ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Killer สุดป่วนก๊วนโจรสลัด

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 เด็กชายซีกเกอร์ และ เด็กชายเอริค

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 55


    Chapter 4   เด็กชายซีกเกอร์ และ เด็กชายเอริค

    “ไอ่ปีศาจ  ไปห่างๆชั้นนะ  ไป๊!!”  เสียงเล็กๆของเด็กคนหนึ่งกล่าวตะโกนจากกลุ่มเด็กอีกนับสิบคน ที่บ้างก็กำลังโห่ไล่  บ้างก็ปาข้าวของก้อนหินเข้ามา   และไอ่ปีศาจก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุ12ปีร่างบางผมสีดำที่ตอบรับเสียงสาปแช่งด้วยใบหน้าด้านชาที่ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึก

                    ณ  หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางเกาะทะเลใต้                

                    Evil eye  หรือที่เรียกว่าดวงตาปีศาจ   เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในยุคสมัยนี้  เชื่อกันว่าเป็นดวงตาของปีศาจที่จ้องมองด้วยความรู้สึกด้านลบ  ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ  เกลียด   อาฆาต   อิจฉา  และอื่นๆอีกมากมาย   แต่ก็ล้วนแล้วจะส่งผลให้ผู้ที่ถูกจ้องมองโชคร้าย   และอีกทั้งยังเชื่อกันว่าดวงตาของปีศาจนั้นเป็นสีเขียว   ดังนั้นผู้ที่เกิดมามีดวงตาสีเขียวก็จะถูกรังเกียจจากสังคม   ความเชื่อนี้หยั่งรากฝังลึกเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว……

    “ซีคเกอร์!!  ไปโดนอะไรมาเนี่ยเลือดออกเต็มเลย  โดนแกล้งอีกแล้วใช่ไหม โถ่ลูกแม่”

                    มันเป็นแบบนี้ประจำครับเมื่อผมกลับถึงบ้าน  ผมหน่ะชาชินกับบาดแผลพวกนี้แล้วหล่ะ  แต่ที่ทำให้ผมปวดใจก็คือผู้หญิงคนที่กำลังร้องไห้ให้ผมเนี่ยแหละ  แม่เป็นคนใจดีมากปกติเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสอัทธยาศรัยดี  หนำซ้ำแม่ยังไม่มีดวงตาแบบผมด้วย  ใช่ครับดวงตานี้ผมได้มาจากพ่อที่ตายในทะเลระหว่างออกล่าสมบัติเพราะพวกเราทำงานกับผู้คนไม่ได้นั่นเอง  ผมจึงต้องอยู่กับแม่ตั้งแต่จำความได้  และไอ่ความจำที่มีตั้งแต่เกิดนั้นก็เห็นแค่แม่โดนผู้คนปฏิเสธที่จะเข้าหาเพราะมีผมเป็นลูก  ทั้งๆที่ความจริงในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครสวยเกินท่านแม่แล้วแท้ๆ   ทั้งๆที่แค่ทิ้งเราไว้แม่ก็ไปอยู่สุขสบายได้แล้วแท้ๆ  ทำไมถึงยังคงอยู่กับภาระอย่างผม นี่คือเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเจ็บปวดในทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงผม

    “ไม่เป็นไรนะจ๊ะ  เดี๋ยววันนี้แม่ทำสตูเนื้อขอโปรดซีคเกอร์ไง  อาบน้ำแล้วค่อยมากินด้วยกันนะ” แม่ยังคงยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน  ซึ่งผมไม่อาจสบตาได้ไม่รู้ว่าด้วยอะไรแต่ความรู้สึกผิดกลับสุมอยู่เต็มอก  ผมรีบวิ่งไปอาบน้ำเพื่อตัดบท

                    เวลาอาหารเย็น

                    ในบ้านไม้เรียบๆการตกแต่งธรรมดาที่มีโต๊ะไม้โทรมๆอยู่ตรงกลางกลับถูกเรียกว่าห้องอาหารได้แล้ว  ก็มีแม่ลูกสองคนนั่งทานอาหารร่วมกัน

    “ขอโทษนะจ๊ะวันนี้แม่คงทำน้อยไป  ซีคเกอร์อิ่มไหมลูก”แม่ถามขึ้นขณะที่ซีคเกอร์กินหมดจานพอดี

    “อิ่มครับ”  นี่เป็นบทสนทนาประจำของบ้านเราไปแล้วหล่ะครับ

    “แม่ขอโทษนะ….ที่..

