ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF [jungsoo x Heechul]

    ลำดับตอนที่ #1 : เหตุเกิดจากอารมณ์หึง teukchul (the end)

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 59



     

    Title    :         เหตุเกิดจากอาการหึง (Short story)

     

    Paring  :         Park Jungsoo x Kim Heechul 

    Author :         Kunna1992    

    .

    .

    .

    ................................................

     

    สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณไม่เริ่มต้นที่คิดจะทำมันอย่างจริงจัง!

     

    แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดที่จะเริ่มลงมือทำมันแล้วละก็...

     

    นั่นหมายความว่า...คุณพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อจะได้ความรักนั้นมาครอบครอง...

     

    ดังนั้นจงเผื่อใจให้กับความผิดหวังและความเจ็บปวดที่จะเข้ามา

     

    Part : Park jungsoo

     

    ปี 2010 Inchon Korean

     

    งานคอนเสิร์ตของที่รวมพลเหล่านักร้องมากมายหลายวงดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่ขาดตอน และแล้วก็มาถึงคิวของวงซุปเปอร์จูเนียร์เสียงเพลงของรยออุคยังกระหึ่มพร้อมๆกับเสียงของเอลฟ์ที่ร้องตามดังก้องทั่วไปทั้งฮอลล์

    ผมและคนอื่นๆที่เหลือกำลังสาละวนกับการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่เพื่อจะใช้ขึ้นไปร้องเพลง Bonamana ในลำดับต่อไป

    หลายปีมานี้ซุปเปอร์จูเนียร์ทำงานหนักกันจริงๆ รายการวาไรตี้เอย อัดเพลงเอย ออกงานอีเว้นต่างๆงานละคร (สำหรับบางคน) เราทำทั้งหมดก็เพื่อเอลฟ์ที่น่ารักของพวกเรา

    เพราะพวกเรารู้ดีว่าเราไม่สามารถมายืนอยู่จุดนี้ได้ ถ้าเกิดว่าไม่ได้รับโอกาสและแรงสนับสนุนจากทุกคน

    นั่นน่ะสินะ

    ถ้าไม่มีทุกคนก็คงไม่มี Super junior อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้

     

    หลายครั้งที่ผมเกือบจะถอดใจจากการเป็นลีดเดอร์ของวง เพราะการจะควบคุมคนทั้ง 12 คน มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนัก และผมเองก็พยายามประคับประคองมันมาอย่างดีที่สุด

    อย่างไรก็ตามคนๆเดียวที่รับรู้และเข้าใจความรู้สึกของผมดี คนที่ผมกล้าที่จะเผยด้านที่อ่อนแอของผมออกไป  คนๆเดียวคนนั้นก็คือ.....

     

    คิม ฮีชอล

     

    ผมกับเขาเราอายุห่างกันเพียงแค่ 9 วัน แต่ทว่าเราสองคนไม่มีอะไรที่เหมือนหรือเข้ากันได้เลย ผมชอบสีขาวทุกๆอย่างของผมต้องสีขาวเท่านั้นในขณะที่ฮีชอลชอบสีแดง ผมเป็นคนเงียบและค่อนข้างเก็บความรู้สึกของตัวเอง แต่พอเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมต้องอยู่หน้ากล้องผมกลับมักแสดงสีหน้าที่สดใสอยู่เสมอเพื่อให้เหมาะสมกับฐานะลีดเดอร์ของน้องๆทุกคน และเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กับฮีชอลซึ่งเป็นคนอารมณ์ร้อนคิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาตรงๆโดยที่ไม่สนใจว่าคนจะมองภาพพจน์ของตัวเองยังไง

    และในบรรดาเมมเบอร์ของSJ ทั้งหมดคิมฮีชอลคนนี้เป็นคนที่ผมรับมือได้ยากที่สุด

     

    แต่ถึงอย่างนั้น

     

    ผมก็...ชอบนะ

     

