คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ด้วยรัก...หวังดี (1)
ด้วยรัก..หวังดี (1)
“ความรักและความหวังดีที่ฉันมีให้กับวิน..มันกลับเป็นมะเร็งร้ายที่เกาะกินหัวใจฉันทีละนิดๆ”
...ความรู้สึกดีๆ ที่วินมีให้กับฉันมันก็ยังคงดำเนินไปเป็นปกติหากเปรียบเป็นกราฟก็คงเป็นเส้นตรงคงที่ในระดับเดียวกันตลอดเส้น ผิดกับความรู้สึกที่ฉันมีต่อวิน และฉันเรียกมันว่าความรักนั้น เส้นกราฟมันกำลังทะยานขึ้นเป็นลำดับ...
...ฉันไม่ได้พบหน้าวินมาหลายวันแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย ฉันก็ได้แต่ส่งข้อความไปหาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าข้อความที่เดินทางจากต้นทางที่อยู่ในดินแดนของความห่วงหาอาทรนั้นมันได้เดินทางไปถึงปลายทางหรือไม่ แน่นอนในสถานการณ์เช่นนี้มันคงไม่ทำให้ฉันทนนิ่งอยู่ได้ ฉันตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อฉันจะต้องพบกับวินให้ได้ แต่ฉันจะทำอย่างไรดีล่ะ...
...เย็นวันนี้ที่ระเบียงหอพัก ก็เป็นอีกวันที่ฉันมาใช้บริการมันแต่วัตถุประสงค์ไม่ใช่การมายืนรับลมชมบรรยากาศ แต่ทว่า...มันเป็นการมายืนรอคอยใครสักคนที่เคยเดินผ่านไปแล้วส่งเสียงทักทายฉันพร้อมกับใบหน้าและรอยยิ้มที่คุ้นเคย เหมือนเป็นยานอนหลับชนิดพิเศษที่ทำให้ฉันได้นอนฝันดีทุกครั้ง นี่ฉันไม่ได้รับยานั้นมาหลายวันแล้ว...
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณเห็นวินบ้างไหมคะ”
ฉันถามเพื่อนของเขา ซึ่งฉันจำได้ว่าวินเคยเดินมากับเขาขณะที่เข้ามาในซอยเพื่อกลับหอพัก
“ก็ไม่เห็นมันมาสองสามวันแล้วครับ..ไม่รู้เป็นอะไร”
ฉันรู้สึกว้าวุ่นใจเพิ่มขึ้น แถมยังนึกโกรธเพื่อนเขาคนนี้ที่เป็นเพื่อนประสาอะไร ทำไมไม่ใส่ใจดูแลเพื่อนบ้างเลย หายไปอย่างนี้ เขาไม่เป็นห่วงเพื่อนเขาบ้างหรืออย่างไร
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณคะ”
...ฉันเดินไปเดินมาอยู่สักพัก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในซอยเป้าหมายก็คือหอพักชายที่ วิน พักอยู่ ในใจก็นึกว่าอาจไม่เหมาะสมที่ผู้หญิงอย่างฉันจะเข้าไปในหอพักชายอย่างนั้น แต่ความคิดประเด็นนี้ตกไปเพราะความห่วงใยที่ฉันมีต่อวิน มันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในขณะนี้ ฉันตัดสินใจเดินเข้าประตูรั้วของหอพักชาย...