    “พอเถอะแม่!!!  ไม่เห็นต้องมาสนใจผมเลยแท้ๆ  แค่ทิ้งผมไปแม่ก็ได้กินอิ่มทุกมื้อ  นอนสบายทุกมื้อ  ไม่เห็นต้องมาลำบากเลย….

    “ลูกพูดอะไรหน่ะซีคเกอร์”

    “ผมมันก็แค่คนที่สังคมรังเกียจ  ไม่มีใครอยากคบ  ผมเนี่ยแหละที่ทำให้แม่ต้องเป็นแบบนี้  อย่านึกว่าผมไม่รู้นะ”

    “ไม่..ซีคเกอร์ลูกไม่เข้าใจ”

    “ไม่เข้าใจอะไร  ความจริงคือผมมีดวงตาบ้าๆนี่แต่แม่ไม่มีไงแม่ไม่สมควรเจอแบบนี้!!!

    เผี๊ยะ!!!!!!

                    หน้าผมชาไปหมดรู้สึกแสบขึ้นเรื่อยๆที่แก้มซ้าย  นี่แม่ตบผมงั้นหรอ

    “อย่ามาว่าพ่อแบบนั้น   ความรักที่พ่อมีให้แม่และแม่ส่งต่อให้ลูกมามันไม่พอใช่ไหม ลูกถึงรู้สึกแบบนี้ทำไมถึงคิดว่าแม่อยากจะสบายมากกว่ามีลูกอยู่ข้างๆหล่ะ” แม่กล่าวพร้อมน้ำตาที่อาบสองแก้ม  ผมวิ่งผละออกจากบ้านในทันทีในใจนั้นคิด

    ก็นั่นแหละ!!ที่ไม่เข้าใจ  ทำไมแม่ต้องรักเราขนาดนี้  เจ็บเจ็บที่อกเหลือเกินไม่เคยทรมานขนาดนี้เลย’   ผมวิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  เหมือนกับว่าจะกลัวใครมาเห็นน้ำตาที่กำลังรินไหลอยู่นี้…..

                    ไกลแค่ไหนแล้วนะ….ไม่รู้นึกอะไรไม่ออกเลย…….รู้แค่เหนื่อยมาก  หมดแรงแล้ว สายตาเด็กน้อยเบลอจนไม่อาจรับรู้สิ่งที่อยู่รอบๆมีแค่ภาพรางๆไหวเคลื่อนไปมาอยู่  หูไม่อาจจะแยกแยะสิ่งที่ได้ยิน  น้ำตาเหือดแห้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ รู้แค่เพียงตอนนี้ในหัวมันโล่งไปหมด  นึกอะไรไม่ออกเลย  คิดอะไรไม่ออกเลย จะรู้สึกก็แค่เส้นเลือกที่กำลังเต้นแรงและถี่เป็นจังหวะหัวใจอยู่ที่ศีรษะเท่านั้นและ“ ตุ๊บ!!”  ในที่สุดเด็กน้อยที่อ่อนล้าก็สะดุดขาตัวเองล้มลงและผลอยหลับไป……

    ………………………………………………..

    ………………………………….

    ……………………….

    ……………..

    ……..

    .

                    “อย่าดิ้นให้มันมากได้มั๊ย!!  เดี๋ยวพ่อแม่แกก็เอาเงินมาไถ่แกแล้ว  ไอ่เด็กเปรตนี่!!

    เสียง?    ใคร?  มีใครอยู่แถวนี้เด็กน้อยถูกปลุกขึ้นจากเสียงเอ๊ะของชายบางคน  ซีคเกอร์ยันกายขึ้นแล้วสำรวจหาที่มาขแงเสียงนั่นแล้วก็พบ

    “อ่อย  อ้าน  เอี๋ยว อี้ อะ”  เสียงอู้อี้ที่ลอดมาจากผ้าปิดปากของชายหนุ่มผมสีบรอนซ์ทองท่าทางลูกคุณหนูที่ถูดมัดแขนขาไว้บ่งบอกความขัดใจและไม่เต็มใจอย่างชัดเจน  ท่ามกลางชายฉกรรจ์ 3 คนที่กำลังนั่งล้อมกองไฟอยู่  ที่ฟังจากที่ได้ยินมาก็รู้ว่าเป็นโจรลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่

