คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #164 : บทที่159: ประสานเสียง
บทที่159 ประสานเสียง
แวบ!
ร่างของชายหนุ่มหัวฟูใส่กางเกงในแนบเนื้อสีขาวที่มีเต่าทองเกาะอยู่บนหัวปรากฏขึ้นมาที่ลานวงกลมที่อยู่ท้ายตลาดของแอตแลนติส
ชายหนุ่มเดินไปหยิบเอาผ้าคลุมยาจกจากถังที่วางเอาไว้ใกล้ๆลานขึ้นมาห่มผืนหนึ่ง แล้วหยิบอีกผืนหนึ่งมาห่มให้เต่าทองของเขา
แล้วร่างของเด็กหญิงผมแดงก็ปรากฏขึ้นมา
“ไม่มีเสื้อผ้าใส่เหรอแอฟโร ทำไมต้องห่มผ้าเอาไว้ด้วยล่ะ” เด็กหญิงถามขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตายนอกเกาะไรเดอร์ ซึ่งปกติที่เกาะไรเดอร์จะมีเสื้อผ้าแบบไร้สีสันให้ใส่ ไม่ใช่คลุมผ้าแบบนี้
“ปกติเวลาตายก็ต้องใช้ผ้าคลุมยาจกนี่แหละเลดี้ การมีเสื้อผ้าให้ใส่ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดนะ” มาตาร์ตอบแม่เต่าทองน้อยโดยพยายามเลี่ยงการพูดถึงเกาะไรเดอร์
แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็เดินนำเด็กหญิงหัวแดงไปที่ร้านตีเหล็ก
“เอ้อน้อง แขนที่พี่ทำตกเอาไว้นี่ ...ขอรับคืนได้มั้ยอ้ะ” มาตาร์พูดกับเด็กสาวพนักงานอย่างเขินๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าประหลาดมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นเหตุการณ์ก่อนตายของมาตาร์ ก็จะต้องคิดว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ จู่ๆก็เอาปืนใหญ่มาจ่อหัวตัวเอง ไม่รู้ว่าคนที่ทำแบบนั้นคิดอะไรอยู่
“จริงๆแล้วแขนที่พี่ทำตกก็เหมือนกับของสาธารณะนะคะ แต่เนื่องจากที่แอตแลนติสนี่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว แขนของพี่ก็ไม่มีใครเอาไปทำอะไรอยู่แล้วเพราะรู้ดีว่ามันเป็นแขนของใคร แถมคนที่แขนด้วนแบบพี่ก็ไม่มีด้วยในแอตแลนติสนี่ จริงๆจะคืนให้ก็ได้แหละค่ะ แต่ว่ามันก็ควรจะมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย หนูว่าพี่อาจจะไม่สบายใจถ้าอยู่ๆก็ได้แขนไปฟรีๆ ถึงจริงๆแล้วพี่จะจ่ายเงินค่าวัตถุดิบกับค่าหลอมก็เถอะ แต่ตอนนี้มันเป็นของของร้านแล้วนะคะ” เด็กสาวพนักงานให้เหตุผลอย่างยืดยาว
“อืม พี่เข้าใจน้อง จะให้ทำภารกิจเพื่อแลกแขนสินะ ว่ามาเลย” มาตาร์ไม่ต่อรองอะไรมากนัก เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ในแขนข้างนั้นแล้ว แค่ให้ทำภารกิจแลกกับแขนก็ถือว่าใจดีมากแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปหาวัตถุดิบตามรายชื่อในกระดาษแผ่นนี้มาให้ครบนะคะ” เด็กสาวพูดพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวหนังสือเขียนเอาไว้เต็มแผ่น
“โห ...มีแต่ชื่อที่พี่ไม่รู้จักแฮะ” มาตาร์รับกระดาษมาแล้วอ่านรายชื่อวัตถุดิบไปสองสามชื่อ
“มันก็อยู่บนแอตแลนติสนี่แหละค่ะ หนูแนะนำให้พี่อ่านกระดาษแผ่นนี้ให้ครบก่อนเพื่อบันทึกเอกสารเอาไว้ เผื่อพี่ทำกระดาษหาย” เด็กสาวกล่าว
“เอ๋? น้องรู้ว่าพี่มีทักษะบันทึกเอกสารด้วยเหรอ” ชายหัวฟูว่า ‘น้องคนนี้ก็มีทักษะสำรวจชั้นสูงเหรอเนี่ย’
“อ้าว! พี่มีหน้าต่างเอกสารอยู่แล้วเหรอเนี่ย จริงๆแล้วภารกิจนี้ก็แจกหน้าต่างเอกสารให้ด้วยนั่นแหละค่ะ แสดงว่าพี่ต้องเคยทำภารกิจหาวัตถุดิบแบบนี้มาแล้วล่ะสิ” เด็กสาวพูดราวกับตาเห็น
“อื้อ ก็เคยแหละนะ” มาตาร์ตอบพร้อมกับเริ่มอ่านรายชื่อวัตถุดิบทั้งหมดทันที
