ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF [jungsoo x Heechul]

    ลำดับตอนที่ #2 : Love story รักนี้มีแค่ฉันกับนาย (end)

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 61


    Title    :         Love story รักนี้มีแค่ฉันกับนาย

    Paring  :         Park Jeong-su x Kim Hee-chul

    Author :         Kunna1992    




     

     

    อยู่ใกล้กันเพียงแค่เอื้อมมือนี้        แต่ก็เหมือนเดิมทุกทีอยู่ไกลจากฝัน

    เธอมองข้ามปฏิเสธความสัมพันธ์              สถานะเดียวที่เธอให้ฉันคือเพื่อนเสมอมา

    ทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้มให้ใครต่อใคร              เธอจะรู้บ้างไหมว่าข้างในหัวใจมันรู้สึกอิจฉา

    เจ็บปวดทุกครั้งที่เธอบอกเอือมระอา         เก็บซ่อนน้ำตาไว้ร้องไห้เพียงลำพัง

    ยิ่งรัก เป็นฉันเองที่ยิ่งเจ็บ                     ความทรมานถูกเก็บซ่อนไว้เบื้องหลัง

    ร่ำร้องอ้อนวอนยังไงเธอก็คงไม่ฟัง             เจ็บจัง....เพราะรักเธอข้างเดียว     

     

                                                              Kunna_pui (04/05/2560)

     

    Part : Kim hee-chul

     

    พระเจ้าครับ

              รักแท้นั้นมีจริงหรือเปล่าครับ?

     

             

              พระเจ้าครับ

              ถ้าหากรักแท้มีจริงแล้วผู้ชายกับผู้ชายสามารถรักแล้วแต่งงานกันได้หรือเปล่าครับ?

     

    .

    .

    .

     

              พระเจ้าครับ

              ผิดหรือเปล่าที่ผมชอบผู้ชาย ผมเป็นตัวประหลาดหรือเปล่าครับ?

     

              .

              .

              .

     

              พระเจ้าครับ

              หรือผมมันจะเป็นตัวประหลาดจริงๆ

     

     

    Korea ปี 20XX

     

    หากการรักใครซักคนนำมาซึ่งความเจ็บปวดแล้วละก็.....

    ผมยินดีที่จะโอบกอดความเจ็บปวดนั้นเอาไว้

    เพราะอย่างน้อย....ผมก็ยังได้รู้ว่าคนที่ผมรัก

    .......มีตัวตนอยู่จริง.

     

              หน้าหนาวผ่านไปกี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวผมไม่เคยใส่ใจมันเลย

    อันที่จริง ผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก

    เพราะสิ่งเดียวที่ผมสนใจ

    สิ่งเดียวที่อยู่ในความทรงจำ

     

    .

    .

    .

     

    คือ...เขา?

     

     

    คิมฮีชอล ดาราใหญ่แห่งจักรวาล

     

    ซินเดอเรลล่า เจ้าหญิงที่เกิดมาเพื่อจะเป็นของเจ้าชายเพียงคนเดียวเท่านั้น

     

    จริงอยู่ว่าในสายตาของคนอื่นผมอาจดูเหมือนเป็นคนร่าเริง ไม่แคร์ใคร แต่ถ้าหากคุณรู้จักตัวตนของผมจริงๆแล้วละก็ คุณจะรู้ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นแม้แต่เพียงนิด

     

    แต่ถ้าจะให้พูดมันทั้งหมดแล้วละก็ ผมคิดว่า พวกคุณอาจจะหมั่นไส้ผมไปเลยก็ได้

     

    คึคึ....

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนอื่นที่กำหนดให้ผมสร้างบทบาทที่พวกเขาต้องการขึ้น ก็เหมือนกับเรื่องของผมและฮันกยอก.....

     

    We are love hanchul

     

    ประโยคที่ผมต้องฟังมันซ้ำๆวนเวียนอยู่ในหูและเหมือนกับจะฝังลึกอยู่ในห้วงของความทรงจำของผมไปแล้ว และคงยากที่จะลบเลือนมันออกไปจากสมองได้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนประโยคนี้ก็มักจะดังเข้าหูผมเสมอ แม้กระทั่งหน้าจอสี่เหลี่ยม หรือในความฝันมันก็ยังตามมาหลอกหลอน

     

    แต่ถึงอย่างนั้นมันทำให้ผมอดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เอลฟ์สามารถยิ้มได้ จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเล่นบทบาทของคู่รัก แต่มันก็ไม่ได้ยากหากผมได้พยายามลงมือทำมันอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าความจริงแล้วมันจะสร้างบาดแผลให้กับใครมากมายก็ตาม

     

    ฮันเกิง หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ฮันกยอก เขาเป็นรุ่นน้องชาวจีนที่ผมสนิทด้วยมากคนหนึ่งรองจากลีดงเฮ และคิมคิบอม ฮันกยอกเป็นคนที่มีความสามารถมาก บวกกับหน้าตาหล่อเหลาทำให้เขามีโอกาสได้เข้ามาเป็นเด็กฝึกในค่าย SM เหมือนกับผมและหลายๆคนที่อยู่ที่นี่.

     

    ยอมรับว่าตอนแรกผมไม่ค่อยถูกชะตากับเขาเท่าไหร่ แต่ก็มีเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้ผมต้องย้ายหอออกมาอยู่กับฮันกยอกตามคำสั่งของประธานบริษัท ด้วยเหตุผลที่ว่าฮันกยอกเป็นชาวจีนและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคนดูแล และคนที่ถูกเลือกคนนั้น คือผมเอง.....

