คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 การพบกัน และ ยักษ์ในตะเกียง
Chapter 12 การพบกัน และ ยักษ์ในตะเกียง
วันที่ 5 หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวในงานเทศกาลช็อกโกแลต เวลาบ่ายโมง ใกล้ท่าเรือพอลสวิว ในเขตทะเลเหนือ
ณ บริเวณหัวเรือของเรือสลัดเดอะคิลเลอร์
“ดูเหมือนว่าจะถึงแล้วสินะ ฐานประชุมลับของกลุ่มหมอกอะไรนั่นน่ะ” เสียงกัปตันสาวงัวเงียถามด้วยอาการพึ่งตื่นจากการนอนกลางวัน
“อ่าครับ จากคำให้การของเจ้าพวกตัวประกันใต้ท้องเรือก็บอกตรงกันทั้งห้าคนเลยครับเจ้” ซีกเกอร์ผู้ซึ่งนั่งขัดเงาดาบคู่กายอยู่ใกล้ๆตอบขึ้นมา
“แล้วนี่ใครเห็นแอลคุงบ้าง ซีกเกอร์นายเห็นบ้างรึเปล่า” แล้วเจ้ซิลฟี่ก็ถามหาลูกเรือของเธอทันที
“ครับ หลังจากสอบสวนพวกตัวประกันเสร็จก็ขอตัวกลับไปงีบ เห็นว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” ซีกเกอร์ตอบกลับไป ในมือก็พลางขัดเงาดาบรักต่อไป
“เหรอ แปลกแฮะ แล้วเจ้าหนูเนลล่ะหายไปไหนซะล่ะ ”
“อืม เหมือนจะเห็นแวบไปมาแถวนี้แหละ อ่ะนั่นไงกำลังเล่นกับเจ้าพัตเตอร์อยู่หน้าห้องพยาบาลนู่นไง” นี่เป็นครั้งแรกในการสนทนานี้ที่ซีกเกอร์เงยขึ้นมาดูก่อนจะตอบบ้าง
“อ่า เห็นแล้วๆ ขอบใจมาก” ว่าแล้วเจ้ซิลฟี่ก็เดินจากไปโดยมุ่งหน้าไปยังลูกเรือน้อยทั้งสอง
…………………………………………………………………………………………………………………………….
นี่จะต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ โลกจะต้องจารึกถึงผม เนล!! ในฐานะมนุษย์คนแรกที่บินได้!!! . . . . .ซะที่ไหนเล่า!!!!
“นี่ พัตเตอร์คุง มันจะเวิร์คแน่เหรอ ไอ่เครื่องหน้าตาจะพังแหล่มิพังแหล่เนี่ย… T[]T!” ผมพูดเสียงสั่นท่ามกลางอุปกรณ์มากมายที่รัดกายอยู่ หน้าตามันคล้ายปีกนกที่ทำจากไม้ยื่นออกไปสองข้าง เชื่อมต่อกันด้วยกลไกแบบฟันเฟืองทำให้บิด ‘ปีก’ ขึ้นลงได้ ถ้าจะมีอะไรที่ดูน่ากลัวคงเป็นท่อเหล็กอะไรซักอย่างที่อยู่ด้านหลังผมเนี่ยแหละ
“มันต้องเวิร์คสิ!! นี่มันสุดยอดสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะหมาย 53.4 เลยนะ!!” พัตเตอร์พูดอย่างมั่นใจซึ่งผมไม่เคยจะเชื่ออ่ะ”
“แล้วตัวที่ 53.1 ล่ะ ผมยังไม่เคยเห็นเลย”
“เจ้าโง่!! ชั้นเริ่มทำที่ชิ้นที่ 53.4เลยไง”
“T[]T!!” สรุปก็คือชิ้นแรกสินะ…และผมก็คือหนูทดลองอย่างไม่ต้องสงสัย
“ก่อนที่โลกจะจารึกนายไว้ในฐานะมนุษย์คนแรกที่บินได้ มีอะไรจะสั่งเสีย เอ้ย!! กล่าวไว้มั๊ย”
“ T A T !! ….ไม่มีครับ…” จบสิ้นแล้วชีวิตพ้ม!!!
“อ้าว! กำลังทำอะไรกันอยู่รึน่าสนุกเชียว” ฟ้ามาโปรด!! เสียงเจ้ซิลฟี่มาช่วยผมไว้ได้ทันเวลา ซึ่งแน่นอนเช่นเคย พัตเตอร์ยืดอกจมูกโด่งตอบกลับไปอย่างภาคภูมิว่า
“คือเจ้านี่คือสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะล้ำยุคหมายเลย 47.1”
“53.4 เฟ้ย!! นี่นายจำไม่ได้เพราะมั่วใช่มั๊ย!!! TT[]TT” ผมเริ่มสิ้นหวังจริงๆเสียแล้ว
“นั่นแหละๆ อย่างใส่ใจเรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นั้นสิ สรุปคือไอเครื่องนี่จะทำให้คนบินได้!!” พัตเตอร์ตอบไปก่อนจะจบด้วยด้วยท่าเก็กหล่อ
“โห…เจ้าเนี่ยเหรอจะทำให้คนเราบินได้ น่าสนใจแฮะ” เจ้ฟี่ดูสนใจมากเข้ามาก้มๆเงยอยู่รอบๆตัวผมอย่างใจจดใจจ่อ
“แต่ผมว่าเจ้ออกมาห่างๆเลยดีกว่า ผมยังไม่ได้สอนเจ้าเนลบังคับปีกเลย ถ้าขืนเจ้พลาดไปกดปุ่มเริ่มซะก่อนมันจะแย่เอา”
“นี่…ไอ่ปุ่มที่ว่านั่นน่ะ…ใช่ปุ่มที่เจ้กดอยู่นี่รึเปล่า” คามือ!!เจ้มือบอนได้โล่!!