ระหว่างนั้นเลดี้ก็เดินไปเดินมาทั่วร้าน มองดูตรงโน้นที ตรงนี้ที เหมือนกับจะหาของอะไร
“เลดี้หาของอะไรในร้านเหรอ” ชายหนุ่มหัวฟูถามขึ้นมาหลังจากเดินออกมาจากร้านตีเหล็กแล้ว
“หาอาวุธเจ๋งๆน่ะสิ” เลดี้ตอบ
“แล้วเจอที่ถูกใจมั้ยล่ะ” ชายหนุ่มถามกลับอีกที
“ก็มีบ้างแหละ แต่ยังไม่ถูกใจ ตอนนี้ใช้มือเปล่าไปก่อนดีกว่า” เลดี้ตอบกลับ
จริงๆแล้วทั้งคู่คุยกันด้วยรหัสลับ ตอนอยู่ในร้านตีเหล็กนั้นเลดี้มองหาแมงมุมตามจุดต่างๆ เพราะมาตาร์บอกว่ามีแมงมุมแอบดูอยู่ ซึ่งเธอก็หาแมงมุมเจอจริงๆด้วย
เพราะตั้งแต่ที่มาตาร์ไปซ้อมกับเลดี้เมื่อครั้งรอแขนเทียม ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นแล้ว เขาใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วไปพรร้อมๆกับพลังสมาธิเพ่งดูไปทั่วบริเวณแล้วก็พบว่ามันมีแมงมุมอยู่เยอะแยะตามที่ต่างๆ ซึ่งออกจะเยอะเกินไปหน่อย
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเกมจ็อคออนไลน์นี้เป็นสมองเทียม ไม่ว่าจะเป็นแมลงที่มีขนาดเล็กแค่ไหน สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติจึงไม่ค่อยมีมากนัก ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในบริเวณอาณาเขตของตัวเองมากกว่า อย่างแมลงก็จะอยู่ในป่าแมลง การที่มีแมงมุมเพ่งพ่านอยู่ในแอตแลนติสโดยไม่มีแมลงชนิดอื่นอยู่เลยเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะถ้ามีแมงมุมอยู่ น่าจะมีสัตว์เล็กๆชนิดอื่นอยู่บ้าง อย่างเช่นมดหรือปลวก แต่มาตาร์เห็นแต่แมงมุมเท่านั้น ไม่เห็นสัตว์อย่างอื่นเลย ซึ่งเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาเห็นแมลงเล็กๆนี้อยู่ในเมือง ขนาดเขาอยู่บนเกาะไรเดอร์มาทั้งเดือนยังไม่โดนยุงกัดสักตัวเลย แมงมุมนี้เป็นสิ่งผิดธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มจึงได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่แอบดูเขาอยู่คือแมงมุมนั่นเอง
“งั้นก่อนอื่นเราไปเอาของจากร้านรับฝากนะ แล้วค่อยไปลุยพวกสัตว์อสูรดูเลย” มาตาร์บอกเป้าหมายต่อไปให้เลดี้รับรู้
นอกจากนี้มาตาร์ยังต้องไปรับภารกิจปลดจำกัดใหม่ด้วย แต่ต้องเก็บระดับของตัวละครทั้งหมดให้เต็มร้อยก่อน ซึ่งตอนนี้มีตัวหารค่าประสบการณ์ทั้งหมดสี่คนคือ เลดี้ สไลปนีร์ เดียมอน และตัวเขาเอง
และแล้วหลังจากแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว โดยทั้งแลดี้และมาตาร์ต่างก็มีผลึกเวทไฟกันคนละก้อนด้วย ทั้งคู่ก็เดินมาถึงประตูขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่พื้นที่สัตว์อสูรของแอตแลนติส
“ตื่นเต้นจังเลยแอฟโร เลดี้ยังไม่เคยสู้แบบจริงๆจังๆมาก่อนเลย” แม่เต่าทองน้อยพูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นประตูถ้ำนั้น
ที่ผ่านมาหลังจากที่ออกมาจากเกาะไรเดอร์แล้ว เลดี้ก็ผจญภัยในโมบี้ดิ๊กทันที แต่ก็ไม่ได้สู้กับใครเลยเพราะมีเรย์น่าเป็นคนสู้ตลอด สิ่งที่เธอทำก็มีแค่ปล่อยพิษใส่ศัตรูเป็นบางครั้งเท่านั้น แต่ยังไม่เคยสู้โดยใช้วิชาต่อสู้มาก่อนเลย
“ทำใจให้สบายเลดี้ มีพี่คอยช่วยอยู่แล้วไม่ต้องกลัวนะ” มาตาร์ให้กำลังใจเต่าทองของเขาพร้อมกับเปิดประตูเขาไปสู่พื้นที่สัตว์อสูรทันที
แอ๊ด~ด ตึง!