     

    ผมไม่ได้เสียใจที่เป็นคนถูกเลือกให้รับหน้าที่นี้ แต่ผมกลับคิดว่านั่นเป็นโอกาส โอกาสที่จะทำให้คนอีกคนรู้สึกตัวบ้าง

     

    ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง...เพื่อเขา เผื่อว่าบางทีเขาจะหันมามองที่ผมบ้าง......

     

              “ผมชอบผู้หญิงผมยาว”

     

    ประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหู กับบทสัมภาษณ์ของนิตยาสารเล่มหนึ่ง จากคนๆนั้น ทำให้ตลอด 5 ปี ผมไม่เคยคิดที่จะตัดผมเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว เพียงเพราะว่าคนๆนั้นชอบมัน แต่หลังจากนั้นผมก็เลิกไว้ผมยาว ไม่ใช่เพราะเลิกชอบเขา แต่เป็นเพราะว่าผม จึงทำให้ยุนโฮกับแฟนต้องทะเลาะกันถึงขั้นต้องหยุดความสัมพันธ์เลยทีเดียว ผมเสียใจที่มันเกิดเรื่องนี้ขึ้น และผมก็เสียใจมากที่ต้องเลิกไว้ผมยาวอย่างที่คนๆนั้นชอบ แต่เพื่อจบทุกอย่างมันก็คงดีถ้าผมจะตัดผมทิ้ง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้อีก

     

              “ผมชอบเจ้าหญิงที่สวย.....และสูงศักดิ์”

     

    เจ้าหญิง?

     

    อย่างผมจะเป็นเจ้าหญิงได้ยังไง

     

    ก็ในเมื่อผม...ผมน่ะ

     

    เป็นผู้ชายนะ!!!!

     

     

    ถึงผมจะคิดแบบนั้น แต่ร่างกายกลับพยายามทำตัวให้เหมือนกับเป็นเจ้าหญิงอย่างที่เขาอยากให้เป็น

     

     

    .....แต่สุดท้ายก็เปล่าเลย เขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม....

     

    นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า.....

     

    ผมกับเขาคงต่างกันเกินไปจริงๆ......

     

     

    วันหนึ่งประธานอีซูมานเรียกผมเข้าไปพบ ใบหน้าดูเคร่งขรึม จนผมไม่กล้าที่จะแหย่อีกฝ่ายเล่นเหมือนอย่างเคย ประโยคต่างๆพลั่งพูออกมาอย่างคนที่อัดอั่น ผมเพียงแต่รับฟังอย่างเงียบๆ ในหัวมันขาวโพลนไปหมด

             

              “ผมอยากให้ Super junior เป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะไอดอลที่มีความสามารถ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่คุณเสนอมา”

              “งั้นแปลว่าคุณจะไม่ทำใช่ไหม”

              “ใช่ครับ....ผมไม่อยากทำ”

              “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้อีทึกเป็นคนทำ แม้ว่ากระแสมันจะน้อยกว่า แต่ผมเชื่อว่าอีทึกเต็มใจที่จะทำแทนคุณ”

              “ทำไมต้องเป็นอีทึก”

              “เพราะอีทึกเป็นลีดเดอร์...เขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Super junior

              “ไม่!...ผมจะทำ...ผมจะทำเอง”

     

    วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แผนการของ SM. ไม่สิ ประธานอีซูมาน เป็นไปตามคาด Super junior โด่งดังและเป็นที่รู้จักทั่วโลก พร้อมกับกระแส HunChul โดยเฉพาะในประเทศจีน

     

    จริงๆมันควรจะเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทางการตลาดเท่านั้น แต่มันก็เริ่มเลยเถิดจนยากที่จะกลับไปแก้ไขได้

     

              “ฮีชอล.....มันถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะบอกนาย....ฉันชอบนาย....ชอบมากจริงๆนะ”

              “อย่าเพิ่งเลยฮันกยอก....ฉันอาจทำนายเสียใจ”

              “นายมีคนในใจแล้วเหรอ”

              “ขอโทษนะ...มันยังไม่ใช่ตอนนี้”

     

     ผมปฏิเสธฮันกยอกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพราะผมไม่อยากสร้างบาดแผลให้กับเขา ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้กับคนที่ผมรักที่สุด แต่คำตอบที่ผมได้รับทำให้ผมผิดหวังและเสียใจกับมันมาก ผมจึงตัดสินใจคบกับฮันกยอกเพื่อหวังว่ามันจะทำให้ผมลบความเจ็บปวดออกไปได้

     

    ฮันกยอกดีกับผมมากจริงๆ ดีจนผมไม่กล้าที่จะพูดกับเขาไปตรงๆว่าที่ผมทำมาทั้งหมด ผมเพียงแค่ทำประชดใครบางคนเท่านั้น ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่ได้รักเขาแบบคนรัก แต่ผมมันขี้ขลาดเกินไป ผมขี้ขลาดจริงๆนั่นแหละ  

             

              นายมันคนขี้ขลาดคิมฮีชอล!

     

              เฮ้อ.....

     

              .

              .

              .

     

                        “ฮีชอล...คิมฮีชอล นี่นายฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่าห๊ะ”

              ผมสะดุ้ง ก่อนจะตั้งสติหันหน้าไปมองคนที่เรียกชื่อของตัวเองอย่างสนิทสนม

                        “วะ...ว่าไงฮันกยอง”

     

              ร่างสูง ผมสีทอง ดวงตาคมกริบ ผละจากกระเป๋าเดินทางที่ตัวเองพยายามจะยัดเสื้อกันหนาวตัวหนาลงไปเดินมาหยุดแล้วนั่งลงข้างๆผม มือหน้าจับใบหน้าผมให้เงยขึ้นมาสบตา

                        “ฉันถามว่าพรุ่งนี้ฉันไปจีนนายจะคิดถึงฉันหรือเปล่า” ฮันกยองจ้องตาผมอย่างรอคำตอบ แต่เป็นผมเองที่ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

