ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #192 : บทที่186: ศัตรูที่มองไม่เห็น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.33K
      113
      4 พ.ค. 55

    บทที่186 ศัตรูที่มองไม่เห็น

    พรึบ!

    แสงไฟจากผลึกเวทไฟสว่างขึ้นในความมืดที่ปิดทึบ เมื่อมีความสว่างเกิดขึ้น สายตาของผู้ที่จุดไฟขึ้นมาจึงเห็นว่าที่พื้นเป็นหิน และเห็นผนังที่อยู่ใกล้ๆก็เป็นหินเหมือนกัน

    “ที่ไหนเนี่ย?” เด็กหญิงผู้จุดไฟเอ่ยขึ้น

    “อูย~ย”

    เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นมาในทิศทางที่เป็นความมืด ไม่ไกลนัก ทำให้เด็กหญิงสนใจขึ้นมา

    “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?” เด็กหญิงผู้จุดไฟเอ่ยถาม พร้อมกับเดินเข้าไปหาต้นเสียง

    และเมื่อเด็กหญิงเดินเข้ามาใกล้จนแสงไฟส่องไปโดนเป้าหมาย เธอก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผิวขาว ผมหยักศกสีดำยาว ตวงตาโตแบบแปลกๆ จะว่าไม่สวยก็ไม่ใช่ แต่จะว่าสวยหรือก็ไม่เชิง เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้น บางทีอาจจะโดนกระแทกตอนตกลงมาที่นี่ล่ะมั้ง

    อ๊ะ! พี่สาวคนที่จูบแอฟโรนี่นา เด็กหญิงคิดขึ้นมาหลังจากเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้นชัดๆ

    “สวัสดีค่ะ พี่ชื่อซารีน่าค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวก่อนเมื่อเห็นเด็กหญิงเข้ามาใกล้พร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นยืน

    “เลดี้ชื่อเลดี้นะ” เด็กหญิงแนะนำตัวกลับเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามแนะนำตัว

    “ผมชื่ออิชิน” เสียงชายหนุ่มดังแทรกเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาทั้งสองสาวระวังตัวขึ้นมาทันที

    วาบ!

    ทันใดนั้นก็เกิดแสงเรืองรองสว่างขึ้นจนเห็นเป็นตัวคนขึ้นมาท่ามกลางความมืด

    เลดี้มองร่างของคนที่เรืองแสงขึ้นมาเหมือนหิงห้อยแล้วก็เห็นว่าเป็นชายคนหนึ่งคลุมผ้าคลุมสำดำครึ่งท่อน ทำให้ไม่เห็นลำตัวท่อนบน ผิวเข้ม ผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ ดวงตาขวาคมเข้มสีทองแวววาว ส่วนตาซ้ายปิดเอาไว้ด้วยที่ปิดตาสีดำประดับด้วยโลหะ แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นความสูงนี่แหละ เพราะเขาสูงเท่าๆกับเธอเลย

    “โห! ใช้พลังเวทปล่อยแสงได้ด้วย” เลดี้เคยเห็นมาก่อน ตอนที่อยู่ในร่างโมบี้ดิ๊ก เรย์น่าก็เคยทำให้ดู

    “สวัสดีค่ะคุณอิชิน คุณพอจะทราบมั้ยคะว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน” ซารีน่าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบเป็นปกติ

    “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมสามารถตอบคำถามนั้นได้ล่ะ” ชายร่างเตี้ยถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

    “ดิชั้นไม่ได้คิดว่าคุณจะตอบได้หรอกค่ะ แต่ท่าทางคุณดูสงบไม่เหมือนกับน้องเลดี้ ก็เลยคิดว่าคุณอาจจะรู้ แต่ดิชั้นอาจจะอุปาทานไปเองก็ได้ คุณอาจจะเป็นก็แค่คนที่ใจเย็นเฉยๆ” ซารีน่าเริ่มลองเชิงฝ่ายตรงข้ามทันที

    “ฮึๆๆ คุณนี่ฉลาดนะ ที่นี่คือโบราณสถานใกล้เมืองฟรานซ์ เรากำลังอยู่ในภารกิจลับ” อิชินเลิกโยกโย้ เขาบอกออกมาตรงๆ

    “ภารกิจลับเหรอ ก็ดี หวังว่าคงจะมีรางวัลคุ้มค่านะคะ” ซารีน่ากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา เธอไม่แสดงอาการแตกตื่นหรือสงสัยอะไรไปมากกว่านั้นเลย

    “อือ ...แล้วเลดี้จะหาแอฟโรเจอได้ยังไงล่ะเนี่ย หรือว่าต้องตายก่อนถึงจะได้เจอ” เลดี้ไม่สนใจว่าทั้งสองคนคุยกันเรื่องอะไร เธอแค่อยากจะกลับไปหาเจ้านายของเธอเท่านั้น