    จะทำไงดี   เอ๊ะเราทำไมต้องสนใจด้วยหล่ะไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย  เราไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้  มันเป็นชายฉกรรจ์ตั้งสามคนนะ  เสียใจด้วยฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้….’  แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจพาลพาให้ทั้งคู่ได้สบตากัน  ซีคเกอร์จ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องโพยพายออกมาจนเจ้าโจรมันรู้ตัว  แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น  ไม่มีเสียงร้องใดๆออกมามีเพียงสายตาวิงวอนปนคราบน้ำตาเท่านั้นที่ส่งมา

    ไอ่บ้าเอ้ย!!  อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ…..มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไปลุยโจรสามคนเพื่อช่วยคนที่พึ่งเคยเห็นหน้ากัน  ขอโทษนะ  ถ้าจะแค้นก็แค้นโชคชะตาเถอะ….เพราะฉันเองก็เกลียดมัน….’ แล้วซีคเกอร์ก็ตัดใจหลบสายตานั้นแล้วหายใจในความมืด

    ………………………………………………………

    …………………………………….

    ……………………..

    “ช่วยด้วยยยยยยยยยย!!!!!!  เสียงซีคเกอร์ดังลั่นป่า  ทำเอาสามโจรชะงักในกิจกรรมของตนเพื่อฟังเสียงปริศนานั่น
    “นั่นเสียงเด็กนี่
    …..มีเด็กไหนมาอยู่แถวนี้  สงสัยหลงป่า   ดีเหมือนกันเผลอจะได้เด็กมาขายเป็นทาสด้วย” ชายคนหนึ่งในสามคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมลุกเดินออกไปตามเสียง  ทิ้งสองคนไว้ที่กองไฟ

    “ความจริง  ถ้าเป็นชั้นจะไม่ไปนะ  ได้ยินว่าแถวนี้ภูตผีแรงนะโว้ย  ฮ่าๆ” ชายอีกคนหนึ่งแซวขึ้นมา

    “กะ กะ  กะ  กลัวที่ไหน  ฮ่าๆ  อย่ามาทำแกล้งให้ป๊อดเลยไม่มีทางหรอก ฮ่าๆ”   ชายอีกคนก็พูดติดตลกกลับไป

    ………………………..

    “ช้าจังเลยนะ  เจ้าบ้านั่นหน่ะ

    “ใช่ช้าจริง…..ไอ่บ้านี่ทำบรรยากาศอึมครึมซะได้  เดี๋ยวชั้นไปตามเอง”  แล้วชายคนหนึ่งก็ลุกออกไป  ทั้งนี้บรรยากาศยิ่งเงียบสนิทได้ยินแค่เสียงไม้ในกองไฟกำลังปะทุไว้เบื้องหลัง

    “ไอ่พวกบ้าเอ้ย  ถ้ารู้ทีหลังว่ารวมหัวกันแกล้งชั้นละก็เอาเรื่องแน่….”  ไอ่โจรคนที่เหลือพึมพำอยู่คนเดียว

    “ไอ่หนู  เกิดเป็นแกนี่มันสบายจังนะ  นี่คงพึ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ครั้งแรกหล่ะสิ  เด็กที่ไม่รู้จักอดอยาก  เด็กที่ไม่รู้จักสงคราม  เด็กที่ไม่รู้จักการแย่งชิงเอาตัวรอด  ทำไมเด็กที่เหมือนอยู่ในความฝันอย่างนั้นต้องเป็นแกไม่ใช่ฉันวะ  แกเกิดมาในบ้านที่มีหลังคาอบอุ่น  ฉันไม่มีแม้แต่เสื้อซักผืนที่จะใส่ในฤดูหนาวเสียด้วยซ้ำ  แกมีกระทั้งเค้กวันเกิดส่วนฉันต้องขโมยของๆคนตายไปขายเพื่อแลกเงินมาซื้อของกิน  ทำไมวะ    ทำไม!!  พูดแล้วก็ยั๊วะหว่ะ”  เจ้าโจรแสดงอาการหงุดหงิดควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

    “สวบ” เสียงย่ำใบไม้ดังมาจากด้านหลังของโจรคนนั้น

    “เอ่อมากันซักที  ขี้เกียจบ่นอยู่คนเดียวละ

    “ไง

                    แต่สิ่งที่ปรากฏคือนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่สะท้อนแสงไฟในความมืด รอยยิ้มประหลาดและเลือดที่ท่วมเต็มใบหน้า….