    ชอบที่ฮีชอลเป็นฮีชอลแบบนี้

    ถ้าถามผมว่าผมตกหลุมรักฮีชอลตั้งแต่เมื่อไหร่ อันนี้ผมตอบได้เต็มปากครับ ว่าตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นวันที่ฮีชอลดึงผมเข้าไปจูบ ผมรู้ว่ามันเป็นแค่การแสดง หรือเป็นแค่การเซอร์วิชแฟนๆเท่านั้น แต่ทว่ารสจูบจางๆที่ติดอยู่บนริมฝีปากมันกลับไม่เคยเลือนลางหรือจางหายไปซักที

    หัวใจสั่นไหวทุกครั้งเมื่อผมคิดถึงมัน

    นั่นก็เป็นเพราะว่าผมตกหลุมรักคิมฮีชอลเพราะคิมฮีชอลเป็นคิมฮีชอลจริงๆไม่ได้เป็นเพราะใบหน้าสวยๆนั่นเพียงอย่างเดียว

    .

    .

    .

    ถ้าพี่รู้สึกยังไงกับพี่ฮีชอล พี่ก็ช่วยแสดงมันออกมาสักทีเถอะ

     

    แสดงความรู้สึกออกมาอย่างนั้นเหรอ?

     

    ให้ทำทั้งๆที่ผมไม่รู้วิธีเนี้ยนะ

     

    แล้วผมจะทำมันออกมาดีได้อย่างไร

     

              ไม่เห็นจะยาก พี่ก็แค่แสดงออกมาทุกอย่าง อย่างที่ใจพี่รู้สึก

     

    ให้แสดงออกมาทุกอย่าง อย่างที่ผมรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?

     

    เพราะแบบนั้น คำพูดของคังอินรุ่นน้องที่ผมสนิทด้วยในตอนนั้นทำให้มันเกิดเรื่องขึ้นในวันนี้

     

              ผัวะ!!

     

    กำปั้นของผมซัดเข้าไปบริเวณแก้มข้างซ้ายของคิมฮีชอล ดวงตาของผมแดงก่ำ มือแกร่งกำแน่นและสั่นอย่างความคุมไม่ได้

    ผมกำลังโกรธ

    โกรธในสิ่งที่ร่างบางตรงหน้าพูด

             

    ร่างบางนั้นตวัดตามามองผมในขณะที่นั่งกองอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบนั้น

     

    “ปาร์คจองซู!!” ร่างบางนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเข้ามากระชากคอเสื้อของผม

     

    ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินชื่อนี้หลุดออกมาจากเรียวปากบางของคิมฮีชอล เพราะโดยปกติแล้วเขาจะเรียกผมด้วยคำว่า อีทึก หรือไม่ก็ทึกกี้ที่เขาเป็นคนตั้งให้ แต่วันนี้ เขากลับเรียกผมด้วยชื่อเดิม

    นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ยินชื่อนี้

     

    คยูฮยอนรีบเข้ามาห้ามและพยายามที่จะดึงตัวของฮีชอลให้ออกห่างจากผม แต่ทว่ากำปั้นเล็กนั้นก็เหวี่ยงมาโดนบริเวณตาขวาของคยูฮยอนเข้าอย่างจัง

     

    “โอ๊ย!!” คยูฮยอนร้องด้วยความเจ็บพลางใช้มือข้างหนึ่งกุมไว้ หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันกรูเข้ามาแยกผมกับฮีชอลในห่างออกจากกัน

     

    ฮีชอลสะบัดตัวออกจากมือแกร่งของชีวอนและทงเฮ

     

    “เกิดอะไรขึ้น! ผมถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของผู้จัดการวงดังขึ้น สถานการณ์เริ่มตึงเครียด

              ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนที่ผู้จัดการวงจะพูดขึ้นมาอีกครั้งอย่างหัวเสีย

                       “แยกย้ายแล้วเข้าประจำที่ได้แล้ว ทำหน้าที่ของพวกคุณให้ดี ให้สมกับที่เป็นซุปเปอร์จูเนียร์ด้วยละ” ทุกคนโค้งก่อนจะแยกย้ายไปยังจุดของตัวเอง

                       “อีทึก”

