์ตูนแบบเด็กๆ  การจะขึ้นไปวาดบนชายร่างสูงใหญ่ขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้  ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาถอดมันทิ้งไว้ ประกอบกับรอยสักที่แขนนั่นที่เป็นรูปหัวใจซ้อนกันสองดวงและมีอีกดวงเล็กๆอยู่ข้างบนระหว่างหัวใจที่ซ้อนกันนั้น  นั่นคือหลักฐานว่าเขามีลูกแล้วและมีเพียงคนเดียวเสียด้วย
                  นอกจากนี้เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของเด็กแล้ว  เด็กน่าจะอายุไม่เกิน
    7ปี ต้องเป็นเด็กที่พอวาดรูปเป็นแต่ไม่รู้ว่าไม่ควรวาดบนเสื้อของพ่อ ชายท่าทางเหมือนกรรมกรหรือชาวไร่แบบนั้นเข้ามาเสียโชคในบ่อนดูเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันเท่าไหร่ ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาต้องการเงินจำนวนมากภายในเวลาอันสั้นเพื่อบางอย่างและนั้นทำให้ชั้นคิดว่าลูกของชายคนนี้อาจจะป่วยอยู่ก็ได้”

    “เอ๋  งั้นทำไมถึงไม่คิดว่าคนที่ป่วยอาจจะเป็นภรรยาเค้าก็ได้”

    “มีเหตุผลยืนยังสองข้อ  หนึ่งถ้าภรรยาของชายคนนี้ป่วยจริงเค้าเอาเด็กไปไว้ไหน  หรือจะทิ้งให้เด็กอายุไม่น่าเกินเจ็ดขวบอยู่กับแม่ที่ไม่สบายล่ะ   และข้อสองกล่องอาหาร  ชั้นเห็นชายคนนั้นถือกล่องอาหารเข้ามาด้วย”

    “เอ๋  แล้วกล่องอาหารเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะ”

    “โง่จริง!  คิดว่าชายลุยๆแบบนั้นจะทำข้าวกล่องเองเร๊อะ  นั่นหน่ะเป็นหลักฐานว่าจนวันนี้ภรรยาของเค้ายังสบายดียังไงล่ะ  งั้นความเป็นไปได้ของคนที่น่าจะป่วยก็เหลือเพียงลูกของเค้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”

                    ถึงจะเจ็บใจก็เถอะแต่ต่อหน้าชายคนนี้ทุกคนก็กลายเป็นไอ้โง่ได้ภายในพริบตา  

    “สุดยอดเลยแอล  ถ้าฉลาดขนาดนี้ก็ไม่ต้องกลัวใครแล้ว”  ผมพูดไปด้วยอารามตื่นเต้นแต่กับถูกถามกลับมาโดยทันที

    “ความฉลาดในความคิดของนายหมายถึงอะไร”

    “เอก็คงหมายถึงมีความรู้มากๆมั้งครับ”

    “ผิดแล้ว  ความรู้คือข้อมูล  ข้อมูลทำอะไรไม่ได้หรอก  ต่อให้รู้มากแค่ไหนมันก็ใช้ประโยชน์ใดๆไม่ได้”

    “แล้วที่แอลเรียนรู้อยู่ทุกๆวันล่ะ”

    “จริงอยู่ที่ความรู้ในปัจจุบันเป็นได้แค่ข้อมูล  แต่ข้อมูลในอนาคตคืออาวุธทรงอนุภาพนะ  จงเรียนรู้ให้มากเมื่อให้รู้ถึงแนวโน้มของข้อมูลในอนาคตและถ้าหากมันไม่เป็นไปอย่างที่เจ้าต้องการ  เจ้าก็แค่ต้องเปลี่ยนข้อมูลในปัจจุบันให้เป็นไปตามที่เราต้องการซะ!!

    “โอ้  ผมชักจะมีไฟขึ้นมาแล้วววว!!!