    “ตุ๊บ!!!”  เสียงท่อนไม้เสยเต็มคางของเจ้าโจร  เจ้าโจรนั้นหงายล้มตึงอย่างไม่ทันจะรู้ตัว

                    ซีคเกอร์วิ่งฝ่าพุ่มไม้ออกมาในที่สุดและนำมีดขอเจ้าโจรนั้นปลดพันธนาการให้เด็กน้อยอีกคน 

    “เร็ววิ่งหนีเร็ว  ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะฟื้นเมื่อไหร่”  ซีคเกอร์เร่งรัดสั่งเด็กน้อยอีกคน

    “ที่นายทำนั่นบ้ามากเลย”  เด็กผมบรอนซ์ยิ้มแล้วพูด  ซึ่งนั้นสะกิดให้ซีคเกอร์รู้สึกกวนอารมณ์

    “ฉันไม่อยากได้ยินจากปากนายหรอกนะเฟ้ย

    “แต่ขอบใจนะ…..

    “ชั้นชื่อซีคเกอร์”

    “ชั้น…….

    …………………………………………………………………………………………………………………………………………….

    “เอริคนั่นนายหรอ”  กลับมาที่เมืองท่านอร์ธเกท ซีกเกอร์พึพำออกมาอย่างพึ่งนึกขึ้นได้

    “แหม  ค่อยโล่งออกหน่อยที่นายยังไม่ลืมชั้น”  อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยท่าทางยิ้ม  ที่ดูสยองพิลึก

    “ปะ..เป็นไงสบายดีรึเปล่า”  ซีกเกอร์ถามด้วยอาการปรับอารมณ์ไม่ถูก  แต่กลับทำให้อีกฝ่ายถึงกลับเดือดดาล

    “คนทรยศอย่างนายไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้น!!”  เคร้ง!!  นายทหารเรือหนุ่มที่ชื่อเอริคเร่งฝีเท้าเข้าปะทะอีกครั้ง

    “เดี๋ยวก่อน….

    “ชั้นไม่อยากฟังคำแก้ตัวตอนนี้   เพราะที่ผ่านมาชั้นได้คอยจินตนาการหาคำแก้ตัวให้นายจนเหนื่อยใจแล้ว  ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ”  น้ำเสียงเดือดดาลที่ฟังดูแสนเศร้านี้ทำให้ทั้งคู่ต้องรำลึกย้อนไปในวันนั้นอีกครั้ง

        ณ   ถ้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง

    “ทำไมเราไม่หนีกันต่อหล่ะ”  เด็กน้อยผมทองเอริคเอ่ยถามขึ้น

    “ในป่าตอนกลางคืนมันอันตรายแล้วที่นี่พวกโจรมันก็หาไม่เจอหรอก   ชั้นรู้จักที่นี่ดี”  ซีกเกอร์ตอบกลับไป

    “นายเป็นเด็กที่นี่หรอ”

    “ใช่ทำไมรึ”

    “ชั้นก็เป็นเด็กของที่นี่นะ”

    “อ่าว  แล้วทำไมชั้นไม่เคยเห็นนายมาก่อนเลย  เอริค”

    “ผมค่อนข้างสุขภาพอ่อนแอ   พ่อแม่เป็นพ่อค้า  กิจการกำลังรุ่งเรืองเลยไม่มีเวลาอยู่ด้วยซักเท่าไหร่  เพราะแบบนั้นก็เลยได้อยู่คนเดียวมาตลอดเลยหล่ะ”  เอริคเอ่ยพูดแบบเหงาๆ  และดูเหมือนซีกเกอร์จะเข้าใจดี

    “ชั้นก็อยู่คนเดียว  ทุกๆคนกลัวชั้นเพราะชั้นมีดวงตาสีเขียวนี่ไงหล่ะ”

    “ทำไมหล่ะ  ชั้นว่าสวยดีออก

    ……………………  ฮ่าๆๆๆ” คำพูดนั่นทำให้ซีกเกอร์ถึงกับตะลึงจนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นความขำขันในความไม่รู้อะไรเอาซะเลยของเอริค

    “อ่าว  หัวเราะอะไรอ่ะ  มีอะไรตลกหรอ?”

    “นายคงไม่เคยรู้สินะ  ดวงตาเนี่ย  เค้าเรียกกันว่า อีวิวอาย  ใครที่ถูกดวงตานี้จ้องมองจะโชคร้ายหน่ะ   เพราะแบบนี้ก็เลยไม่มีใครยอมมาเป็นเพื่อนชั้นหน่ะ” 

    “ไม่จริงซักหน่อย  ชั้นว่าชั้นโชคดีนะที่ได้ถูกจ้องมองด้วยตาคู่นี้….แล้วก็มาเป็นเพื่อนกันเถอะ  นายก็จะเป็นเพื่อนคนแรกของชั้นเหมือนกันนะ ซีกเกอร์….

