ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Killer สุดป่วนก๊วนโจรสลัด

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 การพบกัน และ ยักษ์ในตะเกียง

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 55


    Chapter 12 การพบกัน และ ยักษ์ในตะเกียง

                    วันที่ 5 หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวในงานเทศกาลช็อกโกแลต  เวลาบ่ายโมง  ใกล้ท่าเรือพอลสวิว  ในเขตทะเลเหนือ

                    ณ บริเวณหัวเรือของเรือสลัดเดอะคิลเลอร์

                    “ดูเหมือนว่าจะถึงแล้วสินะ  ฐานประชุมลับของกลุ่มหมอกอะไรนั่นน่ะ” เสียงกัปตันสาวงัวเงียถามด้วยอาการพึ่งตื่นจากการนอนกลางวัน

    “อ่าครับ  จากคำให้การของเจ้าพวกตัวประกันใต้ท้องเรือก็บอกตรงกันทั้งห้าคนเลยครับเจ้” ซีกเกอร์ผู้ซึ่งนั่งขัดเงาดาบคู่กายอยู่ใกล้ๆตอบขึ้นมา

    “แล้วนี่ใครเห็นแอลคุงบ้าง  ซีกเกอร์นายเห็นบ้างรึเปล่า”  แล้วเจ้ซิลฟี่ก็ถามหาลูกเรือของเธอทันที

    “ครับ  หลังจากสอบสวนพวกตัวประกันเสร็จก็ขอตัวกลับไปงีบ  เห็นว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” ซีกเกอร์ตอบกลับไป  ในมือก็พลางขัดเงาดาบรักต่อไป

    “เหรอ   แปลกแฮะ  แล้วเจ้าหนูเนลล่ะหายไปไหนซะล่ะ ”

    “อืม  เหมือนจะเห็นแวบไปมาแถวนี้แหละ  อ่ะนั่นไงกำลังเล่นกับเจ้าพัตเตอร์อยู่หน้าห้องพยาบาลนู่นไง”  นี่เป็นครั้งแรกในการสนทนานี้ที่ซีกเกอร์เงยขึ้นมาดูก่อนจะตอบบ้าง

    “อ่า เห็นแล้วๆ  ขอบใจมาก” ว่าแล้วเจ้ซิลฟี่ก็เดินจากไปโดยมุ่งหน้าไปยังลูกเรือน้อยทั้งสอง

                    …………………………………………………………………………………………………………………………….

                    นี่จะต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์  โลกจะต้องจารึกถึงผม  เนล!!  ในฐานะมนุษย์คนแรกที่บินได้!!! . . . . .ซะที่ไหนเล่า!!!!

    “นี่  พัตเตอร์คุง  มันจะเวิร์คแน่เหรอ  ไอ่เครื่องหน้าตาจะพังแหล่มิพังแหล่เนี่ย T[]T! ผมพูดเสียงสั่นท่ามกลางอุปกรณ์มากมายที่รัดกายอยู่  หน้าตามันคล้ายปีกนกที่ทำจากไม้ยื่นออกไปสองข้าง  เชื่อมต่อกันด้วยกลไกแบบฟันเฟืองทำให้บิดปีกขึ้นลงได้   ถ้าจะมีอะไรที่ดูน่ากลัวคงเป็นท่อเหล็กอะไรซักอย่างที่อยู่ด้านหลังผมเนี่ยแหละ

    “มันต้องเวิร์คสิ!!  นี่มันสุดยอดสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะหมาย  53.4 เลยนะ!!” พัตเตอร์พูดอย่างมั่นใจซึ่งผมไม่เคยจะเชื่ออ่ะ”

    “แล้วตัวที่ 53.1 ล่ะ ผมยังไม่เคยเห็นเลย”

    “เจ้าโง่!! ชั้นเริ่มทำที่ชิ้นที่ 53.4เลยไง”

    T[]T!!”  สรุปก็คือชิ้นแรกสินะและผมก็คือหนูทดลองอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ก่อนที่โลกจะจารึกนายไว้ในฐานะมนุษย์คนแรกที่บินได้  มีอะไรจะสั่งเสีย  เอ้ย!! กล่าวไว้มั๊ย”

    T A T !! ….ไม่มีครับ”  จบสิ้นแล้วชีวิตพ้ม!!!

    “อ้าว!  กำลังทำอะไรกันอยู่รึน่าสนุกเชียว”  ฟ้ามาโปรด!!  เสียงเจ้ซิลฟี่มาช่วยผมไว้ได้ทันเวลา  ซึ่งแน่นอนเช่นเคย  พัตเตอร์ยืดอกจมูกโด่งตอบกลับไปอย่างภาคภูมิว่า

    “คือเจ้านี่คือสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะล้ำยุคหมายเลย 47.1

    53.4 เฟ้ย!!  นี่นายจำไม่ได้เพราะมั่วใช่มั๊ย!!! TT[]TT”  ผมเริ่มสิ้นหวังจริงๆเสียแล้ว

    “นั่นแหละๆ  อย่างใส่ใจเรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นั้นสิ  สรุปคือไอเครื่องนี่จะทำให้คนบินได้!!”  พัตเตอร์ตอบไปก่อนจะจบด้วยด้วยท่าเก็กหล่อ

    “โหเจ้าเนี่ยเหรอจะทำให้คนเราบินได้  น่าสนใจแฮะ”  เจ้ฟี่ดูสนใจมากเข้ามาก้มๆเงยอยู่รอบๆตัวผมอย่างใจจดใจจ่อ

    “แต่ผมว่าเจ้ออกมาห่างๆเลยดีกว่า  ผมยังไม่ได้สอนเจ้าเนลบังคับปีกเลย  ถ้าขืนเจ้พลาดไปกดปุ่มเริ่มซะก่อนมันจะแย่เอา”

    “นี่ไอ่ปุ่มที่ว่านั่นน่ะใช่ปุ่มที่เจ้กดอยู่นี่รึเปล่า”  คามือ!!เจ้มือบอนได้โล่!!

