ตอนที่ 21 : บทที่ ๗ ความรู้สึกเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก
ดูแลปานชีวาเรียบร้อยฤทัยรัตน์จึงมุ่งหน้ากลับห้อง ทว่าหญิงสาวต้องชะงักลงที่เชิงบันไดเมื่อนึกถึงเปรมปรีดิ์เพราะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจึงตัดสินใจเดินลงไปด้านล่าง ผ่านห้องรับแขกตรงไปยังห้องหนังสือ นิ้วเรียวไล่ไปตามสันปก เลือกมาได้หนึ่งเล่มก็หาที่นั่งเหมาะๆ และขังตัวเองอยู่ในนั้นโดยไม่ทราบว่ามีใครอีกคนหนึ่งเข้ามาขังตัวเองอยู่ในนี้นานแล้ว…
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ร่างบางสะดุ้งตัวโยนกับเสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“เอ่อ คุณปาน…” ลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่ออีกฝ่ายสาวเท้ามาหยุดตรงหน้า หัวใจดวงน้อยที่ระทึกเพราะความตกใจค่อยๆ เต้นช้าลง
“เมื่อตอนกินข้าว ฉันสังเกตว่าเธอดูไม่ค่อยสบายใจ”
ดวงตากลมโตหลุบซ่อนประกายตาบางอย่างจากอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ นุ่มเอ่อ แค่กำลังคิดถึงพ่อแม่ แล้วก็น้องๆ ค่ะ” คำถามของเขาทำให้การตัดสินใจของหล่อนง่ายขึ้น กับสิ่งที่ครุ่นคิดมาตลอดเย็นที่ผ่านมา “เอ่อ คุณปานคะ คือ… พรุ่งนี้ นุ่มขออนุญาตไม่ไปกับคุณปานได้ไหมคะ คือนุ่มอยากจะขออนุญาตคุณปานกลับบ้านสักวันค่ะ ไม่ได้ไปนานแล้ว…”
เสียงหวานแผ่วเบาคล้ายไม่มั่นใจนักกับสิ่งที่ตนร้องขอ ทำให้ปานกมลนึกแปลกใจ
“มีอะไรไม่สบายใจ บอกฉันได้นะ” ร่างบางขยับห่างเมื่อเขาขยับเข้าใกล้ ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตามองท่าทางระวังตัวของหญิงสาว…
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ” ก้มหน้าไม่ยอมสบตาคนตัวโตขณะปฏิเสธ
“ฉันไม่เชื่อ…” ชายหนุ่มหันหลังให้คนตัวเล็กที่เงยหน้าขึ้นทันทีที่เอ่ย ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งและคาดคั้นหาคำตอบด้วยดวงตาคมวับ “บอกมาสิ เป็นอะไร เพราะถ้าเธอไม่ตอบตามความจริง ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับบ้านพรุ่งนี้”
หญิงสาวสบตาเขาอย่างอึดอัด
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ นุ่มแค่คิดถึงพ่อกับแม่เท่านั้นจริงๆ”
เมื่อหญิงสาวยืนกราน
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านก่อน แล้วค่อยพาน้องเต้ไปซื้อของ”
“ไม่ต้องค่ะ” เผลอปฏิเสธออกไปแล้วก็ต้องหลบตาวูบเมื่อดวงตาคมกริบหรี่มองอย่างจับผิด และยกมือขึ้นกอดอก มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเพ่งพินิจ
“ต้องสิ…” ฤทัยรัตน์สบตาเขาอย่างไม่ใคร่สบายใจ ไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพรุ่งนี้หล่อนออกไปกับเขา
“นุ่มกลับเองก็ได้ค่ะ อีกอย่างคุณปานจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาไงคะ”
“งั้นไปซื้อของด้วยกันก่อน แล้วขากลับก็แวะไปหาแม่กับพ่อของเธอ เยี่ยมเสร็จก็กลับบ้านพร้อมกัน ตกลงตามนี้นะ อ้อ! แล้วก็เข้านอนได้แล้ว นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพ…” พูดจบก็หมุนตัวหันหลังให้คนที่เผยอปากค้างก่อนจะหุบฉับเมื่อประตูห้องสมุดกระทบกันดังกึก