    “น้องเลดี้ตามพี่มาด้วยกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวพี่จะช่วยหาแอฟโรให้เลดี้เอง” ซารีน่าเห็นท่าทางของเด็กหญิงแล้วก็นึกถึงเด็กสาวสามคนที่เธอเคยเจอตอนอยู่บนเกาะเริ่มต้น พวกเธอเป็นกลุ่มผู้ติดตามของผู้ชายคนหนึ่ง และพวกเธอก็ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายและนิสัยน่ารักมาก ดูไปก็คล้ายๆเด็กหญิงผมแดงคนนี้เลย

    “อือ” เด็กหญิงขานรับ

    แล้วทั้งสองสาวก็เริ่มออกเดินไปตามทางเดินที่เป็นโพรงหินนั่นโดยมีชายร่างเตี้ยเดินตามไปไม่ห่างนัก

     

    อีกด้านหนึ่ง

    “เราอยู่ที่ไหนคุณรู้มั้ยคะ” หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งสวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยมถามขึ้นมาก่อน

    “ไม่รู้เหมือนกันครับ” ชายหนุ่มหัวฟูตอบ

    “ฮือ~~อ” ส่วนอีกสาวเอาแต่นั่งร้องไห้ เธอเป็นผู้หญิงผิวขาว ตัวสูงใหญ่และอวบ ผมยาวเป็นลอนสีน้ำตาลส้มราวกับผมตุ๊กตาฝรั่ง สวมแว่นตาหนาเตอะจนมองไม่เห็นดวงตา

    “...”

    “...”

    หนุ่มสาวทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วทำหน้าตางงๆ เหมือนกับว่าไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีในสถานการณ์แบบนี้ จู่ๆก็มีคนไม่รู้จักมาร้องไห้อยู่ตรงหน้าเนี่ย

    “ผมว่าเราหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่านะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาโดยไม่สนใจองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นหญิงสาวตัวใหญ่ที่กำลังร้องไห้

    “อืม นั่นน่ะสิคะ ...คุณคะ เราช่วยกันหาทางออกกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ ดีกว่ามานั่งร้องไห้นะ”

    เจนนิเฟอร์เห็นด้วยกับชายหนุ่ม แต่ก็ยังใส่ใจหญิงสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ เธอหันไปคุยกับหญิงสาวที่กำลังนั่งร้องไห้นั่น

    “ฮือ~อ ซุยไม่คิดเลย ว่าอยู่ๆก็จะต้อง~มาแยกกับ~อิชจังแบบนี้” หญิงสาวแว่นหนาพูดออกมาขณะที่ยังไม่หยุดร้องไห้

    “...” มาตาร์เงียบไม่พูดอะไรเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งเห็นคนร้องไห้ยิ่งไม่อยากยุ่ง ก็แล้วทำไมไม่ส่งข้อความติดต่อเล่า

    “ติดต่อผ่านทางข้อความไม่ได้เหรอคะ?” หญิงสาวแว่นสี่เหลี่ยมถาม เธอยังใส่ใจรายละเอียด

    “อะ ...จริงด้วย ซุยลืมไปเลย” หญิงสาวเหมือนนึกขึ้นได้ เธอเงียบเสียงไปทันที

    หลังจากนั้นทั้งสองสาวก็เงียบไป คนตัวใหญ่ดูเหมือนจะติดต่อเพื่อนผ่านทางข้อความอยู่ ส่วนคนตัวเล็กก็ดูเหมือนจะทำอย่างเดียวกัน ท่าทางเธอจ้องไปข้างหน้าเหมือนกับกำลังอ่านข้อความอะไรบางอย่างพร้อมกับพยักหน้าเป็นพักๆ ในขณะที่ชายหนุ่มก็ใช้พลังจากผลึกเวทไฟสอดส่องไปทั่วบริเวณ

    มาตาร์พบว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่ในสถานที่ที่เหมือนจะเป็นถ้ำหินที่เป็นโพรงทางเดินกว้างๆ

    คล้ายๆกับตอนที่อยู่บนเกาะเริ่มต้นเลยนี่นา ตอนนั้นแผ่นดินก็สั่นๆแบบนี้ แล้วก็ตกลงมาในโพรงถ้ำ ชายหนุ่มคิดถึงตอนที่เขาได้ร่วมผจญภัยกับหญิงสาวอีกสองคนที่ถ้ำลับบนเกาะเริ่มต้น

     

    “คุณคือแอฟโรใช่มั้ยคะ” หญิงสาวแว่นกรอบสี่เหลี่ยมเอ่ยถามออกมาอย่างกะทันหันขณะที่ชายหนุ่มกำลังสำรวจสถานที่เพลินๆ

    “อ ...ใช่ครับ” มาตาร์ไม่ได้ปิดบัง เพราะเขาไม่ได้ใช้ทักษะพรางตัวอะไร ถ้าโดนสำรวจก็ต้องรู้ชื่ออยู่แล้ว แถมทรงผมยังเป็นทรงแอฟโรอยู่แล้วด้วย ถ้าบอกว่าไม่ใช่แอฟโรก็คงจะประหลาดน่าดู แต่ชายหนุ่มออกจะตกใจเล็กน้อยที่หญิงสาวถามเหมือนเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน หรือจะรู้ว่าเรากับมาตาร์คือคนเดียวกันเนี่ย!?’