    ……………………อื้ม!

     ไม่รู้ว่าทำไมแต่น้ำตาก็ไหลมาด้วยไม่รู้ตัว   แม่ครับในที่สุดผมก็มีเพื่อนแล้วครับซีกเกอร์คิดอยู่ในใจ

                    แล้วทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างกับอัดอั้นมานาย…………

    “วู้วววว   ฮะๆ  สนุกจังมีเพื่อนเนี่ย  พูดจนเหนื่อยเลย”  เอริคพูดพร้อมพร้อมทำท่าเหนื่อยๆ

    “แค่คุยก็เหนื่อยแล้วเหรอ  อ่อนไปนะ เอริค  จากนี้นายต้องออกกำลังกายมากๆ  เอากล้ามเป็นมัดๆแบบชั้นนี่  ฮี่ๆ”

    “โด่ววว  ขี้โม้จริงๆเลยนะซีกเกอร์คุงเนี่ย  แต่ถ้านายอยากให้ชั้นออกกำลังกายนายต้องช่วยชั้นด้วย”

    “ทำไงอ่ะ”

    “เกมไล่จับ  นายเป็นคนหนีชั้นจะไล่จับ  ถ้าวันไหนชั้นจับนายได้ก็แสดงว่าชั้นแข็งแรงแล้วไงหล่ะ”

    “ฮ่าๆ  ได้สิ  แต่คนนานโขเลยหล่ะ  อย่างนายจะไล่จับชั้นทันได้เร้ออิอิ”

    “เคยดูเถอะ!!”  เอริคประกาศท้าตามประสานิสัยเด็กไม่ยอมแพ้

    “แต่  เอริค  ถ้าพ่อแม่นายรู้เรื่องที่นายมาเล่นกับชั้นก็คง….

    “ไม่เป็นไรหรอกหน่า   ซีกเกอร์คุงเป็นเพื่อนชั้นนะพ่อกับแม่ต้องเข้าใจแน่ๆเลย  ว่าแต่นายเถอะเห็นชวนชั้นไปทานข้าวที่บ้านแม่นายจะไม่ว่าเหรอ”

    “กลับกันต่างหาก   ถ้าแม่รู้คงดีใจมากๆเลย   อยากกลับบ้านไวๆจัง  ฮิฮิ”

    ………………………………………………………………………..

    …………………………………………………..

    …………………………..

    “อะไรกัน…..เกิด…..อะไรขึ้น”   ภาพที่เกิดขึ้นบนนัยน์ตาผม  เป็นภาพที่ไม่อยากจะเชื่อเลย  ที่กลางหมู่บ้านตอนที่เรากลับมากลับวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่กำลังมุ่งใครซักคนอยู่   และคนนั้นคือ  แม่!!

                    ผมวิ่งไปสุดชีวิตแหวกฝูงชนที่ยังคงแสดงท่าทางหวาดกลัวตัวผมอยู่ 

    “แม่แม่!!...แม่เป็นอะไร!!!”  ผมเอ่ยถามแม่  ที่กำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่เหลือเกิน  เนื้อตัวถลอกปอกเปิก  เลือดก็อาบไปทั่วศีรษะ  และที่ไม่อยากจะเชื่อคือที่ท้องแม่มีรอยแผลขนาดใหญ่อยู่

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!  ใครก็ได้บอกที!!” 

    “ชั้นเจอแม่เธอนอนอยู่ตีนหน้าผาในป่าหลังหมู่บ้าน   พอดีชั้นเป็นพ่อค้าเร่มาเจอเข้าเลยรีบพามาหาหมอ  แต่ดูเหมือนเธอจะอาการแย่มากทนได้จนถึงตอนนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว

    “ซีกเกอร์…..”  แม้จะนิดเดียว  เพียงนิดเดียวนั่นแม่เรียกผมไม่ผิดแน่

    “ครับแม่  นี่ผมเองแม่  ไม่ต้องกลัวนะเดี๋ยวหมอก็รักษา  เดี๋ยวก็หายแล้ว”  เด็กน้อยซีกเกอร์พูดทั้งน้ำตาฟังดูแทบไม่เป็นภาษา

