ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #196 : บทที่190: ของรางวัลจากวิหารใต้ทะเล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.08K
      115
      17 พ.ค. 55

    บทที่190 ของรางวัลจากวิหารใต้ทะเล

    “แอฟโร เลดี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วยล่ะ” เด็กหญิงพูดออกมาเสียงใส ดูท่าทางเธอจะตื่นเต้นที่จะได้บอกชายหนุ่มหัวฟู ถึงเหตุการณ์ที่เธอได้สู้กับเจ้าวาฬเพชฌฆาตมา

    “อ้อ เลดี้เอาไว้เดี๋ยวค่อยเล่าให้พี่ฟังทีหลังนะ เข้ามาอยู่ในผนึกก่อนมา” ชายหนุ่มหัวฟูหันมาตอบเด็กหญิงอย่างยิ้มแย้ม ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งเพิ่งจะถามเขาไป

    “แต่ว่า... อืม” เลดี้กล่าว ท่าทางยังลังเล แต่แล้วเด็กหญิงก็ยอมกลับเข้าผนึกแต่โดยดี เพราะปกติเจ้านายของเธอจะไม่ค่อยให้เธออยู่ในผนึกถ้าไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่าง

    แวบ!

    เลดี้กลายร่างเป็นแสงแล้วก็หายเข้าไปในผนึกที่เข็มขัดของชายหนุ่มหัวฟูทันที

    “ว่ายังไงล่ะคะคุณแอฟโร การที่คุณเลี่ยงที่จะตอบคำถามมันทำให้ดิชั้นยิ่งแน่ใจนะ” หญิงสาวผิวเข้มกล่าวขึ้นมาหลังจากที่เห็นว่าชายหนุ่มหัวฟูจัดการธุระของเขาเสร็จแล้ว

    “อ้อ คุณเจนนิเฟอร์ถามผมว่าอะไรนะครับ พอดีเสียงเลดี้ดังแทรกเข้ามาพอดี ผมเลยไม่ได้ฟังที่คุณพูดน่ะ” ชายหนุ่มหัวฟูถามกลับเสียงยียวน

    ทันใดนั้น สัญญาณขอเป็นเพื่อนจากเจนนิเฟอร์ก็เตือนขึ้นที่เมนูของชายหนุ่มหัวฟู

    ดิชั้นเห็นนะ ว่าคุณแอฟโรกับคุณมาตาร์คือคนคนเดียวกัน อยากให้ดิชั้นบอกซารีน่าว่ายังไงล่ะคะ เจนนิเฟอร์ส่งข้อความไปหาชายหนุ่มทันทีที่เขาตอบรับคำขอของเธอ

    เท่านั้นเองสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที จากที่มีรอยยิ้มบางๆ กลายเป็นสีหน้าที่สงบนิ่งและสายตาที่แข็งกร้าวขึ้นมา มาตาร์จ้องมองไปที่เจนนิเฟอร์ด้วยสายตาที่เย็นชาจนหญิงสาวต้องผงะไป

    เจนนิเฟอร์ คุณแน่ใจแล้วเหรอที่จะบอกเพื่อนของคุณว่าผมคือใคร คุณรู้ว่าผมคือศิวะ แล้วยังไงล่ะ คุณจะทำอะไรต่อไป คิดจะขู่ผมเหรอ คุณต่างหากที่ทำอะไรผมไม่ได้ เพราะถ้าเพื่อนของคุณรู้ว่าผมคือคนเดียวกับคนที่เธอตามหาล่ะก็ ...คุณคงรู้จุดจบของมันดีนะ มาตาร์ส่งข้อความกลับไป ข้อความของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์

    หญิงสาวหน้าเครียดขึ้นมาทันที สิ่งที่เธอกลัวที่สุดเป็นจริงจนได้ ข้อความจากชายหนุ่มที่ตอบกลับมาทำให้เธอแน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มหัวฟูคนนี้คือศิวะ และยังเป็นคนเดียวกับมาตาร์ที่เพื่อนสาวของเธอตามหาอีกด้วย

    ผมพยายามเลี่ยงแล้ว คุณก็เห็น ผมพยายามที่จะไม่ให้คุณรู้แล้วว่าผมคือใคร จริงๆถึงคุณจะรู้คุณก็ควรจะเงียบไว้ แต่คุณกลับถามคำถามต้องห้ามออกมา ไม่ฉลาดเลยนะเจนนิเฟอร์ มาตาร์ยังส่งข้อความกลับมาให้เจนนิเฟอร์อีก

    ข้อความของมาตาร์ทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียใจจริงๆ เธอลืมคิดไป ถ้าคำตอบออกมาว่าแอฟโรและมาตาร์คือศิวะ แล้วเธอจะทำอะไรเขาได้ ถ้าซารีน่ารู้มันก็จะเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเธอรู้ว่าเขาคือศิวะ เขาก็จะต้องทำตัวเย็นชากับเธออยู่แล้วสิ เจนนิเฟอร์รู้สึกเสียใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จริงๆแล้วเธอควรจะแอบสังเกตเขาเงียบๆคงจะดีกว่า อย่างน้อยถ้าเธอไม่บอกว่าเธอรู้ว่าแอฟโรคือศิวะ เขาก็อาจจะพูดกับเธอดีกว่านี้ อย่างน้อยทำเสียงยียวนก็ยังดีกว่าการทำเย็นชาใส่

    “...” เจนนิเฟอร์ไม่พูดอะไรออกมา สีหน้าเธอสลดลงทันที แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆขึ้นมา รอยยิ้มอันสดใสของเธอยังคงยิ้มไปให้ชายหนุ่มหัวฟู ราวกับว่าคำพูดที่เขาดูถูกเธอเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    “คุณซุยกะ เรามาหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่า” ชายหนุ่มหัวฟูพูดเสียงเรียบๆไปทางหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงที่เพิ่งรักษาอาการบาดเจ็บให้แม่คนเฝ้าวิหาร โดยไม่ใส่ใจกับรอยยิ้มที่เจนนิเฟอร์ยิ้มมาให้เขาเลย

    “ยัยแตงโม!! ทำไมตัวเหลือเท่านี้ล่ะ!!