    “ใช่ปุ่มนั้นแหละ …..ห๊ะ!!” พัตเตอร์เหมือนจะพึ่งคิดได้  และติดสตั้นไปโดยทันที  แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ช็อกกว่าคือโพ้มมมมม!!! T[]T!!

                    และแล้วเครื่องก็เริ่มทำงาน  มันสั่นเหมือนเจ้าเข้าก่อนที่เริ่มได้ยินเสียงปะทุของกล่องเหล็กด้านหลัง  ไม่นานนักก็มีไฟพ่นออกมา  และนั่นดูเหมือนว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับผมเอาซะเลย  ผมเริ่มลอยขึ้นจากพื้นและแล้ว….ซู่ม!!!!!...ปิ๊ง!!   ตัวผมนั้นได้ทะยานหายเข้าไปในกลีบเมฆราวกับการ์ตูนแก็กบ้าพลังปัญญาอ่อนที่เห็นกันได้อย่างดาษดื่น ….

                    “ร้อยตรีเนล  เราจะไม่ลืมความกล้าหาญของนายเลย  จงหลับให้สบายเถอะ”  เจ้าพัตเตอร์ตะเบะอาลัยไม่พอยังเติมยศให้อีกต่างหาก  จอมมั่วเอ้ยชั้นเกลียดแก!!

          ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

    “โถ่!!  คุณซิลฟี่ล่ะก็  นอกจากจะไม่ห้ามแล้ว  ยังจะเล่นกับเขาอีก  ดูสิเนลระบมทั้งตัวหมดแล้ว”  เสียงพยาบาลสาวกำลังบ่นปนดุทั้งสองตัวการ  ในขญะที่กำลังพันแผลให้เนลซะเป็นมัมมี่เลย

    “คือแบบว่าขอโทษนะ  พอดีมันน่าสนุกดีน่ะ”  เจ้ซิลฟี่ตอบกลับไปพร้อมเกาหัวแก้เขิน

    “อย่าเห็นชีวิตผมเป็นเรื่องสนุกสิครับ!! Ò[]óT^T เนลถึงกับฟิลด์ขาด

    “เนี่ยผมบอก  เจ้ซิลฟี่ให้ระวังแล้วเชียวแต่เจ้แกเห็นแกเล่นมากเกินไป  เรื่องเลยลงเอยแบบนี้”  เจ้าพัตเตอร์ริอาจตัดช่องน้อยแต่พอตัว

    “แกนะแกได้ทีเอาใหญ่นะ  ฝากไว้ก่อนเถอะ”  เจ้ซิลฟี่ได้แต่เก็บงำความแค้นนี้ไว้  เพราะคราวนี้เธอก็ผิดจริงๆที่มือบอน

    “อย่าเอาแต่โกรธคนอื่นอยู่เลยค่ะ ในฐานะที่คุณซิลฟี่เป็นผู้ใหญ่กว่ายังไงก็ผิดนะคะ”  เสียงใสๆของพยาบาลแสนสวยทำเอากัปตันเรือจ๋อยไปเลย

    “นั่นสิ  เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ” ได้ทีขี่ก็อตซีล่าไล่เลยทีเดียวเจ้าพัตเตอร์เนี่ย!! = =

    “เธอเองก็ทำตัวน่าผิดหวังเหมือนกันนะพัตเตอร์คุง  เธอเองก็อายุมากกว่าเนลคุงนายความจะเป็นพี่ชายที่คอยดูแลน้องสิ  ไม่ใช่เอาเค้ามาแกล้งแบบนี้….ฯลฯ”  และอีกยืดยาวเป็นกระบุงทำเอาทั้งคู่ต้องนั่งสำนึกผิดกันอีกนาน  เหตุการณ์นี้ทำให้ผมชักไม่แน่ใจว่าในเรือลำนี้ใครใหญ่สุดกันแน่ = =

    ……………………………………………………………………………………………………………………………

                    “โอ่ยเล่นเอาซะหูชาเลยยัยมิบุเนี่ย”  เสียงกัปตันสาวเดินออกจากห้องพยาบาลพร้อมแคะขี้หูด้วยอาการเบื่อหน่ายสุดยอด

    “แต่ก็สวยที่สุดเลย….เอาเป็นว่าผมให้อภัยเธอทุกอย่าง!” พัตเตอร์เพ้อพกซะจนเหมือนกับว่าไม่ได้เดินมาด้วยกัน

    “แล้วนี่นายไม่นอนพักจริงเหรอ  เนล”  เจ้ซิลฟี่หันไปถามมัมมี่เดินได้ทางซ้ายมือตน

    “เดี๋ยวผมมีเรียนเสริมกับแอลคุงครับ  ขืนไม่ไปเดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” เหมือนว่าความกลัวจะมีอิทธิพลเหนือความเจ็บปวดจริงๆ = =

    “เห็นเจ้าซีกเกอร์บอกว่าไปงีบน่ะ  พอดีเลยแวะไปหาหน่อยดีกว่า  พอดีชั้นไปอ่านหนังสือของแอลมาเล่มหนึ่งเรื่องการเกิดรุ้งกินน้ำแหละ!!  มันช่างน่าทึ่งมากที่….