“ใช่ปุ่มนั้นแหละ …..ห๊ะ!!” พัตเตอร์เหมือนจะพึ่งคิดได้ และติดสตั้นไปโดยทันที แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ช็อกกว่าคือโพ้มมมมม!!! T[]T!!
และแล้วเครื่องก็เริ่มทำงาน มันสั่นเหมือนเจ้าเข้าก่อนที่เริ่มได้ยินเสียงปะทุของกล่องเหล็กด้านหลัง ไม่นานนักก็มีไฟพ่นออกมา และนั่นดูเหมือนว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับผมเอาซะเลย ผมเริ่มลอยขึ้นจากพื้นและแล้ว….ซู่ม!!!!!...ปิ๊ง!! ตัวผมนั้นได้ทะยานหายเข้าไปในกลีบเมฆราวกับการ์ตูนแก็กบ้าพลังปัญญาอ่อนที่เห็นกันได้อย่างดาษดื่น ….
“ร้อยตรีเนล เราจะไม่ลืมความกล้าหาญของนายเลย จงหลับให้สบายเถอะ” เจ้าพัตเตอร์ตะเบะอาลัยไม่พอยังเติมยศให้อีกต่างหาก จอมมั่วเอ้ยชั้นเกลียดแก!!
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
“โถ่!! คุณซิลฟี่ล่ะก็ นอกจากจะไม่ห้ามแล้ว ยังจะเล่นกับเขาอีก ดูสิเนลระบมทั้งตัวหมดแล้ว” เสียงพยาบาลสาวกำลังบ่นปนดุทั้งสองตัวการ ในขญะที่กำลังพันแผลให้เนลซะเป็นมัมมี่เลย
“คือแบบว่าขอโทษนะ พอดีมันน่าสนุกดีน่ะ” เจ้ซิลฟี่ตอบกลับไปพร้อมเกาหัวแก้เขิน
“อย่าเห็นชีวิตผมเป็นเรื่องสนุกสิครับ!! Ò[]ó” T^T เนลถึงกับฟิลด์ขาด
“เนี่ยผมบอก เจ้ซิลฟี่ให้ระวังแล้วเชียวแต่เจ้แกเห็นแกเล่นมากเกินไป เรื่องเลยลงเอยแบบนี้” เจ้าพัตเตอร์ริอาจตัดช่องน้อยแต่พอตัว
“แกนะแก…ได้ทีเอาใหญ่นะ ฝากไว้ก่อนเถอะ” เจ้ซิลฟี่ได้แต่เก็บงำความแค้นนี้ไว้ เพราะคราวนี้เธอก็ผิดจริงๆที่มือบอน
“อย่าเอาแต่โกรธคนอื่นอยู่เลยค่ะ ในฐานะที่คุณซิลฟี่เป็นผู้ใหญ่กว่ายังไงก็ผิดนะคะ” เสียงใสๆของพยาบาลแสนสวยทำเอากัปตันเรือจ๋อยไปเลย
“นั่นสิ เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ” ได้ทีขี่ก็อตซีล่าไล่เลยทีเดียวเจ้าพัตเตอร์เนี่ย!! = =”
“เธอเองก็ทำตัวน่าผิดหวังเหมือนกันนะพัตเตอร์คุง เธอเองก็อายุมากกว่าเนลคุงนายความจะเป็นพี่ชายที่คอยดูแลน้องสิ ไม่ใช่เอาเค้ามาแกล้งแบบนี้….ฯลฯ” และอีกยืดยาวเป็นกระบุงทำเอาทั้งคู่ต้องนั่งสำนึกผิดกันอีกนาน เหตุการณ์นี้ทำให้ผมชักไม่แน่ใจว่าในเรือลำนี้ใครใหญ่สุดกันแน่ = =”
……………………………………………………………………………………………………………………………
“โอ่ย…เล่นเอาซะหูชาเลยยัยมิบุเนี่ย” เสียงกัปตันสาวเดินออกจากห้องพยาบาลพร้อมแคะขี้หูด้วยอาการเบื่อหน่ายสุดยอด
“แต่ก็สวยที่สุดเลย….เอาเป็นว่าผมให้อภัยเธอทุกอย่าง!” พัตเตอร์เพ้อพกซะจนเหมือนกับว่าไม่ได้เดินมาด้วยกัน
“แล้วนี่นายไม่นอนพักจริงเหรอ เนล” เจ้ซิลฟี่หันไปถามมัมมี่เดินได้ทางซ้ายมือตน
“เดี๋ยวผมมีเรียนเสริมกับแอลคุงครับ ขืนไม่ไปเดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” เหมือนว่าความกลัวจะมีอิทธิพลเหนือความเจ็บปวดจริงๆ = =
“เห็นเจ้าซีกเกอร์บอกว่าไปงีบน่ะ พอดีเลยแวะไปหาหน่อยดีกว่า พอดีชั้นไปอ่านหนังสือของแอลมาเล่มหนึ่งเรื่องการเกิดรุ้งกินน้ำแหละ!! มันช่างน่าทึ่งมากที่….”