    คนถูกเรียกตวัดตาหันไปมอง

    “เสร็จจากคอนเสิร์ตนี้คุณเข้าไปพบผมด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

              ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองยังที่ๆฮีชอลยืน มือบางนั้นหยิบแว่นตาสีดำออกมาสวม ในขณะที่ดวงตาคมของผมกลับแดงก่ำ

              หลังจากที่รยออุคร้องเพลงของตัวเองจบไม่นานนักพวกเราก็ขึ้นไปยืนบนเวที ผมพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างยากลำบาก ร้องเพลงไปเต้นไปอย่างอัตโนมัติในขณะที่ในหัวสมองของผมกลับวนเวียนอยู่กับเรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อครู่

     

    ทำไมฉันต้องฟังนาย อย่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน นายมันก็แค่คนอื่น!’

     

              คำพูดของฮีชอลมันทำให้ผมเจ็บปวดจริงๆ

     

              ในสายตาของฮีชอลแล้ว ผมก็คงเป็นแค่คนอื่นสำหรับเขา

              ใช่ เพราะเขาไม่ใช่ยุนโฮ คนที่ฮีชอลรักและเชื่อใจมากที่สุดคนนั้น

              คิดแล้วมันน่าโมโหที่สุด!

              บอกตรงๆว่าผมอิจฉา

    อิจฉาทุกคนที่ฮีชอลให้ความสำคัญ ผมรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันก็แค่เอาใจแฟนคลับเท่านั้น แต่ว่าผมกลับคิดจริงจัง ในขณะที่เจ้าตัวอย่างคิมฮีชอลไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรกับผมเลย

    บ้าชะมัด!!!

     

              หรือว่าผมควรจะหยุด

              ผมควรจะเลิกรักฮีชอนดีไหมนะ....

             

    ผมร้องเพลงจนมาถึงท่อนฮุก ทุกครั้งฮีชอลจะต้องเป็นฝ่ายเดินมาแล้วยืนร้องเพลงโดยที่หลังของเราสองคนต้องชนกัน หรือไม่ฮีชอลก็จะเป็นฝ่ายโอบกอดผมจากข้างหลัง แต่วันนี้ทุกอย่างกลับผิดแปลกไปหมด เขาไม่แตะตัวผมเลยแม้แต่ปลายเล็บ แถมยังไม่สบตาผมอีก ผมระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านอยู่ในใจด้วยการพ่นลมหายใจที่หนักหน่วงนั้นออกมา ดวงตาของผมรู้สึกร้อนผ่าว ผมควบคุมเพื่อไม่ให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมาอย่างสุดกำลัง แต่มันก็ยากเหลือเกิน

              บรรยากาศบนเวทีมาคุ เต็มไปด้วยความอึดอัดของเหล่าเมมเบอร์ แต่ทุกคนก็ยังคงแสดงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ

              ผมเชื่อว่าแฟนคลับคงมองไม่เห็นความผิดปกตินี้ เพราะทุกคนอาจจะคิดว่าพวกเรากำลังอินกับเพลงที่ร้องอยู่ก็ได้

              และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะคิดแบบนั้น....

     

    จนกระทั่งการแสดงบนเวทีของวันนี้จบลง....

     

              ทุกคนแยกย้ายกันกลับ คังอินเดินเข้ามาตบไหล่ผม โดยไม่ถามถึงสาเหตุที่มันเกิดขึ้น เพราะผมไม่อยากจะพูดถึงมันในตอนนี้

              แต่ผมก็รู้ดีว่ายังไงผมก็หนีมันไปไม่พ้นอยู่ดี

     

                       “วันนี้คุณเป็นอะไรไปอีทึก ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้มาก่อน”

    ผมได้แต่นั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร

    “อีทึกคุณเป็นหัวหน้าวงนะคุณทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง อีกอย่างในตอนนั้นพวกคุณกำลังทำงานอยู่นะ!

