ตอนที่ 9 : บทที่ ๓ เพื่อนเก่า
รถยนต์แล่นเลี้ยวผ่านฟาร์มก่อนตีวงเข้าจอดเทียบท่าหน้าบ้าน คิ้วหนาขมวดย่นเมื่อด้านหน้าคือรถหรูคุ้นตาที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ชายหนุ่มลงไปหยุดยืนด้านข้างตัวรถยนต์แล้วมองหาเจ้าของ ก้าวยาวๆ สองสามก้าวก็ถึงตัวของสาวน้อยแล้วดึงกระเป๋าจากมือหล่อนมาถือไว้เสียเอง
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าของเสียงหวานๆ เอ่ยขอบคุณ ชายหนุ่มเดินนำเข้าบ้านก่อนจะยิ้มที่มุมปากเมื่อใครคนหนึ่งนั่งหันหลังอ่านหนังสือรออยู่ด้านใน
“ไง มาถึงนานหรือยัง” คนถูกถามหันมามองเจ้าของเสียงแล้วเลิกคิ้วยิ้มๆ ก่อนจะชะงักไปนิดเมื่อพบว่ามีร่างบอบบางของสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราคนหนึ่งเดินตามร่างสูงใหญ่ชนิดบังได้มิดอย่างสงสัยและสนใจ ยิ่งเห็นกระเป๋าและข้าวของเครื่องใช้ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายต้องหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิดระคนล้อเลียน
“สักพักได้ล่ะ ว่าแต่นายไปลักลูกสาวใครเขามาล่ะเนี่ย…”
คนที่กำลังวางกระเป๋าลงกับพื้นแล้วหันมาไหว้ชายหนุ่มร้อนวูบทั้งใบหน้า และก็กระจ่างตาของผู้ชายสองคนเมื่อพวงแก้มอิ่มเรื่อกลายเป็นสีชมพูกระจายไปทั่ว รุตม์ รัสมา อมยิ้มที่มุมปาก เกิดความเอ็นดูในตัวสาวน้อยตรงหน้าขึ้นขณะที่เพื่อนกลับทำท่าระอาและถอนหายใจแผ่วเบา
“ไม่ได้ไปลักขโมยใครเขามาหรอก นุ่ม นี่คุณรุตม์ เพื่อนของฉันเอง ส่วนคนที่นายหาว่าฉันไปลักมาเขาเป็นพี่เลี้ยงของน้องเต้ แล้วก็มีหน้าที่ดูแลบัญชีให้ฉันด้วย”
รุตม์รับไหว้จากสาวน้อยแล้วยิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน ขัดหูขัดตาคนมองนัก
“สวัสดีครับคุณนุ่ม แหม ผมไม่ได้มาซะนาน เลยไม่รู้ว่าฟาร์มวัวที่มีแต่ผู้ชายทึกๆ บึกๆ จะมีสาวสวยอ้อนแอ้นรวมมาอยู่ด้วยอีกคน ถ้ารู้แบบนี้ผมมานานแล้ว…”
คนถูกเย้าเลยได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำเก้อเขินไม่รู้จะทำตัวเช่นไร และอดที่จะลอบมองผู้มาเยือนอย่างนึกชื่นชมในใจเสียไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างสมบูรณ์แบบแทบไม่ต่างไปจากปานกมลที่ทำงานหนักกลางแจ้งเลยสักนิด จะต่างกันก็ตรงที่รุตม์ดูจะสำอางกว่า ผิวขาวกว่าและขี้เล่นกว่า แต่ฤทัยรัตน์ก็ยังชื่นชมบูชาปานกมลเสียยิ่งกว่าใครที่ไหนทั้งสิ้นอยู่ดี…
แต่เจ้าของบ้านตัวโตที่ฤทัยรัตน์ทั้งชื่นชมและบูชากลับมองผู้มาเยือนด้วยนัยน์ตาขุ่นคลั่ก นึกอยากเหยียบปากพล่อยๆ ของเพื่อนนัก มาถึงก็หว่านเสน่ห์เชียว…
“มาถึงก็พูดมากเชียว” ถูกเจ้าบ้านค่อนแคะแต่รุตม์ยังยิ้มหน้าเป็น ปานกมลจึงหันไปเรียกหาแม่บ้าน เพียงครู่นางสายใจก็เดินแกมวิ่งออกมาจากด้านใน
“คะคุณปาน”