    เสียงชายหนุ่มอีกคนก็ดังขึ้นมาอย่างมีอารมณ์

    “อิชจังอ้ะ อ..อย่าโกรธสิ” หญิงสาวผมน้ำตาลแดงตอบกลับตะกุกตะกัก

    “แก!! เพราะแกใช้มั้ย ไอ้อ่อนหัด! ซุยถึงต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวกับแกน่ะ!!” ชายหนุ่มร่างเตี้ยเพ่งเล็งชายหนุ่มหัวฟูก่อน

    “ฮึๆๆๆ พลังของคุณซุยกะนี่สะดวกดีแท้ล่ะ บาดเจ็บขนาดไหนก็หายได้ในเวลาแป๊บเดียว น่าอิจฉานายจังนะที่มีคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ” มาตาร์พูดจายียวนกลับไป

    “แก!!” อิชินแผดเสียงออกมาพร้อมกับพุ่งเข้ามาที่ชายหนุ่มหัวฟูทันที

    ฮึๆ ยั่วง่ายดีแฮะไอ้หมอนี่ แบบนี้อาจจะดีที่สุดล่ะนะ มาตาร์คิดขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่างถึงพูดจายั่วโมโหคนที่เขาเพิ่งเคยเจอหน้าแบบนี้

    ฟิ้ว!! กึ้ง! ตูมม!!

    เท้าของชายร่างเตี้ยหวดใส่มาตาร์ ซึ่งเขาก็ไม่มีท่าทางที่จะป้องกันหรือหลบหลีกเลย เอาแต่ยืนเฉยๆจ้องมองการเคลื่อนไหวของชายร่างเตี้ยคนนั้นเท่านั้น แต่แล้วเท้าที่หวดมาอย่างแรงกลับกระทบกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นตรงหน้าชายหนุ่มหัวฟู แล้วเกิดเสียงระเบิดขึ้นมา

    “อิ..อิชจังอ้ะ ..อย่าใจร้อนสิ” ซุยกะพูดติดอ่างเหมือนเดิม ท่าทางเวลาเธอตื่นเต้นแล้วจะพูดติดๆขัดๆ และก็เป็นเธอเองที่กางโล่ป้องกันให้มาตาร์

    “ทำอะไรของคุณน่ะ อยู่ๆก็โจมตีกันแบบนี้!” เจนนิเฟอร์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ หลังจากที่เห็นว่าชายร่างเตี้ยโจมตีใส่ชายหนุ่มหัวฟูแบบไร้สาเหตุ

    ฟิ้ว! ผัวะ!

    แต่แล้วชายหนุ่มหัวฟูกลับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แล้วใช้เท้าหวดเข้าไปที่หน้าของชายร่างเตี้ยทันทีแบบที่ไม่มีใครคาดคิด

    “ฮ่าๆๆๆ นายมากกว่ามั้งที่อ่อนหัดน่ะ” มาตาร์ยังคงยั่วโมโหชายร่างเตี้ย

    “แก!!” อิชินแผดเสียงกลับ

    เท่านั้นเอง การต่อสู้ของชายหนุ่มสองคนก็เริ่มขึ้น โดยไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เพราะเรื่องราวตอนแรกมันช่างไร้สาระและเป็นความเข้าใจผิดเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ทั้งคู่ไม่สนใจแล้วว่ามันจะมีเหตุผลอะไรในการสู้กันครั้งนี้

    ฟิ้ว! ฟิ้ว!

    เท้าของทั้งคู่ตวัดเฉี่ยวกันไปมา เกิดเสียงแหวกลมดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

    มาตาร์ใช้เท้าออกตามเคล็ดไร้เงา เท้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแต่ไร้กำลังไปจนกระทั่งถึงจุดปะทะ ปราณถึงจะถูกส่งออกมาเพื่อโจมตี แต่ว่าในจังหวะปะทะ ชายร่างเตี้ยกลับหลบได้ทั้งหมด ไม่ว่าชายหนุ่มหัวฟูจะเตะได้เร็วขนาดไหนก็ตาม

    ส่วนอิชินกวาดเท้าด้วยกำลังอันรุนแรง เพียงแค่โดนก็อาจจะโดนกระแทกจนตัวปลิวไปได้ แต่มาตาร์ก็ยังหลบได้ตลอดเหมือนกัน เพราะเขาพยายามอยู่นอกระยะของชายร่างเล็ก อาศัยช่วงขาที่ยาวกว่าในการต่อสู้ และใช้พลังสมาธิร่วมกับเคลื่อนสัมพัทธ์ ทำให้หลบการโจมตีที่น่าจะโดนได้ตลอด

    ไอ้หมอนี่นี่น่ารำคาญจริง นอกจากฝีมือจะดีแล้ว ไอ้หัวฟูๆนั่นมันเกะกะลูกตาจริงโว้ยย!’ อิชินคิดขึ้นมาอย่างหงุดหงิดในขณะที่เท้าก็เตะไม่ได้หยุด

    แบบนี้สู้เท่าไหร่ก็ไม่จบแน่ เจ้าเตี้ยนี่ท่าทางจะมีสถานะร่างกายสูงกว่าเราเยอะ ระดับก็สูงกว่าเยอะ ถ้าสู้กันยืดเยื้อเราก็อาจจะได้เปรียบเพราะพลังร่างไรเดอร์มันฟื้นฟูตลอด แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ตายน่ะสิ มาตาร์คิดขึ้นมาขณะที่เคลื่อนไหวไม่ได้หยุดเหมือนกัน

    วูบ!! เฟี้ยว!!