    “ที่เจ้ไม่เข้าใจสินะไม่ใช่น่าทึ่งหรอกนั่นเรียกเรื่องธรรมดา” โป้ก!!  เสียงเพ่นกะบาลใส่เจ้าคนปากหาเรื่องอย่างพัตเตอร์ซะเต็มแรง

    “งั้นพัตเตอร์คุงจะไปด้วยกันเลยไหมครับ”  เนลเอ่ยชวนพัตเตอร์คุง แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวปฏิเสธอย่างทันควัน

    “ไม่เอาอ่ะ  ไม่อยากอยู่ใกล้หมอนั่นมากอยู่ใกล้ที่ไรเป็นอันต้องซวยทุกทีสิน่า  ไปละๆ” ว่าแล้วพัตเตอร์ก็เดินจากไปในท่าที่ใช่มือไพล่ท้ายทอยด้วยอาการไม่สนใจ

                    แล้วทั้งสองก็เดินต่อมาจนถึงห้องบัญชาการกัปตัน  ซึ่งถูกแอลยึดเป็นที่นอนเสียแล้ว  พอเข้ามาก็พบชายที่กำลังตามหานอนซมที่เก้าอี้กัปตัน   พอมองดูดีๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ดูไม่มีพิษภัยอะไรเลยเมื่อมาเห็นในสภาพนี้   ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อชายคนนี้ตื่นมันราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน

                    ผมเนลครับตอนนี้ผมกำลังเดินเข้ามาในห้องบัญชาการของกัปตันพร้อมกัปตันครับ  และในตอนนี้ดูเหมือนคนที่ผมมีนัดด้วยกำลังหลับปุ๋ยอย่างสนิท   ปกติแล้วผมไม่มีนิสัยชอบแกล้งคนนะครับ  แต่กับชายคนนี้ขอซักทีแล้วกัน  

                    แต่พอผมกำลังจะมองหาปากกามาเขียนหน้าแกล้งแอลเล่น  ทันใดนั้นผมก็ เห็นแอลกระตุกกึกขึ้นมาพร้อมเริ่มขดตัวด้วยผ้าห่มผืนบางของเขา  มันทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่า

    “นี่เจ้ซิลฟี่ครับ  ทำไมแอลไม่ไปนอนดีๆเหมือนคนอื่นซักทีล่ะครับ”

    “คงเพราะความเคยชินมั้ง” กัปตันสาวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

    “ความเคยชิน?” ผมย้อนคำอย่างสงสัย

    “ไม่ใช่แค่นี้นะ  ถ้าสังเกตดีๆแอลคุงจะไม่เคยยอมนอนที่กลางแจ้งเลย  เขาน่ะที่ผ่านมาเคยพบกับช่วงชีวิตที่แย่ๆมาไม่น้อยเหมือนกัน”

    “คนอย่างแอลเนี่ยนะครับ  จะมีใครทำอันตรายปีศาจแบบนี้ได้กันนะ”

    “ฮ่ะๆ  ปีศาจเหรอมันก็จริงรู้สึกเมื่อก่อนหมอนั่นจะถูกเรียกว่าอะไรแบบนั้นด้วยนะ  รู้สึกจะเป็น ยักษ์ในตะเกียงวิเศษหรืออะไรเนี่ยแหละ”

    “ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ?  อะไรกันเนี่ยชื่อเห่ยเป็นบ้าเลย  แล้วนี่ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว  ผมอยากรู้ว่าอัจฉริยะอย่างแอลทำไมถึงมาขึ้นเรือบ้าๆบวมๆแบบนี้ได้กันนะ”

    “เรือบ้าๆบวมๆงั้นเหรอ!?!?!

    “ย๊ากกก  เจ็บนะ” ผมโดยเจ้ซิลฟี่เอากำปั้นปั่นขมับเล่นเอาปวดหัวไปหมดเลย TT^TT

    “เอ๊ะ!  แปลกแฮะ  เราเสียงดังกันขนาดนี้แอลยังไม่ตื่นอีกสงสัยจะเพลียมากจริงๆ”  เจ้ซิลฟี่เอ่ยขึ้นมาด้วยอาการแปลกใจ

    “นี่แล้วสรุปเจ้จะเล่าได้รึยัง  ขนมกับชาผมพร้อมละนะ”  ด้วยความรวดเร็วผมเตรียมชาและขนมมาตั้งไว้กับพื้นเตรียมรอฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ

    “พร้อมจริงนะเอ็ง = =” เจ้ซิลฟี่ถึงกับตะลึง

    ^^Y” เนลชูสองนิ้วยิ้มแฉ่งตอบรับไป

    “อะแฮ่มคือเรื่องนี้มันต้องย้อนไปเมื่อ9ปีก่อน  ในสมัยที่ชั้นยังอยู่บนเรือกับพ่อ…..