ประตูปิดเองโดยอัตโนมัติหลังจากที่ชายหนุ่มและเด็กหญิงเดินเข้ามาข้างในถ้ำแล้ว
ชายหนุ่มขยายสัมผัสขึ้นมาและรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของสัตว์อสูรโดยรอบทันที
เขี้ยวลากดิน | ระดับ 120 | พลังชีวิต 5000/5000 | พลังวิญญาณ 3000/3000 |
มาตาร์สำรวจไปทั่วๆก็เห็นว่ามีสัตว์อสูรที่มีลักษณะเป็นสัตว์สี่เท้า ลำตัวผอมเกร็ง มีหัวกลมๆแล้วก็มีเขี้ยวยาวออกมาจากปาก ท่าทางดุร้าย ลำตัวสีดำๆทึมๆกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ และที่สำคัญคือมันอยู่กันเป็นฝูงเสียด้วย
ระดับของสัตว์อสูรที่สูงถึงร้อยยี่สิบนั้นถือว่าต่ำที่สุดในแอตแลนติสแล้ว เนื่องจากแอตแลนติสนี้ไม่ใช่เมืองสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ ผู้เล่นบางคนเล่นเกมมาเป็นร้อยปีก็ยังไม่เคยเห็นหรือรับรู้ว่ามีเมืองลอยน้ำอย่างแอตแลนติสอยู่ด้วยซ้ำ การที่ผู้เล่นใหม่อย่างมาตาร์เข้ามาในแอตแลนติสได้ถือว่าผิดปกติอยู่พอสมควร และยิ่งระดับตัวละครที่สูงไม่ถึงร้อย ถ้าเป็นผู้เล่นทั่วไปมาติดอยู่ที่นี่คงจะต้องขอให้ผู้เล่นคนอื่นช่วยเหลือไปแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะเขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้เล่นคนอื่นอยู่แล้ว และแค่อสูรระดับร้อยยี่สิบเป็นฝูงเนี่ย เขาเคยเจอมาแล้วตอนผจญภัยในร่างของโมบี้ดิ๊ก
‘อืม เห็นพลังชีวิตกับพลังวิญญาณด้วยแฮะ อย่างนี้ก็พอจะประมาณได้ว่าเมื่อไหร่มันจะตาย สะดวกดีแฮะคำสั่งสำรวจที่อัพเกรดแล้วเนี่ย’ มาตาร์วางแผนการต่อสู้ทันทีที่เขาสำรวจเหล่าเขี้ยวลากดินพวกนี้แล้ว
ตึงง!!
มาตาร์ปล่อยหมัดยกกำลังลงพื้นทีหนึ่งจนพื้นที่เป็นหินแตกออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วก็หยิบเอาหินก้อนขนาดพอดีมือขึ้นมาสองก้อนแล้วส่งให้เลดี้
“เลดี้ใช้หินโจมตีนะ นอกจากจะโจมตีแรงขึ้นแล้วยังได้ฝึกค่าพลังกายด้วย ...แล้วก็หมั่นใช้สมาธิบ่อยๆล่ะ ไม่ต้องกลัวหมด” มาตาร์ไม่ลืมเรื่องเล็กๆน้อยๆในการพัฒนาค่าสถานะให้น้องสาวของเขา
เฟี้ยว!