    แล้วทันใดนั้นท่าเท้าของชายหนุ่มหัวฟูก็รุนแรงขึ้นแบบกะทันหัน จากลูกเตะที่เน้นความเร็วกลายเป็นลูกเตะที่แฝงด้วยพลังในทุกการเคลื่อนไหว อากาศโดยรอบถึงกับสั่นไหวไปตามแรงเตะเลยทีเดียว ชายหนุ่มร่างเตี้ยแม้จะหลบพ้นจากระยะเท้าได้แต่ยังโดนแรงสั่นจากอากาศที่มากับลูกเตะกระแทกเข้าไปอยู่ดีจนร่างกายเสียหลัก

    สิ่งที่มาตาร์ทำก็คือการใช้เคล็ดแอนทิกแฝงในลูกเตะประกอบกับสถานะจิตใจแฝงความคิดในการทำลาย เพื่อเป็นการเร่งการต่อสู้ให้ถึงขั้นแตกหักเร็วขึ้นนั่นเอง

    “งั้นเจอนี่!!” อิชินที่กระเด็นถอยออกมาตะโกนพร้อมทำท่าง้างหมัดที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมทันที ท่าทางเขาเหมือนกับกำลังจะปล่อยหมัดเผด็จศึกออกมา

    วูบบ!!

    หมัดขวาที่เป็นโลหะของชายหนุ่มร่างเตี้ยมีขนาดใหญ่กว่าหมัดทั่วไปมาก ดูราวกับหมัดเป็นตุ้มเหล็กเลยทีเดียว ปราณแสงของเขายังห่อหุ้มจนหมัดขนาดใหญ่นั้นเปล่งแสงออกมาด้วย

    มาตาร์เห็นดังนั้นก็สวนกลับไปทันทีด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี เขาอัดปราณและพลังพิเศษทั้งหมดใส่ลูกเตะ หมุนตัวส่งแรงตามเคล็ดความเร่งแล้วถ่ายปราณไปที่ปลายเท้าเพื่อปะทะกับหมัดของคู่ต่อสู้

    ฟิ้วว!!

    แต่แล้วในระหว่างห้วงสมาธินั้น มาตาร์ก็สังเกตเห็นว่าปราณของเขาส่องแสงสีแดงส้มออกมา พร้อมกับเงาร่างใบหน้าของเจ้าเสือเขี้ยวดาบ

    นี่มัน!?’ มาตาร์คิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขาจำได้ว่าไม่ได้ใช้คำสั่งแปลงร่างกับเลดี้นะ แต่แบบนี้มันเหมือนกับแปลงร่างอยู่เลยนี่นา

    ฟุบบ! ตูม~!!

    เท้าและหมัดปะทะกันเสียงดังสนั่น ปราณแสงจากหมัดของชายร่างเล็กไหลไปตามขาของชายหนุ่มหัวฟู แล้วทิ่มแทงไปตามเส้นเลือดและกล้ามเนื้อ จุดที่ปราณไหลผ่านไปเห็นเป็นเลือดที่พุ่งกระฉูดออกมาพร้อมกับแสงสีขาว อาการบาดเจ็บไล่ยาวไปจนถึงหัวเข่า

    แต่ว่าช้ายหนุ่มร่างเตี้ยก็โดนปราณรูปอสูรเขี้ยวยาวกลืนกินไปทั้งแขน ปราณไฟไหลทะลวงแขนเหล็กของเขาไปแล้วพลังจึงพุ่งทะลุออกจากไหล่ เห็นเป็นเงาหน้าสีแดงส้มของเสือเขี้ยวดาบที่ทะลวงไหล่ขวาพร้อมกับเศษโลหะที่แตกกระจายออกมา

    “อึ้ก!

    “อั้ก!

    ชายหนุ่มทั้งคู่ชะงักไปทันทีหลังจากโดนโจมตีกันคนละครั้ง

    แต่ว่ามาตาร์ยังตั้งตัวเร็วกว่า เพราะมีเลดี้ที่อยู่ในเข็มขัดคอยส่งพลังมาให้เขาตลอดเวลาอยู่แล้ว

    หมับ! ฟิ้ว! อ๊าย~!!

    แต่แล้วมาตาร์ก็เคลื่อนตัวไปอีกทาง จับร่างของหญิงสาวผู้เป็นคนเฝ้าวิหารเอาไว้ แล้วกระชากร่างของเธอหายเข้าไปในวิหารพร้อมกันทันที

    “ฮ่าๆๆๆ ถ้าไม่อยากให้ตัวประกันบาดเจ็บก็อย่าเข้ามานะ แกคงไม่อยากให้คู่หูตัวเล็กลงไปมากกว่านี้หรอกนะ” ชายหนุ่มหัวฟูตะโกนออกมา

    มาตาร์คอยสังเกตพฤติกรรมของซุยกะมาสักพักก็เข้าใจว่า หญิงสาวผู้ใช้เวทรักษาคนนี้ยอมรักษาให้ใครก็ตามที่ได้รับบาดเจ็บแบบไม่มีเงื่อนไข แม้ว่ามันจะทำให้ตัวของเธอหดเล็กลงเรื่อยๆก็ตาม ซึ่งอันที่จริงมาตาร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวทของซุยกะมีขีดจำกัดด้านการรักษาขนาดไหน ถ้าตัวเล็กลงจนถึงระดับความสูงปกติแล้วจะใช้เวทได้อยู่หรือเปล่า แต่ก็ต้องลองเสี่ยงดูก่อน เพราะท่าทางของอิชินดูร้อนใจมากที่เห็นซุยกะตัวเล็กลง บางทีถ้าใช้มากๆอาจจะตัวเล็กลงเรื่อยๆแล้วตายไปเลยก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่โกรธแบบนี้

    ความสูงจริงๆของซุยกะจะอยู่ที่ประมาณ 142 เซนติเมตร จัดว่าตัวเล็กพอสมควร เวทรักษาตามปกติสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ แต่การสร้างอวัยวะแบบนี้ต้องเป็นขั้นสูงขึ้นไปซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะพัฒนารูปแบบขึ้นมา สำหรับซุยกะ เธอแลกขนาดร่างกายกับการใช้เวทรักษาสร้างอวัยวะขึ้นมา ซึ่งสามารถทำได้แม้กระทั่งชุบชีวิต และเพื่อการนั้นเธอก็สามารถสะสมพลังงานจากอาหารที่กินเพื่อเพิ่มความสูงและขนาดร่างกายได้ โดยขนาดใหญ่สุดที่เธอทำได้คือสูงถึงสองเมตร หนักสามร้อยกิโลกรัม แต่ขนาดเล็กสุดก่อนที่เธอจะต้องแลกด้วยชีวิตคือความสูงระดับหนึ่งเมตร ซึ่งดูจากนิสัยแล้ว ถ้าเธออยากจะรักษาใคร แม้จะเหลือความสูงแค่เมตรเดียวเธอก็ยอมแลก