                    ในตอนนั้นกลุ่มโจรสลัดเดอะคิลเลอร์มีชื่อมาก  เราเดินทางไปทั่วทั้งสี่มหาสมุทรออกล่าสมบัติจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่ว  ต่อกรกับเหล่ากองทัพเรือเสียเกือบทุกเมื่อเชื่อวัน   แต่มันมีอยู่ครั้งนึงเมื่อพ่อชั้นพาพวกเราพักที่เกาะหนึ่งในดินแดนทางทะเลตะวันออก   ในตอนนั้นพอต้องเข้าร่วมประชุมลับขององค์กรโจรสลัดที่พ่อสังกัดอยู่  พวกเราจึงต้องอยู่ที่เมืองนั้นระยะหนึ่ง   ในขณะที่ชั้นที่กำลังเดินเล่นอยู่ในเมืองก็ได้พบเรื่องประหลาดเข้า

                    เสียจอแจของผู้คนที่กำลังรุมล้อมอะไรซักอย่างดึงดูดสายให้มองไปด้วยความสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้   และนั่นก็ทำให้ชั้นตกใจเล็กน้อย  เพราะ ณ ใจกลางวงล้อมนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารเรือ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความสงสัยของชั้นลงไปได้เลย  หนำซ้ำยังมากกว่าเดิมเสียอีก

    “สวัสดีครับ  คุณมิคาเอล  ผมอยากจะมาถามอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับทับทิมแห่งคาริม  มันถูกขโมยไปเมื่อสามวันก่อน  พวกเราสงสัยว่าคุณ  อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

                    แล้วก็มีเด็กชายผมดำกระเซิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา  ด้วยความที่อายุไม่ห่างกันมากทำให้ชั้นสนใจในตัวเขามาก

    “ต้องขอโทษด้วยนะครับ  ผมว่าต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน  ผมต้องทำงานอยู่ที่หอนาฬิกาที่ใจกลางเมืองตลอด  ผมไม่มีทางที่จะแอบไปขโมยของได้หรอกครับ”  เสียงชายวัยทำงานไว้หนาวเข้มยาวในชุดเอี๊ยมเขลอะคราบน้ำมัน กล่าวตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ

    “คุณทำงานอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ  มีใครเป็นพยานให้ได้หรือเปล่า”  เด็กชายผมดำเริ่มซักอีกครั้ง

    “พยานเป็นตัวบุคคลคงจะไม่มีหรอกครับ  แต่ผมสามารถใช้นาฬิกาเป็นหลักฐานยืนยันได้นี่ครับ  ในเมืองนี้ไม่มีใครรู้วิธีดูแลมันนอกจากผม  แล้วก็ถ้าไม่คอยคุมการทำงาน  นาฬิกานั่นจะหยุดเดินภายในสิบสองชั่วโมง  แล้วด้วยเวลาแค่นั้นผมจะไปกลับในที่ๆห่างไกลอย่างเมืองราบิสที่เป็นที่ตั้งของทับทิมคาริมได้อย่างไรครับ  หรือถ้าหากผมไปจริงคงต้องมีคนร้องเรียนกันให้วุ่นแน่เรื่องนาฬิกาประจำเมืองไม่ยอมเดินนี่นะครับ” ชายผู้ถูกกล่าวหายังคงสงงบนิ่งอยู่

    “นั่นสินะครับ  ทริคแก้ต่างด้านเวลาจะเป็นยังไงผมไม่สนหรอก  แต่ที่น่าแปลกคือทับทิมแห่งคาริมมีอยู่สองแห่ง  หนึ่งคือเมืองราบิส  อีกหนึ่งคือเมืองเดนมู  แล้วทำไมคุณถึงรู้ว่าผมกำลังพูดถึงทับทิมจากเมืองไหนล่ะครับ” บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้วเด็กชายฉายแววตาน่ากลัวประหลาดกดดันอีกฝ่ายเหมือนกับกำลังมองเข้าไปในจิตใจอย่างทะลุปรุโปร่ง

    “เออ..เอ่อ.เหรอ  แหม..ชั้นไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทับทิมแห่งคาริมมีของเม็ด  ก็เลยนึกว่าเป็นที่นั่นไงหล่ะ”  ดูเหมือนชายคนนั้นก็เริ่มเก็บอาการหวั่นวิตกไว้ไม่อยู่

    “เหรอครับ  ทั้งๆที่เมืองเดนมูอยู่ใกล้เมืองนี้กว่าแท้ๆแต่กลับไปรู้จักทับทิมแห่งคาริมขอเมืองราบิสซะนี่  แปลกจริงๆเลยนะครับ”  แล้วเด็กชายก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีเลิศนัย   ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มซิลฟี่กลับรู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษจากเด็กคนนี้

    “นั่นสินะครับ  ผมนึกว่าที่ต้องไปขโมยไกลๆก็เพราะต้องการให้ทริคแก้ต่างด้านเวลาสมบูรณ์แบบเสียอีกจากนี่ไปราบิสใช้เวลาสามวันพอดี   แค่คิดเล่นๆนะครับหากผมสมมุติให้คุณเป็นคนร้ายจริง   คุณคงต้องจัดการกับหลักฐานที่ใช้เป็นทริคเรื่องเวลาสินะ  แต่กลางวันแบบนี้คงจะทำการอะไรเตะตาไม่ได้คงต้องรอกลางคืนเสียก่อน  นั่นหมายความว่าตอนนี้สิ่งที่อาจเป็นหลักฐานได้นั้นยังคงอยู่  ถ้าคุณยังยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ผมขอให้แสดงความริสุทธ์โดยการให้ผมเข้าไปตรวจสอบหอนาฬิกาประจำเมืองตอนนี้เลยได้ไหมครับ”  เบ็ดเสร็จและเด็ดขาดชายผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นทรุดกายลงอย่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                    นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นตามากเลยสำหรับชั้นในวันนั้น  แต่ไม่ใช่ที่สุดเพราะมีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากกว่านั้นเกิดขึ้นอีก..