“ช่วยพานุ่มไปที่ห้องพักด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ ไปนุ่มป้าจัดห้องไว้ให้แล้ว” ทั้งสองเดินห่างออกไปโดยไม่ทราบว่ามีสายตาคมกริบสองคู่มองตามไปจนลับสายตา และเป็นเจ้าบ้านที่หันมามองคนตรงหน้าอย่างนึกไม่สบอารมณ์นักกับสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามลูกจ้างสาวน้อยของเขาแบบไม่กะพริบนั่น
“มานี่มีอะไรหรือเปล่า” คนถูกถามหันกลับมายังคนที่ทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะตัวยาวด้วยนัยน์ตาแพรวพราว แต่ไม่ตอบคำถามในทันที
“น่ารักดีนี่หว่า ดูนุ่มนิ่มสมชื่อ เข้าใจคัดนะนาย ว่าแต่คิดจะเลี้ยงต้อยหรือไงวะ ระวังจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์นะโว้ย” คนฟังขึงตาใส่คนพูดทันที เรียกเสียงหัวเราะสนุกสนานจากอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก
“ปากเสีย… เด็กนั่นเป็นพี่เลี้ยงของตาเต้ แล้วฉันก็ไม่เคยคิดอะไรกับเด็กในปกครองสักที ว่าแต่นายยังไม่ตอบว่ามาทำไม”
น้ำเสียงจริงจังจากเจ้าของบ้านทำให้ผู้มาเยือนคลายยิ้ม เสียงหัวเราะเบาลงจนเงียบ แล้วเปลี่ยนมากวาดตาสำรวจความเครียดขรึมบนใบหน้าคมคายของเพื่อนด้วยสายตาครุ่นคิด
“ฉันเพิ่งได้ข่าวว่าคุณเปรมกำลังจะแต่งงานกับเจ้าสัว ทรงชัย เกิดอะไรขึ้นวะ” คนถูกถามชะงักงันไปไม่กี่วินาทีจึงผ่อนลมหายใจเชื่องช้า ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปหยุดยืนกอดอกริมหน้าต่าง พุ่งสายตาเย็นชาออกไปอย่างไร้จุดหมายแน่ชัด…
“ก็ไม่มีอะไร แค่เขาเจอคนที่ดีกว่า ก็ไป ก็เท่านั้น” น้ำเสียงทุ้มราบเรียบเกินกว่าจะจับความรู้สึกได้ แต่รุตม์รู้ดีกว่านั้น เขารู้ว่าเพื่อนกำลังอกกลัดหนอง…
“ฉัน… ไม่เข้าใจเลยว่ะ” ผู้มาเยือนสารภาพ เพราะรู้ดีว่าทั้งปานกมลและเปรมปรีดิ์หวานชื่นแค่ไหนก่อนหน้านี้ แต่แล้วจู่ๆ อาทิตย์ที่แล้วเขากลับได้รู้ว่าหญิงสาวกำลังจะแต่งงานไปกับเจ้าสัวผู้มั่งคั่งของเมืองไทยคนหนึ่งหน้าตาเฉย จนเขาต้องวิ่งแจ้นจากเมืองหลวงมุ่งหน้าตรงมายังปานทิพย์แบบไม่หยุดพักข้างทางให้เสียเวลา
“ช่างเถอะ” ปานกมลตัดบท หากสันกรามแข็งแกร่งกลับบดแน่นอย่างหักห้ามความรู้สึกลึกๆ ที่ยังคงหลงเหลือมาบ้าง “ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ว่าแต่นายนอกจากเรื่องไร้สาระนี่มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”
หันกลับมาถามเพื่อนที่นั่งจ้องแผ่นหลังเขาก่อนหน้าด้วยสายตาเรียบสนิท คนฟังทำปากเบ้นึกหมั่นไส้ไอ้คนไร้ความรู้สึกตรงหน้านัก
“เปล๊า ก็แค่เบื่อๆ อยากพักสมองสักสองสามวัน” เอ่ยพลางยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นพาดไปกับเก้าอี้อีกตัวที่วางเรียงถัดไปอย่างสบายอารมณ์ เขาเองไม่คิดจะเซ้าซี้เพื่อนมากนัก แค่อยากรู้สถานะของทั้งคู่ให้กระจ่าง และเวลานี้ก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋เสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ แค่บอกมาคำเดียวว่าทุกอย่างจบ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ก่อนหน้านี้แต่นั่นหมายความว่าจบตามที่อีกฝ่ายบอกออกมาจริงๆ เขารู้จักเพื่อนดีพอๆ กับที่รู้จักตัวเองเชียวล่ะ…