    ดังนั้นคำขู่ของมาตาร์จึงใช้ได้ผลกับอิชิน เพราะเขาไม่อยากให้ซุยกะตัวหดไปมากกว่านี้แล้วนั่นเอง

    “แก! ไอ้ขี้ขลาด!” ชายร่างเล็กแค่นเสียงขณะยืนอยู่ที่ลานหน้าวิหาร

    อันที่จริงแล้วนอกจากอยากจะเอาคืนที่โดนเตะไปทีหนึ่งแล้ว อิชินก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรในการต่อสู้กับมาตาร์ ด้วยเหตุนี้ชายร่างเล็กจึงไม่ดันทุรังสู้ต่อไป

    “อ..อิชจัง ป..เป็นยังไงบ้าง” ซุยกะเข้ามาหาชายหนุ่มร่างเตี้ยแล้วก็พยายามที่จะใช้พลังของเธอรักษาแขนให้ทันที

    “ไม่ต้องเลยยัยแตงโม แขนนี่มันไม่เกี่ยวกับค่าพลังชีวิต ไม่ต้องมารักษาให้ชั้นเลย” ชายหนุ่มร่างเตี้ยรีบกล่าวก่อนที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงจะต้องเปลืองพลังไปกับเขา

    “ล..แล้วคุณแอฟโรล่ะ” ซุยกะยังห่วงแม้กระทั่งชายหนุ่มหัวฟูด้วย ทำเอาอิชินถลึงตามองอย่างโกรธๆกลับไปทันที

    เหตุเพราะว่าหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงนี้ก็ยังดูออกถึงจุดประสงค์อันคลุมเครือของชายหนุ่มหัวฟูที่ต้องการจะหลบลี้หนีหน้าจากเจนนิเฟอร์ หรือสร้างเหตุทะเลาะขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองโดนหมั่นไส้นั่นเอง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกโกรธอะไรแอฟโรเลยแม้จะมีเรื่องกับคู่หูของเธออยู่ก็ตาม

     

    “คุณแอฟโรมีนิสัยอย่างนี้เหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ติดตามแบบเลดี้แฮะ แบบนี้ระหว่างทางมาถึงนี่แกไม่หงุดหงิดตายเหรอเนี่ย” หญิงสาวผมหยักศกกล่าวออกมาเรียบๆกับเพื่อนสาวของเธอที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

    “...” เจนนิเฟอร์เงียบ เธอไม่พูดอะไรออกมา สีหน้าของเธอมีร้อยยิ้มแห้งๆ ดูเหมือนมีความทุกข์ใจอยู่แต่พยายามเก็บมันเอาไว้

    “แกเป็นอะไรน่ะเจน?” ซารีน่าสังเกตเห็นว่าเพื่อนสาวของเธอมีอาการแปลกไป

    “ไม่มีอะไรหรอกวี ชั้นแค่หงุดหงิดกับคุณแอฟโรมากไปหน่อยอย่างที่แกว่าแหละ” เจนนิเฟอร์เอ่ยออกมาเรียบๆ แต่แค่การเรียกชื่อของซารีน่าที่กลับกลายเป็นชื่อจริงก็พอที่จะรู้แล้ว ว่าตอนนี้เจนนิเฟอร์ค่อนข้างอาการหนัก

    “เจน!! แกเป็นอะไรน่ะ!” ซารีน่าขึ้นเสียงทันที กระตุกอารมณ์ของเพื่อนสาวที่ท่าทางเหม่อลอยให้ตื่นขึ้นมาได้

    “ห...ไม่ได้เป็นอะไรยัยสาลี่ ชั้นว่าหลังจากออกจากที่นี่ได้แล้วเราน่าจะไปหาคุณโลกอสได้แล้วนะ เสียเวลากันมากเกินไปแล้วกับเรื่องตามหาคุณมาตาร์ของแกน่ะ” เจนนิเฟอร์สะดุ้งขึ้นมาทันทีก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับเป็นปกติเหมือนเดิม แถมยังพยายามดึงซารีน่าให้ออกห่างจากมาตาร์อีกด้วย

    “...มีอะไรรึเปล่า แกชอบเก็บปัญหาเอาไว้กับตัวเองเรื่อยเลยนะ” ซารีน่าถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง ซึ่งปกติทั้งคู่จะไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ เพราะพวกเธอเป็นสาวแกร่งที่มีหน้าที่การงานดี ไม่ค่อยจะเผยอารมณ์ด้านอ่อนแอให้ใครเห็นกันง่ายๆ ยิ่งเรื่องส่วนตัวแล้วอย่าหวังว่าจะเล่าให้ฟังเลย เพราะเจนนิเฟอร์ก็เป็นคนแยกแยะเรื่องราวส่วนตัวและการทำงานออกจากกันอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว

    “ไม่มีอะไรหรอกยัยสาลี่ แต่ฟังคำแนะนำของชั้นเอาไว้ด้วยล่ะ ชั้นไม่ได้มาเล่นเกมเอาสนุกๆอย่างแกนะ” เจนนิเฟอร์กล่าวเรียบๆ ท่าทางไม่ต่างจากปกติที่เธอเป็นเลย

    “...” ซารีน่าเงียบไป จริงๆเธอก็รู้ว่าเพื่อนสาวของเธอคงมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปก้าวก่ายได้ ถ้าเพื่อนของเธอไม่ยินยอม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยั่งยืนมาได้เพราะรู้จักขอบเขตของความสัมพันธ์ดี แม้จะสนิทกันขนาดไหน แต่อาณาเขตที่ไม่ควรจะล่วงล้ำ ก็ไม่ควรล่วงล้ำ

     

