คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 เด็กชายซีกเกอร์ และ เด็กชายเอริค
Chapter 4 เด็กชายซีกเกอร์ และ เด็กชายเอริค
“ไอ่ปีศาจ ไปห่างๆชั้นนะ ไป๊!!” เสียงเล็กๆของเด็กคนหนึ่งกล่าวตะโกนจากกลุ่มเด็กอีกนับสิบคน ที่บ้างก็กำลังโห่ไล่ บ้างก็ปาข้าวของก้อนหินเข้ามา และ ‘ไอ่ปีศาจ’ก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุ12ปีร่างบางผมสีดำที่ตอบรับเสียงสาปแช่งด้วยใบหน้าด้านชาที่ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึก
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางเกาะทะเลใต้
Evil eye หรือที่เรียกว่าดวงตาปีศาจ เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในยุคสมัยนี้ เชื่อกันว่าเป็นดวงตาของปีศาจที่จ้องมองด้วยความรู้สึกด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ เกลียด อาฆาต อิจฉา และอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ล้วนแล้วจะส่งผลให้ผู้ที่ถูกจ้องมองโชคร้าย และอีกทั้งยังเชื่อกันว่าดวงตาของปีศาจนั้นเป็นสีเขียว ดังนั้นผู้ที่เกิดมามีดวงตาสีเขียวก็จะถูกรังเกียจจากสังคม ความเชื่อนี้หยั่งรากฝังลึกเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว
“ซีคเกอร์!! ไปโดนอะไรมาเนี่ยเลือดออกเต็มเลย โดนแกล้งอีกแล้วใช่ไหม โถ่ลูกแม่”
‘มันเป็นแบบนี้ประจำครับเมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมหน่ะชาชินกับบาดแผลพวกนี้แล้วหล่ะ แต่ที่ทำให้ผมปวดใจก็คือผู้หญิงคนที่กำลังร้องไห้ให้ผมเนี่ยแหละ แม่เป็นคนใจดีมากปกติเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสอัทธยาศรัยดี หนำซ้ำแม่ยังไม่มีดวงตาแบบผมด้วย ใช่ครับดวงตานี้ผมได้มาจากพ่อที่ตายในทะเลระหว่างออกล่าสมบัติเพราะพวกเราทำงานกับผู้คนไม่ได้นั่นเอง ผมจึงต้องอยู่กับแม่ตั้งแต่จำความได้ และไอ่ความจำที่มีตั้งแต่เกิดนั้นก็เห็นแค่แม่โดนผู้คนปฏิเสธที่จะเข้าหาเพราะมีผมเป็นลูก ทั้งๆที่ความจริงในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครสวยเกินท่านแม่แล้วแท้ๆ ทั้งๆที่แค่ทิ้งเราไว้แม่ก็ไปอยู่สุขสบายได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังคงอยู่กับภาระอย่างผม นี่คือเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเจ็บปวดในทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงผม’
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ เดี๋ยววันนี้แม่ทำสตูเนื้อขอโปรดซีคเกอร์ไง อาบน้ำแล้วค่อยมากินด้วยกันนะ” แม่ยังคงยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน ซึ่งผมไม่อาจสบตาได้ไม่รู้ว่าด้วยอะไรแต่ความรู้สึกผิดกลับสุมอยู่เต็มอก ผมรีบวิ่งไปอาบน้ำเพื่อตัดบท
เวลาอาหารเย็น
ในบ้านไม้เรียบๆการตกแต่งธรรมดาที่มีโต๊ะไม้โทรมๆอยู่ตรงกลางกลับถูกเรียกว่าห้องอาหารได้แล้ว ก็มีแม่ลูกสองคนนั่งทานอาหารร่วมกัน
“ขอโทษนะจ๊ะ วันนี้แม่คงทำน้อยไป ซีคเกอร์อิ่มไหมลูก”แม่ถามขึ้นขณะที่ซีคเกอร์กินหมดจานพอดี
“อิ่มครับ” นี่เป็นบทสนทนาประจำของบ้านเราไปแล้วหล่ะครับ
“แม่ขอโทษนะ .ที่..”