                       “ว่าไง....คำตอบละ” ฮันกยองเซ้าซี้ถามอีกครั้ง

              ผมพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยพูด

                        “คิดถึงสิ ก็นายเป็นแฟนฉัน ฉันก็ต้องคิดถึงนายสิ” ผมตอบกลับไปทำให้ฮันกยองยิ้มอย่างพอใจก่อนจะดึงผมเข้ามาปะกบจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม แต่ก็ต้องถูกขัดจังหวะเมื่อใครบางคนเปิดประตูเข้ามา ผมกับฮันกยองผละออกจากกัน ฮันกยองมีสีหน้าเซ็งเล็กน้อย

                       “ขอโทษที่มาขัดจังหวะ” น้ำเสียงราบเรียบเสียจนไม่รู้ว่ากำลังคิดหรือว่ารู้สึกอะไรอยู่

                       “ไม่เป็นไรหรอก พี่อีทึกมีอะไรหรือเปล่าครับตอนนี้ผมกำลังจัดของอยู่พอดี” ฮันกยอกยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินไปจัดกระเป๋าต่อ

              ผมไม่รู้ว่าควรจะเอาสายตาของตัวเองไปวางไว้ที่ไหน ก็เลยจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่ตอนนี้มีตัวหนังสือมากมายที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิด

     

    ฟิค 83line

     

              ใช่มันก็แค่ความคิด เพราะความเป็นจริงแล้วเราไม่มีโมเม้นต์ที่อยู่ร่วมกันเลย ถ้าเขาอยู่ข้างซ้ายผมก็จะอยู่ข้างขวา ถ้าเขาอยู่ข้างหน้า ผมก็จะอยู่ข้างหลัง เราไม่เคยได้ออกไปทำกิจกรรมด้วยกันแค่สองคน อีทึกเป็นคนที่มีเหตุผลเสมอ แต่กับผมแล้วผมไม่เคยแคร์ความรู้สึกใครเลย เราสองคนมันต่างกันเกินไปจริงๆนั่นแหละนะ

     

                       “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากหรอก แต่แค่จะบอกว่าพรุ่งนี้ฉันคงไปส่งนายไมได้ นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

              ฮันกยองพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ แต่ก็อดที่จะแอบอมยิ้มไม่ได้อย่างรู้ทันอีกฝ่าย

     

                       “ไม่เป็นไรครับผมรู้ว่าทุกคนตารางงานแน่น อีกอย่างพรุ่งนี้ฮีชอลจะไปส่งผมที่สนามบินพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

     

              แว๊บหนึ่งที่อีทึกตวัดตามามองผม

     

    “งั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยก็แล้วกันนะ” อีทึกบอกก่อนจะหันตัวกลับออกไปแต่ก็ต้องซะงักเมื่ออีกประโยคหนึ่งดังตามหลังขึ้นมา

    “ว่าแต่ว่าที่พี่ไม่ว่างไปส่งผมนี่เพราะตารางงานไม่ว่างหรือเพราะมีนัดกับโซระครับ”

              อีทึกหันมายกยิ้มที่มุมปาก

    “คำตอบของคำถามที่นายถามนายก็น่าจะรู้มันดีนะ ฉันไปละ พวกนายก็รีบนอนซะ”

    ประโยคที่อีทึกพูดทำให้ผมนึกโมโหอยู่ในใจ แต่คนอย่างผมมีสิทธิ์อะไรกัน ใช่! ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธหรือไปโมโห เพราะเรามันก็เป็นได้แค่เพื่อนที่เคยสนิทกันก็เท่านั้น

    “เดี๋ยวฉันมานะฮันกยอง”

              ผมตัดสินใจเดินตามอีทึกออกมาจากห้อง

    “อีทึก...อีทึก นี่ปาร์คจองซูหยุดเดินแล้วหันมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

              ร่างสูงหยุดเดินพลางพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะหันหน้ามามองผม

    “นายมีธุระอะไรกับฉัน ทิ้งแฟนนายไว้แบบนั้นมันดีแล้วเหรอ”

              ผมพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองอย่างยากลำบาก

    “ฉันมีเรื่องอยากถามนายสองสามข้อ”

    “ถ้านายจะถามคำถามเดิมๆแล้วละก็ ฉันก็ยังยืนยันคำตอบเดิมอยู่ดี ว่าฉันชอบโซระ และฉันจะขอเขาคบเร็วๆนี้” อีทึกตอบคำถามออกมาอย่างเบื่อหน่าย

     “นายกำลังประชดฉันอยู่ใช่ไหม?....ปาร์คจองซู”

              อีทึกหัวเราะเบาๆในลำคอ

    “ทำไมฉันจะต้องประชดนายด้วย ฉันกับนายเป็นอะไรกันอย่างนั้นเหรอ?”

              ผมเดินเข้าไปใกล้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อของอีทึกด้วยความโมโห หน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กับเพียงแค่คืบ

    “ฉันแค่ไม่เข้าใจ.....งั้นบอกฉันหน่อยสิว่าวันที่ฉันสารภาพรักกับนาย นายจูบฉันทำไม นายทำทำไมถ้านายไม่ได้รู้สึกอะไรเลย”

                       จองซูเหยียดยิ้ม พลางแกะมือที่ผมจับคอเสื้อเขาอยู่ออก

    “เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาย และการที่นายไปคบกับฮันกยองถ้านายรักหมอนั่นจริง ฉันก็ยินดีด้วย แต่ถ้านายทำเพื่อประชดฉันละก็เลิกทำซะ แล้วก็ฟังให้ดีนะคิมฮีชอล...ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย เพราะแบบนั้นช่วยคิดกับฉันแค่เพื่อนเถอะนะ อ้อ... แล้วก็เลิกเขียนนิยาย 83line อะไรของนายนั่นด้วยเพราะฉันไม่อยากให้โซระเข้าใจผิด หวังว่านายจะเข้าใจและเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรานะคิมฮีชอล”

    “นายใจร้ายมากอีทึก นายมันใจร้ายที่สุด!