    “ที่เธอบอกว่าต้องตายก่อนถึงจะออกไปได้หมายความว่าไง” ชายหนุ่มหัวฟูที่เข้ามาในวิหาร กล่าวกับหญิงสาวที่เป็นตัวประกันของเขา

    “อะไรของเจ้าเนี่ย? เจ้าจับข้ามาเป็นตัวประกันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เล่นต่อไปเล่า” หญิงสาวผมสั้นกล่าวท่าทางไม่พอใจ ซึ่งก็ไม่ได้มีท่าทางโกรธหรือหวาดกลัวอะไรที่ถูกจับตัวมา อันที่จริงด้วยฝีมือระดับเธอแล้วการโดนจับมาง่ายๆต่างหากที่น่าแปลกใจ

    “...หรือว่า ...เธอถูกขังอยู่ที่วิหารนี้?” มาตาร์คาดเดาจากท่าทางของหญิงสาว เขาเคยเจอสัตว์อสูรที่ถูกขังอยู่ใต้บ่อศักดิ์สิทธิ์อย่างแม่นางฟ้าผมทองมาแล้ว อย่างรายนั้นจะค่อนข้างขี้เหงาและชอบสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป รายนี้ก็น่าจะคล้ายๆกัน ตั้งแต่ที่เธอชวนเขาคุยเฉยๆเมื่อจับเขาขังเอาไว้ในโกเลมนั่นแหละ บางทีนอกจากจะชอบคุยแล้ว อาจจะชอบดูหนังน้ำเน่าก็เป็นได้ พอถูกจับมาเป็นตัวประกันถึงทำท่าทางดี๊ด๊าขนาดนี้

    “ข้าไม่ได้ถูกขังซักหน่อย ข้ากำลังรอ ...เอ่อ ...ข้ารออะไรอยู่หว่า?” หญิงสาวผมสั้นกล่าวพร้อมกับทำหน้ามุ่ย

    “รอเหรอ? ...แล้วเธอรอมานานขนาดไหนแล้วล่ะ ...จำได้มั้ย?” มาตาร์ถามขึ้นมา สีหน้าดูกลุ้มใจขึ้นมาเล็กน้อยเพราะเขาเริ่มคาดเดาสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวคนนี้หลงลืมอะไรบางที่เธอรอ

    “...จำไม่ได้แฮะ ช่างมันเถอะ ว่าแต่ไม่เล่นจับตัวประกันต่อเหรอ” หญิงสาวตอบกลับยิ้มๆ ท่าทางเธอจะไม่ใส่ใจสิ่งที่เธอรออีกแล้ว และนั่นทำให้มาตาร์ยิ่งหน้าเครียดขึ้นมาอีก

    หรือว่าแม่ริวเน่คนนี้ คือสัตว์อสูรที่ถูกจับแยกออกจากเจ้านาย แล้วกลายเป็นอสูรอิสระเนี่ย ...นี่ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่รอคอยเลยเหรอเนี่ย มาตาร์เครียดเพราะถ้าสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเป็นจริง สามสาวของเขาอาจจะมีอาการไม่ต่างจากนี้ ลืมแม้กระทั่งการรอคอย ลืมว่าเคยอยู่กับเขา ถ้าเขาไปเจอพวกเธอเมื่อสายเกินไป เขาจะทำยังไงดี

    ความแตกต่างของริวเน่และเนปจูนที่เป็นอสูรอิสระก็คือ วิธีการตัดความสัมพันธ์กับเจ้านาย เนปจูนนั้นเป็นอสูรอิสระจากการโดนยกเลิกพันธสัญญาอย่างจงใจ ดังนั้นเนปจูนจึงจำเรื่องราวทุกอย่างของวัลแคนได้ ในขณะที่ริวเน่ถูกตัดความสัมพันธ์โดยพื้นที่พิเศษ ความทรงจำของเธอที่เกี่ยวกับเจ้านายจึงหายไปทั้งหมด

    “ถ้าอย่างนั้นเธอมา ...ไม่สิ ชั้นมีตัวเลือกที่ดีกว่าให้เธอ” มาตาร์พูดกับหญิงสาวผมสั้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวผมสั้นผิวสีเข้มก็เดินออกมาจากในวิหาร

    “ใครคือเจนนิเฟอร์เหรอ?” หญิงสาวผมสั้นถามผู้เล่นที่ยืนกันอยู่สี่คน

    “ดิชั้นคือเจนนิเฟอร์ค่ะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลแว่นเหลี่ยมตอบเรียบๆ แต่ท่าทางเธอดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

    “อ้าว? ไม่โดนจับเป็นตัวประกันแล้วเหรอ หรือว่าจัดการคุณแอฟโรไปแล้วเนี่ย” หญิงสาวผมดำหยักศกสงสัยขึ้นมา

    “เจ้าจะยอมรับเราเป็นผู้ติดตามได้มั้ย” หญิงสาวที่ผมสั้นเอ่ยถามหญิงสาวแว่นเหลี่ยม

    “เอ๋?” เสียงประสานของคนสี่คนดังขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่จู่ๆสัตว์อสูรจะมาขอติดตามผู้เล่นด้วยตัวเอง เพราะโดยปกติแล้วความคิดแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับสัตว์อสูรทั่วไป

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะ แล้วเจ้าหัวฟูนั่นอยู่ไหน” ชายหนุ่มร่างเล็กถามขึ้นมา บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการอะไรก็ได้ เช่นหลอกให้สัตว์อสูรเข้าใกล้แล้วลอบทำร้าย

    “อ๋อ ตายไปแล้วล่ะ” หญิงสาวผมสั้นกล่าวเรียบๆ

    “หา!?” เจนนิเฟอร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่าชายหนุ่มที่เห็นหน้ากันอยู่เมื่อครู่จะตายไปแล้ว เธอยังอยากจะเห็นหน้าเขาอยู่เลย ถึงแม้จะไม่ได้คุยก็ตามเถอะ