“ให้มันได้ยังงี้สิ! ทำไมไม่ยืนยันไปนะว่าจะกลับเอง เดี๋ยวก็ถูกหาเรื่องอีกหรอก…” ถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับนั่งแปะลงบนเก้าอี้ตัวเดิม หันมองนาฬิกาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกาสามสิบนาทีก็เริ่มจะง่วงนิดหน่อย ทว่าเมื่อคิดถึงคนที่ยึดเตียงของหล่อนก็ต้องชะงัก แต่ฤทัยรัตน์เข้าใจผิดเพราะเวลานี้คนที่ทำให้กังวลกลับไม่ได้อยู่ในห้องอย่างที่คิด…
ปานกมลปิดประตูห้อง เขาโคลงศีรษะเบาๆ กับคนตัวบางด้านล่าง ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหล่อน แต่ที่รู้คือสมองน้อยๆ กำลังมีบางอย่างให้คิดหนัก จากที่เรียนรู้นิสัยมาตลอดระยะเวลาที่รับหล่อนเข้ามาทำงานที่ปานทิพย์ฟาร์ม สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือฤทัยรัตน์เป็นเด็กสาวที่ ‘คิด’ มากกว่า ‘พูด’ หล่อนมักจะสงบปากสงบคำ จนบางครั้งดูเหมือนคนเก็บกด…
“คิดอะไรของเธออยู่…” ชายหนุ่มพึมพำในลำคอเบาๆ ก่อนชะงักนิ่ง เมื่อหันไปพบว่าบัดนี้ห้องส่วนตัวของเขาไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เมื่อบนเตียงกว้างปรากฏร่างบางของเปรมปรีดิ์นอนรอเขาอยู่
“เปรม!” เปรมปรีดิ์ยิ้มหวานให้กับคนที่ยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ จะดูสิ หล่อนทำขนาดนี้แล้วเขายังจะปฏิเสธได้ลงหรือไม่
“ปาน…” ร่างงดงามในชุดนอนบางเบาจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างก้าวลงจากเตียง ยิ่งลงมายืนอยู่อย่างนี้ก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นเพราะกระทบกับแสงไฟสีนวล
“คุณเข้ามาในห้องผมได้ยังไง” เสียงที่ถามขรึมจัด ทว่าคนถูกถามกลับไม่ยี่หระ
“คุณเข้ามาแบบไหน เปรมก็เข้ามาแบบนั้นแหละค่ะ ปานขาเปรมคิดถึงคุณ…” ไม่ทันที่เปรมปรีดิ์ถึงตัวชายหนุ่ม ร่างสูงก็หันไปเปิดประตูแล้วออกจากห้องของตนอย่างรวดเร็ว ทั้งนึกขุ่นเคืองไปถึงคนทำความสะอาดบ้าน ที่เผลอเรอให้เปรมปรีดิ์เข้าไปในห้องของเขาได้ ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงเรียกและเสียงซอยเท้าตามมาจากด้านหลัง เขาเดินลิ่วๆ ลงไปยังด้านล่าง และหายเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งหล่อนเคยรู้มาว่าเป็นห้องหนังสือ
“ปาน! เปิดประตูให้เปรมเดี๋ยวนี้นะ ปาน!”
ปัง! ปัง!
เสียง ‘ทุบ’ ประตูดังสนั่นอยู่ด้านนอก ทำให้คนที่เพิ่งเข้ามา ‘อีกครั้ง’ และคนที่ยังไม่ออกไปต้องสบตากัน คนหนึ่งตื่นตกใจขณะที่อีกคนกลับยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ ว่า…
“โทษทีนะ ฉันขออยู่ด้วยสักพักหนึ่งก็แล้วกัน”
ฤทัยรัตน์เบนสายตาไปยังประตูที่สะเทือนด้วยแรงทุบด้านนอก ก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือก เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหนีอะไรเข้ามา และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้หล่อนแปลกใจ เปรมปรีดิ์กลับมาคราวนี้ปานกมลไม่พะเน้าพะนอเหมือนเคย หนำซ้ำยัง ‘หนี’ เอาเสียดื้อๆ เหมือนกับตอนนี้
“ปานคะ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกมาเดี๋ยวนี้ !...” เสียงของเปรมปรีดิ์แทรกผ่านประตูเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “อย่าคิดนะคะ ว่าคุณทำแบบนี้แล้วจะเอาชนะเปรมได้ เปรมไม่มีทางยอมแพ้คุณเด็ดขาด ไม่ยอม ได้ยินไหมปานว่าเปรมไม่ยอม!”