    “เกิดอะไรขึ้นหรือครับเจ้ฟี่”  เนลถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

    “ก็กำลังจะเล่านี่ไอย่างขัดคอสิ!! …….อ่าว  ถึงไหนแล้วเนี่ย  หมดกันเริ่มใหม่ล่ะกันกาลครั้งหนึ่งไม่นานมากนัก”

    “หยุดเลยเจ้  ถึงตอนที่เด็กชายจับคนร้ายได้แล้วไง(แล้วไอ่การเริ่มเรื่องเหมือนนิทานหลอกเด็กนั่นมันอะไร!!)”   เนลท้วงอย่างรวดเร็ว

    “อ่า  ใช่ๆ  งั้นจะเล่าต่อละกัน

                    ชายผู้เป็นคนร้ายหมดหนทางสู้ได้แต่คุกเข่าจำนนพร้อมน้ำตา  เด็กชายอธิบายทริคที่คิดว่าคนร้ายใช้ก่อเหตุอย่างละเอียดซึ่งตัวคนร้ายเองก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี 

    ………และนี่แหละคือทริคการแก้ต่างของเวลาของคุณ  ตอนไปผมจะขอตรวจสอบเรื่องแรงจูงใจ” และก่อนที่เด็กชายจะพูดหมดจบประโยคก็มีชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มใส่ชุดทหารเรืออย่างไม่เป็นระเบียบขัดขึ้น

    “เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง  จับคนร้ายได้ก็พอแล้วนี่”  ชายผู้ซึ่งดูเป็นหัวหน้าของทหารเรือทั้งหมดในแถวนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมัดบท

    “เดี๋ยวสิ   การที่ชายคนที่ไม่เคยมีประวัติแบบนี้มาก่อนเหตุแสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ๆ”

    “หุบปาก!!  เป็นแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำมาเป็นปากแจ๋ว   จะบอกให้นะ  โจรก็คือโจรจะเหตุผลอะไรชั้นไม่สน  ได้ยินชัดมั๊ย?”  เจ้าร่างโตนั่นทำท่าไม่พอใจอย่างชัดเจน

    “แต่ผมเป็นคนของรัฐบาลกลางนะขึ้นกับรัฐบาลโลกโดยตรงเรื่องแค่นี้ผมน่าจะมีสิทธิ์ที่จะ

    “หนวกหูโว้ยยยย   ชั้นไม่สนหรอกนะว่าพวกรัฐบาลกลางจะเรียกแกว่าอัจฉริยะหรืออะไร  แต่ที่แกถูกสั่งให้มานี่ก็เพื่อสืบสวนเรื่องการโจรกรรมทับทิมแห่งคาริมแค่นั้น  แล้วก็จบกลับบ้าน  เย้แฮปปี้…………….…….  ยังไม่เข้าใจอีกรึไง  แกมันก็แค่เครื่องมือที่รัฐบาลโลกอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ทิ้ง  เข้าใจแล้วก็อย่ากำแหงให้มันมากนัก!!  พวกแก..พาพ่อยอดอัจฉริยะของเรากลับบ้านหน่อยป่ะ” ชายผู้เป็นหัวหน้าร่างใหญ่ออกคำสั่งแก่ลูกน้องให้ปฏิบัติโดยพลัน

                    แล้วทั้งคนร้ายและนักสืบก็ถูกใส่กุญแจมือทั้งคู่ ฟังไม่ผิดหรอกทั้งคู่!!

                    เหตุการณ์นี้ทำให้ความสนใจของชั้นต่อเด็กคนนั้นเพิ่มมากขึ้นจนทนอยู่เฉยไม่ไหว ในหัวของชั้นมีแต่ความสงสัยถึงความเกี่ยวข้องของคนเหล่านั้นอันแสนประหลาดจนวุ่นไปหมด  และกว่าจะรู้ตัวอีกทีชั้นก็อยู่หน้าเรือนจำประจำเมืองเสียแล้ว  เด็กชายถูกพาตัวเข้าไปยังเรือนจำในสภาพไม่ต่างอะไรจากนักโทษและในคืนนั้นเอง….

                    ท่ามกลางรัตติกาลอันหม่นมืดไร้ซึ่งแสงจันทร์ในคืนเดือนดับและคับคั่งด้วยเมฆหมอก  ชั้นได้แอบย่องเข้าไปในเรือนจำแห่งนั้น  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆควรจะไปทางไหนแต่ด้วยสังหรณ์ใจเลยลงไปในชั้นใต้ดินของเรือนจำซึ่งก็ทำให้ต้องลงไม้ลงมือกับยามเฝ้าประตูไปสองคน  และในที่สุดชั้นก็พบ….