    “น้ำหน้าอย่าเอ็งทำไม่ได้หรอก”  ชะ!!  ดักซะหมดไฟเลย  แต่มันก็จริงการจะทำขนาดนั้นได้ถ้าไม่ใช่แอลคงยาก

    “แต่อย่างพึ่งทำหน้าจ๋อยซะเด็กน้อย  อย่างนายน่ะมันหัวทึบ  ก็คงรู้ตัวดีดังนั้นสำหรับนายแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง100%หรอกแค่เอามันมาใช้ให้ได้100%ของสิ่งที่รู้ก็พอ  แค่นั้นนายก็ก้าวเข้าสู่โลกของอัจฉริยะได้แล้ว

     

                    ถึงจะเป็นการให้กำลังใจแบบแปลกๆตามแบบฉบับของแอลแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลนิดหน่อย  ผมมีกำลังใจขึ้นมาก  นับจากนี้ก็แค่ต้องพยายามหาให้ได้ว่าเรามีความสามารถหรือสนใจด้านอะไรเท่านั้น  เราเดินกลับเข้ามาในงานซึ่ตอนนี้ดูเหมือนงานจะเลิกเสียแล้ว  ผู้คนบางตาลงมากต่างทยอยกลับกันเสียเกือบหมด  ผมกับแอลก็ตกลงกันแล้วว่าจะกลับเรือแต่ในตอนนั้นเอง

    “พ่อหนุ่มทั้งสองคนนั้น  สนใจจะทำนายดวงชะตาหน่อยมั๊ย?”  เป็นเสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของงาน   แต่งตัวในชุดผ้าคลุมสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า  ทั้งผมและแอลเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายและตั้งใจจะเดินจากไปแต่ตอนนั้นเองคำพูดพิศวงก็ลอยมาจากหญิงลึกลับคนนั้น

    “บุตรแห่งสมุทรเอ๋ย  ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรแห่งมหาสมุทร  ล่องลำนาวาท้าคลื่นโต้ลม  ดวงชะตาของเจ้าหากถูกรับเลือกจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง” 

    ผู้หญิงคนนี้รู้ได้ยังไงว่าเราคือโจรสลัด   ผมรีบหันมามองแอลซึ่งตอนี้กำลังเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากในท่าขบคิด  ไม่นานแอลก็เดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้หน้านักดูดวงคนนั้น

    “คุณดูเป็นคนน่าสนใจนะครับคุณผู้หญิง  งั้นผมขอดูดวงซักหน่อยแล้วกัน” ผมได้แต่มายืนอยู่ข้างหลังแอลอย่างสงสัยเท่านั้น

    “เจ้าคนๆนั้น  หากไม่อยากโชคร้ายจงไปสูบบุหรี่ให้ห่างข้า!!”  อยู่ๆหญิงคนนั้นก็โพลงออกมาใส่ชายที่กำลังยืนสูบบุหรี่ใกล้ๆก่อนจะหยิบสำรับไพ่ขึ้นมา  

                    เธอคลี่ไพ่มากมายในสำรับนั้นลงบนโต๊ะขอเธอที่ปูด้วยผ้าปูสีแดง  แล้วก็เงยขึ้นมาพูดกับเรา

    “เลือกมาหนึ่งใบพ่อหนุ่มแล้วเจ้าจะได้รับอนาคตจากข้า”  เธอบอกกับแอลซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย

                    เธอรับไพ่ที่แอลเลือกขึ้นมาพร้อมพลิกให้เราดู  รูปบนไพ่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนบนล่าง  รูปบนเป็นรูปกษัตริย์นอนตายกอดดาบ และรูปล่างเป็นรูปโจรสลัดนอนตายกอดแผนที่  รูปทั้งสองหากกลับขึ้นมาเป็นส่วนบนจะเห็นคนในรูปนอนหันหัวไปทางซ้ายทั้งคู่   และตรงหัวท้ายมีอักษรเขียนไว้เป็นชื่อไพ่และไพ่นั่นก็คือ  THE DEATH

    “จากนี้พวกเจ้าจะพบพายุลูกใหญ่รุนแรง  พัดพาตัวเจ้าให้ลอยไปอย่างเบาหวิวราวกับขนนก  ท่ามกลางงกองไฟมหึมาที่ใครก็ไม่อาจหยุดยั้ง  แต่เจ้า!!....อาจถูกเลือกจากโชคชะตา….ด้วยความเมตตาของเจ้าต่อคนทั้งสองในไพ่นี้….

                    คำพยากรณ์น่ากลัวนั้น  มีความหมายที่แท้จริงอย่างไรกันแน่นั้น  คงถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของรอยยิ้มของแอลคนนั้นอย่างแน่นอน

                    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×