     

    ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด ผมเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาปนกับเรื่องงานอย่างไม่น่าให้อภัย ผมหึงเขา ผมหึงคิมฮีชอล

     

              ผู้จัดการวงขยับกรอบแว่นตาสี่เหลี่ยมให้เข้าที่ ก่อนจะเอ่ยพูดอีกครั้ง

    “คุณช่วยบอกเหตุผลที่คุณต่อยคิมฮีชอลได้ไหม?”

              ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพูด

                       “ผมก็แค่หงุดหงิด”

              ผู้จัดการวงเลิกคิ้วขึ้นสูง

                       “เรื่องอะไร? ฮีชอลทำให้คุณไม่พอใจเรื่องอะไรอีทึก”

                       “ผมอาจจะชอบเขามากเกินไป” ผมพูดคำนั้นออกมาตรงๆ ทำเอาผู้จัดการวงอ้าปากค้าง

                       “อะไรนะ....คุณพูดว่าอะไรนะ”

              ผมหรี่ตาลงมองมือข้างที่ผมใช้ต่อยฮีชอล

    หมอนั่นจะเจ็บมากหรือเปล่านะ ผมเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยแต่ในวินาทีนั้น ผมโมโหจริงๆ

    ผู้จัดการวงถอนหายใจที่หนักหน่วงนั้นออกมา

                       “อีทึก คุณรู้ใช่ไหมว่ายุนโฮกับฮีชอล....”

                       “ผมรู้...ผมรู้ดีว่ายุนโฮสำคัญสำหรับฮีชอล แล้วผมก็รู้ว่าไม่ว่ายังไงผมก็แทนที่เขาไม่ได้” ผมพูดขึ้นก่อนที่ผู้จัดการวงจะพูดจนจบประโยค

                       “ถ้าคุณรู้คุณทำแบบนี้ทำไม?”

              ห้องทั้งห้องเกิดความเงียบขึ้น นานหลายนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไร จนผู้จัดการวงก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น

                       “ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้คุณพักงานที่เกาหลี แล้วไปสงบสติอารมณ์ที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือน แล้วหลังจากนี้ผมคิดว่าคุณจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดีนะอีทึก วันและเวลาเดินทางผมจะบอกคุณอีกที เอาละวันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้วคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”

     

              หลังจากนั้นผมก็กลับมาที่หอพักทิ้งตัวลงบนเตียงสีขาว สายตามองผมมองไปบนเพดานที่ว่างเปล่านั้น

             

              ก๊อกๆ

     

              เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ผมต้องเด้งตัวลุกออกจากเตียง เดินไปเปิดประตูด้วยใบหน้าเบื่อๆ

     

              คนที่ยืนอยู่ที่บานประตูทำให้ผมถึงกลับหายใจติดขัด

     

              คิมฮีชอล?!

     

                       “ขอฉันเข้าไปคุยกับนายหน่อยสิ” ร่างบางนั้นพูดโดยที่ไม่มองหน้าผม

                       “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ไปซะคิมฮีชอล”

     

              และนั่นก็เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับฮีชอลก่อนที่จะบินไปอเมริกาในอีกสองวันต่อมา

    .

    .

    .

    ...........................

     

    ความลับที่ถูกซ่อนไว้ วันนี้ไม่อาจจะซ่อนมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

     

    8 ปีที่ผ่านมามันยาวนานมากเหลือเกินที่ต้องเก็บงำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ในใจมาตลอด

     

    ไม่กล้าที่จะเอ่ยบอกใคร ไม่กล้าที่จะบอกคนๆนั้นไปตรงๆ

     

    เพราะกลัว ความกลัวมันครอบงำ และอีกอย่างผมเองก็ไม่อยากเสียเพื่อนอย่างเขาไป

     

    ผู้ชายคนนั้นผมไม่อยากเสียเขาไปเลยจริงๆ...อย่าไปเลยนะ

     

    ปาร์คจองซู!!

     

    Part : Kim Heechul

     

              ผมคิดทบทวนเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น เพราะความปากพล่อยของผม ที่พูดแบบไม่รักษาน้ำใจอีทึกทำให้เขาต้องโมโหขนาดนั้น

    ทำไมฉันต้องฟังนาย อย่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน นายมันก็แค่คนอื่น!’