“ที่เจ้ไม่เข้าใจสินะ…ไม่ใช่น่าทึ่งหรอกนั่นเรียกเรื่องธรรมดา” โป้ก!! เสียงเพ่นกะบาลใส่เจ้าคนปากหาเรื่องอย่างพัตเตอร์ซะเต็มแรง
“งั้นพัตเตอร์คุงจะไปด้วยกันเลยไหมครับ” เนลเอ่ยชวนพัตเตอร์คุง แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวปฏิเสธอย่างทันควัน
“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากอยู่ใกล้หมอนั่นมาก…อยู่ใกล้ที่ไรเป็นอันต้องซวยทุกทีสิน่า ไปละๆ” ว่าแล้วพัตเตอร์ก็เดินจากไปในท่าที่ใช่มือไพล่ท้ายทอยด้วยอาการไม่สนใจ
แล้วทั้งสองก็เดินต่อมาจนถึงห้องบัญชาการกัปตัน ซึ่งถูกแอลยึดเป็นที่นอนเสียแล้ว พอเข้ามาก็พบชายที่กำลังตามหานอนซมที่เก้าอี้กัปตัน พอมองดูดีๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ดูไม่มีพิษภัยอะไรเลยเมื่อมาเห็นในสภาพนี้ ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อชายคนนี้ตื่นมันราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน
ผมเนลครับตอนนี้ผมกำลังเดินเข้ามาในห้องบัญชาการของกัปตันพร้อมกัปตันครับ และในตอนนี้ดูเหมือนคนที่ผมมีนัดด้วยกำลังหลับปุ๋ยอย่างสนิท ปกติแล้วผมไม่มีนิสัยชอบแกล้งคนนะครับ แต่กับชายคนนี้ขอซักทีแล้วกัน
แต่พอผมกำลังจะมองหาปากกามาเขียนหน้าแกล้งแอลเล่น ทันใดนั้นผมก็ เห็นแอลกระตุกกึกขึ้นมาพร้อมเริ่มขดตัวด้วยผ้าห่มผืนบางของเขา มันทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่า…
“นี่เจ้ซิลฟี่ครับ ทำไมแอลไม่ไปนอนดีๆเหมือนคนอื่นซักทีล่ะครับ”
“คงเพราะความเคยชินมั้ง” กัปตันสาวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“ความเคยชิน?” ผมย้อนคำอย่างสงสัย
“ไม่ใช่แค่นี้นะ ถ้าสังเกตดีๆแอลคุงจะไม่เคยยอมนอนที่กลางแจ้งเลย เขาน่ะที่ผ่านมาเคยพบกับช่วงชีวิตที่แย่ๆมาไม่น้อยเหมือนกัน”
“คนอย่างแอลเนี่ยนะครับ จะมีใครทำอันตรายปีศาจแบบนี้ได้กันนะ”
“ฮ่ะๆ ปีศาจเหรอมันก็จริงรู้สึกเมื่อก่อนหมอนั่นจะถูกเรียกว่าอะไรแบบนั้นด้วยนะ รู้สึกจะเป็น ยักษ์ในตะเกียงวิเศษหรืออะไรเนี่ยแหละ”
“ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ? อะไรกันเนี่ยชื่อเห่ยเป็นบ้าเลย แล้วนี่ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมอยากรู้ว่าอัจฉริยะอย่างแอลทำไมถึงมาขึ้นเรือบ้าๆบวมๆแบบนี้ได้กันนะ”
“เรือบ้าๆบวมๆงั้นเหรอ!?!?!”
“ย๊ากกก เจ็บนะ” ผมโดยเจ้ซิลฟี่เอากำปั้นปั่นขมับเล่นเอาปวดหัวไปหมดเลย TT^TT
“เอ๊ะ! แปลกแฮะ เราเสียงดังกันขนาดนี้แอลยังไม่ตื่นอีกสงสัยจะเพลียมากจริงๆ” เจ้ซิลฟี่เอ่ยขึ้นมาด้วยอาการแปลกใจ
“นี่แล้วสรุปเจ้จะเล่าได้รึยัง ขนมกับชาผมพร้อมละนะ” ด้วยความรวดเร็วผมเตรียมชาและขนมมาตั้งไว้กับพื้นเตรียมรอฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ
“พร้อมจริงนะเอ็ง = =” เจ้ซิลฟี่ถึงกับตะลึง
“^^Y” เนลชูสองนิ้วยิ้มแฉ่งตอบรับไป
“อะแฮ่ม…คือเรื่องนี้มันต้องย้อนไปเมื่อ9ปีก่อน ในสมัยที่ชั้นยังอยู่บนเรือกับพ่อ…..”