    “เลดี้ที่เป็นผู้ติดตามของคุณอยู่กับเพื่อนของดิชั้นค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวแว่นเหลี่ยมช่วยเฉลยสิ่งคาใจให้มาตาร์ทันที ที่แท้ที่เธอถามชื่อเขาก็เพราะแบบนี้นี่เอง

    “อ้อ เหรอครับ” ชายหนุ่มหัวฟูขานรับ เลดี้อยู่กับยัยแม่มดเหรอเนี่ย

    “ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้ามาอยู่ในถ้ำที่เป็นภารกิจลับน่ะค่ะ คิดว่าถ้าไปตามทางเรื่อยๆก็คงจะออกไปจากที่นี่ได้” หญิงสาวแว่นเหลี่ยมกล่าวหลังจากที่เธอรับทราบข้อมูลคร่าวๆจากเพื่อนของเธอผ่านทางข้อความแล้ว

    “อืม ครับ” ชายหนุ่มขานรับเรียบๆ อ้า เข้ามาอยู่ในภารกิจของคนอื่นอีกแล้วเหรอเนี่ย

    “ซุยขอโทษค่ะ เป็นความผิดของซุยเอง” หญิงสาวอีกคนแทรกเข้ามา ดูเหมือนเธอจะเลิกร้องไห้แล้วด้วย

    “อ้อ คุณเป็นคนเปิดภารกิจสินะ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็นๆ ยัยนี่เองเหรอเนี่ย สาเหตุความวุ่นวาย

    “ถือว่าพวกเราโชคดีละกันค่ะ เพราะภารกิจลับไม่ใช่เรื่องที่เกิดเป็นประจำ คิดซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศ” หญิงสาวแว่นเหลี่ยมรีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวอีกคน ดูเหมือนเธอจะพยายามเป็นกันชนเพื่อไม่ให้เกิดความระหองระแหงขึ้น เพราะพวกเขาต้องร่วมมือกันก่อนจนกว่าจะหาทางออกจากถ้ำลับนี้ได้ ถ้ามาทะเลาะกันตอนนี้คงยากที่จะฝ่าถ้ำนี้ไปได้

    “อืม หวังว่าคงมีรางวัลอะไรดีๆให้บ้างนะ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับออกเดินไปทันที เขาเข้าใจดีว่าหญิงสาวแว่นเหลี่ยมต้องการอะไร เจนนิเฟอร์นี่คล่องเหมือนเดิมแฮะ เฮ้อ~อ หวังว่าคงไม่หลุดให้เธอจับได้นะ

    สิ่งที่มาตาร์พยายามทำคือ ทำตัวให้แตกต่างจากนิสัยตามปกติ เพราะกลัวว่าเจนนิเฟอร์จะรู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่ใช่ว่ากลัวว่าเจนนิเฟอร์รู้ตัวจริงของเขาแล้วจะเป็นปัญหา แต่กลัวว่าถ้าเธอรู้ตัวจริงของเขาบรรยากาศจะยิ่งแย่ลงไปมากกว่า

    “อ้อ ดิชั้นชื่อเจนนิเฟอร์นะคะคุณแอฟโร” หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมกับเดินตามชายหนุ่มไปทันที ก่อนจะหันหน้ามาให้หญิงสาวอีกคนเป็นสัญญาณ

    “ซุยชื่อซุยกะค่ะ เรียกซุยเฉยๆก็ได้นะคะ” หญิงสาวร่างใหญ่แนะนำตัวเหมือนกันเมื่อได้รับสัญญาณจากหญิงสาวอีกคน พร้อมกับออกเดินตามมาด้วยเหมือนกัน

    แล้วทั้งสามก็ออกเดินไปในโพรงถ้ำโดยมีชายหนุ่มหัวฟูทำหน้าที่เป็นคบเพลิงค่อยให้ความสว่าง

     

    และในความมืดนั้นเอง มีฝูงสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งคอยจ้องจะทำร้ายใครก็ตามที่หลุดเข้ามาในโพรงถ้ำนี้ พวกมันเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบและเงียบงัน ร่างของพวกมันกลมกลืนไปกับผนังถ้ำ ถ้าไม่จ้องมองให้ดีๆก็จะไม่รู้ลยว่าพวกมันอยู่ตรงนั้น

    แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พวกมันซ่อนไม่ได้ คือจิตและความมุ่งร้าย ชายหนุ่มหัวฟูที่ฝึกสัมผัสมาจนเชี่ยวชาญรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังเข้ามาในวงล้อมของสัตว์อสูรที่มองไม่เห็นตัว

    “คุณเจนนิเฟอร์ คุณซุยกะ พวกเรากำลังถูกล้อมนะ” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยออกมาเรียบๆ

    กี๊~~!! กี๊~~!!