                    ด้านใต้คุกอันไม่น่าอภิรมย์กลับมีสถานอันประดิษฐ์ด้วยความวิจิตรตระการตาอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ  ชั้นชุดถ้วยชามเตียงตู้ล้วนงดงามน่าหลงใหล  หากจะมีอะไรที่ดูไม่เข้ากันในที่นี้แล้วล่ะก็  คงจะเป็นลูกกรงเหล็กหนาที่กั้นความวิจิตรนั้นไว้แต่ภายใน  ทำให้เข้าใจว่าที่นี่ยังไงก็ยังเป็นคุก!!

    “เธอ  ผู้หญิงคนนั้นน่ะ  ออกมาเถอะแอบอยู่ทำไม  เวลาของเธอมีค่านะ”  จู่เสียงเด็กชายคนนั้นก็เอ่นขึ้นมาเหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้ว  ทั้งๆที่ชั้นยังแอบอยู่เลยด้วยซ้ำ

    “รู้ได้ยังไงน่ะ  แถมยังรู้อีกด้วยว่าชั้นเป็นผู้หญิง  นายมีญาณหยั่งรู้เหรอ  หรือเป็นหมอดูนักทำนายอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า” ชั้นสนใจในตัวเค้ามาก  ทันทีที่ออกจากกำแพงที่แอบชั้นก็ยิงคำถามไปไม่หยุด

    “ไร้สาระน่า    เงาเธอต่างหาก  คิดจะแอบใครดูทิศทางแสงดีๆสิ” เด็กชายทำให้เธอสนใจในตัวเขามากขึ้นอีกครั้ง

    “ฮ้านายนี่หัวดีจริงๆเลยนะ ”

    “เธอมีเวลามาว่างคุยเล่นกับชั้นเลยเหรอ   จะผ่านเข้ามาในนี้ได้ต้องผ่านยามสองคนเชียวนะ  ไม่ว่าเธอจะจัดการพวกเค้ายังไง  อีกไม่เกินสิบนาทีจะมียามอีกชุดมาเปลี่ยนพวกเข้าต้องสังเกตเห็นแน่   และเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรามาเข้าประเด็นดีกว่า  เธอมาที่นี่ทำไม!?”  เด็กชายเผยแววตาเหมือนตอนที่สอบสวนอีกแล้ว  เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเอาจริงเอาจัง

    “เห….นายนี่ท่าจะแก่เร็วแฮะ   จริงจังซีเรียสไปได้ชั้นแค่สนใจในตัวนายน่ะ   เมื่อเช้าชั้นเห็นนายสอบสวนแล้วเจ๋งเป็นบ้าเลย แต่ก็แปลกใจว่าทำไมพวกนั้นถึงจับนายด้วยล่ะ”

    “จับ?  เอ่อนะถ้าจะพูดอย่างนั้นมันก็ถูกนะ   แต่อย่างที่เธอเห็นชั้นค่อนข้างที่จะพิเศษ”  แล้วเด็กชายก็ผายมือไปยังสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรูรอบตัว

    “นั่นแหละ  ถึงยิ่งสงสัย  ได้ยินว่าพวกนั้นใช้นายเป็นเครื่องมืออะไรเนี่ยแหละ  ก็เลยคิดจะมาช่วยนาย   เอาล่ะไอ่ประตูกรงเหล็กนี่ชั้นจะพอพังมันได้ไหมน้า..

    “หยุดเลย!!  ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น  ชั้นไม่ต้องการ”

    “แหมไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเกรงใจถ้านายแหกจะคุกนี่ไม่ไหวชั้นจะจัดการให้เอง   เห็นอย่างนี้ชั้นก็เป็นคนดีน้า”

    “แหกคุกนี่ไม่ไหวจะออกจากคุกนี่อย่างแรกต้องเปิดประตูนี่ให้ได้  หากใช้กำลังเปิดจะต้องใช้อย่างมหาศาลแต่ตรงที่บานพับนั้นเก่าและเปราะมากใช้เหล็กเคาะๆเดี๋ยวก็แตก จากนั้นก็เดินไปหายามเฝ้าประตู  ต้องเลือกหนีตอนตีสามเพราะยามที่เฝ้าสองคนนั้นจะขี้เซาและอ่อนเรื่องการต่อสู้ที่สุด  เริ่มจากทำเป็นเรียกหนึ่งในสองคนนั้นจะเข้ามาแล้วทำการตีหัวให้สลบจากนั้นก็ย่องไปซัดท้ายทอยอีกคน   พอออกประตูมาได้ก็เดินเลียบกำแพงด้านซ้ายมือจะมีเหลือบของเก่าให้หลบอยู่เผื่อต้องใช้เวลามียามเดินผ่านจากนั้น  ก็ลัดเลาะไปจนถึงหลังอาคารใหญ่ที่นั้นกำแพงจะมีรูขนาดหัวเด็กอยู่ที่ใต้กำแพงจากการบูรณะผิดพลาดเมื่อ4ปีก่อนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ซ่อมบำรุง  ได้แค่เพียงปลูกพุ่มไม้บังตาไว้  ทีนี้ก็แหกคุกนี่ได้สำเร็จแล้ว