ในตอนนั้นกลุ่มโจรสลัดเดอะคิลเลอร์มีชื่อมาก เราเดินทางไปทั่วทั้งสี่มหาสมุทรออกล่าสมบัติจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่ว ต่อกรกับเหล่ากองทัพเรือเสียเกือบทุกเมื่อเชื่อวัน แต่มันมีอยู่ครั้งนึงเมื่อพ่อชั้นพาพวกเราพักที่เกาะหนึ่งในดินแดนทางทะเลตะวันออก ในตอนนั้นพอต้องเข้าร่วมประชุมลับขององค์กรโจรสลัดที่พ่อสังกัดอยู่ พวกเราจึงต้องอยู่ที่เมืองนั้นระยะหนึ่ง ในขณะที่ชั้นที่กำลังเดินเล่นอยู่ในเมืองก็ได้พบเรื่องประหลาดเข้า
เสียจอแจของผู้คนที่กำลังรุมล้อมอะไรซักอย่างดึงดูดสายให้มองไปด้วยความสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนั่นก็ทำให้ชั้นตกใจเล็กน้อย เพราะ ณ ใจกลางวงล้อมนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารเรือ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความสงสัยของชั้นลงไปได้เลย หนำซ้ำยังมากกว่าเดิมเสียอีก…
“สวัสดีครับ คุณมิคาเอล ผมอยากจะมาถามอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับทับทิมแห่งคาริม มันถูกขโมยไปเมื่อสามวันก่อน พวกเราสงสัยว่าคุณ อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
แล้วก็มีเด็กชายผมดำกระเซิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ด้วยความที่อายุไม่ห่างกันมากทำให้ชั้นสนใจในตัวเขามาก
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมว่าต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน ผมต้องทำงานอยู่ที่หอนาฬิกาที่ใจกลางเมืองตลอด ผมไม่มีทางที่จะแอบไปขโมยของได้หรอกครับ” เสียงชายวัยทำงานไว้หนาวเข้มยาวในชุดเอี๊ยมเขลอะคราบน้ำมัน กล่าวตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ
“คุณทำงานอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ มีใครเป็นพยานให้ได้หรือเปล่า” เด็กชายผมดำเริ่มซักอีกครั้ง
“พยานเป็นตัวบุคคลคงจะไม่มีหรอกครับ แต่ผมสามารถใช้นาฬิกาเป็นหลักฐานยืนยันได้นี่ครับ ในเมืองนี้ไม่มีใครรู้วิธีดูแลมันนอกจากผม แล้วก็ถ้าไม่คอยคุมการทำงาน นาฬิกานั่นจะหยุดเดินภายในสิบสองชั่วโมง แล้วด้วยเวลาแค่นั้นผมจะไปกลับในที่ๆห่างไกลอย่างเมืองราบิสที่เป็นที่ตั้งของทับทิมคาริมได้อย่างไรครับ หรือถ้าหากผมไปจริงคงต้องมีคนร้องเรียนกันให้วุ่นแน่เรื่องนาฬิกาประจำเมืองไม่ยอมเดินนี่นะครับ” ชายผู้ถูกกล่าวหายังคงสงงบนิ่งอยู่
“นั่นสินะครับ ทริคแก้ต่างด้านเวลาจะเป็นยังไงผมไม่สนหรอก แต่ที่น่าแปลกคือทับทิมแห่งคาริมมีอยู่สองแห่ง หนึ่งคือเมืองราบิส อีกหนึ่งคือเมืองเดนมู แล้วทำไมคุณถึงรู้ว่าผมกำลังพูดถึงทับทิมจากเมืองไหนล่ะครับ” บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้วเด็กชายฉายแววตาน่ากลัวประหลาดกดดันอีกฝ่ายเหมือนกับกำลังมองเข้าไปในจิตใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เออ..เอ่อ.เหรอ แหม..ชั้นไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทับทิมแห่งคาริมมีของเม็ด ก็เลยนึกว่าเป็นที่นั่นไงหล่ะ” ดูเหมือนชายคนนั้นก็เริ่มเก็บอาการหวั่นวิตกไว้ไม่อยู่
“เหรอครับ ทั้งๆที่เมืองเดนมูอยู่ใกล้เมืองนี้กว่าแท้ๆแต่กลับไปรู้จักทับทิมแห่งคาริมขอเมืองราบิสซะนี่ แปลกจริงๆเลยนะครับ” แล้วเด็กชายก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีเลิศนัย ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มซิลฟี่กลับรู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษจากเด็กคนนี้
“นั่นสินะครับ ผมนึกว่าที่ต้องไปขโมยไกลๆก็เพราะต้องการให้ทริคแก้ต่างด้านเวลาสมบูรณ์แบบเสียอีก…จากนี่ไปราบิสใช้เวลาสามวันพอดี แค่คิดเล่นๆนะครับ…หากผมสมมุติให้คุณเป็นคนร้ายจริง คุณคงต้องจัดการกับหลักฐานที่ใช้เป็นทริคเรื่องเวลาสินะ แต่กลางวันแบบนี้คงจะทำการอะไรเตะตาไม่ได้คงต้องรอกลางคืนเสียก่อน นั่นหมายความว่าตอนนี้สิ่งที่อาจเป็นหลักฐานได้นั้นยังคงอยู่ ถ้าคุณยังยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ผมขอให้แสดงความริสุทธ์โดยการให้ผมเข้าไปตรวจสอบหอนาฬิกาประจำเมืองตอนนี้เลยได้ไหมครับ” เบ็ดเสร็จและเด็ดขาด…ชายผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นทรุดกายลงอย่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นตามากเลยสำหรับชั้นในวันนั้น แต่ไม่ใช่ที่สุดเพราะมีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากกว่านั้นเกิดขึ้นอีก..