ทั้งปานกมลและฤทัยรัตน์ต่างนั่งเงียบ หญิงสาวเหลือบตามองเขาและก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจคนข้างนอกสักนิด เขาหยิบหนังสือภาพออกมาเปิดดูหน้าตาเฉย จนกระทั่งคนด้านนอกเงียบเสียงลงพร้อมกับเสียงกระทืบเท้าตึงๆ ที่ดังขึ้นแทนที่และห่างออกไปเรื่อยๆ จนเงียบสนิท
เปรมปรีดิ์คงเจ็บใจไม่น้อยที่ปานกมลไม่ยอมเปิดประตูให้ หญิงสาวลอบมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องหนี ทั้งคู่เคยรักกันมากแค่ไหนใครก็รู้ แต่ทำไมระยะหลังจึงห่างกันไป อาจเป็นไปได้ว่าทั้งคู่มีปัญหากันมาก่อนหน้านี้ ต้องใช่แน่ๆ เขาต้องมีปัญหากับเปรมปรีดิ์ เขาอาจกำลังโกรธอีกฝ่ายอยู่ ตามประสาคนรักกันที่มีเรื่องระหองระแหงกันเป็นธรรมดา… ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เขาจึงไม่ยอมเข้าใกล้เปรมปรีดิ์ เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน…
คิดแล้วก็เกิดความหดหู่ประหลาด เมื่อตระหนักถึงความใกล้ชิดที่มีจุดมุ่งหมายของปานกมล เขาใกล้ชิดด้วยก็เพียงเพื่อต้องการใช้หล่อนเป็นตัวกันชนนี่เอง กันไม่ให้เปรมปรีดิ์เข้าใกล้ตลอดระยะเวลาที่ยังคงผิดใจกัน แล้วหลังจากนั้นก็คงจะดีดหล่อนกระเด็นออกห่างเมื่อกลับไปเข้าใจกันเหมือนเดิม…
หญิงสาวเผลอถอนหายใจยาวจนคนที่ลอบมองอยู่ก่อนแล้วต้องขมวดคิ้วมุ่น เขาเชื่อความรู้สึกของตนเองว่าคนที่นั่งถัดไปบนเก้าอี้อีกตัวกำลังมีเรื่องให้ต้องคิดหนัก หล่อนช่างขยันคิดเสียจริงเชียว
“มีอะไรก็บอกก็เล่าให้ฟังบ้างได้นะ เก็บเอาไว้คนเดียวระวังจะเครียด ฉันเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอออกจะพูดจาเก่งกันทั้งนั้น… ไม่เห็นมีใครเขามานั่งคิดมากอย่างเธอ” หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองเขาแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วยนัก
“ไม่ทุกคนหรอกค่ะ”
“อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่ง…” เขาต่อให้อย่างรู้ทัน แล้วมันก็ทำให้หญิงสาวต้องเมินไปอีกทางอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น
“เธอนี่… เหมือนเด็กมีปัญหานะ” เขาว่าเอาตรงๆ จนคนที่เมินหน้าหนีถึงกับเม้มปาก ก่อนจะหันกลับมาจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง ซึ่งมันก็ทำให้ชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วขึ้น และเขม้นมองหญิงสาวให้มั่นใจว่าตาเขาไม่ได้ฝาดไปที่เห็นฤทัยรัตน์กำลังค้อนเขาอยู่เมื่อครู่นี้ “อื้ม… มีอาการตอบสนองบ้างแล้วนี่”
“คุณปาน…” ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะเบาๆ
“บางครั้งเธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่กับตุ๊กตานะ” หญิงสาวสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจนัก เวลาต่อมาจึงได้ฟังคำเฉลย “ดูสดใส แต่บางครั้งก็ไร้ชีวิตชีวา จิ้มลิ้มน่ารัก แต่ก็พูดไม่ได้… อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างไหม ฉันจะพาไป…”
ฤทัยรัตน์หน้าแดงอยู่หยกๆ ก็ตามไม่ทันอีกตามเคย เขาทำเหมือนตบหัวแล้วลูบหลังหล่อนเลย ต่อว่าแล้วก็ค่อยหลอกล่อด้วยคำชม ด้วยการพาเที่ยว ไม่ล่ะ… หล่อนไม่หลงกลเขาหรอก พวกผู้ใหญ่มักชอบหลอกคนที่เด็กกว่าเสมอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