    “เอ่องั้นหมายความว่านายกำลังจะแหกคุกนี่อยู่พอดีสินะ”  ชั้นเริ่มเวียนหัวกับการจินตนาการตามหมอนี่แล้วล่ะ

    “เปล่า ชั้นแค่อยากจะบอกว่า  ชั้นรู้และมีวิธีหนีอยู่ แต่เลือกที่จะไม่หนี  สิ่งที่พันธนการชั้นไว้ไม่ใช่ลูกกรงนี่หรอก”  สีหน้าเด็กชายเปลี่ยนไป  แสดงอารมณ์เศร้าสร้อยออกมาอย่างชัดเจน

                    เมื่อคิดดูดีๆแล้วมันมีเหตุผลเลย  ที่เขาอยากจะอยู่ที่นี่  ทั้งๆที่รู้วิธีออกไปได้  อะไรที่ทำให้เข้าไม่ไปจากที่นี่  เด็กคนนั้นทั้งๆที่ปากก็บอกปฏิเสธความช่วยเหลืออยู่แต่สายตาที่คาดหวังนั่นมันอะไรกัน….

    “เอาเป็นว่าช่วยเธอออกจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากันนะ  ตกลงมั๊ย”  ชั้นเริ่มตัดบท

    “ก็บอกว่าไม่ต้องถึงกรงนี้จะเปิดโลงไร้ยามเฝ้าดูแล  ชั้นก็จะไม่หนีหรอก  ชั้นจะหนีทำไมอยู่ที่นี่ชั้นก็สุขสบายจะตายอยู่แล้ว   ดูนี่สิถ้วยชามจนถึงเตียงนั่นสิ  ใช่ว่าชีวิตนี้ใครจะได้ใช้   ใครจะโง่ทิ้งของพวกนี้กันล่ะ”

    “โกหก….ดูยังไงก็โกหกเธอน่ะเกลียดห้องนี้มากเลยไม่ใช่เหรอ….ก็สายตาเธอมันบอกชั้นแบบนี้”          

                    ใช่แล้วล่ะ  เพราะเด็กชายคนนั้นพูดทั้งๆที่ฝืนยิ้มอยู่ไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้ตัวหรือเปล่าแต่นั่นมันดูทรมานมากๆเลย

    “เธอเคยให้ใครต้องมาตายแทนหรือเปล่า  เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด….”  แล้วอยู่ๆเด็กชายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ

    “เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

    “ที่ไม่ยอมหนี  ไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้  แต่รับไม่ได้ที่จะต้องมีใครรับเคราะห์แทนต่างหากล่ะ  ครอบครัวขายชั้นให้รัฐบาลในฐานะเครื่องมือที่ใช้พิสูจน์ความจริง   แต่เพราะกลัวชั้นจะรู้มากเกินไปเลยต้องดูแลราวกับนักโทษ จึงถูกเรียกว่ายักษ์ในตะเกียง  ที่คอยรับใช้ผู้เป็นนายคอยบรรดาลให้ได้ตามประสงค์แต่ไม่อาจได้เป็นอิสระ ที่จริงชั้นไม่ชอบชีวิตแบบนี้หรอก  อยากจะวิ่งเล่นอยากจะเที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กธรรมดา   อยากไปเรียนหนังสืออยากเตะฟุตบอล….อยากมีเพื่อนกับเขาบ้าง…..ชั้นเลยลองแอบหนีจากพวกเขาครั้งนึง  ชั้นหนีไปเกาะเล็กๆทางทะเลใต้   ที่นั้นชั้นได้มีชีวิตแบบปรกติมีเพื่อนมีสิ่งที่คล้ายครอบครัวอยู่  แต่ที่อันแสนวิเศษแห่งนั่นก็อยู่ได้ไม่นาน  รัฐบาลโลกสั่งให้หน่วยลับในการควบคุมออกตามหาชั้น  และสั่งฆ่าปิดปากทุกๆคนที่ชั้นเกี่ยวข้องเพื่อลบตัวตนของชั้นออกไปจากโลกนี้  นั่นแหละเหตุผลที่ชั้นไม่อาจจะหนีไปจากที่นี่ได้

    “แสดงว่าถ้าชั้นช่วยนายหนี  ชั้นจะโดนตามล่าใช่มั๊ย”

    “ใช่และไม่ใช่แค่แค่ตามล่ามันจะตามฆ่าเธอเลยล่ะได้ยินแบบนี้เธอก็กลับไปเสียเถอะ  อันที่จริงชั้นไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังด้วยซ้ำ”

    “โอเคงั้นเอางี้นะ”

    “นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ”  เด็กชายตกใจที่จู่หญิงสาวแปลกหน้าก็ชักปืนออกมาชี้ขึ้นไปบนฟ้า

    “ชั้นน่ะเป็นโจรสลัดยังไงชั้นก็ถูกตามล่าอยู่แล้ว  จะพ่วงเหตุผลเพราะนายช่วยอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยจริงมะ…^^

    ปัง!!!!   เสียงปืนแผนดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นที่เขาไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต

    “เธอทำอะไรลงไปน่ะ!”  เด็กชายตกใจกับสิ่งที่เธอทำลงไปอย่างไร้เหตุผลนี้  และเกือบจะในทันทีเสียงไซเรนเตือนภัยก็ดังขึ้น