    ทันใดนั้นเสียงร้องของสัตว์อสูรก็ดังขึ้นกระหึ่มขึ้นมาทันที พวกมันรู้ตัวว่าไม่จำเป็นต้องซ่อนแล้ว ดูท่าทางจะเข้าใจสิ่งที่มาตาร์พูดออกมาเสียด้วย แต่ว่าพวกมันก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา คงมีเพียงแต่เสียงร้องที่คอยสั่นประสาทเท่านั้น

    แต่แล้วมาตาร์ก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆความรู้สึกของพวกสัตว์อสูรโดยรอบค่อยๆเบาบางลง ทั้งๆที่เสียงร้องของพวกมันยังดังกระหึ่มอยู่

    อะไรของพวกนี้เนี่ย ลบจิตเหรอ!?’ ชายหนุ่มคิดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น

    และทันใดนั้นเหล่าสัตว์อสูรที่มองไม่เห็นก็เริ่มจู่โจม โดยเป้าหมายแรกสุดไม่ใช่ใคร นอกจากผู้ร่วมทีมที่ดูท่าทางอ่อนแอที่สุดนั้นเอง

    ฟุบบ! แก๊งง!!!

    ขณะที่มาตาร์พยายามระวังการลอบโจมตีอยู่นั้น เสียงปะทะก็ดังขึ้นมาครั้งหนึ่งทันทีโดยที่เขาจับสัญญาณล่วงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    “อ๊าย!! น่ากลัวจังเลย”

    เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา และที่ใกล้ๆเธอยังเห็นร่างรางๆของสัตว์อสูรที่ใช้กรงเล็บของมันโจมตีใส่เธอ แต่ทว่ามันกลับเข้าไม่ถึงตัวเธอ เหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยปกป้องเธอเอาไว้ กรงเล็บของมันกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นนั่นจนส่งเสียงออกมา

    ชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกคนก็มองอย่างตกตะลึง ตะลึงที่หนึ่งคือพวกเขาไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่าการโจมตีครั้งนี้จะมา และตะลึงที่สองคือ แม้กระนั้นแล้วหญิงสาวคนนั้นกลับสามารถป้องกันมันเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะดูพึ่งพาไม่ได้ ...ก็เธอเพิ่งหยุดร้องไห้ไปเมื่อกี๊นี้เองนี่นา

    เจ้าสัตว์อสูรเล็งไปที่ซุยกะก่อน เพราะท่าทางของหญิงร่างใหญ่ดูไม่ระวังตัวเลย ลอกๆแลกๆผิดกับสองคนที่เดินด้วยกันอย่างชัดเจน แต่ทว่าการโจมตีที่มันคิดว่าต้องโดนแน่ๆกลับถูกป้องกันเอาไว้ได้จากอะไรก็ไม่รู้ที่มันมองไม่เห็น

    ฉึก! อั้ก!

    แล้วทันใดนั้น เจ้าสัตว์อสูรอีกตัวกลับโจมตีเข้าใส่ชายหนุ่มได้เต็มๆ กรงเล็บจิกเข้าไปกลางหลังของเขาจนต้องกระอักออกมา แต่ชายหนุ่มยังครองสติได้ รีบปล่อยตัวให้ไหลไปกับการโจมตีในครั้งนี้ก่อนที่กรงเล็บจะทะลวงร่างของเขา

    ฟูว! ปึ้ก!

    ชายหนุ่มหัวฟูกลับตัวพร้อมกับสะบัดกำปั้นที่ติดไฟด้วยผลึกเวทกลับไปทันที แต่ด้วยระดับและค่าสถานะที่ต่ำต้อยของเขา การโจมตีนั้นจึงทำได้แค่ทำให้กรงเล็บของเจ้าสัตว์อสูรกระเด็นถอยไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง

    ฉูด~!

    ชายหนุ่มทรุดตัวลงพร้อมกับเลือดพุ่งออกมาจากบาดแผลที่กลางหลัง ดูท่าว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสพอสมควร

    ตอนนี้มาตาร์มีระดับแค่ 57 เท่านั้น และค่าสถานะทั้งหลายในร่างไรเดอร์ที่เพิ่มด้วยทักษะอาวุธมือเปล่าแล้วสูงแค่ 200 เท่านั้นเอง เรียกง่ายๆว่าสถานะยังต่ำกว่าผู้เล่นมือใหม่ที่ออกจากเกาะเริ่มต้นมาได้เสียอีก พลังชีวิตก็ต่ำเตี้ย เพียงแค่ 50 เท่านั้นเอง น้อยกว่าตัวละครสร้างใหม่เสียอีก แต่สิ่งที่ชายหนุ่มมีเหนือกว่าทุกคนก็คืออัตราการฟื้นพลังที่สูงถึงสองร้อยหน่วยต่อวินาที ...ยกเว้นพลังชีวิต