“ไปไหนครับคนสวย”
หนึ่งในกลุ่มผู้ชายห้าถึงหกคนที่กำลังเล่นบาสในสนามหน้าหอพักทักขึ้นเหมือนการแซวเล่นธรรมดาของผู้ชาย ถ้าความเป็นห่วงวินไม่สุมอยู่ในใจฉันมากนักละก็ ฉันก็อาจจะต่อปากต่อคำกับเขาในฐานะที่มาแซวคนอย่างฉัน
“มาหาวิน ค่ะ ไม่ทราบวินพักที่ห้องไหนคะ”
ฉันถามกลับไปด้วยความสุภาพ เพื่อหวังคำตอบที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า วิน อยู่หรือไม่
“มาหาไอ้วิน...โอ๊ย..อิจฉาไอ้วินเนอะ มีสาวๆ มาหาไม่ขาด”
เอ๊ะ..หมายความว่าไงนะ ฉันคิดในใจ แสดงว่านอกจากฉันแล้วยังมีผู้หญิงมาหาวินเหมือนกันหรือ
“เอ่อ...ค่ะ วินเค้าอยู่ไหมคะ”
“อยู่ในห้องมั้ง...ไม่เห็นมันโผล่หน้ามาสองสามวันแล้ว”
“แล้วฉันจะขึ้นไปได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ..ให้พี่ไปด้วยไหมละคร้าบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...เค้าอยู่ห้องไหนค่ะ”
...ทันทีที่ฉันได้คำตอบจากผู้ชายคนนั้น ฉันก็รีบจ้ำพรวดประหนึ่งจะให้ถึงหน้าห้องของวินในบัดดล หน้าห้องมีรองเท้าวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ห้องล็อคแต่มีคนอยู่ด้านในแน่ๆ ฉันตัดสินใจเคาะห้องอยู่หลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากชีวิตที่อยู่ในห้องนั้นเลย...
“วิน..วิน” ฉันตัดสินใจที่จะเรียกชื่อของเขาสลับกับเสียงเคาะประตู เผื่อเขาจะได้รู้ว่าฉันมาหาเขา
“วิน...เปิดประตูให้ฉันหน่อย นายเป็นอะไร นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
...ความเงียบ..ยังคงเป็นคำตอบที่ฉันไม่ต้องการเช่นเคย ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบ
นี้เลยเพราะมันยิ่งทำให้ฉันห่วงเขามากยิ่งขึ้น ฉันรู้สึกท้อและเมื่อยเหลือเกินแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่หมดความตั้งใจที่จะพบเค้าหรอกนะ ฉันทรุดตัวลงนั่งเอาหลังพิงประตูอย่างอ่อนใจ...
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกำลังทำอะไร และอะไรทำให้นายต้องเป็นอย่างนี้”
ฉันพูดด้วยเสียงที่ดังพอจะให้คนข้างในได้ยิน แม้จะไม่มีวี่แววว่าจะมีเสียงตอบกลับมาให้ชื่นใจเลยสักนิด
“การที่นายเก็บตัวอยู่คนเดียวอย่างนี้น่ะ มันไม่ดีนะ”
น้ำเสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ มันเป็นน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยผนวกกับใจคอที่ไม่ค่อยดีนัก
“นายน่ะใจร้ายนะ นายรู้ตัวไหม นายทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วง นายมันบ้า ...บ้า..บ้า”
ฉันเริ่มพูดเสียงดังขึ้น อาจด้วยความเป็นห่วงเขานั่นเอง เวลานี้หากมีใครมาเห็นสภาพของฉัน ก็คงคิดว่ายายคนนี้คงจะประสาทกินไปแล้วแหงๆ มานั่งพร่ำอะไรอยู่คนเดียวอย่างนี้
...ความหวังของฉันไม่ไร้ผลอีกต่อไป เสียงประตูค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมกับที่ฉันทะลึ่งตัวลุกขึ้นด้วยความดีใจ แต่ว่าภาพที่ฉันเห็นปรากฏตรงหน้าสิมันทำให้ฉันแปลกใจ นายวินผู้ยิ้มแย้มประทับใจใครต่อใคร บัดนี้ทำไมปล่อยให้อยู่ในสภาพหมดอาลัยตากอยากได้ขนาดนี้ ผมกระเซิง ผิวพรรณ ใบหน้าอิดโรยบอกถึงการขาดความเอาใจใส่ของเจ้าของอย่างมาก วิน แง้มประตูออกมาไม่มากนัก แต่ฉันก็พอที่จะเห็นสภาพของเขาอย่างชัดเจน เขาสวมกางเกงกีฬาขาสั้นไม่สวมเสื้อ หน้าตาเศร้าหมองเหลือเกิน