    “เอาล่ะ  ที่นี้คงรู้นะว่าจะต้องทำอะไร  จากนี้ต่อไปวันข้างหน้าชั้นจะออกทะเลด้วยเรือของตัวเอง  จนถึงตอนนั้นช่วยมาเป็นลูกเรือให้ชั้นทีนะ  เดี๋ยวจะให้เป็นรองกัปตันเลยเอ้า…..แต่ก่อนอื่นอยากจะรู้ชื่อนายไว้  ชั้น ซิลฟาเรีย จี เกล  แล้วนายล่ะ”

    “ลอร์เอ็ดก้า   ลอร์”  เด็กน้อยตอบกลับไปใจก็พะวกับสัญญาณเตือนภัยที่ดังอยู่

    “นามสกุลลอร์นี่คุ้นจังแฮะแต่ช่างเถอะ   จากนี้ชั้นจะเรียกนายว่าแอล   แล้วกันนะ^^

    ……………………………………………………………………………..

    “แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้”  เนลถามซิลฟี่ด้วยความตื่นเต้นเหลือประมาณ  ซึ่งเจ้ซิลฟี่ก็ตอบพร้อมสายตาอันเป็นประกายไปว่า

    “หลังจากนั้นชั้นก็  บุกประจัญกับนายนิรบาลนับร้อยคนด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว!!” 

    “ซะที่ไหนกันเล่า  คืนนั้นเราวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนเกือบไม่รอดเพราะการทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของคนบางคนนี่แหละ”  เสียงงัวเงียดังแทรกเข้ามาระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง

    “อ่าว!  แอลคุงตื่นเมื่อไหร่เนี่ย” เสียงเนลร้องทัก

    “ก็ซักพัก    แล้วนี่มาทำอะไรกันที่นี่   คงไม่ใช่จะมาแกล้งชั้นหรอกนะ = =

    “เปล๊า!!X2”  เป็นการประสานเสียงสูงที่พร้อมเพรียงกันมาก

    “เอ่อแล้วนี่สรุปแอลก็ได้เป็นลูกเรือเจ้ฟี่ตั้งแต่ตอนนั้นสินะ”  เนลถามไป

    “ใช่  ตามนั้นแหละ” แอลตอบอย่างเรียบๆ

    “แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึง  ได้ยินเจ้ซิลฟี่บอกว่าแอลถูกกับพ่อแม่ขายให้รัฐบาลโลก  ทำไมถึงใช้คำว่าขายล่ะ”

    “ก็ขายจริงๆนั่นแหละ  แต่อันที่จริงต้องบอกว่าพ่อชั้นคนเดียวแหละที่ต้องการผลักไสชั้นออกไปจากตระกูล”

    “ทำไมล่ะครับ”

    “ตระกูลของชั้นเป็นตระกูลนักทำนายน่ะ  ทุกคนในตระกูลที่เกิดมาจะมีญาณพิเศษหยั่งรู้อนาคตได้ไม่มากก็น้อย  แต่ชั้นไม่มีเลยไงจึงถูกมองว่าเป็นแกะดำเสมอมา   ตั้งแต่เด็กต้องคอยฝึกสันนิฐานคาดกาลเหตุการณ์ล่วงหน้าเพื่อทดแทนความสามารถที่ไม่มี  แต่ถึงพยายามเท่าไหร่พ่อก็ไม่เคยจะยอมรับเทียบกับพวกพี่ๆแล้วชั้นมันไม่เป็นที่ต้องการเสียบเลย  และไม่นานรัฐบาลโลกก็เข้ามาขอรับอุปถัมภ์ชั้นไปยังไงล่ะ” แอลเล่าเรื่องน่าเจ็บปวดนี้ด้วยอาการเรียบๆสงสัยว่าคงจะเจ็บจนชินเสียละมั้ง

    “ไม่รู้มาก่อนเลนะเนี่ยว่าเบื้องหลังอัจฉริยะโรคจิตชอบแกล้งจะมีอดีตอันน่าขมขื่นแบบนี้”  เนลพูดเหมือนจะรำพึงกับตัวเอง

    “เห้..เจ้าหนูจะคิดดังไปมั้ง!? อัจฉริยะโรคจิตเร๊อะ  หน่อยแน่แก!!!”  แล้วแอลก็จับเนลด้วยท่าล็อคคอท่าทางมีความสุข   ภาพทั้งหมดนี้ยังมีอีกหนึ่งคนที่คอยยิ้มกริ่มด้วยท่าทีที่เป็นสุข

    ก็อกๆๆ  เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

    “เฮ้…..พวกนายเห็นฝั่งแล้วนะ!”  เสียงซีกเกอร์เปิดประตูเข้ามาเรียก

    “อื้อ! เข้าใจแล้วล่ะ  ไปกันเถอะพวกแก   เรามีงานช้ารออยู่นะ! ” เสียงร่าเริงของกัปตันสาวดังลั่นประกาศเดินเครื่องเดอะคิลเลอร์อีกครั้งแต่ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งที่รออยู่สาหัสนั้นกว่าที่เตรียมใจไปนัก

    อีกมุมหนึ่งไม่ไกลกันมากนัก เรือโจรสลัดขาไม้อันไร้วิญญาณคนเป็นก็ได้เทียบท่าแล้ว….

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×