“พอเถอะแม่!!! ไม่เห็นต้องมาสนใจผมเลยแท้ๆ แค่ทิ้งผมไปแม่ก็ได้กินอิ่มทุกมื้อ นอนสบายทุกมื้อ ไม่เห็นต้องมาลำบากเลย .”
“ลูกพูดอะไรหน่ะ ซีคเกอร์”
“ผมมันก็แค่คนที่สังคมรังเกียจ ไม่มีใครอยากคบ ผมเนี่ยแหละที่ทำให้แม่ต้องเป็นแบบนี้ อย่านึกว่าผมไม่รู้นะ”
“ไม่..ซีคเกอร์ลูกไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไร ความจริงคือผมมีดวงตาบ้าๆนี่แต่แม่ไม่มีไง แม่ไม่สมควรเจอแบบนี้!!!”
เผี๊ยะ!!!!!!
หน้าผมชาไปหมดรู้สึกแสบขึ้นเรื่อยๆที่แก้มซ้าย นี่แม่ตบผมงั้นหรอ
“อย่ามาว่าพ่อแบบนั้น ความรักที่พ่อมีให้แม่และแม่ส่งต่อให้ลูกมามันไม่พอใช่ไหม ลูกถึงรู้สึกแบบนี้ ทำไมถึงคิดว่าแม่อยากจะสบายมากกว่ามีลูกอยู่ข้างๆหล่ะ” แม่กล่าวพร้อมน้ำตาที่อาบสองแก้ม ผมวิ่งผละออกจากบ้านในทันทีในใจนั้นคิด
‘ก็นั่นแหละ!!ที่ไม่เข้าใจ ทำไมแม่ต้องรักเราขนาดนี้ เจ็บ เจ็บที่อกเหลือเกิน ไม่เคยทรมานขนาดนี้เลย’ ผมวิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เหมือนกับว่าจะกลัวใครมาเห็นน้ำตาที่กำลังรินไหลอยู่นี้ ..
‘ไกลแค่ไหนแล้วนะ .ไม่รู้ นึกอะไรไม่ออกเลย .รู้แค่เหนื่อยมาก หมดแรงแล้ว’ สายตาเด็กน้อยเบลอจนไม่อาจรับรู้สิ่งที่อยู่รอบๆมีแค่ภาพรางๆไหวเคลื่อนไปมาอยู่ หูไม่อาจจะแยกแยะสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาเหือดแห้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ รู้แค่เพียงตอนนี้ในหัวมันโล่งไปหมด นึกอะไรไม่ออกเลย คิดอะไรไม่ออกเลย จะรู้สึกก็แค่เส้นเลือกที่กำลังเต้นแรงและถี่เป็นจังหวะหัวใจอยู่ที่ศีรษะเท่านั้นและ “ ตุ๊บ!!” ในที่สุดเด็กน้อยที่อ่อนล้าก็สะดุดขาตัวเองล้มลงและผลอยหลับไป
..
.
.
..
..
.
“อย่าดิ้นให้มันมากได้มั๊ย!! เดี๋ยวพ่อแม่แกก็เอาเงินมาไถ่แกแล้ว ไอ่เด็กเปรตนี่!!”
‘เสียง? ใคร? มีใครอยู่แถวนี้’ เด็กน้อยถูกปลุกขึ้นจากเสียงเอ๊ะของชายบางคน ซีคเกอร์ยันกายขึ้นแล้วสำรวจหาที่มาขแงเสียงนั่นแล้วก็พบ
“อ่อย อ้าน เอี๋ยว อี้ อะ” เสียงอู้อี้ที่ลอดมาจากผ้าปิดปากของชายหนุ่มผมสีบรอนซ์ทองท่าทางลูกคุณหนูที่ถูดมัดแขนขาไว้บ่งบอกความขัดใจและไม่เต็มใจอย่างชัดเจน ท่ามกลางชายฉกรรจ์ 3 คนที่กำลังนั่งล้อมกองไฟอยู่ ที่ฟังจากที่ได้ยินมาก็รู้ว่าเป็นโจรลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่
‘จะทำไงดี เอ๊ะเราทำไมต้องสนใจด้วยหล่ะไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย เราไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้ มันเป็นชายฉกรรจ์ตั้งสามคนนะ เสียใจด้วยฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้ .’ แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจพาลพาให้ทั้งคู่ได้สบตากัน ซีคเกอร์จ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องโพยพายออกมาจนเจ้าโจรมันรู้ตัว แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีเสียงร้องใดๆออกมามีเพียงสายตาวิงวอนปนคราบน้ำตาเท่านั้นที่ส่งมา
‘ไอ่บ้าเอ้ย!! อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ ..มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไปลุยโจรสามคนเพื่อช่วยคนที่พึ่งเคยเห็นหน้ากัน ขอโทษนะ ถ้าจะแค้นก็แค้นโชคชะตาเถอะ .เพราะฉันเองก็เกลียดมัน .’ แล้วซีคเกอร์ก็ตัดใจหลบสายตานั้นแล้วหายใจในความมืด
.