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มหัวฟูก็หายไปจากสายตาของเด็กหญิงทันทีแล้วไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขี้ยวลากดินตัวหนึ่ง
ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!
หมัดฟ้าแลบที่ทั้งรวดเร็วและรุนแรงกระแทกเข้าไปที่ร่างของเจ้าสัตว์อสูรตัวผอมทันที แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อจริงๆแล้วชายหนุ่มใช้ปราณยกกำลังที่อัดกันห้าชั้นกระแทกใส่ไปด้วย ส่งผลให้เจ้าสัตว์อสูรตัวกระตุกติดๆกันห้าครั้งทันที
ตูมม! เพละ!
แล้วร่างของเจ้าสัตว์อสูรก็ระเบิดออกมาจากภายในพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่สาดกระจายไปทั่ว
หมัดยกกำลังห้าชั้นนี้ถือเป็นหมัดมาตรฐานของมาตาร์ไปแล้ว เมื่อการถ่ายปราณใส่นิ้วทั้งห้านั้นไม่ต้องเสียเวลามากมายนัก โดยแบ่งปราณใส่นิ้วอย่างสิบหน่วยเท่านั้นเพื่อความรวดเร็ว แล้วจังหวะที่กระทบเป้าก็ใช้ปราณร้อยหน่วยเป็นตัวส่ง ซึ่งปราณส่งสุดท้ายนี้ถือเป็นพื้นฐานค่าพลังโจมตี แล้วปราณที่แตกตัวออกมาอีกห้าครั้งก็จะขยายกำลังของปราณนี้ออกไปอีกห้าชั้น ซึ่งจากปราณก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่แตกตัวเหมือนเป็นหมัดรัวที่แรงขึ้นเรื่อยๆในทุกจังหวะ ซึ่งจังหวะสุดท้ายอาจจะแรงกว่าจังหวะแรกถึงเท่าตัว
ถือว่าเป็นท่าไม้ตายที่ให้ผลลัพธ์เกินจากค่าพลังพิเศษที่ใช้ตามปกติมาก เพราะการแบ่งร่างกายเป็นส่วนๆเพื่อเก็บปราณนั้นถือเป็นเทคนิคที่ทำได้ยากมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดออกมาได้ หรือถึงแม้จะคิดออกมาได้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ถ้ามาตาร์ไม่โดนทรมานอยู่ทุกคืนก็คงไม่คิดวิธีใช้พลังออกมาแบบนี้เหมือนกัน
‘อืม แรงเกินไปแฮะ อย่างนี้ก็ส่งไปให้เลดี้ฝึกไม่ได้น่ะสิ’ มาตาร์คิดขึ้นมาแล้วรีบพุ่งไปยังเขี้ยวลากดินตัวต่อไปทันที
ปึ้ก! กร็อบ!
มาตาร์เข้าประชิดตัวเขี้ยวลากดินอีกตัวหนึ่งแล้วใช้ส้นเท้ายันไปที่ข้อพับที่ขาหน้าจนมันหักไปทันที
ชายหนุ่มหัวฟูเปลี่ยนจากการโจมตีด้วยหมัดมาเป็นใช้เท้าแทน เพราะจะได้ฝึกการต่อสู้แบบอื่นด้วย เขายังไม่ลืมว่ามีน้องสาวอีกสามคนที่มีสไตล์การต่อสู้ไม่เหมือนกันเลย และเขาต้องทำให้ได้ทุกสไตล์เพื่อเวลาใช้ประสานวิญญาณกับพวกเธอแล้วจะได้เคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับสไตล์ของแต่ละคน
ผัวะ!!
ตามด้วยการเตะอย่างรวดเร็วจนเจ้าอสูรร่างผอมลอยขึ้นมา
ปึ้ก! กร็อบบ!!
แล้วตามด้วยการสะบัดส้นเท้าใส่ซี่โครงจนหักก่อนที่ร่างของเจ้าสัตว์อสูรผู้โชคร้ายจะกระเด็นไปทางเด็กสาวผมแดงด้วยอาการร่อแร่
ฟุบ! ฟุบ! ปึ้ก! ปึ้ก! ปึ้ก!
