ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จดหมายแทนใจแม่

    ลำดับตอนที่ #7 : แม่ค้าหน้าโรงหนัง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 56


    สาวน้อยของแม่

                แม่เกิดมาในสิ่งแวดล้อมของการค้าขาย  ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ  มาจนเรียนมัธยม  เข้ามหาวิทยาลัยก็ยังต้องขายของ  แต่ก็ได้เปลี่ยนลักษณะกิจการไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ที่ประสพ     เมื่อการค้าส่งของที่บ้าน ประสบปัญหาการขาดทุน  เพราะต้องใช้ทุนมาก  ในขณะที่กำไรน้อย  ประกอบกับทางบ้านเพิ่งต้องกอบกู้ความเสียหายจากเพลิงไหม้  ทำให้ต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นจนไม่สามารถทำกิจการค้าส่งต่อไปได้   อากงและอาม่าก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะที่เคยค้าขายจากขายส่งมาเป็นขายปลีกหน้าโรงภาพยนตร์   ซึ่งการค้าปลีกนั้น  แม้ว่าจะมีรายได้เข้าในปริมาณเงินที่ไม่มากเท่าการค้าส่ง  แต่กำไรที่ได้จากการขายกลับมากกว่า  ทำให้เรามีเงินหมุนเวียนไปได้  แม่จึงต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเป็นแม่ค้าหน้าโรงหนัง  ใช้เวลาส่วนใหญ่นอกโรงเรียนอยู่หน้าโรงหนังแทนการอยู่กับบ้าน

                ในตอนแรกที่เป็นการทดลองทำ  อาม่ารับเซ้งกิจการขายของหน้าโรงหนังจากเพื่อนอากงคนหนึ่ง  ขายขนม น้ำดื่มที่หน้าโรงภาพยนตร์ศรีนครพิงค์  หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “โรงหนังศรีพิงค์”  ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านที่พักในตอนนั้นนั่นเอง  แม่ได้เรียนรู้ที่จะอ่านหนังสือ และทำการบ้านในเวลาที่หนังเข้าโรงแล้ว   ซึ่งเราจะไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก  และการเตรียมสินค้าที่จะขาย  เช่น  การเรียงท้อฟฟี่ใส่ถุงร้อนใบเล็ก  แล้วใช้ไฟลนปิดปากถุง  การคั่วป๊อบคอร์นโดยใช้เครื่อง  ฯลฯ   ที่สนุกที่สุดคือ  การเข้าไปเข้าห้องน้ำในโรงหนังแล้วก็ได้ดูหนังฟรี  การได้ฟังเพลงทุกเพลงที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น  โดยร้านขายเทปในบริเวณนั้นเปิดให้ฟัง  แต่ก็ต้องทำใจถ้าอยู่ในช่วงใกล้สอบ  เพราะเราต้องหัดตั้งสมาธิให้ได้  แม้ว่าเสียงจะดังเพียงใดก็ตาม

                เมื่อโรงหนังศรีพิงค์เลิกกิจการไปแล้ว  อาม่าก็ได้ไปเซ้งกิจการขายของหน้าโรงหนังอยู่ที่ริมบันไดทางขึ้นของโรงภาพยนตร์นครเชียงใหม่  ซึ่งในขณะนั้นกำลังเป็นที่นิยมมาก  ในกิจการครั้งนี้  เราก็ได้สัมผัสชีวิตการขายของหน้าโรงหนังอย่างเต็มตัว  ไปเปิดร้านประมาณก่อน 9 โมงเช้า  เพื่อให้ทันหนังรอบเช้า  กลับบ้านประมาณ หลังสามทุ่ม  เพื่อให้หนังรอบดึกเข้าเสียก่อนแล้วจึงจะปิดร้านได้  หลายๆ ครั้งก็มีหนังรอบมิดไนท์  ซึ่งกรณีนี้  เราจะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อหนังเข้าแล้ว  กลับบ้านประมาณตีหนึ่ง  ในขณะนั้น แม่เรียนอยู่ชั้นมัธยม  ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ในสภาพนี้  ขายของหน้าโรงหนังจนดึก แล้วจึงได้กลับบ้าน  นอนดึก ตื่นเช้าไปโรงเรียนให้ทันทุกวัน  มีชีวิตที่สนุกสนานตามสภาพของเราที่ต้องเรียนไปด้วย  ทำงานไปด้วย  อ่านหนังสือ ทำการบ้านที่หน้าโรงหนังตลอด 

                เมื่อไปขายของที่โรงหนังนครเชียงใหม่ได้สักระยะหนึ่ง  ก็มีการสร้างโรงหนังและตึกแถวอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน  คือโรงภาพยนตร์มหานคร  หรือเรียกกันว่า โรงหนังมหานคร  ใกล้ๆ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ในปัจจุบัน)  อากงและอาม่าก็ได้ไปซื้อตึกแถวห้องหัวมุมอยู่ที่นั่น  และจับจองห้องเพื่อขายของในโรงหนังใหม่ตามอาชีพเดิม  และตอนนี้ เรามีกิจการเพิ่มขึ้นจากทำเลบ้านที่อยู่คือ  การรับฝากรถจักรยานยนต์ที่มาดูหนัง  เราก็ได้เรียนรู้การเข็นรถ การจัดเรียงรถ  (หลายครั้งเราก็ต้องย้ายรถทั้งๆ ที่เจ้าของลืมตัว ล็อคคอไว้อีกด้วย) 

                เห็นไหมลูก  คนเราถ้าตราบใดที่เรามีจิตใจสู้  เราทำได้ทุกอย่าง  ช่วยกันทำงาน  ช่วยกันต่อสู้เพื่อให้เราสามารถอยู่รอด  ลูกอย่าได้อายในการทำอาชีพสุจริต  ไม่ว่าการเป็นแม่ค้าขายของ  การเข็นรถ รับฝากรถ  ล้วนเป็นอาชีพที่สุจริต  สามารถทำรายได้ให้อากงและอาม่าหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัวใหญ่เป็นสิบคน  และส่งเสียให้น้องชาย (เหล่ากู๋ทั้งสองคนของลูก)  และลูกทั้ง 5 คน  ได้เล่าเรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี  แม่อยากให้ลูกได้เห็นคุณค่าของการเรียน  พร้อมกับการทำงานอย่างขยัน อดทน สู้งาน  อย่าได้ท้อถอย  หากลูกจะท้อเมื่อไรให้นึกถึงชีวิตของแม่ไว้  ชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้  ทำงานก็ต้องทำ  เรียนก็ต้องเรียนให้ได้ดีด้วย  เพื่ออนาคตของตัวเองไงคะ

                อยากให้ลูกรู้ว่า  ความรักลูกที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกให้สุขสบายอย่างเดียวเสมอไป  แต่ต้องให้ลูกเรียนรู้ที่จะสู้ชีวิต  ยืนหยัดได้ด้วยตนเองจ๊ะ

     

                                                                                        รักลูกเสมอนะจ๊ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×