..
“ช่วยด้วยยยยยยยยยย!!!!!!” เสียงซีคเกอร์ดังลั่นป่า ทำเอาสามโจรชะงักในกิจกรรมของตนเพื่อฟังเสียงปริศนานั่น
“นั่นเสียงเด็กนี่
..มีเด็กไหนมาอยู่แถวนี้ สงสัยหลงป่า ดีเหมือนกันเผลอจะได้เด็กมาขายเป็นทาสด้วย” ชายคนหนึ่งในสามคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมลุกเดินออกไปตามเสียง ทิ้งสองคนไว้ที่กองไฟ
“ความจริง ถ้าเป็นชั้นจะไม่ไปนะ ได้ยินว่าแถวนี้ภูตผีแรงนะโว้ย ฮ่าๆ” ชายอีกคนหนึ่งแซวขึ้นมา
“กะ กะ กะ กลัวที่ไหน ฮ่าๆ อย่ามาทำแกล้งให้ป๊อดเลยไม่มีทางหรอก ฮ่าๆ” ชายอีกคนก็พูดติดตลกกลับไป
“ ..”
“ช้าจังเลยนะ เจ้าบ้านั่นหน่ะ ”
“ใช่ช้าจริง ..ไอ่บ้านี่ทำบรรยากาศอึมครึมซะได้ เดี๋ยวชั้นไปตามเอง” แล้วชายคนหนึ่งก็ลุกออกไป ทั้งนี้บรรยากาศยิ่งเงียบสนิทได้ยินแค่เสียงไม้ในกองไฟกำลังปะทุไว้เบื้องหลัง
“ไอ่พวกบ้าเอ้ย ถ้ารู้ทีหลังว่ารวมหัวกันแกล้งชั้นละก็เอาเรื่องแน่ .” ไอ่โจรคนที่เหลือพึมพำอยู่คนเดียว
“ไอ่หนู เกิดเป็นแกนี่มันสบายจังนะ นี่คงพึ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ครั้งแรกหล่ะสิ เด็กที่ไม่รู้จักอดอยาก เด็กที่ไม่รู้จักสงคราม เด็กที่ไม่รู้จักการแย่งชิงเอาตัวรอด ทำไมเด็กที่เหมือนอยู่ในความฝันอย่างนั้นต้องเป็นแกไม่ใช่ฉันวะ แกเกิดมาในบ้านที่มีหลังคาอบอุ่น ฉันไม่มีแม้แต่เสื้อซักผืนที่จะใส่ในฤดูหนาวเสียด้วยซ้ำ แกมีกระทั้งเค้กวันเกิดส่วนฉันต้องขโมยของๆคนตายไปขายเพื่อแลกเงินมาซื้อของกิน ทำไมวะ ทำไม!! พูดแล้วก็ยั๊วะหว่ะ” เจ้าโจรแสดงอาการหงุดหงิดควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“สวบ” เสียงย่ำใบไม้ดังมาจากด้านหลังของโจรคนนั้น
“เอ่อมากันซักที ขี้เกียจบ่นอยู่คนเดียวละ ”
“ไง ”
แต่สิ่งที่ปรากฏคือนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่สะท้อนแสงไฟในความมืด รอยยิ้มประหลาดและเลือดที่ท่วมเต็มใบหน้า .