    มาตาร์นอนพังพาบลงกับพื้น หายใจรวยริน ดูท่าว่าเขาจะต้องตายแน่ๆ น้ำยาฟื้นพลังก็ไม่มี ผลึกเวทรักษาก็ไม่มี

    อ่า ตายไปก็ดีเหมือนกัน จะได้หนีจากเจนนิเฟอร์และยัยแม่มดได้ มาตาร์คิดขึ้นมาขณะอยู่ในห้วงสติอันเลือนราง

    วูม~

    แต่แล้วชายหนุ่มหัวฟูกลับรู้สึกถึงพลังที่อ่อนโยนกลางหลังของเขา

    แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!

    และยังมีเสียงกระทบของกรงเล็บดังอยู่ใกล้ๆด้วย สติของชายหนุ่มเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

    เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? เราไม่ได้กำลังจะตายเหรอ? มาตาร์คิดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

    “คุณแอฟโรเป็นยังไงบ้าง” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นมา มาตาร์จำได้ว่าเป็นเสียงของเจนนิเฟอร์

    มาตาร์ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆ เขาเห็นหญิงสาวทั้งสองคนอยู่ใกล้ๆ เจนนิเฟอร์นั่งหันหน้าไปทิศทางหนึ่งมือขวาถือหน้าไม้เอาไว้ ในขณะที่มือซ้ายเหมือนจะแตะอยู่ที่แผ่นหลังของเขาซึ่งกำลังส่งพลังที่ช่วยเยียวยาเขาอยู่ ส่วนซุยกะก็หันหน้าไปอีกทางหนึ่งเหมือนกับจะคอยระวังศัตรูเอาไว้ให้ แต่เธอไม่ทำอะไรนอกจากทำหน้าตกใจทุกครั้งเวลาเจ้าสัตว์อสูรที่มองไม่ค่อยเห็นตัวนั่นเหวี่ยงกระเล็บของมันมากระทบกับกำแพงที่มองไม่เห็นจนเกิดเสียงดัง

    “เอ่อ ขอบคุณมากคุณเจนนิเฟอร์” มาตาร์กล่าว

    “ขอบคุณคุณซุยกะเถอะ ถ้าไม่ได้เธอเราคงตายกันหมดแล้ว” เจนนิเฟอร์กล่าว

    เพราะในจังหวะที่มาตาร์ล้มลงไป ซุยกะเป็นคนวิ่งเข้ามาคนแรกแล้วใช้พลังของเธอผลักดันเจ้าพวกสัตว์อสูรออกไปทั้งหมด ไม่ให้มันมาตามซ้ำเขาได้ เจนนิเฟอร์ถึงมีโอกาสที่จะใช้เวทของเธอช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บแล้วฟื้นฟูพลังชีวิตให้เขา

    “เอ๋? คุณซุยกะเนี่ยเหรอ ...หรือว่าไอ้โล่ที่มองไม่เห็นนี่ก็ฝีมือเธอ” มาตาร์สังเกตเห็นว่าหญิงสาวร่างใหญ่นั่นเองที่เป็นศูนย์กลางของรัศมีพลังที่คอยคุ้มกันพวกเขาอยู่

    “คุณแอฟโรเป็นยังไงบ้างคะ ..ว้ายย!” หญิงร่างใหญ่พูดพร้อมกับทำท่าตกใจเมื่อเจ้าสัตว์อสูรโจมตีเข้ามาอีกครั้ง แต่ก็ทำได้แค่เสียงดังเท่านั้นแหละ

    เวทเกราะแบบของเมลรึเปล่าเนี่ย ...แต่รู้สึกเหมือนมันจะแข็งแรงกว่าเยอะเลยนี่นา มาตาร์คิดขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของมันชัดๆ แต่แล้ว

    “อุ๊!! โอ๊ย~ย”

    แต่แล้วชายหนุ่มกลับอุทานออกมาพร้อมกับทรุดร่างลงไปอีกครั้ง ก่อนจะร้องออกมาอย่างทรมาน

    “เกิดอะไรขึ้น? คุณแอฟโร! ..ไฟชีวิต!” เจนนิเฟอร์อุทานออกมาอย่างตกใจก่อนจะเรียกอสูรเวทของเธอออกมาอีกครั้ง

    แวบ! วูม~

    ทันใดนั้นอสูรเวทที่หน้าตาเหมือนเปลวไฟสีขาวก็ลอยออกมาจากมือของหญิงสาวแว่นเหลี่ยมแล้ววนไปมารอบๆร่างของชายหนุ่มพร้อมกับปล่อยละอองแสงมาเกาะตามร่างกายของเขา