    “คุณเป็นคนฆ่าเขาเหรอคะ” ซารีน่าถามขึ้นมา

    “...” หญิงสาวผมสั้นไม่ตอบ แต่เดินเข้ามาใกล้ๆหญิงสาวแว่นเหลี่ยมที่ยืนอยู่ใกล้ๆแทนแล้วก็กระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอ “นายหัวฟูบอกว่า ให้พาข้าไปเที่ยวเล่นให้สนุกน่ะ” เสียงกระซิบของริวเน่เอ่ยออกมาเบาๆ

    “อึ๊!” ทันใดนั้นน้ำตาของเจนนิเฟอร์ก็เอ่อขึ้นมาทันที แต่เธอต้องซ่อนมันเอาไว้จากสายตาของเพื่อนสาวของเธอ ดังนั้นเจนนิเฟอร์จึงหันหน้าแล้ววิ่งไปอีกทางหนึ่งทันที

    “เจน!! เป็นอะไรน่ะ!?” ซารีน่าถามขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเห็นท่าทางเพื่อนสาวของตน

    “ม ...ไม่เป็นอะไร ฮ่าๆๆๆ พอดีนึกถึงเรื่องตลกได้ ฮึกก! ก็เลยอยากจะหัวเราะน่ะ แต่กลัวจะเสียกริยา ฮะๆๆๆ” เจนนิเฟอร์พูดไปก็หัวเราะไปด้วย ซึ่งถ้าใครมาเห็นใบหน้าของเธอตอนนี้ก็จะเห็นว่าเธอยิ้มและหัวเราะออกมาจริงๆ แต่มันยังมีน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกอยู่ด้วย

    ทั้งซารีน่าและอิชินมองแล้วต่างก็ทำหน้าสงสัย มีเพียงซุยกะเท่านั้นที่มีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง

    “ตกลงว่าไงล่ะ” หญิงสาวผมสั้นยังถามย้ำอีกครั้ง

    “เอาสิคะ ดิชั้นยินดีรับคุณเป็นผู้ติดตามค่ะ” เจนนิเฟอร์หันมาตอบอย่างแจ่มใสหลังจากปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้ว

    “เดี๋ยวก่อน!” อิชินพูดขัดขึ้นมาทันที

    ทั้งเจนนิเฟอร์และซารีน่ามีสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มร่างเตี้ย

    “ผมมาที่นี่เพื่อมาฆ่าสัตว์อสูรลับในถ้ำนี้ ไม่ได้มาจับสัตว์เลี้ยง ดังนั้น ส่งตัวยัยนั่นมา” อิชินพูดเข้าประเด็นทันที พร้อมกับตั้งท่าต่อสู้

    เพราะตั้งแต่แรกที่อิชินและซุยกะมาเปิดภารกิจลับนี้ พวกเขาก็มาเพราะต้องการวัตถุดิบที่เรียกว่าดาร์ครูมที่วัลแคนบอกว่าหามาได้จากสัตว์อสูรระดับหัวหน้าในภารกิจลับที่เมืองฟรานซ์ ซึ่งตอนนี้ที่วิหารใต้น้ำนี้ เหลือสัตว์อสูรเพียงตัวเดียวเท่านั้นคือริวเน่ที่มีร่างเป็นหญิงสาวผมสั้นคนนี้ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยังไงก็ต้องฆ่าริวเน่นี้ให้ได้

    ผัวะ!! อ๊อค!!

    แต่แล้วชายหนุ่มก็โดนจู่โจมจากด้านหลังแล้วล้มลงหมดสติไปทันที

    สิ่งที่โจมตีชายหนุ่มนั้นมีรูปร่างเป็นเงาสีดำทะมึน สูงกว่าสองเมตร ซึ่งแม้จะเห็นรูปร่างของมันชัดเจนขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นว่าร่างกายของมันเป็นอะไรกันแน่นอกจากเงาสีดำเท่านั้น ตรงท่อนร่างของมันเชื่อมต่อกับเงาสีดำที่ลากยาวออกมาจากร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง

    “อิชจังนี่ล่ะก็ ชอบทำตัวแบบนี้เรื่อยเลย” หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงหน้ายิ้มเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ พร้อมกับเดินเข้ามาหาร่างของชายหนุ่มที่หมดสติไป ขณะที่เงาดำที่เท้าของเธอค่อยๆหดกลับเข้าไปเหมือนเดิม “เชิญคุณเจนนิเฟอร์จัดการเรื่องส่วนตัวได้เลยค่ะ”

    “อะไรน่ะ ไอ้เงาดำนั่นน่ะ” ซารีน่าอดสงสัยไม่ได้ จะว่าเป็นปราณความมืดก็คล้ายอยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ

    “อ๋อ ผู้ติดตามของซุยเองค่ะ ชื่อนินนี่ น่ารักใช่มั้ยล่ะคะ ปกติก็จะแฝงอยู่ในเงาของซุยเองแหละค่ะ คอยช่วยสอดส่องดูแลระวังหลังให้ซุย ปกติก็ไม่เคยให้แกออกมาทำร้ายใครหรอกค่ะ แต่พอดีอิชจังออกจะดื้ออยู่ซักหน่อย ก็เลยต้องทำให้หลับไปก่อน” หญิงสาวหน้ายิ้มกล่าว

    ซุยกะที่บอกว่าไม่เคยฆ่าสัตว์อสูรมาก่อน มีทั้งความสามารถในการป้องกันและรักษาที่สุดยอด และทั้งๆที่ไม่เคยใช้อาวุธอะไรโจมตีใครมาก่อน แต่ถ้าเธอคิดจะโจมตีกลับทำได้อย่างง่ายดาย แถมไม่ต้องขยับตัวเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มร่างเตี้ยที่ว่าร้ายกาจ ยังเสร็จด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง ทำเอาเจนนิเฟอร์ที่ฝ่าถ้ำด้วยกันมาตลอดรู้สึกทึ่งขึ้นมาทันที

    แบบนี้มันไร้เทียมทานชัดๆ

     

    หลังจากนั้นเจนนิเฟอร์ก็รับเอาหญิงสาวผมสั้นเป็นผู้ติดตาม และก็ได้รับรู้ว่าจริงๆแล้วที่ริวเน่ไม่ใช่สัตว์อสูรร่างมนุษย์ แต่เป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์มังกรที่มีชื่อว่า ดราก้อนฟลายไวเวิร์น