    “งั้นเหรอ ถ้าแบบนั้นนายก็เลิกชอบฉันซักทีสิ”

              ผมอ้าปากค้างอย่างพูดไม่ออก

                       “เลิกวุ่นวายกับฉันได้แล้วคิมฮีชอล”

              เราทั้งคู่จ้องตากัน ผมกำมือแน่น

    “ถ้าฉันทำได้ ถ้ามันทำได้ง่ายๆละก็ ฉันก็คงไม่ชอบนายมาตลอด 8 ปีหรอก!

              อีทึกถอนหายใจ

    “นี่คิมฮีชอล ฮันกยองรักนายมากนะ  เรื่องของนายกับฉันยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว” ว่าเสร็จก็เดินหันหลังกลับไป ผมเอื้อมมือออกไปรั้งอีกคนเอาไว้ ก่อนจะสวมกอดจากด้านหลัง ผมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างของอีทึก ทุกคำพูดของอีทึก วนเวียนเข้ามาในหัว จนมาถึงประโยคที่ไม่อาจจะลืมได้...ประโยคที่ผมคอยแต่หลอกตัวเองว่าผมยังมีหวังเรื่องของเขาอยู่

     

              “ผมอยากแต่งงานกับฮีชอลครับ”

     

     

              “ที่นายบอกคนอื่นๆในตอนนั้น ที่นายบอกว่าอยากแต่งงานกับฉัน....คำพูดเหล่านั้น คือการโกหกสินะ”

              “ใช่...นายเพิ่งคิดได้หรือไง...โง่ชะมัด!

     

    .

    .

    .

    .................................

     

    ขอโทษ...ฉันยินดีที่จะพูดเป็นพันครั้ง          ขอโทษ....ที่ให้ความหวังเธอไปในวันนั้น

    ขอโทษ...ที่ไม่เคยมองว่าเธอสำคัญ                      ขอโทษ...ที่ฉันเผลอไปทำร้ายใจ

    ขอโทษ...กับการทำเธอเสียเวลา                        ขอโทษ...ที่ไม่เคยมองว่าเธอจริงจังมากแค่ไหน

    ขอโทษ...ที่ฉันทำให้เธอเจ็บปวดใจ                      ขอโทษ....ที่ทำให้เธอต้องมีแต่น้ำตานะคนดี

    ขอโทษ...ที่ผลักใสให้เธอไปกับคนอื่นในวันนั้น          ขอโทษ....ที่ฉันรู้ตัวช้าไปในวันนี้

    หากจะขอเธอคืนจากเขา ให้โอกาสฉันได้ไหมคนดี     ให้ฉันยังพอมีพื้นที่ข้างๆได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ     

    Kunna_pui (18/01/2561)

     

    Part : Park Jeong-su

     

    พระเจ้าครับ

    จริงหรือเปล่าครับที่ว่าถ้าหากเราเสียสละยอมให้คนที่เรารักไปมีความสุขกับคนอื่น แล้วจะทำให้เรามีความสุขแล้วยิ้มได้

     

    .

    .

    .

     

    พระเจ้าครับ

    แล้วถ้าผมบอกว่าตอนนี้ผมไม่มีความสุขเลย เป็นไปได้ไหม? ถ้าผมจะขอเขาคนนั้นคืนจากคนที่ผมเคยยกให้ไป

     

    .

    .

    .

     

    พระเจ้าครับ

    ผมดูเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือเปล่าครับ

     

    Korea ปี 20XX

    หากการเสียสระ นำมาซึ่งความสุข

    ผมก็ควรที่จะยินดีกับความสุขที่ผมได้มอบให้กับเขาไปสิ

    น้ำตานี้ที่ไหลลงมา มาจากไหนกัน?

    ทำไมผมจึงไม่ยินดีที่เห็นคนที่ผมรักมีความสุขกับคนอื่นละ

              ปาร์ค จองซู ผมมันก็แค่ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย เป็นแค่เด็กม.ปลาย ที่ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินช่วยเหลือจุนเจือภายในครอบครัว ทุกๆวันผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปโรงเรียนด้วยรถสาธารณะ และกลับมาในตอน 4 ทุ่ม หลังจากเลิกงาน เป็นอย่างนี้มาหลายปี จนกระทั่ง....

                       “นี่...นายน่ะ....นายนั่นแหละ”

                       “ผมเหรอ?....คุณมีธุระอะไรครับ”

                       “สนใจที่จะเป็นศิลปินหรือเปล่า”

                       “ผมเนี่ยนะ...คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี้ย”

                       “เอาเถอะ...นายอาจจะยังไม่เชื่อนะ แต่ก็ลองไปดูนะ นี่คือบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ S.M.Entertainment

     

              ผมรับนามบัตรของผู้ชายคนนั้นมา แล้วจ้องมองมันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง และถ้าหากว่ามันคือโอกาสที่จะทำให้ผมโด่งดังและเป็นที่รู้จักในอนาคต ก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่ผมจะปฏิเสธข้อเสนอในการเข้ามาเป็นศิลปินของบริษัท SM ที่ๆใครหลายคนมากมายปรารถนา

     

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องยอมแลกอะไรมากมายด้วยเช่นกัน....