     

              ผมไม่น่าจะพูดแบบนั้นออกไปเลย

              ผมรู้ดีว่าอีทึกในตอนนั้นกำลังเป็นห่วงผม และอยากให้ผมจดจ่ออยู่กับงานมากกว่าที่จะเอาเวลาเล่นมือถือ และผมเองก็หงุดหงิดมาที่ถูกกระชากมือถือออกไป ผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายผิดแท้ๆ ผมไม่รู้ว่าทึกกี้จะเห็นข้อความที่ผมตอบแชทของยุนโฮในมือถือหรือเปล่า

              แล้วถ้าเห็น เขาจะรู้สึกยังไงกันละ

              นี่ผมหวังอะไรอยู่กันแน่นะ

              ต่อให้หมอนั่นจะเห็นจริงๆ

              มันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

              เพราะที่ผ่านมาอีทึกก็ไม่เคยรับรู้อะไร ไม่เคยมองเห็น ว่าคนที่ผมชอบก็คือเขา

             

              ไม่รู้ว่ามันนานมาแค่ไหนแล้ว ที่ชอบคนๆนี้ จูบที่เกิดขึ้นวันนั้นจะมีใครสักคนที่รู้ไหมว่าผมตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น นั่นน่ะจูบแรกของผมเลยนะ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าผมเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะมอบจูบแรกให้กับภรรยาในอนาคตของผมเท่านั้น แต่ทว่าอะไรบางอย่างดลใจทำให้ผมจูบเขา

              แล้วจูบในวันนั้นผมก็จำมันฝังใจมาจนถึงวันนี้ แต่ว่าผมก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าเรามันต่างกันเกินไป

     

    บางทีคุณอาจจะยังไม่เคยรู้เหตุผลที่ผมไว้ผมยาวมาเกือบ 5 ปี เพราะเขาให้สัมภาษณ์กับนิตยาสารเล่มหนึ่งว่าผู้หญิงในสเปกของเขาต้องไว้ผมยาว และเหตุที่ผมต้องตัดมันทิ้ง ก็เป็นเพราะว่าผมไปสร้างความเดือดร้อนให้กับยุนโฮ ทำให้แฟนของยุนโฮเข้าใจผิดคิดว่ายุนโฮนอกใจและผมก็คือผู้หญิงคนใหม่ของยุนโฮ เรื่องนี้ทำให้ผมไม่สบายใจจึงทำให้ผมตัดผมที่คนๆนั้นบอกว่าชอบทิ้งไปอย่างเศร้าๆ

     

    ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน อีทึกก็ยังคงเป็นอีทึกที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

     

    คนซื่อบื้อเอ๊ย!!

     

              ผมมองออกไปยังภายนอกร้านกาแฟผ่านทางกระจกร้าน โดยไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเท่าไหร่นักทั้งๆที่ผมเป็นคนโทรชวนหมอนี้ออกมาด้วยกัน

              “ว่าไง เดี๋ยวนี้พี่ดูซึมๆไปนะ ทะเลาะกับพี่อีกทึกเหรอ” ร่างสูงเอ่ยพูดพลางยิ้มกรุ่มกริม

    ผมหันหน้ามามอง

              “นายรู้ได้ยังไง”

    ร่างสูงเบ้ปากพลางยักไหล่ ประมาณว่าไม่เกินความสามารถของเขาหรอก

              “ไม่เห็นจะยาก สายตาพี่มันฟ้อง ว่าแต่ทะเลาะกันเรื่องอะไร”

              “เพราะนายนั่นแหละ” ผมโบยความผิดให้กับรุ่นน้องที่หยิบกาแฟร้อนขึ้นมาจิบ

              ร่างสูงวางแก้วกาแฟลงพลางชี้มือมาที่ตัวเอง

                       “เพราะผมเนี้ยนะ ไหนบอกมาสิว่ายุนโฮคนนี้ทำอะไรให้พี่ขุ่นข้องใจกัน” ยุนโฮถามอย่างสงสัย