“ตุ๊บ!!!” เสียงท่อนไม้เสยเต็มคางของเจ้าโจร เจ้าโจรนั้นหงายล้มตึงอย่างไม่ทันจะรู้ตัว
ซีคเกอร์วิ่งฝ่าพุ่มไม้ออกมาในที่สุดและนำมีดขอเจ้าโจรนั้นปลดพันธนาการให้เด็กน้อยอีกคน
“เร็ว วิ่งหนีเร็ว ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะฟื้นเมื่อไหร่” ซีคเกอร์เร่งรัดสั่งเด็กน้อยอีกคน
“ที่นายทำนั่นบ้ามากเลย” เด็กผมบรอนซ์ยิ้มแล้วพูด ซึ่งนั้นสะกิดให้ซีคเกอร์รู้สึกกวนอารมณ์
“ฉันไม่อยากได้ยินจากปากนายหรอกนะเฟ้ย ”
“แต่ขอบใจนะ ..”
“ชั้นชื่อซีคเกอร์”
“ชั้น
.”
.
“เอริค นั่นนายหรอ” กลับมาที่เมืองท่านอร์ธเกท ซีกเกอร์พึพำออกมาอย่างพึ่งนึกขึ้นได้
“แหม ค่อยโล่งออกหน่อยที่นายยังไม่ลืมชั้น” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยท่าทางยิ้ม ที่ดูสยองพิลึก
“ปะ..เป็นไงสบายดีรึเปล่า” ซีกเกอร์ถามด้วยอาการปรับอารมณ์ไม่ถูก แต่กลับทำให้อีกฝ่ายถึงกลับเดือดดาล
“คนทรยศอย่างนายไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้น!!” เคร้ง!! นายทหารเรือหนุ่มที่ชื่อเอริคเร่งฝีเท้าเข้าปะทะอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน .”
“ชั้นไม่อยากฟังคำแก้ตัวตอนนี้ เพราะที่ผ่านมาชั้นได้คอยจินตนาการหาคำแก้ตัวให้นายจนเหนื่อยใจแล้ว ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ” น้ำเสียงเดือดดาลที่ฟังดูแสนเศร้านี้ทำให้ทั้งคู่ต้องรำลึกย้อนไปในวันนั้นอีกครั้ง
ณ ถ้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ทำไมเราไม่หนีกันต่อหล่ะ” เด็กน้อยผมทองเอริคเอ่ยถามขึ้น
“ในป่าตอนกลางคืนมันอันตรายแล้วที่นี่พวกโจรมันก็หาไม่เจอหรอก ชั้นรู้จักที่นี่ดี” ซีกเกอร์ตอบกลับไป
“นายเป็นเด็กที่นี่หรอ”
“ใช่ ทำไมรึ”
“ชั้นก็เป็นเด็กของที่นี่นะ”
“อ่าว แล้วทำไมชั้นไม่เคยเห็นนายมาก่อนเลย เอริค”
“ผมค่อนข้างสุขภาพอ่อนแอ พ่อแม่เป็นพ่อค้า กิจการกำลังรุ่งเรืองเลยไม่มีเวลาอยู่ด้วยซักเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นก็เลยได้อยู่คนเดียวมาตลอดเลยหล่ะ” เอริคเอ่ยพูดแบบเหงาๆ และดูเหมือนซีกเกอร์จะเข้าใจดี
“ชั้นก็อยู่คนเดียว ทุกๆคนกลัวชั้นเพราะชั้นมีดวงตาสีเขียวนี่ไงหล่ะ”
“ทำไมหล่ะ ชั้นว่าสวยดีออก ”
“ ฮ่าๆๆๆ” คำพูดนั่นทำให้ซีกเกอร์ถึงกับตะลึงจนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นความขำขันในความไม่รู้อะไรเอาซะเลยของเอริค
“อ่าว หัวเราะอะไรอ่ะ มีอะไรตลกหรอ?”
“นายคงไม่เคยรู้สินะ ดวงตาเนี่ย เค้าเรียกกันว่า อีวิวอาย ใครที่ถูกดวงตานี้จ้องมองจะโชคร้ายหน่ะ เพราะแบบนี้ก็เลยไม่มีใครยอมมาเป็นเพื่อนชั้นหน่ะ”
“ไม่จริงซักหน่อย ชั้นว่าชั้นโชคดีนะที่ได้ถูกจ้องมองด้วยตาคู่นี้ .แล้วก็มาเป็นเพื่อนกันเถอะ นายก็จะเป็นเพื่อนคนแรกของชั้นเหมือนกันนะ ซีกเกอร์ .”
