ตอนที่ 19 : บทที่ ๘ ลินของคมน์
ตะวันโด่งเกือบตรงศีรษะ ขณะที่มาโนชและพิมพ์พิลาศกรำงานกลางแดดจ้า คมน์ก็นั่งเหยียดขาไปข้างหน้าแล้วเอนกายเอามือเท้าไปด้านหลัง สายตามองไปยังคนทั้งสองด้วยความพอใจ ก่อนหันไปมองคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างบนเสื่อพร้อมรอยยิ้ม นิลินปรายตา มองคนตัวโตพลางค้อนคม แล้วผุดลุกจนทำให้คมน์ต้องหันไปถาม
“จะไปไหน”
หญิงสาวชะงักลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา
“ไปตามสองคนนั้นมากินข้าว”
ได้ยินเช่นนั้นคมน์ก็รีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบอก
“ลินอยู่นี่แหละ พี่ไปตามเอง เตรียมหาข้าวปลาเอาไว้ได้เลย”
พูดจบเขาก็หยิบหมวกขึ้นสวมแล้วก้าวยาวๆ ตรงไปยังคนทั้งสองทันที
นิลินถอนหายใจแล้วนั่งลงไปที่เดิม แล้วจัดแจงตระเตรียมข้าวปลาอาหาร จำปีมองลูกสาวแล้วเบือนสายตาไปยังกลางไร่พลางเปรยออกมา
“ดูท่าทางเสี่ยคมน์จะกันท่าโนชอยู่นะ นี่ถ้าเกิดเขาอยากจะกลับมาขอคืนดีเอ็งจะว่ายังไงล่ะ” นางเอ่ยถามบุตรสาว ทำให้คนที่กำลังดึงปิ่นโตวางลงบนเสื่อมีอาการชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะผอนลมหายใจยาวแล้วบอก
“แก้วที่มันร้าว มันไม่มีทางกลับไปป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะแม่ หนูเกลียดคนเจ้าชู้แม่ก็รู้” ใบหน้างามหม่นลงเล็กน้อยยามตอบ ทำให้จำปีผ่อนลมหายใจแผ่วเบา
“แล้วกับโนชล่ะรู้สึกยังไง หากว่าเขาจะมาชอบเรา”
คำถามต่อมาทำให้นิลินนิ่งอึ้ง ใบหน้างามที่หลุบลงมองกับข้าวเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปยังคนทั้งสามที่กำลังเดินกลับมาอยู่เกือบสิบวินาที จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจยาวกว่าครั้งไหนๆ
“หนูกับโนชเป็นเพื่อนกัน ไม่เคยคิดกับโนชเป็นอย่างอื่นเลย”
“แต่โนชไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อนนี่นะ” แม่เปรยอย่างรู้ทันแล้วเลื่อนจานออกมาวางเตรียมไว้พร้อมทั้งกระติกน้ำ แล้วจ้องใบหน้าของลูกสาวนิ่งนาน
“หนูไม่รู้หรอกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป รู้แค่ว่าจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
“งั้นก็แปลว่าตัดใจจากเสี่ยคมน์ได้อย่างเด็ดขาดแล้วใช่ไหม”
คำถามของมารดาทำเอาคนที่ทำท่าเหนื่อยใจนิ่งอึ้งอีกครั้ง ความเงียบงันทำให้คนเป็นแม่ต้องมองอย่างครุ่นคิด เพราะท่าทางของลูกสาวนั้นแสดงออกถึงอาการลังเลอย่างชัดเจน
“เพราะถ้าลินไม่คิดจะกลับไปคืนดีด้วย หรือมั่นใจว่าจะไม่ใจอ่อนกับพี่เขาอีกแล้ว ก็ควรจะบอกเขาไปตรงๆ ย้ำให้เขารู้ว่าไม่ว่ายังไงเราก็ไม่กลับไปหาเขา เขาจะได้ตัดใจจากเรา ไม่มาป้วนเปี้ยนให้ต้องลำบากใจอีก เขาเองก็จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับเราอีกต่อไป”
คำแนะนำจากมารดาทำให้คนที่นั่งเงียบใจแกว่ง แต่ก็ยังไม่ยอมรับกับตนเองว่ารู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่พบเจอเขา บางครั้งเผลอชะเง้อมองยามที่ชายหนุ่มหายหน้าไป หรือแม้แต่หงุดหงิดเวลาที่เขาพาใครอีกคนมาด้วย...