    มาตาร์รู้สึกได้ทันทีถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน มันคงจะเป็นเวทบทเดียวกับที่ช่วยฟื้นพลังให้เขาเมื่อสักครู่นี้แหละ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้บาดเจ็บแบบปกตินี่สิ

    “อ๊าก~!!” มาตาร์ยังคงร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวด

    “อะไรกัน! ไม่ได้ผล!!” เจนนิเฟอร์อุทานออกมาอย่างแปลกใจ

    “สงสัยคุณแอฟโรโดนพิษมั้งคะ” หญิงสาวอีกคนเอ่ยออกมาเรียบๆ

    “พิษเหรอ? ถ้าอย่างนั้น ถ้าไม่ได้ยาแก้พิษมาก็ตายน่ะสิ” เจนนิเฟอร์สรุปพร้อมกับเรียกเวทอสูรของเธอกลับคืน

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวซุยช่วยเอง” หญิงสาวร่างใหญ่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    แล้วหญิงสาวร่างใหญ่ก็เอามือมาสัมผัสร่างของชายหนุ่มเอาไว้ทันที เกิดเป็นแสงสีขาวนวลขึ้นมาที่ฝ่ามือของเธอ

    วูม~

    ทันใดนั้นอาการทุรนทุรายของชายหนุ่มก็หายไปทันที รวดเร็วจนเหมือนกับปาฏิหาริย์

    “เอ๋อ?” มาตาร์รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีพร้อมกับสีหน้างงๆ เมื่อกี๊ยังปวดแทบตายอยู่เลย ตอนนี้กลับหายเป็นปลิดทิ้ง

    “เป็นไงบ้างคะคุณแอฟโร” เจนนิเฟอร์ถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม

    “อา ...สบายดีครับ” มาตาร์สำรวจความรู้สึกของตัวเองก่อนจะตอบออกไป คราวนี้เขาแน่ใจว่าคงไม่เป็นอะไรแล้ว

    “เจ้าสัตว์อสูรพวกนี้ร้ายกาจมากเลย ขนาดอยู่ตรงหน้ายังแทบจะมองไม่เห็นตัว ลอบโจมตีเราได้แถมยังมีพิษอีกด้วย” เจนนิเฟอร์เปลี่ยนจุดสนใจไปยังสภาพรอบตัวทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม

    “เราหนีกันเถอะค่ะ ซุยกลัวอ้ะ” หญิงสาวร่างใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าตื่นๆเหมือนเดิม

    “หนีเหรอ? จะหนีไปไหนได้ล่ะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมันไม่ได้อยู่รอบๆเรา” มาตาร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงยียวน ราวกับว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้เสียท่าและไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย

    “แล้วคุณจะทำยังไงคะคุณแอฟโร จะสู้กับมันใช่มั้ย” เจนนิเฟอร์ตอบกลับน้ำเสียงปกติ แต่จริงๆแล้วเธอแดกดัน เพราะเจ้าผู้ชายหัวฟูคนนี้เสียท่าให้เจ้าพวกอสูรนี่ง่ายๆ อะไรของผู้ชายคนนี้เนี่ย รู้ตัวบ้างมั้ยว่าตัวเองกระจอกที่สุดในกลุ่มน่ะ

    “ผมแค่ใช้ท่าไม้ตายใส่พวกมันทีเดียว เดี๋ยวก็ตายหมดแล้ว” มาตาร์กล่าวอย่างลำพองอีกครั้ง

    “เอาสิคะ เดี๋ยวซุยจะคอยดูนะ” หญิงสาวร่างใหญ่พูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม ดูเธอจะเชื่อเต็มที่กับสิ่งที่ชายหนุ่มขี้อวดคนนี้พูดออกมา

    “ฮ่าๆๆๆ งั้นคอยดูละกัน” มาตาร์พูดเสียงดังออกมาแต่ใจจริงแล้วก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกัน ด้วยสถานะของเราตอนนี้คงลำบากหน่อยล่ะนะ

    “เดี๋ยวสิคะคุณซุยกะ คุณคิดว่าคุณแอฟโรจะฆ่าเจ้าพวกนี้ได้เหรอ” เจนนิเฟอร์แย้งออกมา เธอไม่ค่อยจะเชื่อใจเจ้าผู้ชายหัวฟูคนนี้สักเท่าไหร่เมื่อดูจากท่าทางของเขาแล้ว เลือกที่จะสู้อาจจะตายกันซะเปล่าๆก็ได้

    “ก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ ถ้าสู้ไม่ได้ค่อยหนี ซุยมีพลังพอที่จะป้องกันทุกคนอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวร่างใหญ่ยังตอบกลับแบบยิ้มแย้มอยู่ ดูท่าทางทัศนคติของเธอจะเป็นแบบบวกเต็มที่ ทั้งๆที่มีนิสัยขี้กลัวแท้ๆ