“
อื้ม!”
‘ไม่รู้ว่าทำไมแต่น้ำตาก็ไหลมาด้วยไม่รู้ตัว แม่ครับในที่สุดผมก็มีเพื่อนแล้วครับ’ ซีกเกอร์คิดอยู่ในใจ
แล้วทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างกับอัดอั้นมานาย
“วู้วววว ฮะๆ สนุกจังมีเพื่อนเนี่ย พูดจนเหนื่อยเลย” เอริคพูดพร้อมพร้อมทำท่าเหนื่อยๆ
“แค่คุยก็เหนื่อยแล้วเหรอ อ่อนไปนะ เอริค จากนี้นายต้องออกกำลังกายมากๆ เอากล้ามเป็นมัดๆแบบชั้นนี่ ฮี่ๆ”
“โด่ววว ขี้โม้จริงๆเลยนะซีกเกอร์คุงเนี่ย แต่ถ้านายอยากให้ชั้นออกกำลังกายนายต้องช่วยชั้นด้วย”
“ทำไงอ่ะ”
“เกมไล่จับ นายเป็นคนหนีชั้นจะไล่จับ ถ้าวันไหนชั้นจับนายได้ก็แสดงว่าชั้นแข็งแรงแล้วไงหล่ะ”
“ฮ่าๆ ได้สิ แต่คนนานโขเลยหล่ะ อย่างนายจะไล่จับชั้นทันได้เร้อ อิอิ”
“เคยดูเถอะ!!” เอริคประกาศท้าตามประสานิสัยเด็กไม่ยอมแพ้
“แต่ เอริค ถ้าพ่อแม่นายรู้เรื่องที่นายมาเล่นกับชั้นก็คง .”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ซีกเกอร์คุงเป็นเพื่อนชั้นนะพ่อกับแม่ต้องเข้าใจแน่ๆเลย ว่าแต่นายเถอะเห็นชวนชั้นไปทานข้าวที่บ้านแม่นายจะไม่ว่าเหรอ”
“กลับกันต่างหาก ถ้าแม่รู้คงดีใจมากๆเลย อยากกลับบ้านไวๆจัง ฮิฮิ”
..
..
..
“อะไรกัน ..เกิด ..อะไรขึ้น” ภาพที่เกิดขึ้นบนนัยน์ตาผม เป็นภาพที่ไม่อยากจะเชื่อเลย ที่กลางหมู่บ้านตอนที่เรากลับมากลับวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่กำลังมุ่งใครซักคนอยู่ และคนนั้นคือ แม่!!
ผมวิ่งไปสุดชีวิตแหวกฝูงชนที่ยังคงแสดงท่าทางหวาดกลัวตัวผมอยู่
“แม่ แม่!!...แม่เป็นอะไร!!!” ผมเอ่ยถามแม่ ที่กำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่เหลือเกิน เนื้อตัวถลอกปอกเปิก เลือดก็อาบไปทั่วศีรษะ และที่ไม่อยากจะเชื่อคือที่ท้องแม่มีรอยแผลขนาดใหญ่อยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! ใครก็ได้บอกที!!”
“ชั้นเจอแม่เธอนอนอยู่ตีนหน้าผาในป่าหลังหมู่บ้าน พอดีชั้นเป็นพ่อค้าเร่มาเจอเข้าเลยรีบพามาหาหมอ แต่ดูเหมือนเธอจะอาการแย่มากทนได้จนถึงตอนนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว ”
“ซีกเกอร์ ..” แม้จะนิดเดียว เพียงนิดเดียวนั่นแม่เรียกผมไม่ผิดแน่
“ครับแม่ นี่ผมเองแม่ ไม่ต้องกลัวนะเดี๋ยวหมอก็รักษา เดี๋ยวก็หายแล้ว” เด็กน้อยซีกเกอร์พูดทั้งน้ำตาฟังดูแทบไม่เป็นภาษา
“ลูกจริงๆใช่ไหม ดีจังที่ลูกปลอดภัย” สายตาอันเลื่อนลอยของแม่พยายามมองมาที่ผม นั่นทำให้ผมแทบบ้า
“แม่อย่างพึ่งพูดอะไรนะ ตอนนี้แม่ต้องพักมากๆนะ”
“ซีกเกอร์ฟังนะลูกแม่รู้ตัวดี ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว”
“ไม่เอาหน่าแม่ อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“ฟังนะลูก ก่อนที่แม่จะหมดลมหายใจแม่อยากจะบอกกับลูกคำสุดท้ายว่า ” ผมกุมมือแม่ไว้แน่น ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไม่อาจจะขึ้นแม่อีกแล้ว
“แม่รักลูกนะ .” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของแม่ ..