             

              ผมเข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดอยู่หลายปี บริษัทวางแผนที่จะเดบิวต์ให้กับผมและคนอื่นๆมากมาย แต่สุดท้ายแผนการต่างๆก็ถูกยกเลิกไป ผมถอดใจ แต่ก็ยังพยายามอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งใครคนนั้นได้ก้าวเข้ามาในชีวิต ประโยคแรกที่เอ่ยทักกัน เป็นประโยคที่ฟังดูเหินห่าง และดูไม่เหมาะกับคนๆนี้เสียจริง แต่ว่าหลังจากนั้นก็สนิทกันมากขึ้น ต้องขอบคุณเกมส์ออนไลน์ในตอนนั้นที่ทำให้ความอึดอัดระหว่างเราสองคนทะลายลงไป

     

              ผมมีความสุขที่ได้เจอกับเขาในทุกๆวัน พวกเราพูดคุยกันทุกเรื่อง แม้กระทั่งในตอนกลางคืนเราก็ยังพูดคุยกัน จนได้ฉายยาว่า “ค้างคาวกลางคืน” ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้จริงๆว่ามันไม่ใช่ แต่ก็นะช่วงเวลานั้นผมมีความสุขจริงๆนั่นแหละ

     

              การที่ได้อยู่กับคนๆนี้ ผมลืมเป้าหมายที่จะเป็นศิลปินไปชั่วขณะ เพราะว่าการได้เดบิวต์เป็นศิลปิน นั่นหมายความว่าเราอาจจะเป็นคู่แข่งของกันและกันในอนาคต และผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบคู่แข่ง แต่อยากให้เป็นอะไรที่มันยั่งยืนกว่านั้น

     

    จนกระทั่ง บริษัทเข้ามาบอกกับผมว่า ตอนนี้พวกเขาได้วางแผนฟอร์มวงได้แล้ว ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน หนึ่งในชื่อคนทั้ง 12 คนมีชื่อของคนๆนั้นอยู่  คิมฮีชอล ผมดีใจมากที่อย่างน้อยก็มีเขาทีจะคอยอยู่เคียงข้างกันแบบนี้ ก้าวเดินไปด้วยกัน ใช้ชื่อวงว่า Super junior 05 โดยมีผมเป็นลีดเดอร์ของวง และด้วยภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งนี้ ทำให้ผมเหนื่อยและท้อ อย่างไรก็ตามคนๆหนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างก็คือเขา..... และมันก็เป็นแบบนั้นมาเสมอ

     

    จนผมกลัวว่าวันหนึ่งผมจะต้องสูญเสียเขาไป

     

    แล้ววันนั้นมันก็มาถึงจนได้....

     

    หลังจากที่เราฟอร์มวงได้ไม่นาน เขาถูกให้ย้ายออกจากหอตามคำสั่งของบริษัท ซึ่งไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ของผมกับเขาก็เริ่มห่างเหินกันมากขึ้น ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต่างกัน แม้แต่เวลาจะพูดคุยหรือเจอหน้า...ก็แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

     

     

              Super junior 05 โด่งดัง เป็นที่รู้จัก และสร้างกำไรให้บริษัทล้นหลามอย่างที่บริษัทต้องการ บริษัทจึงออกมาเพื่อจะประกาศยุติวง Super junior 05 ผมและทุกคนที่เกี่ยวข้องเสียใจกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าที่ทำมาทั้งหมดเป็นแค่เพียงโปรแจ๊คของบริษัทเท่านั้น ยอมรับว่าผมเครียดและท้อมาก ข้างกายผมในตอนนั้น.....ไม่มีใครเลย.....ไม่มีใครเลยจริงๆ

     

              อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเราก็ผ่านมันมาได้ด้วยความช่วยเหลือของเอลฟ์ Super junior กับมาอีกครั้ง โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มเป็น 13 คน และตัดคำว่า 05 ออกไป แต่การแข่งขันของศิลปินก็สูงขึ้นตามไปด้วย มีศิลปินกลุ่มใหม่ๆออกมาตีตลาดมากขึ้น ทำให้พวกเราต้องเหนื่อยกันอีกครั้ง Super junior เริ่มเข้าไปตีตลาดจีน หลังจากนั้น SM ก็มีแผนที่จะทำ Super show และหนึ่งในแผนการของ Super show ก็คือ การเซอร์วิชแฟนๆ ด้วย คู่จิ้นในตำนาน อย่าง คังทึก คิเฮ คยูมิน ซึ่งได้การตอบรับจากชาวเอลฟ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทว่ามันก็ยังไม่ดังพอที่จะทำให้ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัทพอใจ ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะสร้างกระแสของคู่ใหม่ขึ้นมา

                      

                       “ที่ผ่านมากระแสคังทึกโด่งดังและได้รับความนิยมมาก”

                       “ครับ”

                       “แต่ว่าที่จีนน่ะ ฮันกยองดังมากเลยนะ”

                       “แล้วยังไงครับ”

                       “ผมว่าผมจะสร้างคู่ใหม่”

                       “ประธานหมายถึงสร้างคู่ให้กับฮันกยองใช่ไหมครับ”

                       “ใช่...คุณคิดว่ายังไง.”

                       “แล้วประธานมองใครไว้ละครับ”

                       “....ฮีชอล”

                       “อะไรนะครับ”

                       “ผมคิดว่าฮีชอลเหมาะที่จะรับบทบาทนี้ อีกอย่างฮีชอลก็ดูเหมือนจะเข้ากับฮันกยองได้ดี ผมว่าจะให้สองคนนี้ย้ายออกมาอยู่หอด้วยกัน...และ....”

                       “ผมไม่เห็นด้วย...ผมไม่ต้องการให้ฮีชอลทำเรื่องแบบนี้...”