“ดี! กำลังขาดคนต้อนวัวอยู่พอดี!”คนที่กำลังเอกเขนกสบายอยู่บนเก้าอี้สีขรึมชักเท้าลงวางบนพื้นแทบไม่ทัน
“เฮ้ย! นี่ฉันมาเที่ยวนะโว้ย ไม่ได้มาใช้แรงงาน” เจ้าของบ้านไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระกับเสียงโวยของเพื่อน ก่อนจะอ้อมไปนั่งลงที่เดิมแล้วถอนใจ
“ว่าแต่นายมาแบบนี้แล้วคุณชุไม่ว่าเอาหรือไง” ถามถึงภรรยาสาวสวยของเพื่อนที่แต่งงานกันไปเมื่อสองปีที่แล้วอย่างนึกกังขา เพราะปกติชุลีไม่เคยปล่อยให้รุตม์ห่างกายเลยสักครั้ง และมันก็ทำให้คนถูกถามเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบออกมาในที่สุด
“เลิกกันแล้ว…” พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปานกมลรู้ดีว่าคนที่กำลังหลุบตาลงมองปลายเท้าของตนเองอยู่นั้นรู้สึกเช่นไร ต่างคนจึงต่างเงียบไปอึดใจ ก่อนที่ปานกมลจะเอ่ยออกมา
“เสียใจด้วยว่ะ”
“อือ…” ทำเสียงรับรู้ก่อนเหลือบตามองเพื่อนยิ้มๆ แล้วถอนหายใจเฮือกราวปลดปล่อยความอัดอั้น “ตอนนี้ฉันกับนายก็เหมือนกันอย่างหนึ่งแล้วนะ”
คิ้วหนาขมวดมองเพื่อนที่ทำเป็นรู้ดีอยู่ครู่ ก่อนคลายเป็นเส้นตรงเมื่อเข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ
“ไม่เหมือน” คนหวังจะมีเพื่อนร่วมชะตาเดียวกันเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“ทำไมจะไม่เหมือนวะ” ปานกมลจ้องตาเพื่อนแล้วยิ้มมุมปากแต่เป็นยิ้มเครียดเสียมากกว่าจะยิ้มเพราะผ่อนคลาย
“เพราะคนที่นายเลิกน่ะเขาเป็นเมียนาย แต่สำหรับฉัน เรายังไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าคนที่คบหาดูใจ” เสียงนั้นราบเรียบก็จริง แต่รุตม์รู้ว่าเพื่อนสะเทือนใจไม่น้อย เขามองตาเจ้าบ้านอยู่ครู่ ก่อนไหวไหล่เบาๆ
“ช่างเถอะ ไหนๆ ก็โสดแล้วนี่ เปิดหูเปิดตาหน่อยก็แล้วกัน…” ว่าพลางลุกขึ้นบิดตัวซ้ายขวาไล่ความเมื่อยขบ ตัดบทเรื่องเก่าๆ ที่คุยกันไว้เพียงเท่านี้ ร่างสูงของเจ้าของฟาร์มเห็นจริงตามนั้นจึงลุกยืนตามเพื่อน
“ถ้างั้นไปเที่ยวฟาร์มหน่อยเป็นไง” เลิกคิ้วเป็นเชิงถามพลางซุกมือลงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ
“งั้นสิ มาแล้วนี่นา ลองไปต้อนวัวเล่นหน่อยจะเป็นไรไป”
เปรยยิ้มๆ ขณะมองไปรอบๆ ฝ่ายชวนพยักหน้าเออออ ไม่นานนักชายหนุ่มรูปหล่อหุ่นสะท้านใจสาวทั้งสองคนก็มุ่งหน้าสู่พื้นที่ฟาร์มครบวงจรของปานทิพย์ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งกว่าเมื่อสักสองสามชั่วโมงที่ผ่านมาพอสมควร…