    “ลูกจริงๆใช่ไหม  ดีจังที่ลูกปลอดภัย”  สายตาอันเลื่อนลอยของแม่พยายามมองมาที่ผม  นั่นทำให้ผมแทบบ้า

    “แม่อย่างพึ่งพูดอะไรนะ  ตอนนี้แม่ต้องพักมากๆนะ”

    “ซีกเกอร์ฟังนะลูกแม่รู้ตัวดี  ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว”

    “ไม่เอาหน่าแม่  อย่าพูดแบบนั้นสิ”

    “ฟังนะลูก  ก่อนที่แม่จะหมดลมหายใจแม่อยากจะบอกกับลูกคำสุดท้ายว่า”  ผมกุมมือแม่ไว้แน่น  ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไม่อาจจะขึ้นแม่อีกแล้ว

    “แม่รักลูกนะ….” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของแม่…..

    “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”  ผมเหมือนตัวเองถูกจับเหวี่ยงไป  ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นมีแค่ความเสียใจทิ่มแทงอยู่ทั่วทั้งร่างอย่างเจ็บปวด

    “ดูสิ  เพราะมีลูกแบบนี้แท้ๆถึงได้อายุสั้น”

    “ได้ยินว่าที่ตกหน้าผาเพราะออกไปตามลูกนั้นแหละเธอ”

    “โชคร้ายจังนะ  เป็นสวยออกแท้ๆ ไม่น่าเลยจริงๆ”

    @$%%@)*^%$#&

                    และอีกมากมายที่ผมได้ยินแต่ไม่อาจตอบโต้ใดๆได้   ผมไม่มีแรง ความคิดของตัวเองยังแทบคุมไม่อยู่เลย  ศพของคุณแม่ถูกเผาในวันนั้นเลย  ผมอยู่จนเก็บกระดูกของแม่เสร็จก็กลับไปนอนที่บ้านคนเดียวอย่างเดียวดาย

                    หลังจากนั้น  ผมก็ใช้เวลานานพอควรเลยในการทำใจ   อันที่จริงผมไม่ได้ทำอาหารเองเลย  ไม่อยากทานแต่ก็มีเอริคที่คอยแวะมาหาทุกวันและพอรู้ว่าผมไม่ยอมกินอะไรเลยเอาอาหารมาฝากทุกวันด้วย   แต่เพราะเข้ามาดูแลผมทำให้เอริคเองเริ่มถูกคนในหมู่บ้านรังเกียจ เด็กในหมู่บ้านเริ่มกลั่นแกล้งเอริคเหมือนที่ทำกลับผม  และวันนั้นทำให้ผมต้องตัดสินใจ

    “ไง  ซีกเกอร์  ชั้นแวะมาหาหน่ะ  กินอะไรรึยัง”  เสียงเอริคเข้ามาทักอย่างทุกวันแต่วันนี้ทำให้ผมต้องตกใจ  เพราะเนื้อตัวของเอริคเต็มไปด้วยรอยแผลถลอกศรีษะก็มีคราบเลือดด้วย

    “โทษทีน้า  พอดีเค้าสะดุดล้มนิดหน่อยของกินเลยเปื้อนอ่ะ  แต่ไมเป็นไรปัดๆนิดหน่อยก็ทานได้นะเดี๋ยวชั้นกินเป็นเพื่อน”

                    ….โกหกชัดๆ  มองดูก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่แผลที่เกิดจากการสะดุดล้มหรอก   คงจะโดนแกล้งมาอีกหล่ะสิ  และดูเหมือนจะแกล้งหนักขึ้นทุกวัน

    “ทำไมหล่ะ?”  ในที่สุดซีกเกอร์เริ่มเอ่ยปาก

    “เอ๋?  อะไรเหรอ”  เอริคถามย้อน

    “ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย  ไม่เห็นจะต้องมาสนใจชั้นเลย

    “ก็นายเป็นเพื่อนชั้นไง….

                    เอริคคงไม่รู้หรอกว่านั่นทำให้ผมเจ็บปวดขนาดไหน….

    “ซีกเกอร์เริ่มดีแล้วใช่ไหม  งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้มาเล่นไล่จับกันนะ”  เอริคพูดพร้อมยิ้มให้

    “ได้สิ”  ผมพูดพร้อมน้ำตา  เอริคคงไม่รู้หรอกว่านั่นจะเป็นคำสุดท้ายที่เราจะได้พูดด้วยกัน

                    หลังจากนั้นผมก็หนีออกจากหมู่บ้านและไม่เคยกลับไปอีกเลย

    ……………………………………………………………

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×