มีคนเคยบอกว่า เวลาจะเยียวยาทุกอย่าง มันก็จริงของเขา แต่ไม่ดีสำหรับหล่อน เพราะนอกมันจะทำให้หล่อนหายโกรธคมน์แล้ว ยังค่อยๆ ละลายความเจ็บปวดที่เขาเคยทิ้งเอาไว้ในใจอีกต่างหาก แบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
เสียงผ่อนลมหายใจแผ่วเบาดังออกมา จำปีไม่ได้คำตอบจากบุตรสาวและเป็นเวลาพอดีกับที่ทั้งคมน์ มาโนชและพิมพ์พิลาศก้าวเข้ามาถึง
“มาๆ พักผ่อนกินข้าวกันก่อน” จำปีเอ่ยชวนคนทั้งสาม แล้วหันไปยังกลางไร่ ลูกน้องของคมน์กำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้เพื่อพักเที่ยง
พิมพ์พิลาศหน้าแดงจัดขณะทิ้งร่างลงนั่งบนเสื่อผืนใหญ่อย่างหมดแรง และคาดว่ากลับไปบ้านครานี้อาจถึงกับเป็นไข้ จำปีอดไม่ได้ที่จะเห็นใจก่อนปรายตามองไปทางคมน์
“เป็นอย่างไรบ้างหนู แดดแรงจัดแบบนี้ บ่ายไม่ต้องลงไปหรอกนะ เดี๋ยวได้เป็นไข้แน่” นางกล่าวกับหญิงสาวร่างบาง อีกฝ่ายเงยหน้ายิ้มเซียวแล้วถอนหายใจยาว ขณะที่มาโนชขยับลงนั่งชันเข่าขึ้นแล้วยิ้มให้ทั้งจำปีและนิลิน ความเหน็ดเหนื่อยเพียงแค่นี้ไม่ระคายผิวกายของเขา “แล้วโนชล่ะ เป็นไง”
คมน์ตวัดสายตามองคนถูกถามทันที อีกฝ่ายก็ยิ้มหน้าบาน ไม่มีทีท่าอ่อนละโหยโรยแรงเหมือนพิมพ์พิลาศเลยสักนิด
“สบายมากครับแม่ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยครับ ผมมันพวกหนังหนา เคยทำงานหนักมายิ่งกว่านี้ไม่รู้จักกี่เท่า งานเบาๆ แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก” มาโนชตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นติดจะร่าเริงด้วยซ้ำ เพราะเขาได้นั่งใกล้กับนิลินที่เลื่อนจานข้าวมาให้พอดี
“งั้นต้องกินข้าวเยอะๆ เลยนะโนช ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณจากเราก็แล้วกันนะ” หญิงสาวยิ้มให้เพื่อนอย่างจริงใจ ทำให้คนที่นั่งมองไม่คลาดสายตาอย่างคมน์ขบฟันแน่นเป็นระยะ แต่ดูเหมือนสองหนุ่มสาวจะไม่สนใจความรู้สึกของชายหนุ่มอีกคนเลยแม้แต่น้อย ส่วนพิมพ์พิลาศเองก็อยากจะล้มตัวนอนเหลือเกิน ออกไปทำงานกลางแจ้งครั้งแรกทำเอาหล่อนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่น้อย ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อนจนร่ำๆ อยากจะกลับเข้าร่มเสียหลายครั้งหลายหนถ้าไม่ติดว่ามีคมน์นั่งดูอยู่ล่ะก็...
คมน์ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ นิลินและมาโนช ทำให้หญิงสาวที่กำลังลำเลียงอาหารวางบนเสื่อต้องเหลือบตามองมาทางเขา พอเห็นสายตาสีเข้มที่มองมาแกมตัดพ้อก็ถอนหลุบตาลง ก่อนยื่นจานที่ตักข้าวสวยเอาไว้แล้วส่งให้ชายหนุ่ม อีกฝ่ายรับไปพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ พิมพ์พิลาศได้รับจานข้าวจากจำปี พอดีกับลูกน้องของคมน์ที่ตามมาสมทบ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย จำปีที่คอยสังเกตทุกคนอยู่เงียบๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“แม่ว่าคมน์พาพิมพ์กลับบ้านดีกว่าไหม ดูสิหน้าเซียวเหมือนคนกำลังจะเป็นไข้” นางกล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง ทำให้ทั้งหมดหันไปมองหญิงสาวเป็นตาเดียว ส่วนพิมพ์พิลาศที่ได้ยินเช่นนั้นก็นึกขอบคุณจำปีในใจ รีบแสดงอาการอ่อนแรงลงให้คมน์เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้เขาเห็นใจ แแล้วแสร้งกล่าวออกมาว่าตนนั้นยังไหว
“พิมพ์ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ร้อนแดดมากเท่านั้นเอง พิมพ์ยังไหวอยู่” ตอบพลางส่งยิ้มให้คมน์ ส่วนชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองหญิงสาวแล้วเอ่ยออกมา
“แน่ใจนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก”
พิมพ์พิลาศยิ้มเซียวพลางบอก
“ยังไหวคะ พี่คมน์ไม่ต้องห่วงนะคะ”
น้ำเสียงอ่อนหวานยามตอบโต้กับคมน์ทำให้คนฟังอย่างนิลินนึกหมั่นไส้ ดวงตาคู่งามตวัดมองไปยังสองหนุ่มสาว ส่วนคมน์พยักหน้าเบาๆ แล้วผุดลุกจากเสื่อ
“ยังไหวแน่นะ” เขาหันมาถามคนหน้าเซียวอีกครั้ง ฝ่ายนั้นลุกขึ้นตามพร้อมพยักหน้าแต่เพียงพริบตาก็ซวนเซเข้าไปหาคมน์อย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบรับอีกฝ่ายเอาไว้ท่ามกลางความตกใจและเสียงอุทานของจำปี
“ตายแล้ว!”