    วูม~

    มาตาร์ไม่ได้รอช้า เขาอัดปราณใส่มือทั้งสองข้างตามเคล็ดยกกำลัง และด้วยความสามารถของเข็มขัดไรเดอร์ ค่าสถานะต่างๆของมาตาร์ก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นทุกวินาที และปราณก็เพิ่มขึ้นจากห้าสิบจนกลายเป็นสองร้อยภายในเวลาสิบวินาทีเท่านั้นเอง

    ปราณสะสมเข้าไปตามข้อนิ้วต่างๆ จากหนึ่งข้อเป็นสองข้อ สาม ห้า แปด สิบสาม สิบห้า ...ยี่สิบ ปราณยังสะสมเข้าไปที่ฝ่ามือด้วย

    วูม~

    แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็กำหมัดทั้งสองข้างแล้วนำมันมาชนกันที่ระดับหน้าอกของตัวเอง แล้วอัดพลังเวทไฟผ่านผลึกเวทที่มือขวาทันที ค่าสถานะจิตใจก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการใช้งานทั้งปราณและเวทมนตร์

    หมัดยกกำลังแบบเสริมเวทไฟเป็นสิ่งที่มาตาร์ยังไม่เคยทำมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทดลอง

    ในเมื่อมองไม่เห็นตัว ก็ระเบิดมันให้วอดวายให้หมดนี่แหละ มาตาร์คิดจะปล่อยปราณยกกำลังให้ระเบิดเป็นไฟกลางอากาศนั่นเอง ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ไม่ต้องมากังวลว่าจะมองเห็นตัวหรือไม่เห็นตัวศัตรู ติดแต่เพียงเรื่องเดียวนี่สิ

    “คุณซุยกะ โล่ของคุณเจ๋งจริงรึเปล่าเนี่ย ไม้ตายผมมันแรงมากนะ เกิดป้องกันไม่อยู่ก็ได้ตายกันหมดนี่แหละ” มาตาร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงยียวน

    “อ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวซุยใช้ไอ้นี่ละกัน” หญิงสาวร่างใหญ่ตอบกลับพร้อมกับหยิบโล่ออกมาอันหนึ่ง

    มันเป็นโล่ทรงหัวใจทรงโค้งสีขาว ตรงกลางมีผลึกสีฟ้าประดับ ดูสง่าและสวยงาม ขนาดใหญ่แค่ประมาณท่อนแขนเท่านั้น

    “เชิญคุณแอฟโรปล่อยท่าไม้ตายได้เลยค่ะ เดี๋ยวซุยป้องกันไม่ให้มันมาโดนคุณเจนนิเฟอร์เอง” หญิงสาวร่างใหญ่เอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้ม

    ตอนนี้เจนนิเฟอร์มีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เธอรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินทั้งๆที่เธอพยายามทำอย่างดีที่สุด คอยกันไม่ให้สองคนนี้ทะเลาะกัน และยังพยายามช่วยให้ทุกคนรอดตายไปให้ได้ แต่ดูเหมือนสองคนนี้จะไม่สนใจเลย โดยเฉพาะนายหัวฟูนี่น่าโมโหมาก อุตส่าห์ช่วยชีวิตเอาไว้แล้วยังจะทำตัวเกรียนกลับมาอีก

    “ผมเชื่อคุณได้สินะคุณซุยกะ อย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะ ...ระเบิด!!” ชายหนุ่มหัวฟูพูดจบก็ต่อยหมัดทั้งสองของเขาขึ้นไปกลางอากาศทันที เกิดเป็นปราณก้อนกลมๆสีอมแดงสองก้อนพุ่งขึ้นไปอยู่กลางอากาศ

    สิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มใส่ลงไปในปราณยกกำลังคือค่าสถานะจิตใจที่แปรสภาพท่าไม้ตายให้ใกล้เคียงระเบิดที่สุด

    ตูม! ตูม! ตูม! ตูมมม!!!

    เกิดเสียงระเบิดเล็กๆดังติดๆกันกลางอากาศ ก่อนจะระเบิดครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นมา

    ปราณยกกำลังระดับยี่สิบจะขยายกำลังแรงขึ้นมากขึ้นในทุกๆจังหวะ กำลังปราณพื้นฐานแค่สองร้อยขยายเป็นสามร้อย สี่ร้อยห้าสิบ หกร้อยเจ็ดสิบห้า และขยายต่อไปเรื่อยๆ และในจังหวะที่ยี่สิบ กำลังถูกขยายกลายเป็นหกแสนกว่า

    แรงระเบิดที่ขยายกำลังทำเอาบรรยากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง พื้นถ้ำสะเทือนเลื่อนลั่น ความร้อนและเปลวเพลิงแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ

    จริงๆแค่พลังก้อนเดียวก็สร้างความวอดวายได้มากแล้ว แต่นี่กลับมีถึงสองก้อน แรงปะทะกันของปราณยกกำลังส่งเสริมให้ความวอดวายยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก แต่ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะดูรุนแรงและร่ายกาจขนาดไหน แต่ในอาณาเขตของทั้งสามคนกลับเงียบสงบ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในจอโทรทัศน์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ดูเลย