“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมเหมือนตัวเองถูกจับเหวี่ยงไป ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นมีแค่ความเสียใจทิ่มแทงอยู่ทั่วทั้งร่างอย่างเจ็บปวด
“ดูสิ เพราะมีลูกแบบนี้แท้ๆถึงได้อายุสั้น”
“ได้ยินว่าที่ตกหน้าผาเพราะออกไปตามลูกนั้นแหละเธอ”
“โชคร้ายจังนะ เป็นสวยออกแท้ๆ ไม่น่าเลยจริงๆ”
“@$%%@)*^%$#&”
และอีกมากมายที่ผมได้ยินแต่ไม่อาจตอบโต้ใดๆได้ ผมไม่มีแรง ความคิดของตัวเองยังแทบคุมไม่อยู่เลย ศพของคุณแม่ถูกเผาในวันนั้นเลย ผมอยู่จนเก็บกระดูกของแม่เสร็จก็กลับไปนอนที่บ้านคนเดียวอย่างเดียวดาย
หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลานานพอควรเลยในการทำใจ อันที่จริงผมไม่ได้ทำอาหารเองเลย ไม่อยากทานแต่ก็มีเอริคที่คอยแวะมาหาทุกวันและพอรู้ว่าผมไม่ยอมกินอะไรเลยเอาอาหารมาฝากทุกวันด้วย แต่เพราะเข้ามาดูแลผมทำให้เอริคเองเริ่มถูกคนในหมู่บ้านรังเกียจ เด็กในหมู่บ้านเริ่มกลั่นแกล้งเอริคเหมือนที่ทำกลับผม และวันนั้นทำให้ผมต้องตัดสินใจ
“ไง ซีกเกอร์ ชั้นแวะมาหาหน่ะ กินอะไรรึยัง” เสียงเอริคเข้ามาทักอย่างทุกวันแต่วันนี้ทำให้ผมต้องตกใจ เพราะเนื้อตัวของเอริคเต็มไปด้วยรอยแผลถลอกศรีษะก็มีคราบเลือดด้วย
“โทษทีน้า พอดีเค้าสะดุดล้มนิดหน่อยของกินเลยเปื้อนอ่ะ แต่ไมเป็นไรปัดๆนิดหน่อยก็ทานได้นะเดี๋ยวชั้นกินเป็นเพื่อน”
.โกหกชัดๆ มองดูก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่แผลที่เกิดจากการสะดุดล้มหรอก คงจะโดนแกล้งมาอีกหล่ะสิ และดูเหมือนจะแกล้งหนักขึ้นทุกวัน
“ทำไมหล่ะ?” ในที่สุดซีกเกอร์เริ่มเอ่ยปาก
“เอ๋? อะไรเหรอ” เอริคถามย้อน
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย ไม่เห็นจะต้องมาสนใจชั้นเลย ”
“ก็นายเป็นเพื่อนชั้นไง .”
เอริคคงไม่รู้หรอกว่านั่นทำให้ผมเจ็บปวดขนาดไหน .
“ซีกเกอร์เริ่มดีแล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้มาเล่นไล่จับกันนะ” เอริคพูดพร้อมยิ้มให้
“ได้สิ” ผมพูดพร้อมน้ำตา เอริคคงไม่รู้หรอกว่านั่นจะเป็นคำสุดท้ายที่เราจะได้พูดด้วยกัน
หลังจากนั้นผมก็หนีออกจากหมู่บ้านและไม่เคยกลับไปอีกเลย
ความคิดเห็น