เลดี้เข้าใจทันทีว่าเจ้านายของเธอส่งสัตว์อสูรร่อแร่มาให้เธอฝึก เธอรัวหมัดด้วยเคล็ดไร้เงาใส่เจ้าเขี้ยวลากดินนั้นทันที แต่ระดับของเลดี้นอกจากจะน้อยแล้ว ค่าสถานะก็ต่ำมากอีกด้วย สัตว์อสูรที่อาการร่อแร่นี้จึงไม่ตายในทันที
แฮ่!!
เขี้ยวลากดินที่ร่างกายทรุดโทรมนั้นคำรามออกมาทีหนึ่งพร้อมกับพยายามจะงับใส่ร่างของเด็กหญิงผมแดงไปด้วย แต่เด็กหญิงผมแดงก็หลบได้อย่างง่ายดายด้วยเคล็ดไร้เงา แล้วก็โจมตีเจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นต่อไป
จนกระทั่งเขี้ยวลากดินตัวนั้นตายในที่สุด
“แฮก! แฮก!” เลดี้หอบออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะเธอใช้พลังไปเยอะมากในการฆ่าสัตว์อสูรที่มีระดับมากกว่าเธอถึงสามสิบขั้น ‘ไม่เหมือนเวลาใช้พิษเลยแฮะ ทำไมมันตายยากจังเลยอ้ะ’
“เลดี้ไหวมั้ย!” มาตาร์ตะโกนถามขึ้นมา ระหว่างนั้นเขาก็คอยเข้าไปก่อกวนเขี้ยวลากดินไม่ให้มันเข้ามาใกล้เต่าทองของเขา โดยการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแล้วโจมตีตอดเล็กตอดน้อย หักขาบ้าง หักเขี้ยวบ้าง หักซี่โครงบ้าง แต่ก็ไม่มีเขี้ยวลากดินตัวไหนตายเลย เพราะเขากะเอาไว้แล้วว่าจะให้น้องสาวของเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะต้องเสียเวลาไปเท่าไหร่ก็ตาม
เลดี้กับสามสาวนั้นใช้เวลาพัฒนาความสามารถในการต่อสู้แตกต่างกัน เมื่อสามสาวของมาตาร์เติบโตขึ้นมาจากเกาะเริ่มต้นที่มีศัตรูระดับต่ำ และค่อยๆเรียนรู้การต่อสู้ทีละน้อยผ่านความเจ็บปวดหลายครั้ง ขณะที่เลดี้นั้นเกิดมาด้วยความสามารถที่สูงอยู่แล้ว แต่กลับขาดประสบการณ์ในการใช้งาน การต่อสู้อะไรก็ไม่เคยฝึกจริงๆจังๆมาก่อนจนเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง มาเจอศึกแรกก็เจอศัตรูที่สูงกว่าสามสิบขั้นแล้ว ทำให้เธอใช้ค่าสถานะและปราณจนหมดเกลี้ยงไปเลย
“ไหวค่ะ!” เลดี้ฝืนตอบกลับไปทั้งๆที่เธอแทบจะขยับไม่ไหวแล้ว
ถ้ามาตาร์คาดเข็มขัดไรเดอร์แล้วผนึกเลดี้เอาไว้ก็คงช่วยให้เธอฟื้นพลังได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขาถูกจับตาดูอยู่ เรียกเข็มขัดออกมาไม่ได้ ดังนั้นเลดี้จึงต้องพึ่งตัวเองในที่สุด
ผัวะ! กร็อบ! พลักก!
เขี้ยวลากดินที่ถูกหักแขนหักขาอีกตัวหนึ่งลอยมาตกลงตรงหน้าเด็กหญิง
โฮกก!!
มันคำรามขู่ขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้า ที่กำลังจะเข้ามาโจมตีมัน
ฮูมม! พล็อกก!
เขี้ยวอันแหลมคมของสัตว์อสูรสีดำง้างเข้ามาหาเด็กหญิง ซึ่งเธอก็ไม่ได้หลบแต่อย่างใด แต่กลับสวนก้อนหินเข้าให้ที่เขี้ยวของมันจนหักไปทันที
โฮกก!!
สัตว์อสูรร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมกับพยายามถอยตัวออกไปทันที แต่เนื่องจากขาของมันหักไปแล้วสองข้างทำให้มันเคลื่อนที่ได้เชื่องช้ามาก
พล็อกก!! พล็อกก!! พล็อกก!!