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับเจ้ฟี่” เนลถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ก็กำลังจะเล่านี่ไอย่างขัดคอสิ!! …….อ่าว ถึงไหนแล้วเนี่ย หมดกันเริ่มใหม่ล่ะกัน…กาลครั้งหนึ่งไม่นานมากนัก”
“หยุดเลยเจ้ ถึงตอนที่เด็กชายจับคนร้ายได้แล้วไง(แล้วไอ่การเริ่มเรื่องเหมือนนิทานหลอกเด็กนั่นมันอะไร!!)” เนลท้วงอย่างรวดเร็ว
“อ่า ใช่ๆ งั้นจะเล่าต่อละกัน…”
ชายผู้เป็นคนร้ายหมดหนทางสู้ได้แต่คุกเข่าจำนนพร้อมน้ำตา เด็กชายอธิบายทริคที่คิดว่าคนร้ายใช้ก่อเหตุอย่างละเอียดซึ่งตัวคนร้ายเองก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“………และนี่แหละคือทริคการแก้ต่างของเวลาของคุณ ตอนไปผมจะขอตรวจสอบเรื่องแรงจูงใจ” และก่อนที่เด็กชายจะพูดหมดจบประโยคก็มีชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มใส่ชุดทหารเรืออย่างไม่เป็นระเบียบขัดขึ้น
“เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง จับคนร้ายได้ก็พอแล้วนี่” ชายผู้ซึ่งดูเป็นหัวหน้าของทหารเรือทั้งหมดในแถวนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมัดบท
“เดี๋ยวสิ การที่ชายคนที่ไม่เคยมีประวัติแบบนี้มาก่อนเหตุแสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ๆ”
“หุบปาก!! เป็นแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำมาเป็นปากแจ๋ว จะบอกให้นะ โจรก็คือโจรจะเหตุผลอะไรชั้นไม่สน ได้ยินชัดมั๊ย?” เจ้าร่างโตนั่นทำท่าไม่พอใจอย่างชัดเจน
“แต่ผมเป็นคนของรัฐบาลกลางนะขึ้นกับรัฐบาลโลกโดยตรงเรื่องแค่นี้ผมน่าจะมีสิทธิ์ที่จะ…”
“หนวกหูโว้ยยยย ชั้นไม่สนหรอกนะว่าพวกรัฐบาลกลางจะเรียกแกว่าอัจฉริยะหรืออะไร แต่ที่แกถูกสั่งให้มานี่ก็เพื่อสืบสวนเรื่องการโจรกรรมทับทิมแห่งคาริมแค่นั้น แล้วก็จบกลับบ้าน เย้แฮปปี้…………….……. ยังไม่เข้าใจอีกรึไง แกมันก็แค่เครื่องมือที่รัฐบาลโลกอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ทิ้ง เข้าใจแล้วก็อย่ากำแหงให้มันมากนัก!! พวกแก..พาพ่อยอดอัจฉริยะของเรากลับบ้านหน่อยป่ะ” ชายผู้เป็นหัวหน้าร่างใหญ่ออกคำสั่งแก่ลูกน้องให้ปฏิบัติโดยพลัน…
แล้วทั้งคนร้ายและนักสืบก็ถูกใส่กุญแจมือทั้งคู่ ฟังไม่ผิดหรอกทั้งคู่!!
เหตุการณ์นี้ทำให้ความสนใจของชั้นต่อเด็กคนนั้นเพิ่มมากขึ้นจนทนอยู่เฉยไม่ไหว ในหัวของชั้นมีแต่ความสงสัยถึงความเกี่ยวข้องของคนเหล่านั้นอันแสนประหลาดจนวุ่นไปหมด และกว่าจะรู้ตัวอีกทีชั้นก็อยู่หน้าเรือนจำประจำเมืองเสียแล้ว เด็กชายถูกพาตัวเข้าไปยังเรือนจำในสภาพไม่ต่างอะไรจากนักโทษและในคืนนั้นเอง….
ท่ามกลางรัตติกาลอันหม่นมืดไร้ซึ่งแสงจันทร์ในคืนเดือนดับและคับคั่งด้วยเมฆหมอก ชั้นได้แอบย่องเข้าไปในเรือนจำแห่งนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆควรจะไปทางไหนแต่ด้วยสังหรณ์ใจเลยลงไปในชั้นใต้ดินของเรือนจำซึ่งก็ทำให้ต้องลงไม้ลงมือกับยามเฝ้าประตูไปสองคน และในที่สุดชั้นก็พบ….