“เมย์เองเหรอ...มาส่งเสียงเอะอะที่นี่ทำไม”
เสียงพูดที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก แต่ฉันก็พอจะจับสาระสำคัญของคำพูดนั้นได้
“ก็ฉันไม่เห็นนายหลายวัน โทรมาก็ไม่รับ ฉันก็เลยเป็นห่วงน่ะ”
“เป็นห่วงทำไม...เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
ปากเขาบอกว่าไม่เป็นอะไร ซึ่งมันตรงกันข้ามกับน้ำเสียงและสภาพที่ฉันเห็นอยู่ในขณะนี้เลย
“เมย์กลับไปเถอะ อย่ามาเสียเวลาเป็นห่วงคนอย่างเราเลย”
...ฉันยังไม่ทันได้ตอบเขาแม้แต่คำเดียว วินก็ปิดประตูล็อคไปต่อหน้าต่อตาฉัน
ทำเอาฉันอึ้งไปชั่วขณะนี่ฉันหอบความเป็นห่วงที่ล้นหัวใจมารอการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของเขาหรือ? ใช่คนอย่างฉันไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนี้หรอก
“ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่า นายจะทุเรศอย่างนี้..เห็นความหวังดี ความห่วงใยของฉันไม่มีค่า ฉันไม่รู้ว่านายเป็นอะไร แต่นายน่ะไม่ควรเสียมารยาทกับฉันอย่างนี้ นายจะเป็นอะไรก็ตาม แต่นายไม่น่าจะต้องมาทำให้คนที่เขาเป็นห่วงและหวังดีต่อนายต้องเสียใจ”
...ฉันรู้สึกผิดหวังในตัววินมาก ใจอยากจะยืนรอให้เขาเปิดประตูออกมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ฉันรู้สึกอายถ้าเขาจะออกมาเห็นน้ำตาที่บัดนี้มันพรั่งพรูออกมาโดยที่ฉันไม่สามารถยับยั้งมันได้เลย ฉันปาดน้ำตาวิ่งไปจากตรงนั้น และไม่สนใจว่าใครจะมองฉัน และฉันก็ไม่ได้รู้สักนิดว่าในขณะที่ฉันวิ่งออกจากหอพักชายไปนั้น วินได้เปิดประตูออกมายืนที่ระเบียงหน้าห้องมองฉันไปจนลับสายตา...
...ฉันกลับมาถึงห้องพัก ปิดประตู ยืนพิงประตูร้องไห้จนน้ำตาไหลอย่างไม่ขาดสาย ทรุดตัวลงนั่งพิงประตูอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ในห้วงความคิดของฉัน วนเวียนอยู่กับคำถามว่า ทำไมเขาถึงปฏิเสธความห่วงใยของฉันขนาดนี้ แล้วอะไรที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมฉันต้องร้องไห้ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลยนี่นา...
...ฉันไม่รู้เลยว่าฉันนั่งฟุบหน้าลงบนหัวเข่าที่ประตูหน้าห้องอยู่นานเท่าไรแล้ว มารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง คงจะเป็นพี่หน่อยที่ชอบซื้อขนมแล้วแวะเอามาฝากฉันอยู่เสมอ...
“ค่ะ...รอเดี๋ยวนะพี่หน่อย”
...ฉันเอามือลูบหน้าลูบตาเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐานของความเสียใจให้ได้มากที่สุด
ก่อนที่จะเปิดประตูห้อง และฉันก็ต้องประหลาดใจระคนกับความดีใจที่ปะทุขึ้นมาพร้อมกันในความรู้สึก เพราะผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่พี่หน่อย แต่เป็น วิน ซึ่งต่างกับ วินที่ฉันเพิ่งพบเจอมาเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา ผมเผ้าเรียบร้อย แต่งตัวเป็นปกตินั่นหมายความว่าเขาได้อาบน้ำอาบท่าดูแลตัวเองแล้วในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปนั่นคือ ใบหน้าที่ยังคงบ่งบอกถึงความเศร้าหมองของเขานั่นเอง...
เขามาทำไมนะ ทั้งๆ ที่เพิ่งปฏิเสธความห่วงใยของฉันไปเมื่อสักครู่...............
ความคิดเห็น