แล้วก้อนหินก็ระดมเข้าไปในปากของเขี้ยวลากดินจนฟันของมันหักไปทีละซี่ เด็กหญิงผมแดงรวบรวมปราณอันน้อยนิดแล้วปล่อยออกมาเฉพาะในช่วงเวลาที่เอาหินกระแทกฟันสัตว์อสูรเท่านั้น โดยบีบปริมาณให้น้อยที่สุดเพราะเธอมีปราณเหลืออยู่น้อยนิดเท่านั้นเอง การโจมตีทุกครั้งเธอต้องใส่ใจอย่างมาก ต้องบังคับปราณให้ละเอียดมากๆ เพราะเธอทำพลาดไปจากการจัดการเจ้าเขี้ยวลากดินตัวแรก
ปั้ก! ปึ้กก! ฮูมม!!
แล้วเลดี้ก็ซัดหินเข้าไปที่เบ้าตาทั้งสองข้างของสัตว์อสูรจนตามันบอดไปทั้งสองข้างก่อนจะกระโดดถอยออกมา
“แฮก! แฮก!” เลดี้ยืนหอบอยู่หลังจากที่เธอทำลายดวงตาของเป้าหมายแล้ว
‘อืม เล่นงานจุดอ่อนเหรอ ใช้ได้แฮะ’ มาตาร์คิดขึ้นมาหลังจากเห็นวิธีต่อสู้ของเลดี้ เขาคอยดูค่าสถานะของเลดี้เอาไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงรู้ว่าสถานการณ์ของเลดี้ขณะนี้เป็นอย่างไร เขารู้ว่าเลดี้ฝืนพูดออกมาเมื่อเขาถามว่า ‘ไหวมั้ย’ แต่เมื่อเธอตอบว่าไหว เขาก็ต้องส่งสัตว์อสูรไปให้เธอเพื่อทดสอบ แต่ก็คอยระวังเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันเอาไว้ด้วย
ปึ้ก! ปึ้ก! โฮกกก!!
หลังจากแม่เต่าทองน้อยพักสักครู่ เธอก็โจมตีเข้าไปที่เจ้าสัตว์อสูรตาบอดนั่นอีก จนในที่สุดมันก็ตายลงไปจนได้
“เลดี้พักหน่อยดีกว่านะ” มาตาร์พูดขึ้นมาเรียบๆพร้อมกับชูแขนซ้ายมาแตะหน้าผากตัวเองทันที ‘อืม ความยาวคลื่นอันไหนนะ’
มาตาร์ใช้แขนซ้ายซึ่งมีผลึกวิญญาณอยู่มาสัมผัสใบหน้าเพื่อใช้แปลงความยาวคลื่นของพลังพิเศษได้เร็วขึ้น เพราะเขาเทียบความยาวคลื่นได้ง่ายจากความรู้สึกตอนสวมหน้ากากวิญญาณนั่นเอง
วืด! แกร็ก!
แล้วทันใดที่ชายหนุ่มหัวฟูสะบัดแขนซ้ายลง หน้ากากวิญญาณสีขาวล้วนมีมุมแหลมเล็กน้อยบริเวณจมูกก็โผล่ออกมาคลุมหน้าของเขาเอาไว้ทันที พร้อมกับสีผมที่เปลี่ยนเป็นสีสนิม
“ฮ่าๆๆๆๆ”
แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นเมื่อเดียมอนก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน
‘อะไรเนี่ย!! คราวที่แล้วมันยังไม่ตื่นเลยไม่ใช่เหรอ’ มาตาร์คิดขึ้นมาอย่างตระหนก
สาเหตุมันมาจากการพัฒนาตัวเองของเดียมอนนั่นเอง เจ้าอสูรสุดเกรียนพัฒนาตัวเองให้สามารถรับพลังพิเศษที่ความยาวคลื่นเปลี่ยนไปได้ ขอบเขตของมันขยายขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่มาตาร์เปลี่ยนความยาวคลื่นเลยทีเดียว
‘โธ่เว่ย! ถ้างั้นก็ต้องตามน้ำไปกับมันก่อนล่ะ อยู่ๆจะถอนพลังออกไปพวกแมงมุมต้องรู้สึกผิดสังเกตแน่ๆเลย’