ขณะที่คมน์ช้อนอุ้มพิมพ์พิลาศที่พริ้มตาหลับอย่างคนหมดสติขึ้นไว้ในวงแขน นิลินก็นั่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง เมื่อชายหนุ่มสบตาหญิงสาวก็ก้มหน้าลง มาโนชมองปฏิกิริยาของทั้งคู่แล้วหุบปากสนิท
“พาน้องกลับบ้านเถอะนะคมน์ เห็นไหมแม่ว่าแล้ว เป็นลมเป็นแล้งไปจนได้” จำปีกล่าว คมน์จึงพามพิมพ์พิลาศที่ทำตัวพับตัวอ่อนเดินไปรถกระบะ เขาวางหญิงสาวอาไว้ที่เบาะหลัง แล้วหันไปเรียกลูกน้อง
“เดี๋ยวพี่มานะ พาพิมพ์ไปส่งที่บ้านก่อน”
“ครับพี่”
“คมหันกลับมามองนิลินแล้วบอก ลินไปเป็นเพื่อนพี่ได้ไหม”
สายตาที่มองไปยังหญิงสาวนั้นนิ่งเรียบ นิลินที่กำลังนึกไม่พอใจคนเป็นลมก็ถึงกับใจกระตุก มองหน้าเขาอย่างอึกอัก จำปีที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงสะกิดลูก
“ไปสิ ไปเป็นเพื่อนพี่เขาหน่อย”
เมื่อมารดากล่าวเช่นนั้น หญิงสาวจึงก้าวตรงไปหาชายหนุ่ม พอสบตาคมเข้มจึงเห็นแววตาที่มีแสงพราวขึ้นก่อนหลบตาแล้วก้าวขึ้นรถ
จำปีมองตามคมน์ เขาไม่ใช่คนโง่ คมน์ไม่ยอมให้ใครเข้าใจผิด จึงเอ่ยชวนนิลินไปกับเขาด้วยเพื่อป้องกันการครหา
เชิดมองลูกพี่ของตนที่ก้าวประจำที่แล้วเคลื่อนกระบะออกไป ก่อนหมุนตัวขึ้นรถไถอีกครั้ง ส่วนจำปีถอนหายใจยาว กึ่งไม่สบายใจ กึ่งโล่งอก
เวลาเดียวกัน พิมพ์พิลาศที่ใครๆ ก็คิดว่าเป็นลมไปนั่นกำลังหรี่ตามองคนที่นั่งข้างคนขัยด้วยความไม่พอใจ จากที่คิดว่าสามารถแยกเขาออกมาจากสองแม่ลูกนั้นได้ แม้ชั่วคราวก็ยังดีกลับไม่เป็นเช่นนั้น หล่อนไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาอย่างที่คิดเอาไว้เสียแล้ว
นั่งสาระแน! พิมพ์พิลาศก่นด่านิลินในใจ พลางนึกโกรธคมน์ไปด้วย
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ขอโทษที่ไม่ได้อัปนิยายตามที่แจ้งเอาไว้นะคะ พอดีว่ามีงานด่วนเข้ามาค่ะ ด่วนจริงๆ เพิ่งหายใจหายคอได้วันนี้เอง นับว่า ตั้งแต่ กพ ถึง มีค เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก หืดขึ้นคอไปเลย ทำให้เขียนงานล่าช้าและยืดเวลาไปอีก แต่โชคดีที่นิราอรไม่ได้เปิดจองก่อนงานเสร็จ มันเลยไม่มีปัญหา เอาเป็นว่าไปอ่านพี่คมน์กับน้องลินกันต่อนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คมน์ไม่โง่จร้าพิมพ์