บริเวณโดยรอบพื้นที่กว่าสิบไร่ของนางบุปผา ถูกจัดแต่งสวยงามสมกับเป็นบ้านพักตากอากาศ กลางพื้นที่มีตัวบ้านสีขาวสะอาดชั้นเดียวถูกปลูกสร้างอยู่บนเนินดินสูง ดูโดดเด่นออกมาจากพื้นที่โดยรอบ ชาวบ้านละแวกนี้ต่างรู้ดีว่านางคือผู้มีอันจะกินคนหนึ่งซึ่งครองตัวเป็นหญิงโสดและมักจะมาพักที่นี่ประจำ ซึ่งระยะหลังดูเหมือนนางอาจจะย้ายตัวเองจากความวุ่นวายของเมืองหลวงมาใช้ชีวิตปั้นปลายอย่างถาวรที่นี่…
“ไปไหนมาจีด้า”
เสียงที่ดังออกมาจากด้านหนึ่งของบ้านพร้อมร่างอวบท้วมของผู้ถามทำให้จิรดาต้องถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หญิงสาวไม่ตอบในทันทีแต่นำของที่ซื้อติดมือมาจากตลาดวางลงบนโต๊ะใกล้ๆ กัน
“ไปแบงก์มาค่ะคุณป้า แล้วก็เลยไปซื้อของมาด้วย” คิ้วเรียวแต่ซีดลงตามวัยขมวดอย่างไม่พอใจนัก นับแต่กลับมาจากต่างประเทศจิรดาแทบไม่มีเวลาดูแลลูกสาวตัวน้อยของหล่อน ไม่ออกไปพบเพื่อนเก่าก็เอาแต่ช็อปปิ้ง
“แกไม่รู้หรือไงว่าลูกแกไม่สบาย เอาแต่ออกไปข้างนอกแบบนี้ได้ยังไง หัดดูแลลูกบ้างนะ” คนฟังชักสีหน้า ไม่พอใจความเจ้ากี้เจ้าการของนางนัก
“คุณป้าคะ! เมนี่แค่เป็นหวัดธรรมดา ไม่ได้เป็นโรคร้าย อีกอย่างแกก็จะหายแล้ว คุณป้าจะอะไรนักหนาคะ” เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ขณะที่หันไปคว้าข้าวของที่ซื้อขึ้นมาถือไว้
“แต่แกเป็นแม่! ช่วยทำตัวให้เหมาะสมกับความเป็นแม่สักหน่อย เมนี่ต้องการแก เด็กต้องการความรักจากแม่”
“คุณป้าคะ… เมนี่เจ็ดขวบแล้ว แกโตแล้ว”
“งั้นคงเป็นแกที่ไม่รู้จักโต!” นางบุปผาโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทน ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะที่ระเบิดออกหลังจากคุกรุ่นมานาน อีกฝ่ายก็ไม่ได้น้อยหน้า หล่อนไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ที่มาอยู่นี่ก็เพราะต้องการพามานิดา ลูกสาวที่เกิดโดยไร้พ่อรับผิดชอบมาพักผ่อน คิดแล้วให้เจ็บนัก ครอบครัวหล่อนคงไม่พังครืนถ้ามานิดาไม่ได้ออกมาผมดำตาดำ และมีใบหน้าชัดเจนไปทางสามีชาวเอเชีย หล่อนคงไม่ต้องระเห็จพาลูกออกมาหาเลี้ยงด้วยตนเองนานถึงเจ็ดปีหรอก!
“แล้วใครล่ะคะ ที่เลี้ยงดูเมนี่มาถึงเจ็ดปีนะ!” ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ทำให้คนที่โกรธขึ้นก่อนหน้านี้ต้องผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ใช่ว่านางต้องการซ้ำเติมเรื่องที่ผ่านมานาน นางเพียงต้องการให้จิรดาดูแลลูกให้มากกว่านี้เท่านั้น
“เอาเถอะ เรื่องที่แล้วก็อย่าไปพูดถึงเลย ฉันแค่อยากให้แกดูแลลูกให้มากกว่านี้ ใกล้ชิดลูกแกสักหน่อย แกไม่สังเกตสักนิดเลยหรือไง ว่าลูกของแกน่ะเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ไม่มีพ่อแล้วแม่ยังไม่สนใจ แบบนี้เด็กที่ไหนก็น้อยใจนะ อีกอย่าง เมนี่เป็นผู้หญิง ฉัน…”
“กลัวจะเหลวแหลกเหมือนแม่มันใช่ไหมคะ!”