                       “ช่างมันเถอะ ฉันผิดเองแหละ ไม่เกี่ยวกับนายหรอก” ผมมองออกไปด้านนอกอีกครั้ง สายฝนที่โปรยลงมาทำให้การจารจรเริ่มติดขัด ผู้คนที่ไม่มีร่มวิ่งหาที่หลบฝนจนดูวุ่นวายไปกันหมด

                       “พี่อีทึกเห็นข้อความที่เราคุยกันเหรอ”

              ผมเอามือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคางไว้

                       “จะเห็นหรือไม่เห็นหมอนั่นก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก เขาก็แค่โกรธที่ฉันเอาเวลางานเล่นมือถือแค่นั้นแหละ”

              ยุนโฮเลิกคิ้วขึ้นสูง และเหมือนกำลังฉุดคิดอะไรบางอย่างอยู่

                       “แค่นั้น? แต่พี่อีทึกถึงกลับถูกพักงานเนี้ยนะ”

              ผมชะงัก ก่อนจะหันหน้ามามองยุนโฮอย่างแปลกใจ

                       “พักงานเหรอ? ไม่ใช่ว่าไปทำงานที่อเมริกาหรอกเหรอ”

              ยุนโฮส่ายหัว พลางเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผม กระซิบเสียงเบาอย่างไม่อยากให้ใครได้ยินบทสนทนาในครั้งนี้

                       “เพราะเขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่มันเกิดขึ้นต่างหาก เรื่องนี้ทุกคนก็รู้กันหมดที่ไม่รู้ก็คงมีแต่พี่เท่านั้นแหละ อีกอย่างนะพี่ฮีชอลเขาถูกสั่งไม่ให้ยุ่งกับพี่อีก”

     

              อะไรนะ....

              พักงาน?

              ถูกสั่งไม่ให้ยุ่งกับเขา?

     

              นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่

              ทำไมถึงไม่มีใครพูดอะไรกับเขาเลยละ

              บ้าเอ๊ย!!

     

     

              สามเดือนผ่านไป ผมใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็น ตื่นแต่เช้าออกไปทำงานและเกือบจะตีสองที่ผมได้นอนพักผ่อน แต่ถึงอย่างนั้นไม่มีวันไหนที่ผมข่มตาให้หลับอย่างสนิทได้

              อยากเจออยากคุยให้รู้เรื่อง

              วันนี้แล้วสินะ

              วันนี้นายก็จะกลับมาแล้วสินะ

             

              ปาร์คจองซู!!

     

              วันนี้ผมตัดสินใจยกเลิกตารางงานทั้งหมดที่ผมมีเพื่อมาอยู่รอเจอกับคนที่ผมรอมาตลอด 10.00 ผมมาถึงที่หอพักของ SJ คนที่อยู่ในหอตอนนี้มีแค่ทงเฮ คยูฮยอน ซางมิน และคังอิน เท่านั้น ทุกคนดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมมาอยู่ที่นี่ ผมนั่งเงียบอย่างไม่พูดจากับใครซึ่งมันค่อนข้างผิดวิสัยของผมมาก

              ทั้งสี่คนเดินเข้ามาแล้วนั่งใกล้ๆกับผม

                       “พวกนายมีอะไร”

                       “พวกเรามีเรื่องจะบอกพี่ ความจริงแล้วพี่อีกทึกไม่ได้ไปทำงานที่อเมริกา แต่เขาถูกพักงานเพราะ.....” ซองมินเป็นคนเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

              ผมเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุ และก็เป็นต้นเรื่องทั้งหมด

                       “พวกนายไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรู้แล้ว”

              คังอินเอื้อมมือมาจับมือผม ผมหันมามอง

                       “ผมอยากให้พี่เข้าใจพี่อีทึกนะ” ผมมองคังอิน แล้วรอให้พูดต่อ “พี่อีทึกแคร์พี่มากนะ วันนั้นที่เขาทำแบบนั้นกับพี่ ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของผม”