     

    และเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เปลวไฟมอดดับ ฝุ่นควันจากการระเบิดเริ่มจางหาย หญิงสาวทั้งสองคนก็เห็นหลุมขนาดใหญ่ตรงหน้าที่ลึกลงไปในหินกว่าสิบเมตร เพดานก็ดูสูงขึ้น เศษหินแหลกละเอียด และเศษเลือดและเนื้อของสัตว์อสูรที่สาดกระจายจนดูไม่ออกว่ารูปร่างที่แท้จริงเป็นอย่างไร

    “โอ้โห! ผมก็ไม่เคยนึกเหมือนกันแฮะ ว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้” ชายหนุ่มหัวฟูพูดออกมาด้วยสีหน้าที่มีแต่เหงื่อไหลอยู่เต็มไปหมด

    แหมะ แหมะ

    เสียงของเหลวอะไรสักอย่างหยดลงพื้น และมันก็กระเด็นเปรอะไปทั่ว

    “คุณแอฟโร!!” เจนนิเฟอร์อุทานออกมาเมื่อหันไปมองทางชายหนุ่มหัวฟูหลังจากรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างกระเด็นใส่ขาเธอ

    “คุณแอฟโร! เป็นอะไรมากมั้ยคะ” ซุยกะก็ตกใจเหมือนกัน เพราะเธอเห็นแล้วว่าแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มหัวฟูขาดกระจุยและมีเลือดไหลโกรกออกมา

    มันคือแรงสะท้อนกลับจากการใช้ปราณยกกำลังยี่สิบ ที่ผ่านมามาตาร์ไม่เคยอัดปราณลงไปเยอะขนาดนี้มาก่อน นอกจากจะอัดไปยี่สิบขั้นแล้วแต่ละขั้นยังอัดปราณลงไปแบบเต็มสองร้อย ทั้งๆที่ปกติจะอัดลงไปขั้นละแค่ห้าสิบเท่านั้นเอง ดังนั้นขณะที่ปล่อยปราณออกมา แรงสะท้อนที่มากมายมหาศาลนั้นจึงฉีกกล้ามเนื้อและกระดูกของมาตาร์จนกระจุยกระจายอย่างที่เห็น

    ซุยกะไม่รอช้า เธอใช้มือของเธอมาแตะที่แขนทั้งสองของมาตาร์ทันทีแล้วใช้พลังรักษาของเธอ

    วูม~~

    เกิดเรื่องที่เหมือนปาฏิหาริย์ขึ้นอีก เมื่อแขนของมาตาร์กลับฟื้นคืนมาราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมากก่อน แถมมันยังรวดเร็วมากอีกด้วย

    “โอ้โห! เวทรักษาระดับสูงเหรอเนี่ย เพิ่งเคยเห็น” มาตาร์เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดจริงๆเมื่อแขนที่ย่อยยับของเขากลับคืนมาเหมือนเดิม

    “ฮูว~ว เรียบร้อยแล้วนะคะ” หญิงสาวผมน้ำตาลส้มเอ่ยออกมาอย่างโล่งใจ

    “ขอบคุณมากคุณ ...ซุยกะ?”

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่ทำการรักษาแขนให้เขาแล้วก็ต้องแปลกใจ

    “เอ๋? คุณซุยกะ?”

    เจนนิเฟอร์ก็เอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะหญิงสาวร่างอวบ ตอนนี้เธอไม่อวบอีกแล้ว แค่กลายเป็นผู้หญิงตัวสูงเฉยๆ หน้าตาเธอดูคมคายขึ้นอีกด้วย

    “อ๋า? เลยมองไม่ชัดเลยทีนี้” ซุยกะเอ่ยออกมาพร้อมกับถอดแว่นตาหนาเตอะของเธอออก

    แล้วทั้งมาตาร์และเจนนิเฟอร์ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าใสของเธอ ทรงผมสีน้ำตาลส้มที่ยาวเป็นลอนเหมือนกับตุ๊กตา ประกอบเข้ากับดวงตากลมโตอันสวยงามสีฟ้า และใบหน้าที่สมส่วน ดูราวกับตุ๊กตาไปจริงๆ

    “ทำไมคุณซุยกะถึง ...เอ่อ เปลี่ยนไปล่ะคะ” เจนนิเฟอร์เอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ ภาพลักษณ์ของหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

    “เปลี่ยนไป? ก็ไม่นี่คะ ซุยไม่เคยเปลี่ยนไปหรอกค่ะ” แม่ตุ๊กตาเดินได้ตอบกลับมาอย่างยิ้มแย้ม รอยยิ้มของเธอทำเอามาตาร์ที่ไม่ค่อยสนใจใครโดนสะกดไปเหมือนกัน

     

    อยากได้ในฮาเร็มมั้ย แบบนี้น่ะ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×