“จีด้า!”
“แม่คะ… คุณยาย คุยอะไรกันคะ”
สองป้าหลานหันขวับไปยังกรอบประตูด้านหลัง ซึ่งมีร่างของเด็กหญิงมานิดายืนอิงขอบประตูในชุดนอนสีชมพูหวานแหวว ปล่อยผมยาวสยายมองมายังแม่และยายด้วยสายตาหม่นๆ
“เอ่อ เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร” บุปผารีบเข้าไปหาแม่หนูแล้วดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้ขณะที่เด็กหญิงมองคุณยายและคุณแม่สลับกัน เมื่อครู่แม่หนูน้อยได้ยินทั้งสองทุ่มเถียงชัดเจน แม้ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็พอรู้ว่าพูดอะไร
“แต่เมนี่ได้ยิน…” คราวนี้จิรดาถึงกับถอนหายใจเฮือก
“เมนี่… มาหาแม่มา แม่ซื้อเสื้อสวยๆ มาให้หนูด้วยนะ”
จิรดายกถุงกระดาษอวดลูกสาว แต่แม่หนูเพียงมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า ผิดวิสัยเด็กทั่วไปที่มักตื่นเต้นกับของขวัญหรือสิ่งที่ได้รับโดยไม่คาดหวังมาก่อน…
“ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงตอบเบาๆ ก่อนหันไปหาคุณยายที่กำลังกอดตนอยู่ “คุณยายคะ เมนี่อยากไปเที่ยวค่ะ” บุปผาเมินสายตาจากจิรดามายังคนตัวเล็กแล้วยิ้มอ่อนโยน
“เรื่องเที่ยวยายไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เมนี่ต้องหายป่วยก่อนนะจ๊ะ ไม่งั้นยายไม่พาไป” เด็กหญิงทำปากยื่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมารดาแล้วเอ่ย
“คุณแม่ไปกับเมนี่ด้วยนะคะ พรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เมนี่ก็หายแล้ว” มานิดาเอ่ยชวนมารดาที่ระยะหลังแทบไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันเลย จิรดาขยับปากทำท่าปฏิเสธแต่เงาของใครคนหนึ่งที่ผ่านแวบเข้ามาในความคิดทำให้หญิงสาวต้องชะงักและคิดเสียใหม่…
“อืม… ได้สิจ๊ะ พรุ่งนี้นะคะ พรุ่งนี้แม่จะพาเมนี่ไปเที่ยว…”
“ที่ไหนคะ” เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงมีอาการกระตือรือร้นกว่าตอนแรก
“ฟาร์มจ้ะ… ที่ปานทิพย์ฟาร์ม” ตอบพลางยิ้มหวานให้กับบุตรสาว บุปผาขมวดคิ้วมองเมื่อฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มให้นางด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปก่อนจะถอนหายใจเฮือก ‘ปานทิพย์ฟาร์ม’ นางรู้จักจากคนละแวกนี้ ว่าที่นั่นกว้างใหญ่มากและน่าเที่ยว ดวงตาสีจางเหลือบมองคนที่ดูใส่ใจลูกขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญด้วยแววตากังขา แต่แล้วต้องบอกกับตนเองว่าอย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ดี ที่จิรดาจะกลับมาดูแลเอาใจใส่มานิดาอีกครั้ง ซึ่งล้วนเป็นผลดีต่อเด็กหญิงโดยตรง…
ทว่าความคิดของนางช่างต่างจากความคิดของจิรดาไปคนละทาง เพราะอีกฝ่ายคิดเพียงเรื่องการได้พบกับเจ้าของฟาร์มเป็นอันดับแรก โดยมีบุตรสาวเป็นข้ออ้างในการไปเยือนเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไปนัก ยิ่งได้รู้และได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงชายหนุ่มจากปากของบุคคลรอบข้างมากเท่าไร จิรดาก็ยิ่งมีแก่ใจที่จะไปพบเขามากขึ้นเท่านั้น เพราะเวลานี้หล่อนกำลังเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องรับบทเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้จะมีเงินเก็บจากการทำงานในต่างแดนและสมบัติจากบิดามารดา แต่การมีใครสักคนที่มั่นคงทั้งฐานะและจิตใจคงดียิ่งกว่าอย่างเทียบไม่ได้…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