    “แล้วทำไมริวเน่ถึงมีร่างเป็นมนุษย์ล่ะ” เจนนิเฟอร์สงสัยขึ้นมา ซึ่งริวเน่ก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะเธอก็ลืมไปแล้วถึงเรื่องที่เธอเคยมีเจ้านายมาก่อน

    “แปลว่าเธอคือผู้ติดตามที่กลายเป็นอสูรอิสระน่ะสิ ถ้าเคยมีร่างเป็นมนุษย์แล้ว ร่างนั้นจะไม่หายไปถึงค่าความภักดีจะไม่ถึงหนึ่งพันก็ตาม” ซารีน่าพอจะรู้ข้อมูลเรื่องผู้ติดตามมาบ้างกล่าว

    “ข้าก็จำไม่ได้หรอก แม้แต่เรื่องที่ว่าเคยเป็นผู้ติดตามให้คนอื่นน่ะ” หญิงสาวเผ่ามังกรกล่าว

    “แล้วร่างมังกรของเธอเป็นยังไงล่ะ คืนร่างให้ดูหน่อยสิ ดราก้อนฟลายไวเวิร์นนี่เพิ่งจะเคยได้ยิน” ซารีน่าถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “ก็ได้ ดูแล้วอย่าตกใจล่ะ อาจจะไม่เหมือนที่พวกเจ้าคิดนะ” ริวเน่กล่าวพร้อมกับกระโดดถอยออกไปบริเวณที่เป็นที่ว่าง เผื่อว่าเวลาคืนร่างจะได้มีพื้นที่พอสำหรับร่างกายของเธอ

    สาวๆแต่ละคนจ้องมองด้วยความตื่นเต้น เพราะนานๆครั้งจะได้เห็นมังกรสักตัวหนึ่ง

    แวบ!!

    แล้วทันใดนั้นร่างของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป กลายเป็น มังกรที่มีหางยาว มีเท้ายื่นออกมาด้านล่าง มีปีกสี่ปีกอันยาวเหยียดตรงส่วนที่น่าจะเป็นแขน มีปากแหลมๆยื่นยาวออกมา มีเขาที่หัวสั้นๆสองเขา และลำตัวที่ยาว ประมาณครึ่งเมตร ...เท่านั้น

    “เอ๋!? มังกรจริงๆเหรอเนี่ย ทำไมตัวเล็กแบบนี้ล่ะ” ซารีน่าอุทานออกมาอย่างไม่เข้าใจ ขึ้นชื่อว่ามังกรมันน่าจะตัวใหญ่กว่านี้ไม่ใช่เหรอ นึกว่าจะใหญ่จนพอที่จะขี่หลังบินไปไหนมาไหนได้เสียอีก นี่กลายเป็นตัวยาวเท่าท่อนแขนเท่านั้นเอง แบบนี้แผนที่เธอวางเอาไว้หลังจากรู้ว่าริวเน่เป็นมังกรก็ต้องเปลี่ยนใหม่อีก นึกว่าจะได้ประหยัดค่าโดยสารเรือข้ามฟากแล้วเชียว

    แวบ!

    แล้วเจ้ามังกรตัวจ้อยก็กลายร่างเป็นหญิงสาวผมสั้นอีกครั้งก่อนจะตอบคำถามคาใจของแม่สาวผมหยักศก

    “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าตกใจ รู้มั้ยว่าดราก้อนฟลายที่เป็นชื่อสายพันธุ์นี่มันหมายความว่าแมลงปอนะ เพราะฉะนั้นมังกรบินแบบข้าก็ตัวใหญ่กว่าแมลงปอนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” หญิงสาวมังกรบินตอบ

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะริวเน่ ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก เราก็ออกไปเที่ยวได้เหมือนกัน” เจนนิเฟอร์กล่าวอย่างยิ้มแย้ม ดูเหมือนเรื่องที่มาตาร์ฝากริวเน่มาบอกเธอจะทำให้เธอยิ้มไม่หุบเลย

    “ถ้างั้นก็ออกจากที่นี่กันเถอะ” ริวเน่กล่าวเรียบๆ

    “แล้วจะออกไปยังไงล่ะคะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงหน้ายิ้มถาม ในขณะที่เงาดำทะมึนของเธอกำลังอุ้มร่างของชายหนุ่มร่างเล็กอยู่

    “เข้าไปข้างในวิหารสิ มีจุดวาร์ปที่จะพาทุกคนออกไปจากที่นี่ได้” ริวเน่กล่าวพร้อมกับเดินนำเข้าไปในวิหารทันที

     

    เมื่อทั้งสี่สาวเดินเข้ามาในวิหาร พวกเธอก็เห็นว่ามันเป็นเพียงห้องโล่งๆ มีเสาสูงๆคอยค้ำหลังคาเอาไว้เท่านั้น และมีพื้นที่ส่องแสงออกมาบริเวณหนึ่ง อยู่ตรงด้านในสุดของวิหาร ซึ่งมีแท่นหินยกสูงและมีรูปปั้นของมังกรบินที่ขนาดตัวไม่ได้ใหญ่กว่าร่างมังกรของริวเน่เลย เพียงแต่แปลกกว่าที่มันมีปีกถึงหกปีกเท่านั้นเอง

    “วิหารมังกรบินเหรอเนี่ย” ซารีน่าเอ่ยออกมาเมื่อเธอเห็นรูปปั้นที่อยู่ด้านใน

    จริงๆแล้ววิหารนี้คือหนึ่งในพื้นที่พิเศษของเผ่ามังกรบินนั่นเอง การที่ริวเน่มาอยู่ในวิหารแห่งนี้เป็นระยะเวลานาน ทำให้เธอลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้านายคนเก่าของเธอไปหมด อีกทั้งค่าความภักดียังลดลงไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย

    “ดราก้อนฟลายไวเวิร์นที่สมบูรณ์แบบจะมีหกปีก ซึ่งไม่ได้หากันง่ายๆนะ ส่วนใหญ่มีแค่สองปีกเท่านั้นแหละ มีสี่ปีกแบบข้าก็หายากแล้ว” แม่สาวเผ่ามังกรคุยอวด

    “เหรอ” ซารีน่าตอบกลับเรียบๆเหมือนกับจะบอกว่า มีใครถามหรือไง

    และที่แท่นรูปปั้นนั้น ยังมีดาบเล่มใหญ่สองเล่ม และโล่กลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสองเมตรวางอยู่ ซึ่งมันก็คือดาบกับโล่ที่เป็นรางวัลของภารกิจที่มาตาร์เก็บไปแล้วรอบหนึ่งนั่นเอง

    “พวกเจ้ามีกันสี่คน ก็แบ่งกันไปคนละชิ้นสิ ดาบกับโล่นี่เป็นของรางวัลของภารกิจนี้นะ” ริวเน่กล่าวตามหน้าที่ที่เธอเคยได้รับมอบหมาย

    “ดาบกับโล่เนี่ยเหรอคะ รางวัลของภารกิจนี้” เจนนิเฟอร์เอ่ยออกมาเรียบๆ

    “มันเป็นโลหะที่ไม่มีวันสลายน่ะ” ริวเน่เอ่ย

    “ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง พวกชั้นก็เอาไปทำอะไรไม่ได้อยู่ดีแหละ นอกจากเอาไปขาย เพราะดาบกับโล่ที่สูงกว่าตัวคนแบบนี้จะเอาไปใช้คงไม่ได้หรอก” ซารีน่ากล่าว

    “ถ้าอย่างนั้นดิชั้นยกส่วนของดิชั้นให้คุณซุยกะก็แล้วกันนะคะ ถือว่าดิชั้นได้รับริวเน่เป็นของรางวัลแล้ว” หญิงสาวแว่นเหลี่ยมเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    “ดิชั้นก็ไม่เอาหรอกค่ะ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ภารกิจของพวกเราอยู่แล้ว คิดซะว่าชดใช้ในส่วนที่คุณอิชินไม่ได้ฆ่าสัตว์อสูรลับในวิหารนี้ก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวผมหยักศกเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆเหมือนกัน

    แล้วทั้งสองสาวผู้เล่นและสาวมังกรก็เดินเข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่องแสงออกมานั่น ก่อนจะแวบหายไปจากวิหารทันที

     

    “เฮอะ! คิดว่าแค่นี้จะสร้างบุญคุณให้กันได้หรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาทันทีที่หญิงสาวทั้งสามหายตัวไป

    “อิชจังเป็นไงมั่ง เจ็บมากมั้ย” หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงถามออกมาอย่างเป็นห่วง

    “เจ็บอะไรกันล่ะยัยแตงโม เธอโจมตีใส่ชั้นตอนไหนกัน” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดพร้อมกับกระโดดออกมาจากร่างเงาดำทะมึนที่อุ้มเขาอยู่ ดูเหมือนว่าการโจมตีของซุยกะจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง

    “อิชจังใจดี๊ใจดี” ซุยกะเอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้ม

    “เงียบไปเลยยัยแตงโม” ชายร่างเล็กเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเดินไปหยิบเอาดาบและโล่ทั้งหมดเก็บเข้ากระเป๋าใส่ของไป แล้วก็เดินหายเข้าไปในพื้นที่ส่องแสงพร้อมกับคู่หูของตน

    แล้วพื้นที่ที่มีแสงส่องก็ดับวูบลงไปจนกลายเป็นพื้นหินตามปกติเหมือนเดิม

     

    ที่แมนชั่นแห่งความตาย ชายหนุ่มผมแดงนอนนิ่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับเอาแขนปิดตาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ขณะที่มีน้ำตาไหลรินออกมาช้าๆ

    คุณจะยิ้มให้ผมทำไมเจนนิเฟอร์ ทำไมคุณยังยิ้มแบบนั้นออกมาได้ ผมทำร้ายคุณนะ เกลียดผมสิ!!’ มาตาร์คิดถึงรอยยิ้มที่เจนนิเฟอร์ยิ้มให้เขา แม้จะถูกเขาพูดจาเย็นชาใส่ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เธอเกลียดเขาดี ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายเธอ แต่มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งเขาทำร้ายเธอ เธอก็ยิ่งยิ้มกลับมาให้เขา และมันเป็นก็แบบนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย ทุกครั้งที่เขาทำร้ายเธอเขาก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ เขาไม่อยากให้เจนนิเฟอร์ทนอยู่กับเขา

    ซึ่งเจนนิเฟอร์ก็รู้ดี ทุกครั้งที่ชายหนุ่มคนนี้ทำร้ายเธอ นั่นเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าเขารักเธอ แม้เธอจะเจ็บ แม้เธอจะอยากร้องไห้ แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าเขารักเธอ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอย่างยินดี ทุกครั้งที่เธอถูกทำร้าย

    เจนนิเฟอร์ต้องการยืนยันสิ่งที่เธอพูดกับเขา ว่าเธอจะ ไม่มีวันเสียใจ

     

    ด็อก! แด็ก! ด็อก! แด็ก!

    ในขณะนั้นมีเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมาตลอดเวลา เป็นเสียงที่ฟังดูเฉอะแฉะเหมือนกับมีตัวอะไรสักอย่างที่เปียกน้ำกำลังดิ้นอยู่บนพื้น

    “หืม?” ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นมามองต้นกำเนิดของเสียงนั่น แล้วเขาก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น

    ปลาตัวใหญ่ขนาดสามเมตร กำลังดิ้นด็อกแด็กอยู่บนพื้นห้อง โดยมีเด็กหญิงผมแดงกำลังลูบหัวมันเล่นอยู่ ซึ่งข้างๆนั้นก็มีเสือเขี้ยวดาบตัวใหญ่ขนาดเท่าวัวนั่งอยู่ด้วย

    “เฮ่ย!!!

     

    จะซึ้งหรือจะฮาดีเนี่ย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×