ด้านใต้คุกอันไม่น่าอภิรมย์กลับมีสถานอันประดิษฐ์ด้วยความวิจิตรตระการตาอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ ชั้นชุดถ้วยชามเตียงตู้ล้วนงดงามน่าหลงใหล หากจะมีอะไรที่ดูไม่เข้ากันในที่นี้แล้วล่ะก็ คงจะเป็นลูกกรงเหล็กหนาที่กั้นความวิจิตรนั้นไว้แต่ภายใน ทำให้เข้าใจว่าที่นี่ยังไงก็ยังเป็นคุก!!
“เธอ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ออกมาเถอะแอบอยู่ทำไม เวลาของเธอมีค่านะ” จู่เสียงเด็กชายคนนั้นก็เอ่นขึ้นมาเหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ทั้งๆที่ชั้นยังแอบอยู่เลยด้วยซ้ำ
“รู้ได้ยังไงน่ะ แถมยังรู้อีกด้วยว่าชั้นเป็นผู้หญิง นายมีญาณหยั่งรู้เหรอ หรือเป็นหมอดูนักทำนายอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า” ชั้นสนใจในตัวเค้ามาก ทันทีที่ออกจากกำแพงที่แอบชั้นก็ยิงคำถามไปไม่หยุด
“ไร้สาระน่า เงาเธอต่างหาก คิดจะแอบใครดูทิศทางแสงดีๆสิ” เด็กชายทำให้เธอสนใจในตัวเขามากขึ้นอีกครั้ง
“ฮ้า…นายนี่หัวดีจริงๆเลยนะ ”
“เธอมีเวลามาว่างคุยเล่นกับชั้นเลยเหรอ จะผ่านเข้ามาในนี้ได้ต้องผ่านยามสองคนเชียวนะ ไม่ว่าเธอจะจัดการพวกเค้ายังไง อีกไม่เกินสิบนาทีจะมียามอีกชุดมาเปลี่ยนพวกเข้าต้องสังเกตเห็นแน่ และเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรามาเข้าประเด็นดีกว่า เธอมาที่นี่ทำไม!?” เด็กชายเผยแววตาเหมือนตอนที่สอบสวนอีกแล้ว เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเอาจริงเอาจัง
“เห….นายนี่ท่าจะแก่เร็วแฮะ จริงจังซีเรียสไปได้…ชั้นแค่สนใจในตัวนายน่ะ เมื่อเช้าชั้นเห็นนายสอบสวนแล้วเจ๋งเป็นบ้าเลย แต่ก็แปลกใจว่าทำไมพวกนั้นถึงจับนายด้วยล่ะ”
“จับ? เอ่อนะถ้าจะพูดอย่างนั้นมันก็ถูกนะ แต่อย่างที่เธอเห็นชั้นค่อนข้างที่จะพิเศษ” แล้วเด็กชายก็ผายมือไปยังสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรูรอบตัว
“นั่นแหละ ถึงยิ่งสงสัย ได้ยินว่าพวกนั้นใช้นายเป็นเครื่องมืออะไรเนี่ยแหละ ก็เลยคิดจะมาช่วยนาย เอาล่ะไอ่ประตูกรงเหล็กนี่ชั้นจะพอพังมันได้ไหมน้า..”
“หยุดเลย!! ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น ชั้นไม่ต้องการ”
“แหม…ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเกรงใจ…ถ้านายแหกจะคุกนี่ไม่ไหวชั้นจะจัดการให้เอง เห็นอย่างนี้ชั้นก็เป็นคนดีน้า”
“แหกคุกนี่ไม่ไหว? จะออกจากคุกนี่อย่างแรกต้องเปิดประตูนี่ให้ได้ หากใช้กำลังเปิดจะต้องใช้อย่างมหาศาลแต่ตรงที่บานพับนั้นเก่าและเปราะมากใช้เหล็กเคาะๆเดี๋ยวก็แตก จากนั้นก็เดินไปหายามเฝ้าประตู ต้องเลือกหนีตอนตีสามเพราะยามที่เฝ้าสองคนนั้นจะขี้เซาและอ่อนเรื่องการต่อสู้ที่สุด เริ่มจากทำเป็นเรียกหนึ่งในสองคนนั้นจะเข้ามาแล้วทำการตีหัวให้สลบจากนั้นก็ย่องไปซัดท้ายทอยอีกคน พอออกประตูมาได้ก็เดินเลียบกำแพงด้านซ้ายมือจะมีเหลือบของเก่าให้หลบอยู่เผื่อต้องใช้เวลามียามเดินผ่านจากนั้น ก็ลัดเลาะไปจนถึงหลังอาคารใหญ่ที่นั้นกำแพงจะมีรูขนาดหัวเด็กอยู่ที่ใต้กำแพงจากการบูรณะผิดพลาดเมื่อ4ปีก่อนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ซ่อมบำรุง ได้แค่เพียงปลูกพุ่มไม้บังตาไว้ ทีนี้ก็แหกคุกนี่ได้สำเร็จแล้ว…”
“เอ่อ…งั้นหมายความว่านายกำลังจะแหกคุกนี่อยู่พอดีสินะ” ชั้นเริ่มเวียนหัวกับการจินตนาการตามหมอนี่แล้วล่ะ
“เปล่า ชั้นแค่อยากจะบอกว่า ชั้นรู้และมีวิธีหนีอยู่ แต่เลือกที่จะไม่หนี สิ่งที่พันธนการชั้นไว้ไม่ใช่ลูกกรงนี่หรอก…” สีหน้าเด็กชายเปลี่ยนไป แสดงอารมณ์เศร้าสร้อยออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อคิดดูดีๆแล้วมันมีเหตุผลเลย ที่เขาอยากจะอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่รู้วิธีออกไปได้ อะไรที่ทำให้เข้าไม่ไปจากที่นี่ เด็กคนนั้นทั้งๆที่ปากก็บอกปฏิเสธความช่วยเหลืออยู่แต่สายตาที่คาดหวังนั่นมันอะไรกัน….