                       “คุณแสดงความคิดเห็นได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ห้าม คุณใช้สิทธิ์ของลีดเดอร์ทำแบบนี้ไม่ได้ การที่คุณทำแบบนี้เท่ากับว่าคุณกำลังฉุดให้ Super junior ได้รับความนิยมน้อยลง หรือคุณต้องการให้เป็นแบบนั้น”

                       “ผมไม่ได้ใช้สิทธิ์ของการเป็นลีดเดอร์...แต่ผมกำลังใช้สิทธิ์ของผู้ชายคนหนึ่งที่รักคนๆหนึ่งมากจนไม่อยากเห็นเขาไปทำอะไรแบบนั้นก็เท่านั้นเองครับ”

                       “เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมจะให้ฮีชอลเป็นคนตัดสินใจเอง คุณออกไปได้แล้ว”

                       “ครับ”

     

              หลังจากเรื่องในวันนั้น หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ฮีชอลก็มาเก็บของที่ห้อง นั่นหมายความว่า ฮีชอลตกลงที่จะทำตามคำสั่งของประธานบริษัท ซึ่งแน่นอนว่าผมเข้าไปขวางไม่ได้ และมันก็เป็นไปตามคาดกระแส Hunchul ที่จีนโด่งดังมาก พร้อมๆกับชื่อของ Super junior ติดคำข้นหาอันดับ 1 ในอินเตอร์เน็ต

     

              ความสัมพันธ์ของฮันกยองกับฮีชอล ดูๆไปแล้วก็เหมาะสมกันดี

     

    เจ้าชาย......ฮันกยอง

              เจ้าหญิง....คิมฮีชอล

     

    เพราะว่ามันเป็นแบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้วนี่  เจ้าหญิงสวย...และสูงศักดิ์ ก็ต้องคู่กับเจ้าชายสิ ไม่ใช่นางฟ้าไร้ปีกอย่างเขา ที่ปกป้องเจ้าหญิงก็ไม่ได้

     

                       “พี่ฮะ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาพี่”

                       “ว่ามาสิ”

                       “เรื่องฮีชอลน่ะ”

                       “ทำไม?”

                       “พี่ว่าผมควรจะบอกฮีชอลไปตรงๆดีไหมว่าผมชอบเขาน่ะ”

                       “นาย....ชอบฮีชอลงั้นเหรอ”

                       “ใช่....พี่คิดว่าผมบอกชอบเขาไปตรงๆดีไหม พี่คิดว่าเขาจะชอบผมหรือเปล่า?”

                        “ฉันไม่รู้หรอก”

                       “อันที่จริง...ผมก็พอจะรู้ว่าฮีชอลมีคนอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ที่ผมอยากรู้ก็คือ....พี่ไม่ได้ชอบฮีชอลใช่ไหม?”

                       “ทำไมนายถึงถามแบบนั้น”

                       “เพราะผมไม่เคยเห็นสายตาชื่นชมของฮีชอลเวลามองผมเลยซักครั้ง แต่เขามองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น ผมจึงแน่ใจว่าคนที่อยู่ในใจของฮีชอลคือพี่”

                       “อย่าห่วงเลย ฉันไม่ชอบฮีชอลหรอก”

                       “งั้นพี่ก็ช่วยผมสิ ช่วยให้ผมกับฮีชอลได้คบกัน แล้วผมจะเชื่อว่าพี่ไม่ได้ชอบฮีชอลจริงๆ”

     

    ก็ดีแล้วละที่มันเป็นแบบนี้ ให้มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

                                                              .

                                                              .

                                                              .

     

    “ถ้าฉันทำได้ ถ้ามันทำได้ง่ายๆละก็ ฉันก็คงไม่ชอบนายมาตลอด 8 ปีหรอก!

     

     

              จากวันนั้น มันผ่านมากี่ปีแล้วนะ

     

    2 ปี ?

     

    หรือว่า 3 ปีแล้วนะ

     

              วันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพายุ หลังจากที่ผมออกจากกรมทหารมาได้สักพัก ระหว่างที่อยู่ในกรมผมได้คิดและได้ทบทวนเรื่องราวอะไรต่างๆมากมาย หนึ่งเรื่องที่อยู่ในความคิดของผม คือเรื่องของฮีชอล ความสัมพันธ์ของฮีชอลกับฮันกยองจบลงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียดมากนักเพราะสำหรับพวกเขา ผมมันก็เป็นแค่คนนอก ฮันกยองลาออกจากวงกลับไปทำงานที่จีนเต็มตัว ข้างกายของฮีชอลตอนนี้ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงเลย แม้แต่น้องรักคนสนิทของฮีชอลอย่างคิบอมก็ลาออกจากวงไปเป็นนักแสดง ฮีชอลเศร้าและเหงามากๆ ผมรู้ดีว่าฮีชอลพยายามเปิดบังและเก็บซ่อนความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้นเอาไว้เพียงลำพัง แต่ว่ามันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของผมไปได้อยู่ดี

             

              เพราะจริงๆแล้วผมเฝ้ามองเขามาตลอด....ไม่ว่าฮีชอลจะสุข หรือทุกข์ ผมก็เฝ้ามองดูเขาอย่างเป็นห่วงเสมอ แต่ฮีชอลไม่เคยรับรู้มันเลย.....

     

                       “พี่....นี่ พี่อีทึก” มือบางเขย่าแขนของอีกฝ่ายอย่างแรง เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่สนใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเลยซักนิด

                       “อะไร” ผมเอ่ยถามอย่างตกใจเล็กน้อย

                       “พี่เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ” เธอชักมือที่จับแขนผมกลับไป จ้องมองมาที่ผมอย่างน้อยใจ

                       “เป็นแบบนี้?...ยังไง” ผมขมวดคิ้ว

                       “ก็พี่เหม่ออีกแล้วน่ะสิ....ที่พี่เป็นแบบนี้ เพราะพี่ฮีชอลใช่ไหม?”