“ฮ่าๆๆๆๆ” มาตาร์หัวเราะออกมาทันทีที่คิดได้ ในเมื่อเจ้าเดียมอนหัวเราะออกมาแบบชั่วร้าย เขาก็ต้องชั่วร้ายเหมือนกันนั่นแหละ จะได้ดูกลมกลืน แต่แล้วเมื่อเขาหัวเราะไปเรื่อยๆ ‘เอ่ ...หัวเราะแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนี่หว่า ฮ่าๆๆๆ’
ครืด~~ด ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
เขี้ยวธรณีเล็กๆสายหนึ่งวิ่งออกมาจากปลายเท้าของมาตาร์แล้วตรงเข้ากรีดร่างของพวกเขี้ยวลากดินที่บาดเจ็บอยู่จนมันขาดเป็นส่วนๆทันที
แม้ว่าระดับของมาตาร์จะมีน้อยกว่าศัตรูถึงสามสิบขั้น แม้ว่าจะใช้พลังวิญญาณในการปล่อยเพียงน้อยนิด แม้ว่าค่าสถานะจิตใจจะถูกจำกัดเอาไว้ แต่ความเข้มของพลังนั้นมีมากกว่าปกติถึงสิบสามเท่าจากทักษะเสริมเวท ส่งผลให้เขี้ยวธรณีโจมตีได้รุนแรงกว่าเมื่อก่อนถึงแม้ว่าจะใช้พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“ฮ่าๆๆๆๆ” มาตาร์หัวเราะประสานเสียงกับเดียมอนพร้อมๆกับขยับแขนซ้ายไปมาไม่หยุด ‘แกไอ้บ้า!! อยู่เฉยๆไม่เป็นเหรอฟะ ทำไมต้องขยับไปมาตลอดเวลาด้วยเนี่ย’
กรึก!
แล้วมาตาร์ก็เรียกหัตถ์พระเจ้าข้างขวาขนาดเท่าแขนจริงออกมาแล้วตั้งท่าเหมือนจะเหวี่ยงหมัดไปรอบๆ เมื่อพวกเขี้ยวลากดินทั้งหลายที่มีท่าทางตะเกียกตะกายยืนล้อมทั้งมาตาร์และเลดี้เอาไว้
“ลาริอัตแอ็ทแท็ก!!” เจ้าเดียมอนชิงตะโกนชื่อท่าออกมาก่อนทันที
พลัก! พลัก! พลัก! พลัก!
แล้วหัตถ์กระเจ้าก็ถูกเหวี่ยงเป็นวงอย่างรวดเร็ว ท่อนแขนพลังจิตของมาตาร์ซัดเอาพวกเขี้ยวลากดินกระเด็นออกไปตามๆกัน ก่อนที่พลังวิญญาณของชายหนุ่มจะหมดลง
แล้วพวกเขี้ยวลากดินทั้งฝูงกว่ายี่สิบตัวก็ตายตกไปตามกันจนหมด
“ผู้เล่นมาตาร์สังหารเขี้ยวลากดินระดับ 120 ได้รับค่าประสบการณ์ 525 ระดับตัวละครเลื่อนเป็น 100 ค่ะ” เสียงจากระบบดังขึ้นต่อเนื่องจนในที่สุดระดับของเขาก็กลับมาเป็นหนึ่งร้อยเหมือนเดิม
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
แล้วเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายของชายหนุ่มหัวฟูก็ดังขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีหน้ากากวิญญาณสวมอยู่ หรือแม้วี่แววของเจ้าอสูรสุดเกรียนเลย ดูท่าทางเขาจะติดใจการหัวเราะแบบนี้เข้าให้แล้ว
“เอ้า! เลดี้ไปพักกันก่อนเถอะ เดี๋ยววางแผนแล้วค่อยมาลุยใหม่อีกรอบนึงนะ” มาตาร์หยุดหัวเราะแล้วหันมาพูดกับเด็กหญิงผมแดงที่มีท่าทางเหนื่อยอ่อน
“อื้อ” เลดี้ขานรับออกมาเรียบๆ
แล้วหลังจากนั้นมาตาร์และเลดี้ก็เดินกลับเข้าไปในอาคารของระบบเพื่อไปรับภารกิจปลดจำกัดระดับร้อยใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โรคจิตวันละนิด
ความคิดเห็น