                       “หมายความว่ายังไง” คิ้วเรียวของผมกดเข้าหากัน

                       “เพราะผมรู้ไงว่าพี่อีทึกชอบพี่ แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกมาตลอด ผมอยากให้พี่อีทึกสมหวัง อยากให้พวกพี่รักกัน และเป็นคู่รักที่ใครมากมายอิจฉา ผมก็เลยบอกให้พี่อีทึกแสดงความรู้สึกที่มีกับพี่ออกมา แต่พี่ก็รู้ให้ไหมว่าพี่อีทึกนะไม่เก่งเรื่องแบบนี้”

                       “ใช่ พี่อีทึกชอบพี่จริงๆนะพี่ฮีชอล ยิ่งตอนที่พี่เข้าโรงพยาบาลเพราะประสบอุบัติเหตุในตอนนั้น พี่อีทึกก็เป็นคนดูแลฮีบอมให้พี่อย่างดี แม้ตัวเขาเองจะแพ้ขนสัตว์ก็ตามเถอะ” คยูฮยอมพูดอย่างเห็นด้วย

                       “นี่พวกนายกำลังจะบอกว่าอีกทึกชอบฉัน ชอบมาตลอดอย่างนั้นเหรอ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ

              ทุกคนพยักหน้า

              นี่มัน....

              ไม่เคยรู้เลย

              ไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้ว

              พวกเราจะใจตรงกัน

              ทำไมนะ

              ทำไมถึงไม่รู้จักรีบบอก

              ปาร์คจองซูคนบ้า

     

              หัวใจของผมตอนนี้มันพองโตอย่างแปลกประหลาด

    “แล้วที่เขาต่อยพี่วันนั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องที่พี่เล่นมือถือหรอกนะ แต่เพราะเขาหึงพี่กับยุนโฮต่างหากแล้วก็น้อยใจกับสิ่งที่พี่พูด” คังอินพูดต่อ

    “พี่กับยุนโฮเป็นคนรักกันอย่างนั้นเหรอครับ” ทงเฮที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามผมอย่างสงสัย

    “จะบ้าหรือไง ไม่ใช่สักหน่อย ฉันกับยุนโฮเป็นแค่พี่กับน้องเท่านั้นแหละ...จริงๆแล้วคนที่ฉันชอบก็คือไอ่เป็ดนั่นแหละ” ผมพูดอย่างไม่กล้าสบตาใคร

              ทุกคนยิ้มกว้างเมื่อได้รู้ความจริงนี้

     

              หลังจากที่ผมนั่งรอเกือบครึ่งวัน คนๆนั้นก็เดินเข้ามา พอเราทั้งคู่สบตากัน อีทึกก็เลี่ยงเดินเข้าห้องของตัวเอง

              แต่มีหรือที่ผมจะอยู่เฉยๆ ผมเดินตามอีทึกเข้าไป แต่ก็ถูกใครบางคนกระชากแขน ผมจึงต้องหันไปมอง

                       “ปล่อยผมครับผู้จัดการคัง”

                       “อย่าทำให้เรื่องมันแย่ลงไปกว่านี้เลยฮีชอล”

              ผมแสยะยิ้ม

    “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะทำให้เรื่องมันแย่ลง” ผมสะบัดแขนให้หลุดออก

    “ถ้าวันนี้ผมกับอีทึกไม่ได้คุยกันให้เข้าใจละก็ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ว่าจบผมก็เดินตรงไปยังห้องของอีทึก

    ผมบิดลูกบิดประตูเข้าไป อีทึกกำลังเอาเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆของตัวเองออกจากกระเป๋าเดินทาง

              “ออกไปจากห้องของฉัน ฮีชอล” อีกทึกพูดโดยที่ไม่หันมามองหน้าผม

    ผมกดล๊อคประตู ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้อีทึก

              “เราต้องคุยกัน”

    อีทึกหันมามองหน้าด้วยแววตาที่เย็นชา

              “เราไม่มีเรื่องที่ต้องคุยกัน” อีทึกคว้าข้อมือของผมก่อนจะลากไปที่ประตูห้อง ผมยื้อตัวเองไว้ ก่อนจะสะบัดมือลงบนหน้าของอีทึก ใบหน้าคมนั้นหันไปตามแรงตบ