                       “โซระ....มัน...” ผมกำลังจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ แต่ก็ถูกเองคนพูดแทรกขึ้นมาขัดจังหว่ะซะก่อน

                       “พี่กำลังจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ แต่จริงๆแล้วใช่...ใช่ไหมละ พี่อย่าโกหกฉันเลย”

                       “อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยน่า...ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

              เกิดความเงียบขึ้น โซระถอดถอนหายใจ

                       “ที่พี่ไม่ยอมเปิดใจ เพราะพี่กลัวต่างหาก”

                       “พี่ไม่ได้กลัว”

                       “แล้วถ้าพี่ไม่ได้กลัว....แล้วทำไมพี่ถึงไม่พูดออกมาว่าชอบละ”

                       “จะให้พี่พูดออกมาแบบนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อพี่ไม่ได้รู้สึกอะไร”

              โซระยกยิ้มขึ้น ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย

                       “นี่รู้อะไรไหม.....พี่น่ะโกหกไม่เก่งเลยนะ”

                       “ไร้สาระ...กลับเองเลยแล้วกัน” ผมว่าก็ลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากร้านไปเลย

             

              จริงๆแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโซระ ไม่ได้มีอะไรเกินเลย เกินกว่าพี่ชายกับน้องสาว เราสองคนสนิทและรู้จักกัน เพราะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันก็เท่านั้น แต่ที่ผมบอกกับฮีชอลไปในตอนนั้น เป็นเพราะว่าผมรับปากกับฮันกยองว่าจะช่วยเขาเรื่องจีบฮีชอลก็เท่านั้น ผมรู้ดีว่าฮันกยองก็น่าจะปกป้อง และดูแลฮีชอลได้ ดังนั้นผมจึงยอม ยอมยกคนที่ผมรักและหวงแหนคนนี้ให้กับคนที่ผมไว้ใจได้รักและดูแล ส่วนผมก็จะเฝ้ามองฮีชอลอยู่แบบนี้ตลอดไปก็พอ

     

              แต่แล้ว...คนๆนั้นก็ทิ้งฮีชอลไป การที่เห็นฮีชอลเจ็บปวด ผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน แล้วผมต้องทำยังไง ผมทำร้ายเขามากไปแล้วจริงๆ

     

              ผมกลับมาที่ห้องพักราวๆ 2 ทุ่ม เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปอัดรายการที่จะถ่ายทอดสดคืนนี้ตอน 4 ทุ่ม หลายวันมานี้ ผมไม่เห็นหน้าฮีชอลเลย บางทีฮีชอลอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายละครอยู่ก็ได้ ส่วนคนอื่นๆก็คงจะรายการอยู่

     

              เฮ้อ....เบื่อชะมัด

     

              หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ผมก็แต่งตัวตัวชุดสูทสีดำที่ถูกเตรียมไว้โดยผู้จัดการส่วนตัวก่อนหน้านี้ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำรายการ การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็ยังเหลืออีกหลายตอนกว่าจะจบรายการ จนกระทั่งช่วงพักเบรค

                       “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าดงเฮพยายามติดต่อนายหลายหลังแล้ว”

                       “แล้วพี่ได้โทรไปถามดงเฮหรือยังครับ” ผมเอ่ยถามอย่างกังวลไม่น้อย

                        “ยังเลย พอดีพี่วุ่นๆอยู่ด้วย....นี่ไงดงเฮโทรมาอีกแล้ว...นายคุยเองเลยแล้วกัน” ผู้จัดการส่วนตัวยื่นโทรศัพท์มาให้กับผม

                       “นาย....” ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ดงเฮก็ร้องไห้โฮออกมา แล้วก็พูดประโยคที่ผมฟังไม่ค่อยได้ยินชัดถนัดนัก

                       “เดี๋ยวนายใจเย็นหน่อย ค่อยๆพูด เกิดอะไรขึ้น....”

                       “พ่อ...อึก....พี่ครับ...พ่อไม่อยู่กับผมแล้ว...พ่อ...”

                       “ตอนนี้นายอยู่ไหน”

                       “มกโพ ตอนนี้พี่ฮีชอลกำลังมา”

                       “งั้นเหรอ....ตอนนี้พี่ถ่ายรายการอยู่ คงไปตอนนี้ไม่ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้พี่จะตามไป นายต้องเข้มแข็งนะรู้ใช่ไหม รับปากพี่สิ....ดงเฮ”

                       “ครับ”

                       “แล้วพี่จะรีบไป”

                       “เกิดอะไรขึ้น”

                       “พ่อของดงเฮเสียแล้วครับ ตอนนี้ฮีชอลกำลังไปที่มกโพ และผมบอกว่าผมจะตามไปทีหลัง”

    การถ่ายทำรายการจบลงตอนตี 1 ของอีกวัน แต่ผมก็ยังมีถ่ายรายการวาไรตี้โชว์อีกนิดหน่อย จนถึง 6 โมง เช้า หลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาว่างของผม และในขณะที่ผมอัดรายการอยู่นั้นผมก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวของผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในหัวผมประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว

             

              จนกระทั่งการถ่ายทำจบ ผมตรงดิ่งไปหาผู้จัดการส่วนตัวทันที

     

                       “สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามอย่างร้อนรน

                       “ฮีชอล...ฮีชอลน่ะ”

                       “ฮีชอล?....ฮีชอลทำไม”

                       “ฮีชอลเกิดอุบัติเหตุหลังจากเดินทางกลับมาจากงานศพของพ่อดงเฮ ตอนนี้อาการหน้าเป็นห่วง”