“เอาเป็นว่าช่วยเธอออกจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากันนะ ตกลงมั๊ย” ชั้นเริ่มตัดบท
“ก็บอกว่าไม่ต้องถึงกรงนี้จะเปิดโลงไร้ยามเฝ้าดูแล ชั้นก็จะไม่หนีหรอก ชั้นจะหนีทำไมอยู่ที่นี่ชั้นก็สุขสบายจะตายอยู่แล้ว ดูนี่สิถ้วยชามจนถึงเตียงนั่นสิ ใช่ว่าชีวิตนี้ใครจะได้ใช้ ใครจะโง่ทิ้งของพวกนี้กันล่ะ”
“โกหก….ดูยังไงก็โกหก…เธอน่ะเกลียดห้องนี้มากเลยไม่ใช่เหรอ….ก็สายตาเธอมันบอกชั้นแบบนี้”
ใช่แล้วล่ะ เพราะเด็กชายคนนั้นพูดทั้งๆที่ฝืนยิ้มอยู่ไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้ตัวหรือเปล่าแต่นั่นมันดูทรมานมากๆเลย
“เธอเคยให้ใครต้องมาตายแทนหรือเปล่า เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด….” แล้วอยู่ๆเด็กชายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่…”
“ที่ไม่ยอมหนี ไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้ แต่รับไม่ได้ที่จะต้องมีใครรับเคราะห์แทนต่างหากล่ะ ครอบครัวขายชั้นให้รัฐบาลในฐานะเครื่องมือที่ใช้พิสูจน์ความจริง แต่เพราะกลัวชั้นจะรู้มากเกินไปเลยต้องดูแลราวกับนักโทษ จึงถูกเรียกว่ายักษ์ในตะเกียง ที่คอยรับใช้ผู้เป็นนายคอยบรรดาลให้ได้ตามประสงค์แต่ไม่อาจได้เป็นอิสระ ที่จริงชั้นไม่ชอบชีวิตแบบนี้หรอก อยากจะวิ่งเล่นอยากจะเที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กธรรมดา อยากไปเรียนหนังสืออยากเตะฟุตบอล….อยากมีเพื่อนกับเขาบ้าง…..ชั้นเลยลองแอบหนีจากพวกเขาครั้งนึง ชั้นหนีไปเกาะเล็กๆทางทะเลใต้ ที่นั้นชั้นได้มีชีวิตแบบปรกติมีเพื่อนมีสิ่งที่คล้ายครอบครัวอยู่ แต่ที่อันแสนวิเศษแห่งนั่นก็อยู่ได้ไม่นาน รัฐบาลโลกสั่งให้หน่วยลับในการควบคุมออกตามหาชั้น และสั่งฆ่าปิดปากทุกๆคนที่ชั้นเกี่ยวข้องเพื่อลบตัวตนของชั้นออกไปจากโลกนี้ นั่นแหละเหตุผลที่ชั้นไม่อาจจะหนีไปจากที่นี่ได้ …”
“แสดงว่าถ้าชั้นช่วยนายหนี ชั้นจะโดนตามล่าใช่มั๊ย”
“ใช่…และไม่ใช่แค่แค่ตามล่ามันจะตามฆ่าเธอเลยล่ะได้ยินแบบนี้เธอก็กลับไปเสียเถอะ อันที่จริงชั้นไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังด้วยซ้ำ”
“โอเค…งั้นเอางี้นะ”
“นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ” เด็กชายตกใจที่จู่หญิงสาวแปลกหน้าก็ชักปืนออกมาชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“ชั้นน่ะเป็นโจรสลัดยังไงชั้นก็ถูกตามล่าอยู่แล้ว จะพ่วงเหตุผลเพราะนายช่วยอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยจริงมะ…^^”
ปัง!!!! เสียงปืนแผนดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นที่เขาไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต
“เธอ…ทำอะไรลงไปน่ะ!” เด็กชายตกใจกับสิ่งที่เธอทำลงไปอย่างไร้เหตุผลนี้ และเกือบจะในทันทีเสียงไซเรนเตือนภัยก็ดังขึ้น
“เอาล่ะ ที่นี้คงรู้นะว่าจะต้องทำอะไร จากนี้ต่อไปวันข้างหน้าชั้นจะออกทะเลด้วยเรือของตัวเอง จนถึงตอนนั้นช่วยมาเป็นลูกเรือให้ชั้นทีนะ เดี๋ยวจะให้เป็นรองกัปตันเลยเอ้า…..แต่ก่อนอื่นอยากจะรู้ชื่อนายไว้ ชั้น ซิลฟาเรีย จี เกล แล้วนายล่ะ”
“ลอร์…เอ็ดก้า ลอร์” เด็กน้อยตอบกลับไปใจก็พะวกับสัญญาณเตือนภัยที่ดังอยู่
“นามสกุลลอร์นี่คุ้นจังแฮะ…แต่ช่างเถอะ จากนี้ชั้นจะเรียกนายว่า…แอล แล้วกันนะ^^”
……………………………………………………………………………..
“แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้” เนลถามซิลฟี่ด้วยความตื่นเต้นเหลือประมาณ ซึ่งเจ้ซิลฟี่ก็ตอบพร้อมสายตาอันเป็นประกายไปว่า
“หลังจากนั้นชั้นก็ บุกประจัญกับนายนิรบาลนับร้อยคนด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว!!”
“ซะที่ไหนกันเล่า คืนนั้นเราวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนเกือบไม่รอดเพราะการทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของคนบางคนนี่แหละ” เสียงงัวเงียดังแทรกเข้ามาระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง
“อ่าว! แอลคุงตื่นเมื่อไหร่เนี่ย” เสียงเนลร้องทัก
“ก็ซักพัก แล้วนี่มาทำอะไรกันที่นี่ คงไม่ใช่จะมาแกล้งชั้นหรอกนะ = =”
“เปล๊า!!X2” เป็นการประสานเสียงสูงที่พร้อมเพรียงกันมาก
“เอ่อแล้วนี่สรุปแอลก็ได้เป็นลูกเรือเจ้ฟี่ตั้งแต่ตอนนั้นสินะ” เนลถามไป
“ใช่ ตามนั้นแหละ” แอลตอบอย่างเรียบๆ
“แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึง ได้ยินเจ้ซิลฟี่บอกว่าแอลถูกกับพ่อแม่ขายให้รัฐบาลโลก ทำไมถึงใช้คำว่าขายล่ะ”
“ก็ขายจริงๆนั่นแหละ แต่อันที่จริงต้องบอกว่าพ่อชั้นคนเดียวแหละที่ต้องการผลักไสชั้นออกไปจากตระกูล”
“ทำไมล่ะครับ”
“ตระกูลของชั้นเป็นตระกูลนักทำนายน่ะ ทุกคนในตระกูลที่เกิดมาจะมีญาณพิเศษหยั่งรู้อนาคตได้ไม่มากก็น้อย แต่ชั้นไม่มีเลยไงจึงถูกมองว่าเป็นแกะดำเสมอมา ตั้งแต่เด็กต้องคอยฝึกสันนิฐานคาดกาลเหตุการณ์ล่วงหน้าเพื่อทดแทนความสามารถที่ไม่มี แต่ถึงพยายามเท่าไหร่พ่อก็ไม่เคยจะยอมรับเทียบกับพวกพี่ๆแล้วชั้นมันไม่เป็นที่ต้องการเสียบเลย และไม่นานรัฐบาลโลกก็เข้ามาขอรับอุปถัมภ์ชั้นไปยังไงล่ะ” แอลเล่าเรื่องน่าเจ็บปวดนี้ด้วยอาการเรียบๆสงสัยว่าคงจะเจ็บจนชินเสียละมั้ง
“ไม่รู้มาก่อนเลนะเนี่ยว่าเบื้องหลังอัจฉริยะโรคจิตชอบแกล้งจะมีอดีตอันน่าขมขื่นแบบนี้” เนลพูดเหมือนจะรำพึงกับตัวเอง
“เห้..เจ้าหนูจะคิดดังไปมั้ง!? อัจฉริยะโรคจิตเร๊อะ หน่อยแน่แก!!!” แล้วแอลก็จับเนลด้วยท่าล็อคคอท่าทางมีความสุข ภาพทั้งหมดนี้ยังมีอีกหนึ่งคนที่คอยยิ้มกริ่มด้วยท่าทีที่เป็นสุข
ก็อกๆๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เฮ้…..พวกนายเห็นฝั่งแล้วนะ!” เสียงซีกเกอร์เปิดประตูเข้ามาเรียก
“อื้อ! เข้าใจแล้วล่ะ ไปกันเถอะพวกแก เรามีงานช้ารออยู่นะ! ” เสียงร่าเริงของกัปตันสาวดังลั่นประกาศเดินเครื่องเดอะคิลเลอร์อีกครั้ง…แต่ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งที่รออยู่สาหัสนั้นกว่าที่เตรียมใจไปนัก…
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลกันมากนัก เรือโจรสลัดขาไม้อันไร้วิญญาณคนเป็นก็ได้เทียบท่าแล้ว….
ความคิดเห็น