              “นี่คืนให้สำหรับที่นายต่อยฉันวันนั้น”

    อีทึกนิ่ง จ้องมองมาที่ผม

              “พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วก็ออกไปซะ!” น้ำเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ

              “เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่นายจะบอกฉันว่านายรู้สึกยังไงกับฉัน” ผมพูดในขณะที่มือข้างหนึ่งจับต้นแขนแกร่ง อีทึกไม่ตอบอะไร

              “กลับไปซะก่อนจะมีใครเข้าใจผิด” น้ำเสียงราบเรียบ

              “ใครที่นายพูดถึง หมายถึงยุนโฮใช่ไหม?”

              “ใช่”

    ผมลอบยิ้มในใจ

              “ยุนโฮเขาไม่หึงฉันกับนายหรอก รวมถึงคนอื่นๆด้วย เพราะฉันกับยุนโฮเราเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น”

    อีทึกมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อ

              “อย่าโกหกฉันเลย ฉันเห็นนายทำอะไรเพื่อหมอนั่นตั้งหลายอย่าง”

              “อะไรละที่ฉันทำเพื่อยุนโฮ”

              “ก็อย่างเรื่องผมของนาย นายก็ตัดเพื่อหมอนั่น”

              “เพราะฉันรู้สึกผิดต่างหาก ฉันทำให้ผู้หญิงของยุนโฮเข้าใจผิดคิดว่ายุนโฮนอกใจ ทีนี้เข้าใจหรือยัง”

    อีทึกเงียบ

              “แล้วข้อความที่คุยกันในแชทนั่นละ รักที่นายบอกกับยุนโฮ...”

    ผมขยับเข้าไปใกล้

              “นี่นายฟังนะอีทึก คนที่ฉันชอบน่ะมีแค่นายคนเดียวเท่านั้นนะ”

    อีทึกเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

              “อะไรนะ...นายว่าอะไรนะ” ทำเป็นหูทวนลมทันทีเลยนะ ผมยิ้มก่อนจะพูดมันอีกครั้ง

    “ฉันชอบนาย ปาร์คจองซู”

    “นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?”

              “แล้วนี่เรียกว่าฝันหรือเปล่าละ” ผมแตะริมฝีปากกับแก้มของจองจู ก่อนจะเลื่อนไปกระซิบที่หู “แล้วทีนี้นายจะบอกฉันได้หรือยังว่านายรู้สึกยังไงกับฉัน”

    อีทึกโอบกอดผม พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

    “ฉันรักนาย ฮีชอล แล้วจะรักนายแค่คนเดียวตลอดไป”

              ผมกอดรอบคอของอีทึกไว้แน่น

              รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของเราทั้งคู่ หวังว่ามันจะไม่เลือนหายไป ไม่ว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรืออีกกี่สิบปี ก็ตาม

                       รักนาย ปาร์คจองซู

             

              เพราะปาร์จองซู ก็ต้องคู่กับคิมฮีชอล

    ของมันแน่อยู่แล้วนี่.....

    .

    .

    .

    ...................

    The end

    .

    .

    ..............

              สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน เรา kunna1992 ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ

    ทึกซิน เป็นครั้งแรกที่เราเขียนคู่นี้ เนื่องมาจากว่าอยากตอบสนองความต้องการของตัวเอง ฟิคทึกชินมีเยอะมาก ของหลายๆคนก็ทำให้เราเกิดอาการจิ้นอย่างบ้าคลั่ง และโมเม้นต์ของทั้งคู่ในชีวิตจริงก็ดีไร้ที่ติจริงๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมเราถึงได้กลายมาจิ้นคู่นี้ อาจจะเป็นเพราะความน่ารักของทั้งคู่แน่ๆ อีกอย่างฟิคสั้นของเราเรื่องนี้มีการเอาเรื่องจริงสถานการณ์จริงบางส่วนและมีการแต่งเต็มเข้าไปเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านมากยิ่งขึ้น ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×