                       “ว่าไงนะ....ทำไมพี่ไม่รีบบอกผมละ” ผมโกรธมากที่ไม่มีใครบอกผม ผมจึงวิ่งตรงมาที่รถ ก่อนจะรีบขับมันออกไป นิ้วเรียวกดหายเบอร์มือถือของผู้จัดการส่วนตัวของฮีชอล ก่อนจะเอ่ยถามรายละเอียดต่างๆ ไม่ถึง 20 นาที ผมก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล

     

              ผัวะ

     

              ผมผลักประตูเข้าไป สายตากวาดมองไปที่ฮีชอลที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง ผมมองสำรวจร่างกายของฮีชอล ช่วงขาน่าจะเป็นบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงของฮีชอล ก่อนจะนั่งลงบนเตียง เอื้อมมืออกไปสัมผัสใบหน้าของฮีชอลที่ยังคงอยู่ในอาการตกใจอยู่ ผมดึงฮีชอลเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดโดยที่ไม่สนใจสายตาของใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประธานอีซูมาน ผู้จัดการส่วนตัวของฮีชอล หรือแม้แต่พี่สาวกับแม่ของฮีชอล ก็ตาม เพราะตอนนี้คนที่เขาแคร์มากที่สุดคือฮีชอล และเขาไม่อยากจะสูญเสียไป

     

              ฮีชอลร้องไห้อยู่กับบ่าของผม ผมทำได้เพียงแค่โอบกอดเขาเอาไว้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าในห้องเหลือแค่ผมกับฮีชอลสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็คงนานพอที่จะทำให้ฮีชอลหยุดร้องไห้ได้

             

              ผมดันตัวฮีชอลออกมองใบหน้าหวานที่เปอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ผมใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาออกให้กับฮีชอล

     

                       “นายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า....นายบอกฉันได้นะ”

                       “นายกำลังสงสารฉันอยู่หรือว่าอะไร”

                       “ฉันเป็นห่วงนายต่างหากฮีชอล”

                       “นายเป็นห่วงฉัน....จริงๆอย่างนั้นเหรอ? ทั้งๆที่เมื่อก่อนนายปฏิเสธฉันมาตลอดเนี้ยนะ”

    ผมเงียบ

                       “ปาร์คจองซู นายเป็นคนสำคัญของฉันมาเสมอ และมันก็จะเป็นแบบนั้น เราจะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อยู่ไหม”

                       “ฉันไม่เคยไม่คิดว่านายเป็นเพื่อน”

                       “แล้วทำไม...ในวันที่ฉันไม่เหลือใคร ทำไมนายถึงทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวละ”

                       “ไม่ว่าจะทำอะไร...คนเราก็มักมีเหตุผลเสมอไม่ใช่เหรอ”

                       “แล้วเหตุผลของนายในตอนนั้นคืออะไรละ”

                       “ซักวันหนึ่ง นายจะเห็นว่าเหตุผลของฉันที่ทำแบบนี้เพราะอะไร....และฉันทำมันไปเพื่อใคร”

                       “นั่นน่ะสินะ....บางทีฉันอาจจะรู้เหตุผลของนายแล้วก็ได้...แต่ฉันก็อยากได้ยินมันจากปากของนายนะ”

     

              ผมดึงฮีชอลเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการจะบอกความรู้สึกที่ผมมีความสัมพันธ์ของผมกับฮีชอล ตอนสุดท้าย ผมไม่รู้จริงๆว่ามันจะเป็นแบบไหน ระหว่างเราตอนนี้บางทีอาจจะเหมาะสมแล้วที่จะเป็นแบบนี้ก็ได้ เป็นแค่เพื่อนที่เข้าใจกัน เป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน โดยไม่ต้องเอ่ยพูดถ้อยคำใดออกมา

    แค่เราเป็นในแบบที่เราเข้าใจกันพอแล้ว

     

    ซักวันหนึ่ง เราอาจจะเป็นมากกว่านั้นก็ได้

     

                       “นี่....จองซู ฮีบอมน่ะ ฉันเป็นห่วงมัน ฉันคงไม่ได้กลับห้องไปซักพัก แล้ว.....”

                       “อย่าห่วงเลย...ฉันจะเป็นคนดูแลมันแทนนายเอง”

                       “แต่ว่านายแพ้ขนแมวนี่...จะไม่เป็นไรแน่เหรอ”

                       “ถ้าอย่างนั้นนายก็รีบๆหายสิ....เพราะฉันไม่อยากเห็นนานนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ มันน่าเบื่อออกจะตาย...” ผมกระซิบข้างหูฮีชอล

                       “แล้วถ้านายหายดีแล้วละก็....เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันนะ แค่สองคน ฉันกับนาย”

    เราทั้งคู่จ้องตากัน

                       “อื้อ....ตกลง”

     

     

    ว่ากันว่าความรักที่แท้จริงก็เหมือนกับเกมจิ๊กซอร์ชิ้นส่วนทั้งหมดจะสามารถค้นพบตัวเองได้

    ก็ต่อเมื่อแต่ละชิ้นสามารถหาชิ้นที่ “ใช่” สำหรับตัวมันเอง.

    .

    .

    .

    Talk : จบไปแล้วสำหรับฟิคสั้นอีกเรื่องหนึ่งของปาร์คจองซู (นางฟ้าไร้ปีก) กับคิมฮีชอล (เจ้าหญิงซินเดอเรลล่า) สองหนุ่มจากวงบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลี Super junior เนื้อเรื่องโดยส่วนใหญ่เขียนมาจากเรื่องจริงของทั้งสองคน แต่อาจจะมีการแต่งเติมเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มีเจนตนาที่จะสร้างความแตกแยก หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่บุคคลใด หรือบริษัท เราหวังเพียงแต่ว่าฟิคสั้นเรื่องนี้จะสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่เข้ามาอ่านได้บ้าง  ขอบคุณค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×